The Oriental TCM เครือข่ายพัฒนาศักยภาพการรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน เพื่อส่งต่อการรักษาผู้ป่วยในมาตรฐานสากล

https://www.facebook.com/share/1CiegqC3kw/?mibextid=wwXIfr
10/05/2025

https://www.facebook.com/share/1CiegqC3kw/?mibextid=wwXIfr

EP34**🔥แจก 10 สูตร “ชาเบาพุง” สไตล์หมอจีน📍

ชาสมุนไพรใกล้ตัว ไม่เสียตังค์ อร่อยง่ายทำได้จริง คาเฟอีนไม่พุ่ง! เหมาะกับคนที่อยากลดพุง ลดบวม ช่วยย่อย และไม่อยากพึ่งแต่คีโต!

☕️ 1. ชาขิงสด + น้ำผึ้ง

• สรรพคุณ: อุ่นม้าม สลายความเย็น ลดแก๊สในท้อง
• วิธีชง: ขิงสดฝาน 5–6 แว่น ต้ม 10 นาที ใส่น้ำผึ้งตอนอุ่น
• เหมาะกับ: คนพุงเย็น หนาวง่าย ท้องอืด
• ดื่มได้: ทุกวัน ตอนเช้าหรือช่วงแน่นท้อง
#แก้แน่นท้อง

🍊 2. ชาเปลือกส้มแห้ง (เฉินผี 陳皮)

• สรรพคุณ: ขับลม ช่วยย่อย ลดแน่นเฟ้อ
• วิธีชง: เปลือกส้มแห้ง 1–2 ชิ้น ต้มหรือแช่น้ำร้อน 5 นาที
• เหมาะกับ: คนกินจุก แน่นพุงง่าย
• ดื่มได้: 3–5 วัน/สัปดาห์
#ช่วยย่อยลดแน่น

🍄 3. ชาเห็ดหลินจือ + ขิง (หลินจือ 灵芝)

• สรรพคุณ: เสริมภูมิคุ้มกัน ลดอักเสบ ขับพิษ
• วิธีชง: หลินจือ 2–3 แว่น + ขิง ต้มรวม 15 นาที
• เหมาะกับ: ภูมิแพ้ ลำไส้อ่อนเพลีย
• ดื่มได้: 2–3 วัน/สัปดาห์
#ปรับสมดุลลําไส้

🍃 4. ชาอบเชย + ใบเตย (อบเชย 肉桂)

• สรรพคุณ: เร่งเผาผลาญ ช่วยหมุนเวียนเลือด
• วิธีชง: อบเชยแท่ง + ใบเตย ต้ม 15 นาที
• เหมาะกับ: คนเผาผลาญต่ำ มือเท้าเย็น
• ดื่มได้: 3 วัน/สัปดาห์ (งดถ้าความดันสูง)
#เผาไขมัน

🌾 5. ชาข้าวคั่ว + ดอกคำฝอย (紅花)

• สรรพคุณ: ล้างไขมันเบา ๆ ลดบวม
• วิธีชง: ข้าวกล้องคั่ว + ดอกคำฝอย ต้ม 5–7 นาที
• เหมาะกับ: คนอ้วนลงพุง ไขมันในเลือดสูง
• ดื่มได้: วันเว้นวัน
#เบิร์นไขมันฉบับชาวบ้าน

❄️ 6. ชาเก๊กฮวย + หล่อฮังก๊วย (菊花 + 羅漢果)

• สรรพคุณ: ลดร้อนใน ผิวร้อน ปากแห้ง
• วิธีชง: เก๊กฮวย 5 ดอก + หล่อฮังก๊วย ¼ ลูก
• เหมาะกับ: คนร้อนง่าย ขับถ่ายไม่ดี
• ดื่มได้: 2–3 วัน/สัปดาห์
#ลดร้อนลดพุง

🔥 7. ชามะตูมคั่ว + ขิงแห้ง

• สรรพคุณ: ช่วยย่อย แก้แน่น ลดจุก
• วิธีชง: มะตูมแห้ง + ขิงแห้ง ต้ม 10 นาที
• เหมาะกับ: ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
• ดื่มได้: วันเว้นวัน หรือหลังกินจัด
#แน่นแค่ไหนก็ไหว

🌼 8. ชาดอกเก๊กฮวย + เฉินผิ + พุทราจีน (大棗 dà zǎo)

• สรรพคุณ: ลดแก๊ส บำรุงม้าม เติมพลัง
• วิธีชง: ต้มรวม 3 อย่าง 10–15 นาที
• เหมาะกับ: พุงป่องจากม้ามพร่อง ไม่ใช่ไขมัน
• ดื่มได้: 2–3 วัน/สัปดาห์
#ชาบำรุงม้าม #ลดพุงจากความอ่อนแอ

🫚 9. ชาอาร์ติโช้ค + ขิง

• สรรพคุณ: ล้างตับ ลดไขมันพอกตับ
• วิธีชง: ซองอาร์ติโช้ค + ขิงฝาน แช่น้ำร้อน
• เหมาะกับ: คนสายปาร์ตี้ ตับล้า พุงแข็ง
• ดื่มได้: 1–2 วัน/สัปดาห์
#ชาล้างตับ

☘️ 10. ชารากหญ้าคา + หนวดแมว

• สรรพคุณ: ขับปัสสาวะ ลดบวมน้ำ
• วิธีชง: รากหญ้าคา + หนวดแมว ต้ม 10 นาที
• เหมาะกับ: คนบวมง่าย ถ่ายไม่สุด หน้าพอง
• ดื่มได้: 2 วัน/สัปดาห์ (งดหากมีปัญหาไต)
#ชาขับน้ำ #เบาพุง #ลดหน้าบวม

#ชาเบาพุง
#หมอแมนแพทย์จีน
#สมุนไพรใกล้ตัว
#ชาลดบวมแบบหมอจีน
#ของดีไม่ต้องแพง

https://www.facebook.com/share/p/15eHFK1fJG/?mibextid=wwXIfr
06/05/2025

https://www.facebook.com/share/p/15eHFK1fJG/?mibextid=wwXIfr

EP32 **ใจต้องรักษาด้วยใจ: ใช้อารมณ์ข่มอารมณ์ รักษาภาวะสิ้นยินดีในมุมมองแพทย์จีน🥹

“รู้ไหม…คนบางคนยังร้องไห้ ยังเศร้า ยังเจ็บได้
แต่ไม่สามารถ ‘มีความสุข’ ได้อีกแล้ว”

🧠ภาวะนี้ในทางการแพทย์เรียกว่า สิ้นยินดี (Anhedonia)
คือ การทำสิ่งที่เคยชอบ แต่กลับไม่รู้สึกสุขอีกเลย
แม้ยังรู้สึกเศร้า ผิดหวัง เสียใจได้…
แต่ความสุข? เหมือนถูกสมองตัดขาดไปเรียบร้อยแล้ว

🔎ในแง่การแพทย์ตะวันตก
สิ้นยินดี คือ หนึ่งในเกณฑ์วินิจฉัยหลักของโรคซึมเศร้า
ภายใต้เกณฑ์ DSM-V (Major Depressive Disorder)
เราจะเรียกว่า Loss of interest
ซึ่งหมายถึง การหมดความสนใจหรือหมดความสุขในสิ่งที่เคยชอบ

🧠แล้วมันเกิดขึ้นในสมองส่วนไหน?
1. ระบบ reward system ในสมองทำงานน้อยลง
ปกติระบบนี้จะรับรู้ว่าอะไรคือ “สิ่งที่เราชอบ” แล้วหลั่งสารสุข (เช่น โดปามีน) ออกมาให้เรารู้สึก “มีความสุข”
2. แต่คนที่สิ้นยินดี…สมองเหมือน “ตัดสัญญาณสุขทิ้ง”
ทำให้แม้เราจะ “รู้” ว่าสิ่งนั้นเคยชอบ…ก็ “รู้สึกสุขไม่ได้”
3. แต่ที่ยังรู้สึกเศร้า ดิ่ง วนอยู่กับความคิดลบได้ตลอด
เพราะสมองอีกส่วนหนึ่งที่ชื่อว่าAmygdala (ศูนย์อารมณ์) และ agACC (anterior cingulate cortex)ยังทำงานเต็มที่อยู่
จึงเหมือนคนที่มีแค่ “สมองแห่งความทุกข์” เปิดอยู่ตลอดเวลา

“บางครั้ง…อารมณ์ที่ตรงข้ามกัน
อาจเป็นยารักษาใจที่ดีที่สุด”💊

🍀ภาวะสิ้นยินดีในมุมมองแพทย์จีนคืออะไร?
ในภาษาจีนเรียกว่า 伤神(ซางเสิน) หรือในบางตำราอาจพบคำว่า 抑郁, 心悸, 失神 แล้วแต่ว่าอาการทางจิตใจแสดงออกมาในรูปแบบไหน

ในศาสตร์แพทย์จีน ภาวะนี้คือสภาวะที่ “จิต 神” ถูกกระทบ พลังหัวใจอ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก และแรงขับเคลื่อนของชีวิตได้
คนไข้มักแสดงออกด้วยอาการ…
📍เบื่อหน่ายชีวิต 😞
📍ไม่สนุกกับสิ่งที่เคยรัก 🎨
📍เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียใจ 💤
📍สมาธิสั้น ความจำถดถอย 🧠
📍นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป 🌙
📍น้ำหนักเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ⚖️

🌵ศาสตร์อารมณ์ควบคุมอารมณ์ (以情制情)
แพทย์จีนมองว่า อารมณ์ทั้ง 7 (七情) มีความสัมพันธ์กันเป็นวงจรของการควบคุม (制) และส่งเสริม (生)

ตัวอย่างที่ใช้ในการรักษา ได้แก่…
• ใช้ความโกรธ (怒) ข่มความเศร้า (悲)
👉 “ไม้ พิชิต ทอง” (肝克肺)
• ใช้ความสุข (喜) ข่มความกลัว (恐)
👉 “ไฟ ควบคุม น้ำ” (心火克腎水)
• ใช้ความวิตกกังวล (思) ข่มความโกรธ (怒)
👉 “ดิน ควบคุม ไม้” (脾克肝)

🥹แล้วจะรักษาภาวะสิ้นยินดีด้วยวิธีนี้อย่างไร?

แพทย์จีนจะประเมินก่อนว่า “อารมณ์ใด” เป็นรากของภาวะสิ้นยินดีนั้น แล้วใช้ “อารมณ์ที่ควบคุมได้” เข้ามาทำให้สมดุลกลับคืนมา เช่น…

1. สิ้นยินดีจากความเศร้า (悲伤伤肺)

รักษาด้วยความโกรธเชิงบวก
• ปีนเขา เล่นกีฬา ทำกิจกรรมผจญภัย 🧗
• ฟังเพลงปลุกใจ ปลุกไฟในหัวใจอีกครั้ง 🔥🎧

2. สิ้นยินดีจากความกลัว (恐伤肾)

รักษาด้วยความสุข
• พบเพื่อนเก่า ดูหนังตลก หัวเราะบำบัด 🤝🎬😂
• เล่นดนตรีบำบัด ทำศิลปะจากสิ่งที่รัก 🎶🎨

3. สิ้นยินดีจากความโกรธกดไว้ (怒伤肝)

รักษาด้วยการระบายออกอย่างสร้างสรรค์
• เขียนไดอารี่ พูดคุยกับคนใกล้ชิด ✍️🗣️
• ทำสมาธิ ใช้เสียงและกลิ่นช่วยปลดปล่อย 🧘‍♀️🔔🌿

🌟กรณีศึกษา: ศิลปินผู้สิ้นยินดี กับพลังโกรธเชิงสร้างสรรค์

คนไข้ของหมอเคยเป็นศิลปินนักวาดภาพ แต่หลังการสูญเสียครั้งใหญ่…เขาไม่หัวเราะ ไม่วาด ไม่พูด
หมอจึงให้เขา “สอนศิลปะให้เด็ก” และขณะเดียวกัน ใช้เข็มฝังจุดเปิด “หัวใจ 神” และ “ตับ 肝” เพื่อปลุกพลังชีวิต

✨ 2 เดือนต่อมา…เขากลับมาวาดภาพ
พร้อมรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาเกือบปี

🔥“ความโกรธเชิงสร้างสรรค์” คืออะไร?

โกรธ เป็นพลังของ “ตับ” (肝) และตับควบคุมการไหลเวียนของ ชี่ (气) และอารมณ์
หากความโกรธถูกกดทับ มันจะสะสมเป็น “พลังอุดตัน” (气郁) นำไปสู่ความเฉื่อยชา สิ้นหวัง หมดพลังใจ

แต่ถ้าเรานำมันไป “สร้าง” แทนที่จะ “ทำลาย”…
• วาดภาพ
• ถ่ายทอดแรงบันดาลใจ
• พูดบรรยายอย่างมีพลัง 🎤🖌️✨

…พลังโกรธจะกลายเป็น “แรงผลักของชีวิต” 🚀

🔎ทำไม “การสอนศิลปะให้เด็ก” ถึงช่วยได้?
1. กระตุ้น “พลังตับ” ให้ไหลอีกครั้ง
การวาดภาพคือการปลดปล่อยพลังไม้ (肝木) อย่างอ่อนโยน 🌱
2. แปรเปลี่ยนพลังโกรธเป็นพลังให้ผู้อื่น
จากคนที่เคยปิดใจ…กลายเป็นผู้ส่งต่อแรงบันดาลใจ
เมื่อเขาเห็น “แววตาของเด็ก” ที่จุดประกายจากงานของเขา พลังชีวิตก็เริ่มไหลอีกครั้ง 👁️✨
3. คืนคุณค่าและอำนาจควบคุมชีวิต
คนที่หมดไฟ…คือคนที่รู้สึกว่า “ไม่มีคุณค่า”
การให้เขา “เป็นครู” คือการปลุกความรู้สึกว่าตัวเองสำคัญอีกครั้ง 🧑‍🏫❤️

👉ดังนั้น
การรักษาภาวะสิ้นยินดี ไม่ได้มีแค่การพูดปลอบใจ
แต่คือ “ศิลปะแห่งการฟื้นพลังชีวิต” ด้วยความเข้าใจลึกซึ้งในกลไกของอารมณ์ และการเปลี่ยน “ไฟที่เผาใจ” ให้กลายเป็น “ไฟที่จุดทางใหม่ให้ชีวิต”

#หมอแมนแพทย์จีน
#ศาสตร์อารมณ์บำบัด
#รักษาใจด้วยใจ
#ฝังเข็มฟื้นใจ #ซางเสิน #พลังโกรธเชิงสร้างสรรค์
#แพทย์แผนจีนสมัยใหม่ #จิตวิญญาณกับการรักษา
#หมอจีนเล่าเรื่อง #ใจต้องรักษาด้วยใจ

https://www.facebook.com/share/p/1C4r1L4cYr/?mibextid=wwXIfr
15/04/2025

https://www.facebook.com/share/p/1C4r1L4cYr/?mibextid=wwXIfr

Ep20**“สมองกับหัวใจ อะไรควบคุมจิตใจเรา?”
มารู้จัก Neurocardiology: หัวใจที่มีสมองของตัวเอง
(心有脑意 脑通心神)❤️🧠

“หัวใจ…ไม่ได้แค่ตอบสนองคำสั่งจากสมอง”
แต่มัน คิด รู้สึก และสื่อสาร กับสมองได้ด้วยตัวเอง!

ทุกคนเคยสงสัยไหมครับว่า…🤔
มันมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์เหมือนบางครั้งเรารู้สึกได้เลยว่าหัวใจมันรู้สึกไปก่อนสมองคิดสะอีก
เช่น
😘เวลาที่เจอคนที่เรารัก หรือเวลาที่ใจมันเต้นแรงเพราะกลัวอะไรบางอย่าง🥹 หรือแม้แต่เวลาที่เราสงบก็รู้สึกว่า “ใจนิ่ง” ขึ้นมาเฉย ๆ☺️

แล้วทุกคนรู้มั้ยว่าความรู้สึกเหล่านี้…ไม่ได้เกิดจากสมองอย่างเดียวนะครับ
แต่ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยุคใหม่บอกเราว่า
“❤️หัวใจของเรามีสมองเป็นของตัวเอง🧠”

🩺ในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบัน “Neurocardiology” คือสาขาที่ศึกษา ระบบประสาทของหัวใจ และการสื่อสารระหว่าง “หัวใจ” กับ “สมอง” ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะปัจจุบันสามารถค้นพบว่า…

1. หัวใจมีระบบประสาทของตัวเอง (Heart Brain / 心脑)
จากงานวิจัยพบว่าในหัวใจของมนุษย์มีเซลล์ประสาท (neurons) มากถึง 40,000 เซลล์ ซึ่งเซลล์เหล่านี้สามารถสื่อสารกันเองได้แบบ กึ่งอิสระจากสมอง
ระบบนี้มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า intrinsic cardiac nervous system
หรือถ้าเปรียบแบบแพทย์จีนก็คือ

🌟“心主神明” (หัวใจเป็นผู้ควบคุมจิตใจและสติสัมปชัญญะ)

ดังนั้นหัวใจไม่ใช่เพียงแค่ปั๊มเลือด แต่เป็นแหล่งของ ความรู้สึก ความทรงจำ และการตัดสินใจระดับลึก — เหมือนสมองดวงที่สองในร่างกายเลยแหละ

2. หัวใจส่งสัญญาณกลับไปยังสมอง (心脑相通)
ในระบบประสาทอัตโนมัติ เส้นประสาทวากัส (vagus nerve) เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมสมองกับหัวใจ และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ

หัวใจ ส่งข้อมูลไปยังสมองมากกว่าที่สมองส่งมาหาหัวใจ
ซึ่งช่องทางการสื่อสารนั้นมีถึง 4 รูปแบบเลยครับ ได้แก่:

1. Neurological – ข้อมูลจากระบบประสาทหัวใจส่งไปยังสมองโดยตรง
2. Biochemical – ฮอร์โมนและสารสื่อประสาทจากหัวใจ เช่น ANF (Atrial Natriuretic Factor) มีผลต่อการทำงานของสมอง
3. Biophysical – คลื่นไฟฟ้าของหัวใจส่งผลต่อคลื่นสมอง (brainwaves)
4. Energetic – คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่หัวใจปล่อยออกมาส่งผลต่อสมอง และแม้กระทั่งส่งต่อให้กับคนรอบข้าง

ซึ่งในทางแพทย์จีน จะคล้ายกับแนวคิดที่ว่า

💡“心与脑相通” — หัวใจและสมองสื่อถึงกันผ่านระบบ “พลังงาน” และ “จิต”

3. หัวใจส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ (心情即心气)
งานวิจัยจาก HeartMath Institute พบว่า
เมื่อเรารู้สึกสงบ สุข เมตตา การเต้นของหัวใจจะ “เป็นจังหวะ” และกลมกลืน (coherence)
ซึ่งจังหวะการเต้นแบบนี้จะช่วยให้ สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ทำงานได้ดีขึ้น เช่น
– สมาธิแน่นขึ้น
– การตัดสินใจเฉียบคม
– ความคิดเป็นระบบ

แพทย์จีนจึงถือว่าอารมณ์ที่ราบเรียบ = พลังของ “心气” ที่สมดุล

🌟“心主神明,志存神安” — เมื่อหัวใจสงบ สติปัญญาก็แจ่มชัด

4. หัวใจเป็นประตูเชื่อมกาย-จิต-วิญญาณ (心为灵根)
หัวใจไม่เพียงควบคุมระบบไหลเวียนครับ แต่ยังมีบทบาทในระดับลึกที่เชื่อมโยงถึง
– ความรัก
– ความกลัว
– ความสงบทางจิตใจ
– สัมผัสทางวิญญาณ

ในบางการวัดพบว่า หัวใจที่เต้น “อย่างเป็นจังหวะสงบ” สามารถกระตุ้นให้เกิด คลื่นสมองชนิดอัลฟ่า (Alpha Wave) ได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเหมือนกับคลื่นสมองขณะเราการทำสมาธิหรือภาวนาเลย

ในมุมของแพทย์จีนโบราณ

💡“心藏神” — หัวใจคือที่พำนักของจิตวิญญาณ (Shen)

และเมื่อหัวใจเราสงบ จังหวะการเต้นของมันจะ “กลมกลืน” (coherence)และทำให้สมองส่วนหน้า…ทำงานดีขึ้นแบบเหลือเชื่อ
หัวใจจึงอาจเป็น
ผู้ควบคุมจิตใจที่แท้จริงจึงไม่ใช่แค่ผู้รับคำสั่ง

“心主神明,心藏神”
หัวใจ…จึงเป็นทั้งที่อยู่ของจิต และผู้ดูแลจิต
ดังนั้นเมื่อหัวใจสงบ จิตก็สงบ — และนั่นคือรากฐานของสุขภาพที่แท้จริงนั่นเองครับ🫶

#หมอแมนแพทย์จีน
#สมองกับหัวใจใครเป็นนาย

#ใจสงบสมองก็สงบ

https://www.facebook.com/share/1CJ6E2Yznx/?mibextid=wwXIfr
11/04/2025

https://www.facebook.com/share/1CJ6E2Yznx/?mibextid=wwXIfr

EP18**🤔เคยสงสัยมั้ยครับว่าแพทย์จีนโบราณเค้ามีวิชาจิตวิทยามั้ย แล้วถ้ามีเค้ารักษาโรคจิตเวชกันอย่างไร ละเอียดเหมือนหมอแผนปัจจุบันมั้ย?

คำถามที่หมอเคยถูกถามจากคนไข้ซึมเศร้าท่านนึง….
🧠 “หมอครับ แพทย์จีนมีรักษาโรคจิตเวชด้วยเหรอ?”
👉มีครับ…มีมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้วด้วยนะครับ

บางคนอาจจะคิดว่าแพทย์จีนมีแต่จับชีพจร ฝังเข็ม กินยาต้ม หรือไม่ก็แก้ออฟฟิศซินโดรมกันไป
❤️แต่จริง ๆ แล้ว ในโลกของแพทย์จีนมีเรื่องของ “จิตใจ” อยู่ในแก่นกลางเลยครับ

📚ในตำราแพทย์จีนที่เก่าแก่ที่สุดชื่อว่า หวงตี้เน่ยจิง (黄帝内经) เขียนเมื่อราว 2,000 กว่าปีที่แล้ว ว่ากันว่าเป็นบทสนทนาระหว่างจักรพรรดิเหลืองกับหมอผู้รู้ ภายในเล่มมีคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ “หัวใจคือที่สถิตของเสิน (神)” แปลง่าย ๆ ว่า จิตใจของเรานั้นอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่สมองนะครับตามแบบตะวันตก

🧑‍⚕️ในมุมมองของแพทย์จีน “อารมณ์” ต่าง ๆ เช่น โกรธ กลัว เศร้า ดีใจ ล้วนเชื่อมโยงกับอวัยวะภายใน และถ้าระบบพลังงานในร่างกายไม่สมดุล เช่น ชี่ติดขัด เลือดพร่อง เสมหะสะสม หรือไฟลุกขึ้นสูง สิ่งเหล่านี้จะทำให้ “เสิน” หรือจิตใจเราปั่นป่วน เกิดอาการทางจิตใจขึ้นมา

🎙️ผมเลยอยากจะเล่าให้ฟังวันนี้ครับว่า ในแพทย์จีนโบราณเขาแบ่ง “โรคจิตเวช” เอาไว้ถึง 18 แบบเลยนะ ฟังแล้วอาจจะทึ่งว่าคนโบราณเขามองคนลึกขนาดนี้เลยเหรอ? แล้วผมจะค่อย ๆ เล่าไปทีละแบบครับ

1. 癲病 (เตี้ยนปิ้ง) – เงียบจนเหมือนโลกหายไป
เคสนี้เราจะเห็นคนไข้เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด ไม่สบตา เหม่อ ๆ เหมือนข้างในจมอยู่กับบางอย่าง ซึ่งในมุมมองของหมอจีนนี่คือ “เสมหะปิดทวารจิต” ครับ จิตมันถูกปิดเพราะของเสียในร่างกาย + พลังตับที่ควบคุมอารมณ์มันติดขัด เลือดหัวใจก็พร่อง จิตเลยไม่มีแรงจะลอยขึ้นมาให้เรารู้สึกสดใส เทียบกับแพทย์ปัจจุบัน ก็เหมือนกับโรคซึมเศร้าแบบลึกเลยครับ

2. 狂病 (ขวางปิ้ง) – คลั่งแรง รุนแรงเกินควบคุม
บางคนตะโกนเสียงดัง ทำลายข้าวของ หรือเชื่อว่าตนเองเป็นผู้นำโลก ตรงนี้แพทย์จีนเรียกว่า “ไฟตับลุกขึ้นสูง” คือโกรธสะสมจนไฟเผาหัวใจ + เสมหะไปขัดเส้นลมปราณ ทำให้เสินมันปะทุออกมาแบบที่เราควบคุมไม่ได้ → เหมือนอาการ Mania หรือ Psychotic episode

3. 郁证 (อวี้เจิ้ง) – เก็บไว้ในใจ จนเป็นก้อนอารมณ์
กลุ่มนี้คือคนที่ไม่แสดงออกมาก แต่ถอนหายใจบ่อย รู้สึกแน่นอก หงุดหงิด นอนไม่หลับ เป็นลักษณะของ “พลังตับติดขัด” ครับ พอตับไม่กระจายชี่ อารมณ์ก็จะอั้นอยู่ข้างใน จนเริ่มมีอาการทางกาย เช่น ปวดท้อง ท้องอืด → เทียบกับคนสมัยนี้ก็คือเครียดเรื้อรัง ซึมเศร้าเบา ๆ

4. 悸证 (จี้เจิ้ง) – ใจสั่นเหมือนจะวูบ ทั้งที่ไม่มีโรคหัวใจ
อันนี้หลายคนอาจเคยเป็นเลยครับ ใจสั่น มือเย็น ขวัญอ่อน หวาดกลัว ฝันร้าย ตำราอธิบายว่า “หัวใจ-ไตไม่ประสานกัน” ซึ่งไตเป็นอวัยวะแห่งความกลัว ถ้าไตพร่อง หัวใจไม่มั่น เสินก็เลยลอยไม่อยู่ → เหมือน Panic Attack

5. 恍惚证 (หวงฮู๋เจิ้ง) – เหมือนอยู่ในร่าง แต่จิตไม่อยู่
บางคนจำคนไม่ได้ ตอบคำถามไม่ตรง อยู่ ๆ ก็หลุดจากโลกนี้ไปชั่วคราว ตำราว่า “เสินพร่อง ลมเสมหะขึ้นรบกวนสมอง” ทำให้จิตเหมือนหลุดไปจากกาย → คล้าย Delirium หรืออัลไซเมอร์ระยะต้น

6. 癫狂夹杂证 – สลับซึมเศร้าและคลั่ง เหมือนมี 2 คนในร่างเดียว
วันนี้เงียบเหมือนหายไปจากโลก พรุ่งนี้กลับมาคลั่ง ตะโกนเสียงดัง อันนี้หมอจีนเรียกว่า “หยินหยางไม่สมดุล” คือร่างกายไม่สามารถควบคุมพลังได้ → Bipolar ชัด ๆ

7. 失神证 – เหม่อแบบไม่ตอบสนอง เหมือนวิญญาณหลุด
เคสแบบนี้น่ากลัวครับ คนไข้ไม่ตอบสนอง ไม่รู้สึกตัว เหมือนหายไปจากโลกจริง ๆ หมอจีนบอกว่า “เสินหนีออกจากร่าง” มักเกิดหลังเจอเหตุการณ์สะเทือนใจมาก ๆ → Dissociative หรือ Catatonia

8. 惊恐证 – ตกใจง่าย ขวัญผวาตลอดเวลา
กลัวแบบไม่มีเหตุผล สะดุ้งง่าย เหงื่อออก มือเย็น ตำราว่า “ไตอ่อนแรง ไม่ควบคุมเสิน” จิตเลยตกใจง่ายและไม่กลับเข้าสู่ศูนย์กลาง → PTSD

9. 神昏证 – จิตดับวูบเฉียบพลัน พูดไม่รู้เรื่อง
เหงื่อออก มือเท้าเย็น สีหน้าเหมือนจะเป็นลม ตำราอธิบายว่า “ไฟร้อนขึ้นหัวใจ เส้นลมปราณปิดทวารจิต” → Delirium

10. 谵语证 – พูดเพ้อไม่หยุด พูดไม่รู้เรื่อง
พูดซ้ำ พูดวน พูดไม่ตรงประเด็น เสียงดัง ตำราว่า “เสินร้อนจัด ไฟเผาจิตจนล้น” ควบคุมคำพูดไม่ได้ → Hyperactive Delirium

11. 妄言证 – มโนขั้นเทพ พูดเหมือนฝัน แต่เชื่อจริงจัง
บอกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ หรือมีอำนาจพิเศษ ตำราเรียกว่า “ไฟหัวใจเผาเสิน ไม่มีหยินมาคุม” → Grandiose Delusion

12. 妄想证 – หลงผิด คิดว่าคนจะทำร้าย ทั้งที่ไม่มีใครทำอะไรเลย
เชื่อว่าถูกตาม ถูกวางยา มองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป เสินถูกรบกวนจากเสมหะและไฟ ทำให้ความคิดแปรปรวน → Paranoid Delusion

13. 癔病 – ฮิสทีเรีย แสดงออกทางร่างกายแบบรุนแรง
กรี๊ด ร้องไห้ ล้มหมดสติแบบไม่มีโรคทางกาย ตำราบอกว่า “อารมณ์รุนแรงปั่นเสมหะจนปั่นป่วนจิต” → Conversion Disorder

14. 夜啼证 – เด็กร้องไห้กลางคืนไม่มีเหตุผล
เด็กที่กลางวันปกติ แต่กลางคืนร้องแบบไม่มีสาเหตุ ตำราว่า “เสินยังไม่มั่นคง” เพราะเด็กยังไม่พัฒนาเต็มที่ → Night Terrors

15. 谵妄证 – เพ้อคลั่งแบบไม่มีทิศทาง สลับหลับตื่น
พูดหลุดโลก ตอบไม่รู้เรื่อง สลับกับนอน ตำราโบราณว่า “พิษหรือลมร้อนเข้าหัวใจ เส้นลมปราณปั่นป่วน” → Toxic Psychosis

16. 神疲证 – เหนื่อยล้าแบบใจหมดแรง
คนไข้รู้สึกหมดไฟ เหนื่อยง่าย เหม่อ ๆ ไม่อยากพูด พลังชี่พร่อง ม้ามทำงานไม่ดี หัวใจไม่มีเลือดเลี้ยงเสิน → Burnout

17. 虚烦证 – กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ใจร้อนข้างใน
แม้จะเหนื่อยแต่กลับนอนไม่หลับ ฝันเยอะ ใจไม่สงบ หงุดหงิด ตำราบอกว่า “หยินพร่อง ไฟใจลุก” จิตเลยไม่นิ่ง → Insomnia + Anxiety

18. 忧思证 – คิดมาก กังวลเกิน ควบคุมไม่ได้
คิดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ กังวลอดีต ห่วงอนาคตจนไม่ได้นอน ตำราว่า “ม้ามพร่อง หัวใจไม่มีเลือดพอหล่อเลี้ยงจิต” → Generalized Anxiety

เป็นอย่างไรบ้างครับ😘
🩺หมอจีนถึงสมัยก่อนเขาอาจไม่มีเครื่องสแกนสมองหรือแบบทดสอบจิตใจ แต่ศอาสตร์การแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์ที่สังเกตุคนจดบันทึกและเรียนรู้อย่างละเอียดมากครับ
💡เราเข้าใจว่าร่างกายกับจิตใจมันเชื่อมกัน และถ้าระบบพลังภายในมันเสียสมดุล จิตใจเราก็เสียสมดุลด้วยเช่นกัน เพราะงั้นจิตเวชในแพทย์จีนมันเลยไม่ใช่แค่เรื่องของ “ใจ” แต่มันคือเรื่องของ “ใจที่อยู่ในกาย” อย่างลึกซึ้งมีมายาวนานหลายพันปี

🔎ใครที่คิดว่าแพทย์จีนมีแต่เข็มกับยาต้ม ผมว่าอาจต้องลองเปิดใจใหม่ครับ เพราะวิชาจิตเวชจีนโบราณเนี่ย…ลึก ใช้ได้เลยโรคจิตเวชรักษาได้ด้วยแพทย์แผนจีนนะครับ และมีประสิทธิผลดีและผลข้างเคียงน้อยอีกด้วยหมอแมนคอนเฟริม์

#หมอแมนแพทย์จีน #โรคจิตเวช #โรคซึมเศร้า #จิตวิทยาแพทย์แผนจีน #รักษาจิตเวชแพทย์จีน

สรุปบทเรียน DMN อังคารที่ 8 เมษายน 2568https://www.facebook.com/share/p/16Bem3WAzN/?mibextid=wwXIfr
09/04/2025

สรุปบทเรียน DMN อังคารที่ 8 เมษายน 2568

https://www.facebook.com/share/p/16Bem3WAzN/?mibextid=wwXIfr

EP17**🧠 Default Mode Network (DMN): จากสมองที่เหม่อลอย สู่เครือข่ายการบำบัดอารมณ์ เจ็บปวด และจิตใจ

Default Mode Network (DMN) คือชุดของบริเวณในสมองที่ทำงานมากขึ้นในช่วงที่ร่างกาย “ไม่ได้โฟกัส” กับสิ่งเร้าภายนอก เช่น ขณะนั่งนิ่ง ๆ เหม่อ คิดย้อนหลัง หรือจินตนาการ แตกต่างจากเครือข่ายสมองอื่นที่ทำงานขณะทำกิจกรรม (Task-positive networks) DMN เป็นเหมือน “โหมดพัก” หรือ “โหมดสะท้อนภายใน” ของสมอง มีบทบาทในการ
✨ คิดถึงตัวเอง (self-referential thinking)
✨ ทบทวนความทรงจำ
✨ วางแผนอนาคต
✨ คิดซ้ำ (rumination)
✨ จินตนาการ

🧩 โครงสร้างหลักของ DMN
DMN ประกอบด้วยสมองหลายส่วนที่เชื่อมกันเป็นเครือข่าย ได้แก่:
🔹 Medial Prefrontal Cortex (mPFC) – คิดเกี่ยวกับตนเอง ความรู้สึกผิด ถูก การประเมินตนเอง
🔹 Posterior Cingulate Cortex (PCC) – เกี่ยวข้องกับความทรงจำ ประสบการณ์ในอดีต
🔹 Inferior Parietal Lobule (IPL) – ประมวลผลเชิงสังคม เข้าใจความคิดผู้อื่น
🔹 Hippocampus – จัดเก็บและดึงความทรงจำ
ทั้งหมดทำงานร่วมกันแบบ bilateral network ผ่าน cingulum bundle และ corpus callosum ซึ่งเป็นทางเชื่อมหลักระหว่างสมองซ้าย–ขวา

🛤️ แนวทางเดินของกระแสประสาทใน DMN
เส้นทางเดินของกระแสประสาทใน DMN ไม่ได้เป็นเส้นตรงเหมือน motor หรือ sensory tract แต่เป็น functional connectivity ที่สื่อสารกันแบบเครือข่ายวงจร (network-based communication) โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้:
🔄 Reciprocal loop ระหว่าง mPFC ↔ PCC ↔ Hippocampus → ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลภายใน เช่น การทบทวนตนเอง หรือความทรงจำ
⚙️ เชื่อมกับ limbic system → ทำให้ DMN มีผลต่ออารมณ์ เช่น ความเศร้า ความสุข ความห่วงใย
📡 ใช้ thalamus เป็นศูนย์กลางส่งสัญญาณ → จากระบบรับความรู้สึก (sensory input) มาสู่ cortex เพื่อรับรู้ความเป็นตัวตน
🧬 ความเชื่อมโยงนี้เป็นแบบ bilateral → มีการส่งและรับข้อมูลจากทั้งซีกสมองซ้ายและขวา ทำให้แม้จะฝังเข็มข้างเดียว ก็สามารถส่งผลต่อระบบได้ทั่วถึง

🧭 หน้าที่ในชีวิตประจำวันของ DMN
📌 คิดถึงตนเอง (self-reflection)
📌 ทบทวนเหตุการณ์ในอดีต (autobiographical memory)
📌 คิดแทนใจคนอื่น (social cognition)
📌 จินตนาการ วางแผนอนาคต
📌 ปล่อยใจลอย (daydreaming)

🚨 ถ้า DMN ทำงานผิดปกติ จะเกิดอะไรขึ้น?
✅ภาวะซึมเศร้า – mPFC, PCC ทำงานมากเกิน → คิดซ้ำ ลบตัวเอง
✅ปวดเรื้อรัง – สมอง “จำ” ความเจ็บ → ปวดไม่หยุด
✅สมาธิสั้น – ปิด DMN ไม่สนิท → วอกแวกง่าย
✅อัลไซเมอร์ – PCC เสื่อมเร็ว → ความจำถดถอย
🧪 ตรวจได้ด้วย fMRI โดยเฉพาะ resting-state → เห็นการเชื่อมต่อผิดปกติระหว่าง PCC กับ mPFC อย่างชัดเจน

🪡 การฝังเข็มกับ DMN ช่วยได้ยังไง?
✅ ลดการทำงานเกินของ PCC, mPFC → ลด overthinking
✅ ปรับสมดุล DMN กับ attention network → โฟกัสดีขึ้น
✅ เพิ่ม GABA ลด Glutamate → สมองสงบ ผ่อนคลาย
📊 มีงานวิจัย fMRI ยืนยันว่า ฝังเข็มที่ GV20 + Yintang ลด PCC activity ได้จริงในผู้ป่วยซึมเศร้า

📍 จุดฝังเข็มเด่นที่ใช้กระตุ้น DMN
🔸 百会 – สงบจิตใจ
🔸 印堂– ลดฟุ้งซ่าน คลายเครียด
🔸 Scalp line – บริเวณ vertex, frontal → กระตุ้น mPFC, PCC บน cortex

🧑‍⚕️ ตัวอย่างคลินิกที่ใช้ฝังเข็มปรับ DMN
🌀 ผู้ป่วยซึมเศร้า คิดมาก → ฝัง百会 + 神庭+ 印堂(头面区 颠顶会阴足踝区 )mindfulness → ลด PCC activity
• 百会 อยู่บริเวณ superior sagittal midline ตรงกับส่วน superior frontal gyrus และใกล้กับ junction ระหว่าง superior parietal gyrus และ precuneus
• 印堂 อยู่บริเวณหน้าผาก เหนือแนวกลางหน้าผากเล็กน้อย จากการศึกษาด้วย fMRI และ EEG source localization, จุดฝังเข็ม Yintang มีการกระตุ้นสมองบริเวณที่เกี่ยวข้องกับ
🌟Medial Prefrontal Cortex (mPFC)
• เป็นส่วนหนึ่งของ frontal lobe
• มีความเกี่ยวข้องกับ:
• การสะท้อนความคิดของตนเอง (self-referential thinking)
• การควบคุมอารมณ์
• ระบบ Default Mode Network (DMN)

🌟Anterior Cingulate Cortex (ACC)
• อยู่บริเวณ gyrus ที่เรียกว่า cingulate gyrus (anterior portion)
• ทำหน้าที่:
• ควบคุมความรู้สึกเจ็บ
• ลดความวิตกกังวล
• ควบคุมความสนใจและสมาธิ
จุด印堂 จึงมีความสัมพันธ์กับทั้ง Medial Frontal Gyrus และ Anterior Cingulate Gyrus ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ เป็นหัวใจของ DMN และเครือข่ายควบคุมอารมณ์

🌀 Fibromyalgia → ฝัง scalp + เส้น 任脉/脾经
→ ลด pain rumination
🌀 ผู้สูงอายุความจำถดถอย → ฝัง scalp + cognitive training → กระตุ้น hippocampus และ PCC

🎯 สรุปสำคัญ
🧠 DMN คือ bilateral network เน้นการทำงานร่วมกันของสองซีก→ ฝัง scalp ข้างใดก็ได้ หรือฝังทั้งสองข้าง
🧘 เหมาะกับผู้มีภาวะอารมณ์ไม่มั่นคง คิดซ้ำ เจ็บปวดเรื้อรัง สมองล้า
🌿 การฝังเข็มช่วยปลุกวงจรสมองให้ “กลับมาเชื่อมต่อกับตัวตน” อีกครั้ง

DMN คือประตูของการฟังเสียงจากภายใน และฝังเข็มคือกุญแจปลดล็อกสมดุลของกาย–ใจอย่างลึกซึ้ง

https://www.facebook.com/share/p/1AGw28tKWj/?mibextid=wwXIfr
05/04/2025

https://www.facebook.com/share/p/1AGw28tKWj/?mibextid=wwXIfr

EP16**กวาซา…เหมือนใครก็ทำได้ แต่อันตรายกว่าที่คิด
หลายคนอาจเคยเห็นคลิปตามโซเชียลที่คนเอาเหรียญหรือไม้มากวาซา ขูดแป๊บเดียว รอยแดงขึ้นเต็มหลัง แล้วบอกว่า “โล่งมาก!”

ดูเผิน ๆ ก็เหมือนจะง่าย ใครขูดก็ได้…แต่ในมุมของแพทย์จีน กวาซาเป็นศาสตร์การรักษาที่มีรายละเอียดมากกว่าที่คิดนะครับ

เพราะกวาซาคือการกระตุ้นพลังชีวิตพลังชี่ร่างกาย และระบบไหลเวียนเลือดตามแนวทฤษฎีเส้นลมปราณของแพทย์แผนจีน

ถ้าทำผิดวิธี ไม่รู้ว่าร่างกายพร้อมมั้ย กดผิดจุด ขูดแรงเกิน อันตรายถึงขั้น หมดสติหรือเสียชีวิตได้เลย

กวาซาคืออะไร?
กวาซา (刮痧) คือการระบายพิษ ระบายความร้อน กระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนดีขึ้น
โดยใช้เครื่องมือ เช่น เขาควาย พลาสติก เซรามิก มาขูดตามแนวเส้นลมปราณ

แต่ละจุดที่ขูดจะส่งผลต่างกัน เช่น…
• การขูดบริเวณหลังส่วนบน → ช่วยเรื่องปอด ภูมิแพ้ ลดไข้ในระยะต้นได้
• การขูดที่ต้นคอ → บรรเทาออฟฟิศซินโดรม เวียนหัว ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น
• การขูดที่หลังล่าง → ช่วยบำรุงและช่วยส่งเสริมการทำงานไต และปรับสมดุลฮอร์โมนบางชนิด

ฟังดูง่าย แต่ก่อนขูดต้อง วินิจฉัยและตรวจชีพจร อย่างละเอียดก่อนเพราะไม่ใช่ทุกคนเหมาะจะกวาซาเหมือนกัน

ถ้าทำผิด…อันตรายจริงๆ ⚠️
1.ระบบไหลเวียน
• ร่างกายอ่อนเพลีย → เป็นลม ช็อก
• คนร้อนใน → เลือดกำเดาไหล ความดันพุ่ง เป็นลมหมดสติ
• ผู้สูงอายุหรือกินยาละลายลิ่มเลือด → ฟกช้ำบริเวณกว้าง
2.ระบบประสาท
• ขูดท้ายทอยแรงเกิน → มึนหัว คลื่นไส้
• กล้ามเนื้อกระตุก
3.ผิวหนัง
• เครื่องมืออุปกรณ์ไม่สะอาด → ติดเชื้อ
• ใช้น้ำมันกวาซาผิด → ผิวไหม้อักเสบ
• ทำแรงเลือดฝอยแตกง่ายมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
4.ผลกระทบทางใจ
• บางคนตกใจเห็นรอยช้ำ กลัววิตกกังวล แพนิค
• ขูดบ่อยเกิน → ใจสั่น นอนไม่หลับโดยไม่รู้ตัว

มีเคสจริงที่อยากให้ฟัง อันตรายจากกวาซาผิดวิธี

เคส 1: ขูดหลังอาบน้ำ เกือบเป็นลมกลางบ้าน
คุณผู้หญิงวัย 30 ปลาย ทำงานหนัก เครียดเรื้อรัง ชอบปวดเมื่อย
วันนั้นเพิ่งอาบน้ำอุ่นเสร็จ ก็ให้แฟนช่วยขูดหลังด้วยเหรียญ
ขูดได้ไม่ถึง 5 นาที อยู่ดี ๆ ก็หน้าซีด มือเท้าเย็น ตัวสั่น หายใจถี่ ต้องรีบพยุงมานั่ง
วิเคราะห์: หลังอาบน้ำ ร่างกายเสียพลังไปเยอะ บวกกับขูดแรง ร่างกายหมุนเลือดลมไม่ทัน → เสี่ยงช็อกเย็น
และถ้าอยู่คนเดียวล้มศีรษะกระแทกได้เลย อันตรายถึงชีวิตไปอีก

เคส 2: ขูดแรงเกิน หลังเขียวช้ำทั้งแผ่น
คุณลุงวัย 60 มีเบาหวานกับความดัน ไปให้หมอนวดมากวาซาแบบ “เอาแรง ๆ เลยนะ”
ตอนแรกก็บอกสบายดี แต่หลังทำ ผิวหลังเริ่มดำคล้ำ บวม กดแล้วเจ็บสุด ๆ
หมอตรวจดู พบว่ามีเลือดออกใต้ผิวหนังระดับลึก เส้นเลือดฝอยแตกเต็มหลัง
เสี่ยงติดเชื้อ และต้องใช้เวลาฟื้นตัวเป็นเดือน
ถ้ารอยช้ำนั้นอยู่ใกล้แนวกระดูกสันหลัง อาจกระทบเส้นประสาทได้อีกด้วย

เคส 3: ขูดเองบ่อย ๆ จนร่างพังโดยไม่รู้ตัว
สาววัย 29 ปี สุขภาพโดยรวมดี แต่เครียดง่าย นอนหลับยาก
เธอเริ่มขูดเองตามคลิป TikTok สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง เพราะรู้สึก “โล่ง”
ผ่านไปเดือนเดียว เริ่มมีอาการ…
• ใจสั่น
• เวียนหัวง่าย
• มือเท้าเย็น
• เหนื่อยง่าย
• นอนไม่หลับหนักกว่าเดิม
วิเคราะห์: พลังงานในร่างกาย (Qi) ถูกระบายออกมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะ “พลังพร่อง เลือดพร่อง” ร่างกายเสียสมดุล
ปล่อยไว้แบบนี้นาน ๆ มีสิทธิ์กลายเป็นโรคเรื้อรัง หรือเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าได้เลยครับ

แล้วทำไมต้องกวาซากับแพทย์จีน?
เพราะแพทย์จีนจะดู “ก่อน” ว่าร่างกายคุณเหมาะกับกวาซาหรือไม่
ไม่ใช่ขูดให้แดง…แต่ขูดเพื่อฟื้นฟูอย่างปลอดภัย
✅ รู้ว่าจุดไหน “ควร” หรือ “ห้าม” ขูด
✅ ประเมินจากชีพจรและภาวะพลังงานในร่างกาย
✅ ขูดให้ถูกแรง ถูกเวลา
✅ ปรับแผนดูแลให้ตรงเฉพาะบุคคล

รู้ไว้ใช่ว่า…กวาซาไม่ใช่ใครก็เปิดคอร์สสอนได้‼️
การ “กวาซา” เป็นการประกอบโรคศิลปะตาม พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ
ผู้ที่มีสิทธิ์ทำ ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเท่านั้น
ถ้าฝ่าฝืน มีโทษตามกฎหมาย!

• กวาซาโดยไม่มีใบอนุญาต → จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท
• แอบอ้างว่าเป็นหมอ เปิดคอร์สสอน → จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท

ใครมีสิทธิ์ทำกวาซา?
เฉพาะผู้ที่เรียนแพทย์แผนจีนเต็มหลักสูตร มีใบประกอบวิชาชีพถูกต้องตามกฎหมายไทย
พร้อมผ่านการฝึกปฏิบัติจริงในคลินิกอย่างเข้มข้นเท่านั้น

สรุปแบบคนรักสุขภาพต้องรู้🌟
กวาซาไม่ใช่แค่ “ขูด ๆ แล้วโล่ง”
แต่ต้องขูดอย่างรู้จริง → เพื่อให้ได้ผลดีและปลอดภัย
ร่างกายเรามีแค่ชุดเดียว อย่าเสี่ยงกับใครก็ไม่รู้
ถ้าจะกวาซา…ต้องมั่นใจว่าคนทำ “เป็นหมอจริง และรู้จริง” เท่านั้นครับ

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากเพจ
แพทย์จีนภาคภูมิ พิสุทธิวงษ์ - Phakphum Pisutiwong
#กวาซา #หมอจีน #แพทย์แผนจีน #กวาซาผิดชีวิตเปลี่ยน
#สุขภาพแบบแพทย์จีน #หมอจีนเล่าเรื่อง
#ศาสตร์จีนไม่ใช่เรื่องเล่น #คลินิกแพทย์จีน #ขูดไม่ถูกจุดอาจจบไม่สวย

https://www.facebook.com/share/1Y4MxHnhYo/?mibextid=wwXIfr
22/03/2025

https://www.facebook.com/share/1Y4MxHnhYo/?mibextid=wwXIfr

EP15**🌟การปรับสมดุลระบบเวสทิบูลาร์ (Vestibular System) ร่วมกับการฝังเข็มเพื่อลดอาการเวียนหัว🧠

😘สวัสดีครับระบบเวสทิบูลาร์ (Vestibular System) เป็นระบบที่ช่วยให้ร่างกายรับรู้การเคลื่อนไหวและทรงตัวทำเกิดความสมดุลในขณะเคลื่อนไหวครับ หากระบบนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้เกิดอาการเวียนหัว ทรงตัวลำบาก หรือรู้สึกเหมือนสิ่งรอบตัวหมุน ซึ่งพบได้ใน BPPV และ Central Vertigo

👉ลำดับแรกเรามาทบทวนเนื้อหากันก่อนนะครับ เรามารู้จักการเวียนหัว 2 ลักษณะกัน

BPPV และ Central Vertigo คืออะไร?

👉BPPV (Benign Paroxysmal Positional Vertigo) หรือ ภาวะเวียนหัวจากหินปูนในหูชั้นในหลุด เกิดจาก otoliths (หินปูนหรือคริสตัลแคลเซียม) ใน utricle ของหูชั้นใน หลุดเข้าไปใน semicircular canals (ช่องกึ่งวงกลมของหูชั้นใน) ทำให้ระบบทรงตัวส่งสัญญาณผิดพลาดไปยังสมอง ส่งผลให้เกิดอาการเวียนหัว โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทางศีรษะ เช่น หันหน้าเร็ว ๆ หรือเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง เป็นสาเหตุนึงที่พบบ่อยของการเวียนหัวเลยครับ

👉Central Vertigo เป็นอาการเวียนหัวที่เกิดจาก ความผิดปกติของสมอง โดยเฉพาะบริเวณ ก้านสมอง (Brainstem) หรือสมองน้อย (Cerebellum) ซึ่งควบคุมการทรงตัวและการเคลื่อนไหว อาจเกิดจากโรคร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke), เนื้องอกในสมอง, หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis, MS)เป็นต้นครับ

🥹อาการเวียนหัวของ BPPV และ Central Vertigo มีความต่างกันอย่างไร

🔎ลักษณะอาการของ BPPV (PNS)
• จะเวียนหัวรุนแรงแบบเป็น ๆ หาย ๆ และเกิดขึ้นชั่วคราว
• อาการเวียนหัวจะถูกกระตุ้นจากการเปลี่ยนท่าศีรษะ เช่น พลิกตัวบนเตียง หันศีรษะ หรือเงยหน้าขึ้นลง
• ไม่มีอาการทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น แขนขาอ่อนแรง หรือพูดไม่ชัด
• อาการลดลงเมื่ออยู่นิ่ง

🔎ลักษณะอาการของ Central Vertigo (CNS)
• อาการเวียนหัวเกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่ดีขึ้นแม้หยุดเคลื่อนไหว
• ไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนท่าทางศีรษะ
• อาจมีอาการร่วม เช่น แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด เดินเซ หรือมองเห็นผิดปกติ
• อาจมีอาการปวดศีรษะรุนแรงร่วมด้วย

🔆วิธีตรวจวินิจฉัยจำแนกการเวียนหัวแบบ BPPV และ Central Vertigo

🩺 การตรวจเพื่อยืนยัน BPPV
1. Dix-Hallpike Test
• ให้ผู้ป่วยนั่งบนเตียง หันศีรษะไปด้านขวาประมาณ 45 องศา
• นอนหงายศีรษะเลยขอบเตียงประมาณ 30 องศา สังเกตการกระตุกของลูกตา (Nystagmus) และอาการเวียนหัว
• ทำซ้ำโดยหันศีรษะไปด้านซ้าย
• หากเกิดอาการเวียนหัวและมีการกระตุกของลูกตา ถือว่าเป็น BPPV
คลิปแสดงความผิดปกติเมื่อผลเป็นบวกครับ

https://youtu.be/7ePecb9azS4?si=NZJxVr4XtL1ryRe8

2. Roll Test (ตรวจหินปูนในช่องกึ่งวงกลมแนวนอน)
• นอนหงายตรง แล้วหันศีรษะไปทางซ้ายและขวา
• สังเกตอาการเวียนหัวและการกระตุกของลูกตา
คลิปประกอบการตรวจ

https://youtu.be/_EnAGlTibd0?si=E_c5Y-wVbdJYraHq

🩺 การตรวจเพื่อยืนยัน Central Vertigo
1. HINTS Test (ใช้แยก Stroke)
• Head Impulse Test: ให้ผู้ป่วยจ้องตาหมอ จับศีรษะผู้ป่วยแล้วหันอย่างรวดเร็ว ถ้าตาไม่กระตุก → สงสัย Central Vertigo
• Nystagmus Test: ถ้ากระตุกในแนวตั้ง หรือเปลี่ยนทิศทางไปมา → สงสัย Central Vertigo
• Test of Skew: ใช้มือปิดตาข้างหนึ่งแล้วเปิดออก ถ้าตาขยับขึ้นลงผิดปกติ → อาจเป็น Stroke
คลิปอธิบายการตรวจ

https://youtu.be/1q-VTKPweuk?si=DxOuqa9C9lCw1ppj

2. MRI หรือ CT Scan
• ใช้ตรวจหาสมองขาดเลือด (Stroke), เนื้องอก หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง

สำหรับการรักษาและบำบัดอาการเวียนหัวเรื้อรัง ที่สามารถทำร่วมกับการฝังเข็มได้มีประสิทธิภาพ คือ
แนวทางการปรับสมดุลระบบเวสทิบูลาร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่
1.การออกกำลังกายฝึกสมอง (Vestibular Rehabilitation),
2.การปรับพฤติกรรม
3.การใช้เทคนิคการรักษาฝังเข็ม
สำหรับวิธีที่1-2 เราสามารถแนะนำผู้ป่วยในการฝึกฝนและปรับพฤติกรรมขณะระยะเวลาที่ทำการรักษาได้เพื่อเพิ่มประสิทธิผลการรักษาครับ

1. การออกกำลังกายฝึกสมองและระบบทรงตัว (Vestibular Rehabilitation Exercises)
การฝึกเหล่านี้ช่วยให้สมองสามารถปรับตัวและชดเชยการทำงานผิดปกติของระบบเวสทิบูลาร์

🔹 1.1 การฝึก Epley Maneuver (สำหรับ BPPV)

ช่วยเคลื่อนหินปูนที่หลุดออกจากตำแหน่งผิดปกติในหูชั้นในให้กลับเข้าที่

วิธีทำ (กรณีหินปูนหลุดในหูขวา):
1. นั่งตัวตรง หันศีรษะไปทางขวา 45 องศา
2. เอนตัวลงนอนหงาย โดยศีรษะเลยขอบเตียง ค้างไว้ 30 วินาที
3. หันศีรษะไปทางซ้าย 90 องศา ค้างไว้ 30 วินาที
4. พลิกตัวไปทางซ้ายให้นอนตะแคง โดยให้จมูกชี้ลงพื้น ค้างไว้ 30 วินาที
5. ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งตรง

(ถ้าหินปูนอยู่ในหูด้านซ้าย ให้ทำท่าตรงข้ามกัน)
ขออนุญาตแนบลิงก์ประกอบการอธิบายครับ

https://youtu.be/VmCItD9nDfY?si=esSodJT859RlMASd

🔹 1.2 การฝึก Brandt-Daroff Exercises (ช่วยสมองปรับตัวกับอาการเวียนหัว)

เป็นการฝึกที่ช่วยให้สมองเรียนรู้และปรับตัวกับอาการเวียนหัว ลดความไวต่อการเปลี่ยนท่าทาง

วิธีทำ:
1. นั่งตัวตรงบนเตียง
2. เอนตัวไปด้านขวาให้นอนตะแคง ศีรษะหันขึ้น 45 องศา ค้างไว้ 30 วินาที
3. ลุกขึ้นนั่งตรงและรอให้อาการเวียนหัวหายไป
4. เอนตัวไปด้านซ้ายให้นอนตะแคง ศีรษะหันขึ้น 45 องศา ค้างไว้ 30 วินาที
5. ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง วันละ 2-3 รอบ

คลิปประกอบการฝึก

https://youtu.be/pcM1RIY4coM?si=Pf3r06Pc3usBXNk-

🔹 1.3 การฝึก Gaze Stabilization (เพิ่มการควบคุมการมองเห็นระหว่างเคลื่อนไหว)

ช่วยให้สมองเรียนรู้ที่จะควบคุมการทรงตัวขณะศีรษะเคลื่อนไหว

วิธีทำ:
1. จ้องมองวัตถุที่อยู่ข้างหน้า เช่น ปากกา
2. หันศีรษะไปซ้ายและขวาช้า ๆ ขณะจ้องมองปากกา
3. ค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้นทีละน้อย
4. ทำวันละ 2-3 รอบ

คลิปประกอบการฝึก

https://youtu.be/RzPjESAVWfk?si=ZUMO4k5KMgkjscTc

🔹 1.4 การฝึกการทรงตัว (Balance Training)
ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของร่างกายและลดอาการเซขณะเคลื่อนไหว
วิธีทำ:
1. ยืนตรง เท้าชิดกัน
2. หลับตาแล้วพยายามทรงตัวให้นานที่สุด (จับที่พิงเพื่อป้องกันล้ม)
3. ค่อย ๆ เพิ่มระดับความยาก เช่น ยืนขาเดียว หรือยืนบนพื้นผิวที่ไม่มั่นคง

2. การปรับพฤติกรรมเพื่อลดอาการเวียนหัว

🔹 หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เวียนหัว
• หลีกเลี่ยง การหันศีรษะเร็ว ๆ หรือเปลี่ยนท่าทางกะทันหัน
• ไม่ควรนอนหมุนตัวเร็ว ๆ หรือก้มเงยอย่างรวดเร็ว

🔹 ควบคุมอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
• ลดโซเดียม: อาหารรสเค็มอาจทำให้ของเหลวในหูชั้นในเสียสมดุล
• งดเครื่องดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์: ลดอาการเวียนหัวจากระบบเวสทิบูลาร์
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจกระตุ้นอาการเวียนหัว

3. เทคนิคการรักษาฝังเข็ม

🔹 การฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลระบบเวสทิบูลาร์

ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังสมองและหูชั้นใน

🌀 กลไกหลักที่ทำให้เกิดอาการเวียนหัวจาก BPPV ตามแพทย์แผนจีน

1. พลังชี่ตับ (肝气) อั้น – “ตับไฟแกร่งเกินไป” (肝火上炎)

📌 อธิบาย:
ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดและพลังชี่ไปทั่วร่างกาย ถ้าตับมีพลังชี่ติดขัด อาจเกิด “ไฟตับแกร่ง” ทำให้พลังชี่และเลือดไหลขึ้นศีรษะแบบไม่สมดุล ส่งผลให้เกิด เวียนหัว, หน้ามืด, ตาพร่า

📌 อาการที่พบ:
✅ เวียนหัวแบบหมุน
✅ หงุดหงิดง่าย, นอนไม่หลับ
✅ ตาแดง, ปวดศีรษะข้างเดียว
✅ ปากขม, คอแห้ง

2. เสมหะสะสมในเส้นลมปราณของถุงน้ำดี (痰湿阻滞) – “เสมหะปิดกั้นระบบทรงตัว”

📌 อธิบาย:
เสมหะเป็นสารที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของ ม้ามและกระเพาะอาหาร (脾胃) หากม้ามไม่สามารถลำเลียงของเหลวได้ดี จะทำให้เกิดเสมหะสะสมในร่างกาย เมื่อเสมหะนี้สะสมมากขึ้น อาจไปขัดขวางการทำงานของระบบทรงตัวในหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการ เวียนหัว ทรงตัวไม่ดี คลื่นไส้

📌 อาการที่พบ:
✅ เวียนหัวคล้ายเมารถ
✅ อาการหนักขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวศีรษะ
✅ อึดอัด แน่นหน้าอก
✅ คลื่นไส้ อาเจียน

3. ภาวะเลือดพร่องไปเลี้ยงสมอง (血虚生风) – “เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ”

📌 อธิบาย:
เลือดมีบทบาทสำคัญในการหล่อเลี้ยงสมอง ถ้าเลือดพร่อง (เลือดไม่พอ, เลือดไหลเวียนไม่ดี) จะทำให้สมองขาดสารอาหารที่จำเป็น ทำให้เกิดอาการเวียนหัว คล้ายกับภาวะสมองขาดเลือดในแพทย์แผนปัจจุบัน

📌 อาการที่พบ:
✅ เวียนหัวเมื่อลุกขึ้นเร็ว ๆ
✅ อ่อนเพลีย หน้าซีด
✅ ใจสั่น เหงื่อออกง่าย
✅ มือเท้าเย็น

4. ไตหยางพร่อง (肾阳虚) – “พลังไตอ่อนแอ ทำให้สมดุลเสีย”

📌 อธิบาย:
ไตในแพทย์จีนมีหน้าที่ ควบคุมของเหลวและความสมดุลของร่างกาย ถ้าพลังไตพร่อง อาจทำให้ของเหลวในหูชั้นในไม่สมดุล เกิดความผิดปกติของระบบทรงตัว และทำให้เกิดอาการเวียนหัว

📌 อาการที่พบ:
✅ เวียนหัวตอนตื่นนอน
✅ เหนื่อยง่าย ปวดเอว ปวดเข่า
✅ ความจำลดลง หูอื้อ

จุดสำคัญที่ใช้ฝังเข็มร่วมกับการจำแนกสังกัดโรค:
1. Fengchi (风池)
• ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองและหูชั้นใน
• ลดสัญญาณผิดปกติที่เกิดจากระบบทรงตัว (Vestibular System)
• บรรเทาอาการเวียนหัวที่เกิดจากการเปลี่ยนท่าทางและลดความเกร็งตึงของกล้ามเนื้อต้นคอ
2. Baihui (百会)
• กระตุ้น การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
• ปรับการสื่อสารระหว่าง หูชั้นในและสมอง ให้สมดุล
• ช่วยลดอาการเวียนหัวเรื้อรัง
3. Neiguan (内关)
• ลดอาการเวียนหัว คลื่นไส้ และอัตราเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง
4. Zusanli (足三里)
• กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนไปยังสมอง
• เสริมสร้างพลังงานของร่างกาย ลดอาการอ่อนเพลียจากอาการเวียนหัว
5. Tinggong (- 听宫)
• มีผลโดยตรงต่อการทำงานของ เส้นประสาทหู (Vestibulocochlear Nerve - CN VIII)
• ช่วยปรับสมดุลของเหลวในหูชั้นใน ลดการเคลื่อนไหวผิดปกติของหินปูน
6. Yintang (印堂)
• อยู่ระหว่างคิ้ว ช่วยลดความเครียดที่อาจส่งผลต่อการรับรู้การทรงตัว
• ลดอาการวิงเวียนศีรษะที่เกิดจากความเครียดสะสม

📚 งานวิจัยที่สนับสนุนการฝังเข็มกับอาการเวียนหัว

📌 งานวิจัยจาก Journal of Neurology (2021):
การฝังเข็มที่ GB20 และ PC6 ช่วยลดอาการเวียนหัวและอัตราการเกิดซ้ำของ BPPV ได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฝังเข็ม

📌 งานวิจัยจาก Chinese Medicine Journal (2019):
ฝังเข็มร่วมกับ Epley Maneuver ให้ผลดีขึ้น 30% เมื่อเทียบกับการทำ Epley Maneuver เพียงอย่างเดียว

📌 งานวิจัยจาก JAMA Otolaryngology (2023):
การฝังเข็มช่วยลดอาการเวียนหัวในผู้ป่วย Central Vertigo โดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ

🔹 กายภาพบำบัดเวสทิบูลาร์ (Vestibular Physical Therapy)
• ใช้การฝึกเคลื่อนไหวเพื่อลดความไวของระบบเวสทิบูลาร์
• ฝึกการเพ่งมอง (Gaze Training) และฝึกการทรงตัวร่วมกับนักกายภาพบำบัด

🔹 การใช้ยา (ในบางกรณี)
• ยา Betahistine ช่วยเพิ่มเติมการไหลเวียนโลหิตในหูชั้นใน
• ยาแก้แพ้บางประเภท (Antihistamines) เช่น Meclizine อาจช่วยลดอาการเวียนหัว

4. ข้อสรุป

✅ BPPV สามารถปรับสมดุลเวสทิบูลาร์ได้โดยใช้ Epley Maneuver และ Brandt-Daroff Exercises ร่วมกับการฝังเข็มและกายภาพบำบัด
✅ Central Vertigo ควรใช้ Gaze Stabilization และ Balance Training ควบคู่กับการรักษาตามสาเหตุ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง
✅ ปรับพฤติกรรม โดยลดโซเดียม งดคาเฟอีน และควบคุมการเคลื่อนไหวของศีรษะ
✅ การฝังเข็มและกายภาพบำบัด เป็นแนวทางที่ช่วยให้สมองปรับตัวและลดอาการเวียนหัวในระยะยาว

📌 ฝึกการทรงตัวเป็นประจำ ช่วยให้สมองชดเชยการทำงานของระบบเวสทิบูลาร์ที่ผิดปกติได้เร็วขึ้น! 🎯

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

092-3484749

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Oriental TCMผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

ประเภท