Palliative care : KM

Palliative care : KM sharing pictures, knowledge, and many things in my PC -office. มีอะไร ใน Palliative care

10/05/2025

หลักคิดง่ายๆ เวลาดูแลญาติ หรือ คนไข้ระยะท้าย
ถ้าเข้าใจแล้วจะคลาย วิตก กังวล

หลักการดูแลคนไข้ระยะท้าย

1.สิทธิผู้ป่วย
พวกเราต้องเข้าใจก่อนว่า คนที่พวกเรากำลังพูดถึงคือคนไข้ที่ใกล้จากลาแล้ว เพราะฉะนั้นเป้าหมายทุกอย่างจึงต้องพุ่งไปที่ตัวคนไข้ ถ้าคนไข้ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทีมรักษาแบบประคับประคองก็จะไปไม่ถูก รักษาไม่เป็นเหมือนกัน
ยังมีแพทย์ พยาบาลและครอบครัวที่ไม่ยอมให้คนไข้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับโรคและเข้าสู่ระยะท้ายแล้ว คนเหล่านี้ไม่คำนึงถึงความต้องการของคนไข้ว่าต้องการอะไร แต่จะรักษาตามแผนการของตัวเอง คนไข้จะถูกปิดบังว่าป่วยรักษาไม่หาย ถูกโกหกว่าไม่ตาย และให้กำลังใจสู้กับสิ่งที่ไม่เป็นจริงฝืนธรรมชาติ คนไข้ก็จะต้องถูกทรมานจากกระบวนการยื้อชีวิตในที่สุด

ดังนั้น คนไข้ต้องรับรู้ความจริง แล้ววางแผนสำหรับตัวเอง จึงเป็นแก่นสำคัญในการเปิดทางสำหรับการตายดี

2.นิยามการตายดี
หัวใจสำคัญที่ต้องยอมรับคือ ทุกคนต้องจากร่างกายนี้ไป คนไข้หรือญาติจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม แต่ความจริงมีหนึ่งเดียว คือทุกคนต้องจากโลกนี้ไปไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้
เมื่อต้องจากไป แล้วต้องการจากไปแบบไหน มีทางเลือกให้สองทาง
❤️ทางแรกขอใช้ชีวิตในระยะท้ายแบบไม่ทรมาน หรือหลับไป
❤️ทางที่สองขอยื้อชีวิต ขออยู่ต่อให้นานที่สุด โดยยอมรับความทุกข์ แม้ยิ่งอยู่นานยิ่งทรมานก็ตาม คนไข้บางคนขอลองหรือขออยู่ต่อโดยยอมรับความทรมาน โดยทีมรักษาสามารถให้คนไข้เปลี่ยนใจได้ถ้าทนความทรมานไม่ไหว
การขอไปแบบไม่ทรมานสามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งการุณยฆาต เพียงแค่ยอมรับการจากลา ธรรมชาติจะทำให้ร่างกายค่อยๆปิดการทำงานไปอย่างช้าๆ ความทรมานความเจ็บปวดความเหนื่อยจึงน้อยและสั้นกว่าพวกที่ต้องการยื้อชีวิต

3.การจากลาแบบธรรมชาติ
ในรายที่ยอมรับการจากลา ขอจากไปแบบธรรมชาติ คนไข้จะทุกข์ทรมานน้อยและสั้นกว่า
กระบวนการจากลาแบบธรรมชาติเริ่มจาก
❤️เบื่ออาหารไม่กินอาหาร ร่างกายจะเสียสมดุล สมองจะค่อยๆปิดการทำงาน อาการที่พบได้คือ เพ้อ ซึม เบลอ สับสน ง่วง หลับมากและหลับนานขึ้น การที่ไม่ปลุก ไม่รบกวน ปล่อยให้คนไข้หลับ และจากไปแบบธรรมชาติ คนไข้จะหลับแล้วไม่ตื่นอีกเลย
❤️การมีไข้ติดเชื้อในอวัยวะที่ไม่ทำให้คนไข้ทรมาน เช่นติดเชื้อเข้ากระแสเลือด ติดเชื้อจากแผลกดทับ ติดเชื้อจากก้อนมะเร็ง ถ้าไม่ให้ยาฆ่าเชื้อ คนไข้ก็จะจากไปแบบสบายกว่าเช่นกัน เชื้อโรคและปฏิกิริยาของร่างกาย ทำให้ความดันเลือดตก สมองขาดเลือด คนไข้จะหมดสติแล้วก็หลับไปตามธรรมชาติ สิ่งที่เราควรดูแลคนไข้ติดเชื้อก่อนที่เขาจะหมดสติคือ ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด เช็ดตัว บำบัดความทุกข์ บำรุงความสุขเท่าที่คนไข้ต้องการก็เพียงพอแล้ว
ปกติการจากลาแบบธรรมชาติคนไข้จะหลับไปก่อนความทุกข์ทรมานจะมา ถ้าการรับรู้ยังไม่ทันหมด แต่ความทุกข์ทรมานเกิดขึ้นมาก่อน แพทย์ที่ดูแลสามารถช่วยทุเลาอาการ จากความทุกข์ทรมานนั้นได้โดยการให้ยา
ปกติแล้วคนไข้ที่เลือกการจากไปแบบธรรมชาติจะมีความทุกข์ทรมานน้อยและสั้นกว่าคนไข้ที่ต้องการยื้อชีวิต
การที่คนไข้หลับ ผมไม่แนะนำไม่ปลุกให้คนไข้ตื่นเองตามธรรมชาติ จึงเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลคนไข้ระยะท้าย คนไข้อาจหลับและไม่ตื่นอีกเลยก็ถือว่าโชคดีของคนไข้
การไม่ตื่นเกิดจากภาวะต่างๆในร่างกายเริ่มปิดสวิทซ์ เช่นไม่กินอาหาร ติดเชื้อ ความด้นเลือดตก
การไม่ปลุกคนไข้มีข้อดีคือคนไข้ไม่ต้องตื่นมาทุกข์ทรมาน การปลุกให้คนไข้ตื่นทำให้ทรมานเพราะต้องรับรู้และอยู่กับความเสื่อมสลายของร่างกาย

4.การใช้ยาเพื่อทุเลาอาการ
ในกรณีที่คนไข้ขอจากไปแบบไม่ทรมาน ทีมรักษาจะเลือกการจากลาแบบธรรมชาติ คนไข้ก็จะหลับไปก่อน แต่ถ้าคนไข้หลับช้า ความทุกข์ทรมานมาก่อนหมดสติ ทีมจะใช้ยาเพื่อทุเลาอาการปวดและเหนื่อยคนไข้จะสุขสบาย และหลับได้

5.การฝึกสติ การใช้สมาธิเข้าฌาน เพื่ออยู่กับเวทนา
พระอาจารย์แสนปราชญ์ วัดป่าโนนสะอาด อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ท่านได้พบความจริงจากการดูแลคนไข้ระยะท้ายว่า คนไข้ที่เจริญสติปัฏฐานสามารถอยู่กับเวทนาได้อย่างมีความสุข โดยไม่ร้องครวญครางกับความเจ็บปวด ซึ่งการฝึกนี้ถ้าทำได้ผู้ปฏิบัติจะรู้และอยู่กับเวทนาได้ โดยคนไข้ที่ฝึกและเจริญสติปัฏฐาน จะใช้ยาเพื่อทุเลาอาการทุกขเวทนาน้อยกว่าคนที่ไม่ฝึก ในบางรายไม่ใช้ยาและสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข

6.เป้าหมายของจิตวิญญาณ
คนไข้ที่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ ศาสนา หรือมีปรัชญาชีวิต ก็จะมีเป้าหมายทางจิตวิญญาณของตัวเอง
โดยส่วนใหญ่ของทุกความเชื่อ ตายแล้วต้องไปเกิดใหม่จะที่ไหนก็แล้วแต่ ดังนั้นคำถามที่ผมมักถามในคนไข้เกือบทุกรายคือตายแล้วต้องการไปเกิดที่ไหน
ทุกความเชื่อเหมือนกันคือการทำความดี เสียสละ ไม่เบียดเบียน ไม่ทำบาป ตายแล้วจะนำพาไปเกิดใหม่ที่ดีกว่า ดังนั้นถ้าคนไข้ได้ตระหนัก ทราบเป้าหมายของจิตวิญญาณ คนไข้จะได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทาง คนไข้ก็จะสบายใจและจากไปอย่างสงบกว่า

7.ให้ถือความสุข ความทุกข์และความต้องการของคนไข้เป็นหลักไม่ใช่เอาความต้องการของคนดูแล
คนส่วนใหญ่มักรู้เท่าไม่ถึงการ จะทำทุกอย่างโดยตั้งเป้าหมายของการหายป่วยเป็นสำคัญและไม่นึกถึงธรรมชาติที่เปลี่ยนไปของคนไข้ ก็จะดูแลคนไข้ให้ใช้ชีวิตเหมือนกับตัวเอง
สิ่งสำคัญผู้ดูแลต้องยอมรับธรรมชาติของคนไข้ที่ไม่เหมือนคนปกติแล้ว เช่น ไม่อยากอาหาร การหลับการตื่นไม่เป็นเวลา เป็นต้น
หลักการดูแลคนไข้ระยะท้าย ให้ถือความสุขสบายและความต้องการของคนไข้เป็นหลัก ไม่ใช่เอาสิ่งที่ผู้ดูแลคิดว่าดีแล้วไปบังคับคนไข้ให้เป็นเหมือนคนปกติ เช่น คนไข้ไม่อยากอาหาร (ญาติก็จะบังคับให้กิน ใส่สายอาหาร ถ้าคนไข้ดึงสายยางออกก็ถูกมัดมือมัดเท้า) คนไข้ไม่อยากพลิกตัวเพราะเจ็บปวดเมื่อสัมผัสหรือยกตัว (ญาติก็จะพลิกตัวคนไข้โดยไม่สนใจคนไข้จะชอบหรือไม่) คนไข้ไม่ต้องการทำแผล (ญาติจะทำแผลเพราะกลัวแผลติดเชื้อแม้คนไข้จะไม่อยากทำแผลเพราะเจ็บและถ้าแผลติดเชื้อคนไข้ก็จะตายสบายกว่า) คนไข้ไม่ต้องการอาบน้ำ เพราะทรมานและสะท้านผิวเมื่อสัมผัสน้ำ (ญาติต้องการอาบน้ำให้คนไข้สะอาด กลัวพี่น้องคนอื่นจะบ่นว่าดูแลคนไข้สกปรก) คนไข้ร้อนในวันที่อากาศหนาวหรือหนาวในวันที่อากาศร้อน (ญาติก็จะปรับอุณหภูมิตามความรู้สึกของตัวเอง) คนไข้ไม่หลับไม่นอนเวลากลางคืน (ญาติต้องการให้คนไข้หลับก็จะให้ยานอนหลับหรือสร้างภาวะบีบเค้นให้คนไข้นอน เช่นดับไฟ บ่นว่าง่วงแล้ว ทั้งๆที่คนไข้ระยะท้ายจะอยู่แต่บนเตียงในห้องไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวันร่างกายจึงไม่รับรู้ว่ามีกลางวันกลางคืนเป็นต้น)

❤️❤️ ถ้าเราใช้หลักการนี้ดูแลคนไข้ โดยไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่บีบเค้นให้คนไข้ต้องเป็นแบบคนปกติเช่นต้องกิน ต้องนอน ต้องอาบน้ำ ให้คนไข้เป็นแบบที่คนไข้เป็น ไม่แทรกแซงธรรมชาติของการจากลา คนไข้ก็จะได้พัก ได้หลับ ไม่ถูกรบกวนให้ทุกข์ทรมาน และจากไปแบบสุขสบายและสงบกว่า❤️❤️

*******

นพ.พรศักดิ์ ผลเจริญสมบูรณ์
ที่ปรึกษาทีมดูแลผู้ป่วยระยะท้าย
โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

สามารถปรึกษาหมอแดงได้ดังนี้

1.ส่งรายละเอียดเข้ามาในกล่องข้อความของเพจหมอแดงที่ปรึกษาคนไข้ระยะท้าย​เพื่อกรอกแบบฟอร์ม จนท.จะต่อสายให้สนทนากับคุณหมอ หรือโทรติดต่อแอดมินเพจ​ 082-424-5363

2. มาพบหมอแดง​ที่คลินิกชีวีอภิบาล​โดยนัดหมายล่วงหน้าที่​ 061 563 2989 หรือ038 933 900 ต่อคลินิกชีวีอภิบาล เพื่อทำนัดพบกับหมอแดง

3.ติดต่อผ่านเยือนเย็นหรือในคนไข้ที่ใช้บริการของเยือนเย็นสามารถขอให้หมอแดงเข้าเยี่ยมพบได้

#หมอแดงที่ปรึกษาคนไข้ระยะท้าย
#หมอแดง
#การวางแผนระยะท้าย
#การตายดี
#นิยามการตายดี
#เยือนเย็น
#ยื้อชีวิต
#สิทธิผู้ป่วย
#การใส่สายยางให้อาหาร
#โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์
#คลินิกชีวีอภิบาล
#โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
#หลักคิดระยะท้าย

11/04/2025
30/03/2025

Death Fest ที่สำหรับจอยแล้ว นี่คือ Life Fest ที่เรากำลังใช้ทุกวินาทีในตอนนี้ฉลองให้กับการมีชีวิต อยู่ให้สบาย ตายให้สงบ

มันไม่ยากเลยถ้าจะให้จอยเล่าเรื่องการทำ Joy Ride 3-4 ชั่วโมง เพราะ Joy Ride คือ "ลมหายใจในทุกวินาทีของจอย "

แต่การให้ขึ้นมาพูด 10 นาทีในวิชาสมุดเบาใจเป็นเรื่องที่จริงๆ แล้วรู้สึกกดดันมากค่ะ

จอยเลยคิดถึงพาดหัวข่าว หากวันที่เราจากไป คนอื่นจะพูดถึงเรายังไง เราอยากให้คนจำเราแบบไหน ซึ่งในความเป็นจอยก็อยากทำให้ทุกคนยิ้ม มากกว่าร้องให้ อยากให้คนที่อยู่ต่อ หัวเราะได้ มากกว่ารู้สึกเศร้า
(เลยแซวตัวเอง ตามเพจที่จอยติดตามคือ #เจ้าหญิงแห่งวงการ HR นะคะ )

ช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากเด็กเป็นวัยรุ่น คำถามนึงที่จอยสงสัย ก็คือ เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกการตายได้มั้ย

ในวันนั้นเด็กที่เพ้อฝันอย่างจอยบอกว่า อยากตายในทะเล อยากเห็นฝูงปลา และประการังใต้น้ำ น่าจะเป็นการตายดุจเทพนิยายที่ภาพสุดท้ายคือความงดงามและร่างกายเราก็เป็นอาหารให้ฉลามหรือ planton ได้ (อยากเป็น Big Mermaid คนแรกแหละ)

เมื่อเวลาเปลี่ยน เลยเปลี่ยนความคิดว่าอยากตายสงบ และเป็นไปตามธรรมชาติ

ซึ่งไม่ใช่เรื่องของกรรม

แต่จอยมองเห็นว่าเป็น ธรรมชาติ และเป็นธรรมดาของการเกิดมาต้องมี แก่เจ็บตาย

ทำให้จอยคิดถึงภาพตัวเองก่อนจากไปว่าจะมีบรรยากาศแบบไหน เราจะอยู่ในสภาพที่เจ็บป่วย แต่ไม่เจ็บปวด ไม่ต้องมีท่อหายใจ ไม่ต้องมีเครื่องมือยื้อชีวิตให้เราตายช้าลง แต่ทรมาณกายใจมากขึ้น

1 ปีหลังจากทำ Joy Ride จอยป่วยหนักเข้า รพ 3 คืน ในคืนสุดท้าย จอยเปิดคอมและทำสมุดเบาใจกับกลุ่ม Peaceful Death จอยที่ป่วยอยู่ ก็คิดว่าถ้าเราตายวันนี้พรุ่งนี้ Joy Ride จะเป็นอย่างไรนะ แล้วถ้าจู่ๆ จอย ต้องอยู่ในภาวะ เจ้าหญิงนินทา (ไม่ใช่เจ้าหญิงนิทรานะคะ) เราคงไม่อยากเป็นแบบนั้น ที่ "มีแค่หายใจแต่ไร้ชีวิต"

นั่นเป็นครั้งแรกที่จอยได้คำตอบว่า "ความตายออกแบบได้"

และการทำสมุดเบาใจกับ เป็นเหมือนหน้าต่างบานแรกที่เปิดชวนให้ เอาครอบครัว มาทำสมุดเบาใจ
หม่าม้าที่ชอบพูดจำลองสถานการณ์
กิ๊บที่เบ้ปากและร้องไห้เวลา ม้าพูดว่า "ถ้าม้าตาย..."
ส่วนป่าป๊าคนไทยเชื้อสายจีนที่ไม่เคยเปิดใจให้เรื่องนี้อยู่ในบทสนทนาระหว่างครอบครัว

ในการทำสมุดเบาใจด้วยความดูแลของ กอเตย Baojai Family อยู่อย่างเบาใจ จากไปอย่างใจเบา นี้ คือ 3 ชั่วโมงที่จอยได้พูดสิ่งที่คิดแต่ไม่กล้าบอก และไม่กล้าถามพ่อแม่

จอยได้ฟังความรู้สึกของคนที่เรารักแบบที่เราไม่เคยฟัง จอยเพิ่งรู้ว่าเราได้ยิน แต่เราไม่เคยฟังพวกเค้าเลย คนที่เราบอกว่ารักมากที่สุด

และที่สำคัญจอยได้เข้าใจ ความรู้สึกและส่ิงที่แต่ละคนต้องการ

การเขียนสมุดเบาใจสำหรับจอย จึงไม่ใช่เป็นการวางแผนชีวิต
แต่คือโอกาสที่คำว่าครอบครัวได้มีโอกาสกลับมาเชื่อมโยงกับแบบแนบแน่น และคลายปมอดีตที่เราเองเป็นผู้ฝังไว้ในหัวใจ

จอยคิดเสมอนะคะว่า
จะบอกรักทำไม..... ถ้าบอกไปแล้วเค้าไม่ได้ยิน
คิดถึง.....แต่โอบกอดคนที่เรารักอีกครั้งไม่ได้
อยากขอโทษ... แต่เรายังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้เลย

จอยเลยเลือกที่จะสื่อสารด้วยการกระทำในวันนี้มากกว่ารอให้จุดธุปบอกพวกเค้า

เพราะในความเป็นจริงไม่มีใครรู้หรือเดาได้อาจเปนพ่อแม่ที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจให้เราจากไปก็เป็นได้

สำหรับจอย สมุดเบาใจ ก็คือ สมุดเอาใจ
1 เอาใจแม้ในวาระสุดท้าย ให้คนที่เรารักได้เดินทางตามที่าเค้าเลือก ไม่ใช่เราเลือก
2เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เมื่อทำสมุดเบาใจเสร็จ จอยได้ตกตะกอนความคิด ถึงคำพูดของกอเตย Death Planner คนที่ทำให้รู้สึกว่าเข้ามานั่งกลางใจพวกเรา 4 คน ที่ว่า “อยู่อย่างเบาใจ จากไปอย่างใจเบา”

30/03/2025
30/03/2025
30/03/2025

ในเส้นทางชีวิตของคนเราที่มีห้วงเวลาสั้น ยาวไม่เท่ากันนั้น เราต่างมี ‘ความตาย’ เป็นเหมือนมิตรแท้ที่รอเราอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งบนเส้นทางของชีวิต
ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ หลายคนอาจมีโอกาสได้เตรียมตัว เตรียมใจว่าอยากทำอะไรบ้าง เพื่อให้จากไปอย่างไร้กังวล แต่หลายคนก็ไม่มีโอกาสนั้น เพราะในบางครั้งความตายก็พุ่งเข้าใส่ชีวิตเราแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“ในขณะที่มีคนตายอยู่ตลอด เราเพิ่งกล้าที่จะเริ่มคุยเรื่องความตายกันแบบเปิดอก ยิ้มให้กัน ถามกันว่า เธอเตรียมตัวตายไว้อย่างไร ? ซึ่งมันกลายเป็นความเบิกบานที่จะเจอกับปรากฏการณ์ที่ยากที่สุดในชีวิตคนคนหนึ่ง”
มนุษย์ต่างวัยนำส่วนหนึ่งจากเวทีเสวนา Old School ภาคทฤษฎี วิชา ‘สุดท้าย’ โดย พระเอกวีร์ มหาญาโณ (หลวงพี่อั๋น) จากงาน Death Fest 2025 : Better Living, Better Leaving. อยู่อย่างมีความหมาย เผชิญความตายอย่างเป็นสุข ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 21-23 มี.ค.ที่ผ่านมา ณ IMPACT Exhibition Hall 6
ช่วงเวลาหลังความตายของหนึ่งชีวิต คนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนตายก็จะต้องจัดการเรื่องราวต่าง ๆ เช่น เอกสาร พิธีกรรม และหลังจากเรื่องราวเหล่านี้ สิ่งที่จะต้องจัดการต่อคงเป็นเรื่องของความรู้สึกและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ไม่น้อย นั่นเป็นเรื่องของคนที่ยังอยู่
แล้วสำหรับคนที่ตายจากไป คุณเคยสงสัยบ้างหรือเปล่าว่า หลังจากนั้นเขาไปที่ไหน ทำอะไรต่อ หรือทุกอย่างจะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์แล้วเมื่อเราตายจากโลกนี้ไป
“ระหว่างเส้นทางจากการเกิดไปสู่การตาย หลายคนอาจจะเห็นและได้เตรียมตัวไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทดลองนอนในโลง การทำสมุดเบาใจ การบริจาคร่างกาย การศึกษาเรื่อง Palliative Care รวมถึงกิจกรรมหลาย ๆ อย่างที่เป็นการเตรียมความพร้อมให้เราเดินทางไปถึงความตาย และทำให้เรารู้ว่าช่วงชีวิตนี้ที่ยังเหลืออยู่ เราจะใช้มันต่อไปอย่างไร เพื่อให้เราคุ้นเคยกับการเตรียมตัวในระยะท้าย
แล้วเส้นทางหลังจากความตายล่ะคืออะไร ?
“สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คือแก่นสำคัญของมิติทางจิตใจที่คนทำงานเรื่องภาวะภายใน หรือหลายศาสนากำลังพยายามพูดถึงอยู่ เพื่อให้เรามีความเข้าใจว่าหลังจบจากตรงนี้แล้วมันจะเกิดอะไรต่อ
“สมมติว่าเส้นทางนี้มันคือการเรียนในมหาวิทยาลัย ถ้าเรามองว่าจุดสิ้นสุดของการเดินทางคือการเรียนจบ เราจะเรียนแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราเรียนโดยที่รู้ว่าชีวิตหลังจากนั้นมันจะดำเนินต่อไปอีกยาวไกลเท่าไรก็ไม่รู้ เราก็จะเรียนอีกแบบหนึ่ง
“การเตรียมเรื่องการจัดการต่าง ๆ ให้มันง่ายต่อชีวิต ง่ายต่อคนที่รักเรา ไม่ว่าจะเตรียมโลงศพ เตรียมรูปหน้างานศพ เตรียมวิธีการใช้ชีวิตในช่วงสุดท้าย เตรียมวิธีการบอกลา ในเส้นทางสู่ความตายนั้น เราได้เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว อยากขอให้พวกเราเพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง คือ ศึกษาว่าหลังจากนี้มันจะเกิดอะไรต่อ ไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาพุทธ นับถือศาสนาคริสต์ นับถือศาสนาอิสลาม หรือไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ได้ แต่เราต้องศึกษา เพื่อให้เราตอบตัวเองได้ว่า เมื่อเราเดินทางไปถึงจุดนั้นจริง ๆ แล้ว เราตั้งใจว่าจะทำอย่างไรต่อ
“ถ้าถามว่าวิชาสุดท้ายของชีวิตที่เราควรจะเรียนคืออะไร อาตมาก็อยากชวนว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เราได้ศึกษากระบวนการที่จะเกิดขึ้นหลังจากความตาย เพื่อให้ในช่วงเวลาที่วาระสุดท้ายใกล้มาถึง เรามีความมั่นใจ ไม่กังวล และไม่วอกแวกจากสิ่งที่เราเชื่อและตั้งใจไว้
“พุทธศาสนาบอกไว้ว่า ถ้าเราไม่สามารถจัดการตัวเองได้ เราก็จะเข้าสู่วงจรแห่งสังสารวัฏ ซึ่งคำสอนจะไม่ได้พาให้เราไปกังวลกับอนาคต แต่จะพาเราย้อนกลับมาสังเกตการทำงานของวงจรนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
“หัวใจของศาสนาพุทธสอนให้เราออกจากระบบนี้ ออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราแทบจะไม่สามารถนึกถึงได้เลย เหมือนกับเราใส่แว่น VR (Virtual Reality) มาตั้งแต่เกิด โดยที่ไม่เคยถอดเลย เราก็จะนึกว่าทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นในจอนี้เป็นเรื่องจริง ถ้ามีผีลอยมา เราก็จะกลัวจริง ถ้ามีคนที่เรารักมาก ๆ ปรากฏขึ้นในนั้น เราก็จะรักเขาจริง ๆ ถ้าเขาตาย เราก็จะเสียใจจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วมันเป็นแค่ภาพในจอ แต่เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จริง มันก็เลยจริงสำหรับเรา
“พอคนในจอนั้นตาย หนังเรื่องเดิมเปลี่ยน หนังเรื่องใหม่เล่น เราก็จะเข้าใจไปว่าพอมีเรื่องหนึ่งดับ อีกเรื่องหนึ่งก็จะเกิด เข้าใจว่าหนังทุกเรื่องเป็นเรื่องจริง การเปลี่ยนแปลงของหนังแต่ละเรื่องที่ปรากฏขึ้นบนจอมันก็เป็นเรื่องจริง การเวียนว่ายในสังสารวัฏก็เป็นคล้าย ๆ แบบนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจริง ๆ แต่มันไม่จริง
“เราจะฝึกอย่างไรก็ได้ให้สามารถถอดแว่นนี้ออกมาได้ แล้วเห็นว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เรากังวลมาตลอดชีวิต สิ่งที่เราเจอมาตลอดชีวิตมันเป็นมายา
“การจะเห็นวงจรที่มันทำงานอยู่ในปัจจุบันได้นั้น สิ่งที่เราจะต้องฝึกคือ ฝึกให้เรามีความตั้งมั่นที่จะสังเกต ฝึกจิตใจเราไม่ให้วอกแวก หรือเรียกว่า ฝึกสมถะ ฝึกสมาธิ แล้วก็เอาความตั้งมั่นนั้นมาสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในร่างกายและจิตใจ เราจะเริ่มเห็นว่าสิ่งที่เรานึกว่ามันเป็นจริง มันเป็นแค่กระบวนการทำงานของบางอย่างเท่านั้น มันจะเริ่มเปิดเผยความจริงให้เราเห็นจนกระทั่งเราไม่ต้องกังวลว่าเราจะต้องไปเวียนว่ายกับอะไรอีก ในเมืองไทยก็มีครูบาอาจารย์ไม่น้อยที่จะพาให้เราเข้าใจและฝึกเรื่องนี้ได้
“ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจอมันเป็นความจริงทั้งหมด เมื่อไรก็ตามที่หนังผีเล่น เราก็จะเป็นจะตาย และเมื่อไรก็ตามที่หนังรักเล่น เราก็จะอินกับมันจนกระทั่งเรายอมตายเพื่อความรักได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันก็ยังอยู่ในแว่นเดิม แว่นที่เราคิดว่าเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นถ้าเราฝึกให้ตัวเองสามารถถอดความเชื่อนี้ได้ เราถึงจะค้นพบความจริงว่า จริง ๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอะไรเลย หนังจะเล่นไปกี่เรื่อง เราก็ไม่เป็นอะไร
“เราจะเป็นเหมือนคนที่มองดูเรื่องราวเหล่านั้น แต่ไม่ได้ไปอยู่ในนั้น เราแค่มองเห็นทุกอย่างที่มันเป็น ซึ่งมันมีกระบวนการที่เราจะฝึก เพื่อให้เราสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ และกระบวนการนี้คุ้มค่าที่เราจะใช้ช่วงเวลาชีวิตที่เรามีอยู่ในตอนนี้ในการศึกษาสิ่งที่จะช่วยให้เราออกจากวงจรไม่รู้จบนี้ได้
“ในศาสนาอื่นอาตมาก็เชื่อว่ามีคำสอนเรื่องนี้ คำสอนที่จะบอกว่า หลังจากที่เราตายแล้ว เราจะต้องทำอย่างไร แล้วก่อนตายเราต้องเตรียมตัวอย่างไร เช่น เตรียมตัวไปหาพระเจ้า เตรียมตัวกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของเรา อะไรก็ตามที่เราเชื่อ อยากให้เราใช้เวลาทั้งชีวิตในการศึกษาสิ่งนั้นให้เต็มที่ด้วย แล้วมันจะทำให้เรารู้สึกปลอดภัยทั้งในการใช้ชีวิตตอนนี้ และหลังจากที่เราตายจากโลกนี้ไป
“คำสอนเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่และเปิดกว้างที่จะให้เราไปศึกษาได้เสมอ ขอแค่เราขวนขวายที่จะเรียนรู้ วิชาสุดท้ายของชีวิตคือวิชาหนึ่ง ส่วนวิชาสุดท้ายของสังสารวัฏนี้ก็เป็นอีกวิชาหนึ่ง อยากให้งานวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้กันอย่างจริงจัง และขอให้เราลงลึกกับการเข้าใจตัวเองมากขึ้นจนกระทั่งวันสุดท้ายเราพร้อมที่จะจากไปอย่างงดงาม”
▪️ขอบคุณภาพจาก Death Fest

#มนุษย์ต่างวัย #วิชาสุดท้าย #อยู่ดีตายดี

30/03/2025

เราอาจไม่รู้ว่าช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจะเดินทางมาถึงเมื่อไร แต่เรามีสิทธิ์ที่จะเตรียมพร้อมชีวิตของเราไว้ได้ว่าอยากให้มันเป็นแบบไหน ถ้าหากช่วงเวลาสุดท้ายเดินทางมาถึง
ถ้าหากวันหนึ่งเราเจ็บป่วย เป็นโรคร้าย ต้องเข้ารับการรักษา เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่าอยากได้รับการดูแลรักษาแบบไหน อย่างไร เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในช่วงสุดท้ายจนกระทั่งลาจากชีวิตนี้ไปด้วยความรู้สึกที่ดีอย่างที่ คุณวรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death และประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา ได้บอกไว้ว่า “ไม่ว่าจะมีเวลาเหลือแค่ไหน เราก็สามารถมีความสุข หรือใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็นได้”
มนุษย์ต่างวัยชวนรู้จักและทบทวนวิชาสำคัญในชีวิตที่เราทุกคนสามารถวางแผนและเตรียมพร้อมเพื่อตัวเองได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากเวทีเสวนา Old School ภาคทฤษฎี วิชา ‘Palliative Care ทางเลือกในการดูแลวาระท้ายที่ไม่ต้องยื้อชีวิต เจ้าของชีวิตมีสิทธิ์เลือกได้’ จากงาน Death Fest 2025 : Better Living, Better Leaving. อยู่อย่างมีความหมาย เผชิญความตายอย่างเป็นสุข ที่จัดขึ้น ณ IMPACT Exhibition Hall 6 เมื่อวันที่ 21-23 มีนาคม 2568
ร่วมแลกเปลี่ยนโดย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พญ. นิษฐา เอื้ออารีมิตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคูน (KOON Palliative Care Specialised Hospital), อ.นพ.นิยม บุญทัน แพทย์ประจำศูนย์การรุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และวรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death และประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา ดำเนินรายการโดย รศ.พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ กุมารแพทย์เชี่ยวชาญ ด้านโรคติดเชื้อ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์
◾️เปิดโลก Palliative Care
การดูแลแบบประคับประคอง หรือ Palliative Care ไม่ได้โฟกัสแค่การเยียวยา หรือรักษาโรค แต่มุ่งเน้นการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เพียงแต่เฉพาะคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แต่ดูแลครอบคลุมไปถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับความสูญเสียให้กับครอบครัวของผู้ป่วยด้วย

พื้นฐานของ Palliative Care คือ วางแผนก่อนว่าโรคอยู่ขั้นไหน วิธีการรักษาจะประกอบด้วยอะไรบ้าง ต้องเข้าใจตัวโรค เข้าใจจุดประสงค์ในการรักษา และระวังขั้นตอนการมูฟจากการรักษาหลักไปสู่การรักษาแบบ Palliative Care ที่เร็วเกินไป พอเข้าใจจุดประสงค์ที่ชัดเจนแล้วก็จะเริ่มการรักษาแบบ Palliative Care ควบคู่ไปกับการรักษาเฉพาะตัวโรค โดยเน้นที่คุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ไม่ให้ผู้ป่วยต้องทรมานเกินไป ถ้าเจ็บหรือปวด ก็ต้องได้รับการดูแล เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดเหล่านั้นอย่างเหมาะสม และระวังไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบ
◾️การดูแลเพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีมีหลักสำคัญอยู่ 4 เรื่อง คือ กาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ
หลังจากดูแลร่างกายดีแล้ว ก็ดูเรื่องจิตใจว่าผู้ป่วยมีความต้องการหรือความคาดหวังอย่างไรในชีวิต หลังจากนั้นก็ดูบริบทรอบข้างหรือสังคมของผู้ป่วยว่าครอบครัวเขาเป็นอย่างไร รวมทั้งดูแลเรื่องจิตวิญญาณว่าผู้ป่วยมีความเชื่อ หรือความยึดมั่นเรื่องไหน อย่างไรบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้แต่ละคนให้ความสำคัญไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผน การตัดสินใจ หลักสำคัญมีอยู่ว่าทุกอย่างต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลัก ไม่ใช่คิดในมุมของลูก ของญาติ แต่ต้องคิดทุกอย่างภายใต้หมวกของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยสามารถตัดสินใจได้ ก็ต้องให้เขามีส่วนร่วมตัดสินใจด้วย และต้องให้ผู้ป่วยได้รู้ข้อมูลต่าง ๆ อย่างถูกต้องและครบถ้วนก่อนการตัดสินใจ แต่ถ้าเขาตัดสินใจไม่ได้ คนที่จะต้องตัดสินใจ ก็ต้องคิดและมองในมุมของผู้ป่วย เพราะถ้าหากเราตัดสินใจในมุมของความเป็นลูก มันอาจจะมีกำแพงบางอย่าง เช่น บทบาท หน้าที่ ความเชื่อทางสังคม หรือความรู้สึกห่วงใยมากั้นไว้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้เข้าถึงการรักษาที่ทำให้เขาสบายกาย สบายใจ และได้ใช้ชีวิตช่วงท้ายอย่างสงบสุข
◾️Palliative Care ดูแลได้ตั้งแต่เริ่มป่วย
เราอาจจะเคยคิดว่า Palliative Care กับการรักษาแบบปกติ คือทางเลือกซ้ายหรือขวา แต่มันไม่ใช่ทางเลือก มันเป็นสิ่งที่สามารถทำควบคู่กันได้ เราไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะรักษาโรคอย่างเดียวโดยไม่คิดถึงเรื่องความสุขหรือคุณภาพชีวิตเลย
สิ่งสำคัญคือการสื่อสาร เราต้องสื่อสารให้คนรอบตัว คนใกล้ชิดเรารับรู้ด้วยว่า เราต้องการอะไร ให้คุณค่ากับเรื่องใดบ้าง ถ้าเรารู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต เราก็จะรู้แล้วว่าการรักษาแต่ละอย่างมันตอบโจทย์เราหรือไม่ มันใช่สำหรับเราหรือเปล่า ผู้ป่วยบางคนแม้เป็นโรคระยะลุกลาม แต่ถ้าสภาพร่างกายยังดีอยู่ก็สามารถทำการรักษาแบบปกติก่อนได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธการรักษา แล้วเลือกที่จะดูแลแบบ Palliative Care อย่างเดียวไปเลย แต่ถ้าผู้ป่วยตัดสินใจเลือกแบบนั้น ก็อยากให้สื่อสารกันให้ดี และมาวางแผนการักษาร่วมกันกับแพทย์ดูก่อน
เราสามารถเข้าถึง Palliative Care ได้ตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่คุกคามต่อชีวิต หรือแพทย์ประเมินแล้วว่าตัวโรคของเรามีแนวโน้มที่จะถดถอยหรือแย่ลงในอนาคต หรือวินิจฉัยว่ามีระยะเวลาอย่างจำกัด เช่น ถ้าเราเป็นโรคมะเร็ง เราก็สามารถที่จะรักษาโดยให้ยาเคมีบำบัด ผ่าตัด หรือใช้รังสีรักษา ฉายแสง ควบคู่ไปกับการรักษาแบบ Palliative Care ได้
มีการศึกษาวิจัย พบว่า เวลาเข้าไปพูดคุยกับผู้ป่วยหรือครอบครัวเรื่องการวางแผนล่วงหน้า หรือการเตรียมตัวเพื่อการตายดีมักจะทำให้พวกเขาเกิดความวิตกกังวลว่าทำไมอยู่ ๆ หมอหรือพยาบาลถึงมาชวนคุยเรื่องพวกนี้ เวลาของผู้ป่วยเหลือน้อยแล้วหรือเปล่า แต่ว่าหลังจากได้คุยเรื่องนี้ไปแล้ว ทั้งตัวผู้ป่วยและครอบครัวกลับรู้สึกเบาใจ รู้สึกสบายใจมากขึ้นว่ามีคนมองเห็นความสำคัญของเขา ช่วยเขาเตรียมตัว ทำให้เขารู้ว่ามีเวลามากน้อยแค่ไหน และจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างไร
◾️สังคมแห่งการอยู่ดีและตายดีเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องร่วมกันสร้าง
คนเรามีทางเลือกได้หลากหลาย เพียงแต่ว่าเราเข้าใจรึเปล่าว่าทางที่เราเลือกคืออะไร มันเติมเต็มหรือตอบคุณค่าในส่วนไหน เพราะฉะนั้นถ้าคนในครอบครัวคุยกันแล้วทำให้สิ่งที่พูดคุยกันมันถูกสื่อสารไปถึงแพทย์ที่ให้การดูแลได้ อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์ด้านการดูแลแบบประคับประคอง แต่เป็นแพทย์เจ้าของไข้ก็ได้ หรือเวลาไปโรงพยาบาลแล้วมีบุคลากรที่ช่วยแนะนำ หรือให้คำปรึกษาเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เขายังไม่เจ็บป่วยหนักมาก เช่น ตั้งแต่เริ่มไปคลินิกเบาหวาน คลินิกความดัน คลินิกโรคไต ได้ช่วยสื่อสารเรื่องนี้ให้ผู้ป่วยได้เข้าใจตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เขารับรู้และได้เข้าถึงสิทธิ์พื้นฐานที่เขาควรจะได้รับก็จะทำให้ทุกคนเข้าใจและสามารถตัดสินใจที่จะวางแผนการดูแลรักษาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น
การที่เราจะช่วยให้ใครสักคนตายดีมันไม่ใช่หน้าที่ครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคมที่มีส่วนในการช่วยเหลือ ดูแลกัน จริง ๆ แล้วก่อนที่จะมีการดูแลแบบประคับประคอง ผู้คนสมัยก่อนก็ดูแลกัน ช่วยเหลือกัน คนในชุมชนก็ไม่ทิ้งกัน แต่ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนเริ่มห่างกันมากขึ้น เราก็เริ่มไม่สนใจกันแล้ว เพราะเราต้องเอาตัวรอด เราก็เจ็บปวดกับชีวิตของเราเหมือนกัน เราก็เลยไม่อยากจะไปสนใจคนอื่นแล้วว่าเขากำลังทุกข์กับเรื่องอะไร มันเลยทำให้เราตัดขาดซึ่งกันและกัน ทำให้สิทธิ์ในการตายดีนั้นเป็นเหมือนเรื่องที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้รับหรือสามารถเข้าถึงมันได้ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันคือสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่เราทุกคนควรจะเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน
การดูแลแบบประคับประคองเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ยังต้องทำความเข้าใจกับผู้ป่วยและครอบครัว หรือบางครั้งผู้ป่วยอาจจะต้องอยู่ตามลำพัง หรือบางครอบครัวผู้สูงอายุก็อยู่กันเอง โดยไม่มีผู้ดูแล ก็ต้องช่วยกันสื่อสารให้ทุกคนได้เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะท้ายได้โดยที่ไม่มีผู้ดูแล มีองค์กร หรือหน่วยงานใดบ้างที่สามารถให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำกับพวกเขาได้
◾️เพื่อนบ้านประคับประคอง
สิ่งหนึ่งที่ทาง Peaceful Death ทำเพื่อช่วยสนับสนุนให้เกิดการอยู่ดีและตายดี คือ โปรแกรมเพื่อนบ้านประคับประคอง โดยทำให้คนในชุมชนเขารู้จักเรื่องการดูแลแบบประคับประคองตั้งแต่ยังไม่แก่ และไม่ต้องรอให้เจ็บป่วยจนรักษาไม่ได้ ให้เขาได้รู้ว่าเขามีทางเลือกอะไรบ้าง เมื่อเดินทางไปถึงจุดนั้น
จริง ๆ แล้วมันคือการดูแลขั้นพื้นฐาน ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร บางครั้งญาติก็ตกใจเพราะรู้สึกว่าเขาต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ผู้ป่วยอยากได้มากที่สุดก็คือการดูแลชีวิตประจำวันให้สุขสบาย ด้วยความรักและความใส่ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าการพยายามหาวิธีการรักษาใหม่ ๆ ใช้เครื่องมือที่ทันสมัย หรือรอให้มีตัวยานำเข้าใหม่มารักษาผู้ป่วย
โปรแกรมเพื่อนบ้านประคับประคองจึงชวนให้คนในชุมชนได้มาเรียนรู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัว และการดูแลแบบประคับประคองเป็นสิ่งที่เราสามารถช่วยเหลือ ดูแลกันได้ และการที่มีเพื่อนบ้านที่เข้าใจเรื่องนี้ ก็จะทำให้มีคนคอยแวะมาถามไถ่ มาดูแล เวลาที่ชุมชนมีผู้สูงอายุอยู่กันเองโดยไม่มีลูกหลาน หรือผู้ดูแล ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
◾️ศิลปะแห่งการดูแล
ในมุมของความเป็นเเพทย์จะต้องเข้าใจครอบครัวหรือญาติผู้ป่วยก่อนว่า การที่เขาอยากให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาเยอะ ๆ อยากให้ช่วยผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด นั่นเป็นเพราะความรักที่เขามีต่อผู้ป่วย เราอาจจะลองเสนอทางเลือกให้เขาเข้าใจก่อนว่านอกจากการรักษาแบบปกติแล้วมันยังมีทางเลือกอะไรบ้าง เพื่อให้เขารู้ว่ามันมีทางเลือกอื่นในการดูแลอยู่ ถ้าเขาเข้าใจรูปแบบของ Palliative Care จริง ๆ ว่ามันไม่ยื้อ มันไม่เร่ง มันสุขสบายกว่า มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เขาก็จะเลือกทางนี้ ซึ่งทุกวันนี้วิทยาการทางกา่รแพทย์มันล้ำหน้าไปมาก ๆ ก็อยากให้บาลานซ์รูปแบบการรักษาอย่างเหมาะสม
ในมุมของครอบครัวหรือผู้ดูแล เราต้องเข้าใจว่าในกระบวนการรักษามันจะมีช่วงขึ้น ๆ ลง ๆ บางครั้งร่างกายของผู้ป่วยก็ไม่ตอบสนองต่อวิธีรักษาหรือยาที่ได้รับ ถ้าเรารู้สึกเสียใจ รู้สึกเศร้า เราก็อนุญาตให้ตัวเองเศร้าได้ ร้องไห้ได้ หรือบางครั้งเวลาที่เราเป็นผู้ดูแลมันอาจเกิดความาขัดแย้งในใจว่า บางครั้งเราก็อยากใช้ชีวิต ทำสิ่งที่เราชอบ เราอยากทำ แต่เราก็ต้องลดการทำบางอย่างที่เราชอบลง พยายามทำให้การดูแลเป็นเรื่องที่เป็นศิลปะมากขึ้น ไม่ใช่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราต้องต่อสู้ หรือเอาชนะเพียงอย่างเดียว บางครั้งถ้าหากเราเข้าใจธรรมชาติของตัวโรค มันก็จะช่วยทำให้เราสนุกกับกระบวนการที่เราดูแลกัน ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในกระบวนการดูแลแบบประคับประคอง
จริง ๆ แล้วทุกอย่างอาจต้องกลับมาเริ่มต้นที่การรู้เท่าทันความตาย เพราะถ้าเรารู้เรื่องนี้ เราก็จะเริ่มตระหนัก วางแผน แสวงหาความรู้ แล้วก็จะทำให้เราเข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ ที่นำไปสู่การอยู่ดีและตายดีได้ง่ายขึ้น
ถ้าหากการมีชีวิตอยู่เป็นความสวยงามอย่างหนึ่ง การจากลาก็สามารถเป็นศิลปะที่สวยงามได้เช่นเดียวกัน เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าในทุกวันเมื่อมันได้ทำหน้าที่มอบแสงสว่างและพลังงานให้กับทุกชีวิตอย่างสมบูรณ์ตลอดวันแล้ว สุดท้ายไม่ว่าเราจะเลือกแบบไหน อย่างไร ก็ขอให้เราเข้าใจ และมั่นใจว่าทางเลือกนั้นเป็นสิ่งที่เราได้เลือกมาอย่างดีและเหมาะกับชีวิตของเรามากที่สุดแล้ว
Palliative Care เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเราในช่วงท้ายของชีวิต ไม่ใช่การที่เรายอมจำนนให้กับความตาย แต่เป็นการที่จะปฏิเสธที่จะให้ความเจ็บปวดเป็นตัวกำหนดคุณค่า หรือความหมายในการใช้ชีวิตช่วงท้ายของเรา
▪ขอบคุณภาพจาก Death Fest▪

#มนุษย์ต่างวัย #ดูแลแบบประคับประคอง

26/03/2025

มีคนถามท่านติช นัท ฮันท์ ว่า “คนเราตายแล้วไปไหน?”

ท่านตอบว่า ก้อนเมฆบนฟ้าไม่อาจเป็นเมฆตลอดไป ถึงจุดจุดหนึ่ง มันก็แปลงเป็นฝน หรือหิมะ หรือลูกเห็บ

มันไม่มีวันตาย มันเพียงแต่แปลงไปอยู่ในรูปอื่น

ท่านบอกยิ้มๆ ว่า ท่านเองก็จะไม่มีวันตายเช่นกัน

เพราะความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนรูปเท่านั้น

ผมเขียนเรื่องสั้นนิยายวิทยาศาสตร์มา 40-50 เรื่อง ในบรรดาเรื่องสั้นไซไฟทั้งหมด มีเพียงเรื่องเดียวที่วนเวียนในหัวผมตลอด เป็นเรื่องที่ส่งแรงต่อชีวิตตัวเองมากที่สุด เพราะเรื่องนี้เป็นทั้งไซไฟและปรัชญาชีวิต

คือเรื่องสั้น ภพสุดท้าย ในชุด เดือนช่วงดวงเด่นฟ้าดาดาว

ในไซไฟเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์ใช้วิทยาการใหม่ดึง ‘จิต’ ของตัวละครเอกไปใส่ในอณูของต้นถั่ว เมื่อถั่วต้นนั้นตาย อณูที่ประกอบเป็นต้นถั่วก็สลายแยก จิตเกาะไปกับอณูนั้นแล้ว ‘เกิดใหม่’ ในรูปใหม่ บางครั้งเป็นสิ่งมีชีวิต บางครั้งเป็นสิ่งไร้ชีวิต กลายเป็นส่วนหนึ่งของกุ้ง ปลา ต้นไม้ บ้าน ฯลฯ รูปแล้วรูปเล่า

จิตนั้นสามารถรับรู้ความรู้สึกของรูปใหม่ เดินทางเปลี่ยนรูปเปลี่ยนภพไปไม่สิ้นสุด จนเวลาของโลกยุติ โลกมนุษย์สิ้นสลายตามธรรมชาติของมัน จิตก็ยังคงเดินทาง เป็นธุลีดาวลอยล่องในดาราจักร เปลี่ยน ‘ภพ’ ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมันก็กลายเป็นรูปใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว

แนวคิดของเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็มาจากหลักพุทธ ที่มองว่าชีวิตเป็นเพียงการประชุมเข้าด้วยกันของธาตุต่างๆ เมื่อเลิกประชุม ชีวิตก็ยุติรูปนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน

เข้าใจดังนี้ก็จะไม่ฟูมฟายเมื่อเห็นความตาย เพราะมองความตายในอีกมุมหนึ่ง

หรืออาจมองได้ว่าจักรวาลไม่เคยมีความตาย มีแต่การกลายรูป

ในทางพุทธมีการบำเพ็ญกรรมฐานอย่างหนึ่งเรียกว่า อสุภกรรมฐาน

อสุภแปลว่าซากศพ กรรมฐานหมายถึงอุบายทางใจ

อสุภกรรมฐาน แปลว่า กรรมฐานที่ยึดเอาซากศพเป็นอารมณ์ เพื่อให้เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร

หลายคนได้ยินเรื่องนี้แล้วไม่อยากฟัง เพราะชวนแหวะ แต่ลองเปลี่ยนคำว่า ‘ซากศพ’ เป็น ‘กลุ่มอะตอม’ อาจทำให้รู้สึกขยะแขยงหรือน่ากลัวลดลง

คำว่าซากศพมีนัยของความสิ้นสุดเปลือกนอก เข้าสู่สภาวะเดิม เมื่อเข้าใจการเกาะเกี่ยวชั่วคราวเป็นกายหยาบของมนุษย์ ก็ทำให้เราลดความยึดมั่นถือมั่นลง

ทั้งอสุภกรรมฐานและการรวม-แยกของอะตอมก็มีหลักการเหมือนกันคือ ชีวิตเป็นการรวมกันและแยกกันของธาตุ เป็นวัฏจักร ทุกครั้งที่รวมกัน จะอยู่ในรูปใหม่

ในมุมมองนี้ ธรรมชาติจึงไม่มีการเกิดหรือการตาย มีแต่การเปลี่ยนรูป

เราทุกคนเป็น transformer แห่งจักรวาล

มองในมุมนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องยินดีเมื่อมีการเกิดหรือเสียใจเมื่อมีการตาย

มันทำให้เราเข้าใจความตายใหม่

เราไม่เคยตาย เราแค่เปลี่ยนรูป

(อ่านบทความต่อเนื่อง https://www.facebook.com/photo?fbid=1250245743130781&set=a.208269707328395)
.........................

จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้สองเท้าพาไป / วินทร์ เลียววาริณ

https://www.winbookclub.com/store/detail/226/ปล่อยให้สองเท้าพาไป
หรือ The Meb

26/03/2025
26/03/2025

ครูอ๊อด-วรรณวิภา มาลัยนวล คือหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนเรื่องการตายดีกับกลุ่ม Peaceful Death แล้ววันหนึ่งชีวิตก็พลิกผัน ต้องดูแลแม่สามีที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ เธอจึงประจักษ์ถึงความท้าทายและปัญหาที่เหล่า ‘ผู้ดูแล’ หรือ Caregiver ต้องเผชิญ

หลังผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาได้ เธอจึงตั้งใจนำความรู้มาทำงานช่วยเหลือเหล่าผู้ดูแล ทั้งร่วมจัดเวิร์กช็อป Care Club ดูแลจิตใจให้ผู้ดูแลในสถานสงเคราะห์ มีเครื่องมือ ‘ไพ่ฤดูฝน’ ในการพูดคุยเพื่อสำรวจภายในจิตใจ รวมทั้งให้บริการให้คำปรึกษาแก่เหล่าผู้ดูแลผ่านทางโทรศัพท์

ครูอ๊อดเชื่อว่า ผู้ดูแลมีส่วนสำคัญกับผู้ป่วย และผู้ดูแลก็ควรได้รับการดูแลทั้งร่างกาย-จิตใจอย่างดีไม่แพ้กัน คอลัมน์ Little Big People จึงจะพาไปสำรวจสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ดูแลมีสุขภาพใจที่แข็งแรงและไม่หมดไฟ อ่านต่อได้ที่ https://readthecloud.co/wanwipa-malainual/

นอกจากนี้ ครูอ๊อดจะนำกระบวนการ ‘ดูแลผู้ดูแล’ มาเปิดเวิร์กช็อปในงาน Death Fest 2025 : Better Living, Better Leaving. งานแฟร์ที่รวบรวมบริการและองค์ความรู้เพื่อการอยู่ดี-ตายดี ไว้อย่างครบวงจร ในวันที่ 21 - 23 มีนาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ IMPACT Exhibition Hall 6

#ผู้ดูแล #ผู้ป่วยระยะท้าย

05/01/2025
27/07/2024

ชีวิต คือ เรื่องเล่า
และ เรื่องเล่า ก็คือ ชีวิต

เรื่องเล่าจากลูกสาว 2 คน ถึง ชายหนุ่มคนหนึ่ง
ชายหนุ่ม…จากคนรู้จักกลายเป็นคนรัก กลายเป็นสามี กลายเป็นพ่อ และกลายเป็น ‘พระเอก’ ในที่สุด

เมื่อเรามองย้อนไปในชั่วระยะเวลา 80+ ขวบปี ของ ชีวิต ‘พระเอก’ คนนี้
พระเอกคนนี้ บอกอะไรกับเราบ้าง

“กล้าหาญเป็นที่สุด”
มีไม่กี่คนนัก ที่กล้าที่จะเลือกตอนจบของชีวิตด้วยตนเอง ในเมื่อเห็นว่า กายที่ป่วยไม่ใช่ชีวิตที่ต้องการ

“ความทุกข์ที่สุด ไม่ใช่ช่วงขณะที่กายป่วย”
สำหรับคนทั่วไป ช่วงที่ “กาย” ป่วย น่าจะเป็นช่วงที่ “ใจ” เป็นทุกข์ไม่น้อย
แต่สำหรับเขา “กายป่วย ใจไม่ป่วย”

“การบอกรักไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ใช่ ว่าไม่รัก”

เหมือนผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้
การบอกรัก คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
แต่ทุกการกระทำของเขา สะท้อนบอกถึง “ความรัก” ได้อย่างงดงาม
(ตุ๊กตาบาร์บี้สื่อรักจากพ่อถึงลูกสาว ช่างเป็นซีนสุดแสนประทับใจ)

“ช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ ไม่สำคัญไปกว่า คุณภาพชีวิต”

ชีวิตที่ไม่ได้กินอะไรอร่อยๆ นั่นไม่ใช่ชีวิต

ชีวิตที่อยู่ต่อได้ด้วยยาหรือสายระโยงระยาง นั่นไม่ใช่ชีวิต

ชีวิต คือ การได้กลับบ้านและอยู่แวดล้อมในช่วงท้ายพร้อมกับคนที่เขารัก

ระยะเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ท้ายที่มีความสุข อาจจะมีความหมายเพียงพอแล้ว

“การให้อภัยทาน คือ ทานอันยิ่งใหญ่”

คำว่า “ขอโทษ” อาจจะไม่ง่ายนักสำหรับใครบางคน

แต่จะยิ่งยากนักหากมีใครอีกคนรอคอยคำๆ นี้

เพียงแค่ได้รับคำขอโทษ - ใจก็เบา กายก็วางและปล่อยได้ในที่สุด

“มนุษย์ทุกคน ล้วนไม่ต่างกัน”

ทุกครอบครัวล้วนคือส่วนประกอบ ของความรักและความเกลียดชัง

พ่อแม่อาจจะแสดงออกว่า รักลูกไม่เท่ากัน

การไม่เปิดใจสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาระหว่างขวบปีของชีวิตคือ การผสมกันของช่วงเวลาสุขและทุกข์ หมุนเวียนกันไป

“การจากกันอย่างสวยงามมีอยู่จริง”

บางชั่วขณะ อาจจะมองว่า ความตาย ดูน่ากลัวและโหดร้าย

แต่ในความเป็นจริง

การได้บอกรัก
การได้อำลากัน
การได้ให้อภัยซึ่งกันและกัน
การได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับคนที่คุณรักทำให้ความน่ากลัวและ ความโหดร้ายเปลี่ยนเป็น ความสวยงาม

“อย่ารอให้จนถึงวันสุดท้าย”
หากอยากจะกอดใครซักคน จงเข้าไปสวมกอดเขาคนนั้นในวันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป

“การได้พบเจอฮีโร่ ทันเวลา”

การได้เปิดใจและทำความเข้าใจกันในระยะท้ายคือช่วงเวลางดงามของชีวิต

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำสิ่งนี้ได้ทันเวลา

อย่ารอให้ถึงวันสุดท้าย เพราะวันและเวลานั้นอาจไม่มีวันมาถึง

“คิดถึง”
คือคำที่ได้ยินอีกครั้งจากคนที่ยังอยู่

เราสามารถออกแบบกิจกรรม In loving memory ในความทรงจำแห่งรัก เพื่อเติมเต็มส่วนสำคัญที่ขาดหายไปในครอบครัวโดย inbox เข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดในการขอจัดกิจกรรม In loving memory ให้กับเพื่อนๆได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น


#ในความทรงจำแห่งรัก
บี #คุณพ่อกิตติ

ที่อยู่

Dusit

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Palliative care : KMผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Our Story

ข่าวคราว ความเคลื่อนไหว ความรู้อะไรๆ เกี่ยวกับ Palliative care