อวัยวะภายในร่างกายของคนเราล้วนทำหน้าที่สอดคล้องเกี่ยวพันกัน หน้าที่หลักของตับคือการ “ขับพิษ” ตับมีหน้าที่กรองสารพิษและควบคุมกระบวนการเผาผลาญน้ำตาล ไขมัน โปรตีน รวมทั้งกระบวนการหมุนเวียนสร้างสารตั้งต้นสำคัญ เช่น กรดอะมิโน วิตามิน น้ำดี ฯลฯ ดังนั้น ตับจึงเป็นอวัยวะที่เกิดเป็นพิษได้ง่าย
ตับไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นไม่ว่าอวัยวะนี้จะเกิดปัญหาอย่างไรก็จะไม่ปรากฏอาการเจ็บป่วยที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามสุขภาพของตับไป หญิงและชายที่ตับผิดปกติ วิธีการดูแลรักษาจะมีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน แล้วจะสังเกตได้อย่างไรว่าอวัยวะสำหรับขับพิษนี้กำลังผิดปกติ 16 ข้อ ดังต่อไปนี้เป็นวิธีการสังเกตสุขภาพของตับด้วยตนเอง
2.ตาแห้งหรือตาแข็ง การมองเห็นถดถอยลง
3.ผมมัน หน้ามัน
4.ถ่ายเหลว มีกลิ่นเหม็นคาว เหนียว กดชำระล้างยาก
5.ท้องอืด เรอ ระบบย่อยอาหารไม่ดี ช่วงเอวมีชั้นไขมันเพิ่มขึ้น
6.เวลานอนหลับน้ำลายไหล กรน มีกลิ่นปาก ปากแห้งขม มีกลิ่นตัว
7.ปวดศีรษะ วิงเวียน ไร้เรี่ยวแรง ในลอย
8.หน้าซีด ไม่มีเลือดฝาก โหนกแก้มอาจมีฝ้า
9.ปวดขา ปวดบ่า ปวดหลัง ชาตามแขนขา
10.อารมณ์แปรปรวน โมโหร้าย ซึมเศร้า เบื่อหน่าย
11.รู้สึกเหนื่อย ขี้เกียจแม้แต่จะพูด ขี้หลงขี้ลืม
12.ท้องน้อยขยาย มีแก๊สในท้อง ตัวบวม
13.เลือดออกตามไรฟัน แผลมักเป็นหนอง
14.นอนไม่ค่อยหลับ หลัยไม่สนิท ฝันบ่อย
15.หน้าอก แผ่นหลังมีไฝแดง เล็บมีรอยเส้นชันเจน
16.เต้านมขยาย ปวดประจำเดือน มือเท้าเย็น
หากคุณมีอาการดังที่กล่าว 2 อาการขึ้นไปก็ควรจะต้องใส่ใจสุขภาพตับของคุณแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจเกิดโรคที่ร้ายแรงยิ่งกว่า
อารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับตับ เช่น เมื่อคนเราเกิดอารมณ์โกรธง่ายและบ่อย จะส่งผลให้เส้นลมปราณตับติดขัด กระทบต่อประสิทธิภาพ การลำเลียงอาหารส่งผลให้ระบบการย่อยถอถอยลง ดังนั้น คนที่โกรธมักจะไม่อยากอาหาร ตับมีหน้าที่ช่วยกนเก็บเลือด หากเลือดหล่เลี้ยงตับไม่เพียงพอจะทำให้การทำงานของตับขาดประสิ่ทธิภาพ ทั้งยังไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้หมดสิ้น
ปรึกษาอาการและการฟื้นฟูตับ ผ่านช่องทางไลน์ คลิ๊ก
“โรคไต” เป็นหนึ่งในโรคที่ใครหลายคนไม่อยากเป็น เพราะนอกจากจะทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือในเรื่องของอาหารการกิน และคุณภาพชีวิตโดยทั่วไปแล้ว ยังเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องทำการรักษาเป็นระยะเวลายาวนาน นอกจากจะต้องเสียเวลาไปมากแล้ว ยังเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกด้วย
สัญญาณอันตราย “โรคไตเรื้อรัง”
คลื่นไส้ อาเจียน
ความดันโลหิตขึ้นสูง
ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะน้อยแต่บ่อย ปัสสาวะมีฟอง หรือมีเลือดปน เป็นต้น
นอนราบไม่ได้ หายใจลำบาก
ตัวบวม เท้าบวม กดแล้วบุ๋ม
เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียอยู่บ่อยๆ
อันตรายของโรคไต
เมื่อไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองน้ำ และกำจัดของเสียรวมทั้งสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม จึงทำให้ไตทำงานเสื่อมลงจนหน่วยไตเหลือน้อยกว่าร้อยละ 10 ก็จะมีของเสียคั่งในกระแสเลือดและมีอาการต่างๆ ตามมา
นอกจากนี้ ความสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ตลอดจนความเป็นกรด-ด่างในเลือดก็จะถูกทำลาย และยังส่งผลกระทบถึงการสร้างเม็ดเลือดแดง และวิตามินดี เพราะไตไม่อาจควบคุมการสร้างฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดแดง และวิตามินดีให้กับร่างกายได้อีกด้วย
ดังนั้น หากใครมีอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายดังกล่าว อย่านิ่งนอนใจ เพราะอาจหมายถึงโรคไตเรื้อรังที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของคุณแย่ลงไปถนัดตา
ปรึกษาอาการและการฟื้นฟูไต ผ่านช่องทางไลน์ คลิ๊ก
โรคหลายโรคมักมากับอาหารการกิน และหนึ่งในอวัยวะที่มีอาการผิดปกติง่ายที่สุด ก็คือลำไส้ กว่าจะรู้ตัวว่าลำไส้มีปัญหา บางคนก็ทนทุกทรมานทานยาที่แก้ปัญหาไม่ตรงจุดอยู่นาน จนสุดท้ายก็ต้องไปจบที่โรงพยาบาล แต่ถ้าหากเราสังเกตตัวเองเราก็จะไม่มีโรคอะไรมาเยือนได้ง่ายๆ ซึ่งสามารถสังเกตสัญญาณอันตรายที่เป็นอาการบ่งบอกว่าลำไส้ผิดปกติได้ดังนี้
5 สัญญาณเตือน ลำไส้ผิดปกติ
1. ท้องอืด ท้องเฟ้อ
อาการเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้หลายคนมองข้าม แล้วหายามาทานให้มันจบๆ ไป จริงๆ ถ้าหากมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อยครั้ง กล่าวคือมากกว่า 1 ครั้งภายใน 1 อาทิตย์ ต้องมาพบแพทย์ เพราะลำไส้อาจทำการย่อยอาหารได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
2. ท้องผูก
เมื่ออาหารไม่ย่อย หรือย่อยไม่ละเอียด ทำให้กากใยอาหารที่พร้อมจะขับถ่ายออกไปเป็นอุจจาระผิดปกติไปด้วย หากมีอาการท้องผูกอยู่บ่อยครั้ง อาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคริดสีดวงทวารได้อีกต่างหาก
3. ร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่ำ
ถ้าเป็นหวัด ไม่สบาย อาจเป็นเพราะว่าสุขภาพของลำไส้คุณไม่สู้ดีด้วยก็ได้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันส่วนใหญ่ก็อยู่ในระบบลำไส้ หากลำไส้ขาดความสมดุล ก็อาจทำให้ร่างกายขาดสมดุลไปด้วย ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคต่ำลง
4. เซื่องซึม อ่อนเพลีย ไม่สดใส
อาการเหนื่อยง่าย เพลียง่าย อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของลำไส้ เช่น โรคลำไส้รั่ว ดังนั้นหากมั่นใจว่าพักผ่อนเพียงพอ ไม่ได้ทำงานหนัก หรือเครียดจนเกินไป อาจเป็นเพราะความผิดปกติของลำไส้
5. ปวดท้องเฉียบพลัน
อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไร้สาเหตุ อาจเป็นผลมาจากการทำงานของลำไส้ที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันได้เช่นกัน สามารถเป็นไปได้ตั้งแต่มีแก๊สอยู่ในท้องมากเกินไป ไปจนถึงเป็นโรคลำไส้อักเสบ ลำไส้รั่ว หรือติดเชื้อในลำไส้ จนเป็นเหตุให้มีอาการอื่นๆ ตามมา เช่น คลื่นไส้ ถ่ายท้อง เป็นต้น
ระบบลำไส้เป็นอีกระบบหนึ่งในร่างกายที่สำคัญ ดังนั้นควรใส่ใจให้ความดูแลด้วยการทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ตรงเวลาทั้ง 3 มื้อเป็นประจำ เลือกทานเฉพาะอาหารที่สะอาดถูกหลักอนามัย ไม่อดอาหาร หรือทานจนมากเกินไป รวมไปถึงหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และอาหารดิบ เท่านี้ลำไส้ก็จะแข็งแรง ทำงานได้อย่างปกติ
ปรึกษาอาการและการฟื้นฟูลำไส้ผิดปกติ ผ่านช่องทางไลน์ คลิ๊ก
16 สัญญาณอันตราย...ที่บ่งบอกว่าร่างกายของคุณมี "สารพิษสะสม"
1. ร่างกายเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง เซื่องซึม
2. รู้สึกปวดหัว มึนๆ หรือถึงขั้นเหมือนปวดไมเกรน
3. ภูมิต้านทานโรคต่ำ ไม่สบายเป็นหวัดได้ง่าย
4. ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
5. มีอาการเป็นโรคภูมิแพ้ แพ้บ่อยๆ เช่น แพ้กลิ่น แพ้อากาศ
6. ระบบขับถ่ายมีปัญหา ท้องเสีย ท้องผูก
7. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและตามข้อต่างๆ
8. เป็นผดผื่นและสิวขึ้น
9. มีกลิ่นปากและเป็นแผลในช่องปลา
10. นอนหลับยาก หากตื่นนอนก็รู้สึกพักผ่อนไม่เพียงพอ
11. มีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหาร จุดเสียด แน่นท้อง
12. อารมณ์แปรปรวนง่าย
13. ผิวแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำ ทำให้เกิดริ้วรอยง่าย
14. น้ำหนักขึ้นหรือเกิน
15. ความรู้สึกเหมือนสมองไม่ปลอดโปร่ง ความจำสั้น คิดอะไรไม่ค่อยออก
16. สมรรถภาพทางเพสเสื่อม ไม่มีอารมณ์ทางเพศ
ปรึกษาอาการและการฟื้นฟูสารพิษตกค้างในกระแสเลือด ผ่านช่องทางไลน์ คลิ๊ก