29/09/2025
นอกเหนือได้จากยาและจิตบำบัดแล้ว วิธีที่ได้เป็นการรักษาคือ การออกกำลังกายในระดับรักษา, และ rTMS/tDCS ส่วนการปลูกถ่ายไมโตคอนเดรีย, การใช้ exosomes และสเต็มเซลล์ยังอยู่ในระดับงานวิจัยค่ะ
🌱 ส่วนวิธีปรับคุณภาพชีวิตอื่นๆ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล (Social intervention), การปรับการนอนหลับ, music therapy, การทำสมาธิ ฯลฯ ก็มีส่วนช่วยเสริมด้วยค่ะ
✨ มีคนถามเข้ามาเยอะว่า งานวิจัยปัจจุบันเดินไปถึงไหนแล้ว หรือใช้แต่ยา วันนี้เลยมา intro คร่าวๆ ถึงวิธีการรักษาอื่นนอกเหนือจากยาและจิตบำบัด ที่ทั้งใช้จริงแล้ว และกำลังอยู่ในงานวิจัยค่ะ
💊 ก่อนจะไปถึงการรักษาวิธีอื่น ขอเน้นก่อนว่า
ปัจจุบันวิธีการรักษาหลักยังเป็นการกินยาต้านเศร้า และการทำจิตบำบัด เพื่อฟื้นฟูเซลล์ประสาทกลับทำงานได้ปกตินะคะ
แต่มีหลายเคสดื้อต่อการรักษาหลัก (Treatment-resistant depression: TRD) กลุ่มนี้ต้องใช้วิธีอื่นร่วมหลากหลายแบบผสมผสานกันค่ะ
⸻
🏃♂️ 1. ออกกำลังกาย
แม้ว่าเราจะสนับสนุนให้ทุกคนเริ่มออกกำลังกายก่อน เพื่อทำให้เป็นนิสัย โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยออกเลย หรือไม่ใช่สายนี้ ออกแล้วทรมาน แนะนำให้เริ่มก่อน วิธีไหนก็ได้
แต่ถ้าถามว่า ตามที่มีข้อมูลจริงจังคือออกในระดับ “รักษา“ ต้องวิธีไหนและขนาดไหน ก็ดังนี้ค่ะ
📑 paper ส่วนใหญ่มักจะศึกษา
☑️ Moderate continuous training (MCT): คือออกแบบแอโรบิกแบบต่อเนื่องเลย 30–60 นาทีโดยไม่หยุด จะเป็นเดินเร็ว (Brisk walking), ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำได้ แต่ต้องทำตลอด ความหนักระดับปานกลาง วัดโดย 50–70% VO₂max หรือทำชีพจรได้ 65–75% ของค่าสูงสุด (คำนวณจาก 220 ลบ อายุ) หรือถ้าไม่มีที่ตรวจจับชีพจร เอาแบบคร่าวๆ คือ ออกให้เหนื่อยในระดับยังพูดได้
☑️ High-Intensity Interval Training (HIIT): คือเป็นเซ็ตจากออกกำลังกายที่มีช่วงความหนักสูง (≥ 85–90% VO₂max หรือชีพจรเกือบแตะสูงสุด) สลับกับช่วงพัก/เบา (ชีพจร 40–50% ของค่าสูงสุด) เช่น 4 นาทีหนัก + 3 นาทีเบา หรือ 1 นาทีหนักสุด สลับกับ 1–2 นาทีเบา วนไปจนครบ 20–30 นาที ซึ่งวิธีการออกมีหลากหลายมาก ที่เข้าถึงง่ายสุดคือ วิ่งสลับเดิน (แต่ช่วงวิ่งต้องทำความหนักให้ถึงจริง), ปั่นจักรยานที่มีช่วงปั่นเต็มแรง, Plyometric เน้นกระโดด (กระโดดตบ/เชือก), Strength HIIT จะมีผสมท่าที่ใช้ body weight เช่น วิดพื้น, สควอท ที่เห็นภาพสุดที่เคยดังในอดีตคือ T25 cardio/speed
📌 ผลการศึกษาพบว่า MCT ทั้งลด marker การอักเสบและลดการซึมเศร้าได้ดี แต่ถ้า HIIT ช่วงแรกๆ จะมีอักเสบเพิ่ม (แต่เพิ่มทั่วๆ นะ) แต่ผลระยะยาวคือดี
โดยถ้ายิ่งความรุนแรงในระดับหนัก จะได้ BDNF สูงขึ้นชัดเจนกว่าระดับปานกลาง ซึ่งตัวนี้คือสารงอกปลายประสาท
ในทางปฏิบัติไม่ว่าคุณจะเริ่มด้วยการออกกำลังกายแบบใดก็ตาม แต่ถ้าทำได้ต่อเนื่องแล้ว ควร step แบบแอโรบิกมาสุดที่ MCT ไม่ก็ HIIT ค่ะ
และมีช่วงสลับกับออกแบบ resistant exercise จะเล่น weight ก็ได้ หรือจะใช้ยางยืดก็ได้ค่ะ (ซึ่งถ้าทำแบบ Strength HIIT มาก็จะได้ส่วนนี้บ้าง)
ถ้ามีสุขภาพด้านอื่นดี ยังไม่ใช่ผู้สูงอายุ ทำไปถึง HIIT + strength exercise ได้ยิ่งดีค่ะ แต่ถ้าไม่ไหว หรือมีข้อจำกัด อย่างน้อยควร MCT
⸻
🧲 2. การรักษาด้วยแม่เหล็ก (TMS) หรือกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ (tDCS)
สมองของโรคซึมเศร้าจะมีทั้งจุดฝ่อจนทำงานน้อยผิดปกติ (เช่น dlPFC, hippocampus) หรือทำงานรุนแรงมาก (Amygdala, sgACC) ดังนั้นถ้าไปกระตุ้นในส่วนที่ทำงานน้อย หรือยับยั้งในส่วนที่ทำงานมาก ก็จะทำให้จุดนั้นทำงานดีขึ้น และถ้าทำซ้ำก็จะได้สาร BDNF เหมือนกับวิธีอื่นเลย
2.1 TMS
โดยหลักการทำงานของการกระตุ้นด้วยแม่เหล็ก (Transcranial magnetic stimulation: TMS) คือการใช้อุปกรณ์ที่สามารถเปลี่ยนสนามแม่เหล็กเร็วๆ วางแนบศีรษะค่ะ
จากกฎของ Maxwell ข้อที่ 3 (หลักการเหนี่ยวนำของฟาราเดย์) ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กเกิดขึ้น (∂B/∂t) จะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามไฟฟ้าลักษณะไหลวนตามกฎมือขวา (∇ x E)
หรือก็คือใส่สนามแม่เหล็กแล้ว เหนี่ยวนำให้เซลล์ประสาทนั้นเกิดการสร้างไฟฟ้ามากขึ้นหรือน้อยลงได้ (แล้วแต่ทิศ) ค่ะ
⚠️ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คอมเมนต์อาจารย์ Somros MD Phonglamai ในโพสต์ได้เลยค่ะ ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน TMS
2.2 tDCS
⚡ ส่วนหลักการทำงานของการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า (Transcranial Direct Current Stimulation; tDCS) คือ ใช้ขั้วแอโนด - แคโทด (แบบที่เรียนในเคมีมัธยมค่ะ พอจำได้มั้ย) สร้างไฟฟ้ากระแสตรงแอมป์ต่ำๆ ผ่านสมอง
ซึ่งมันจะต่ำไป ไม่พอสำหรับการกระแสประสาทของสมองจุดนั้น แต่มันจะเปลี่ยนสิ่งที่เรียกว่าศักย์ไฟฟ้าระยะพัก (Resting membrane potential) ทำให้จุดนั้นมีความสามารถในการสร้างกระแสประสาทได้ถี่ขึ้น หรือถี่น้อยลง
📌 ในทางปฏิบัติตัว TMS มีใช้จริงเยอะกว่า มีการวิจัยแบบเป็นระบบ (RCT/Meta-analysis) มักใช้ในเคสที่ TRD (ดื้อต่อการรักษา)
⸻
🔬 3. การรักษาอื่นๆ ที่ยังอยู่ในระดับสัตว์ทดลอง แต่เป็นความหวังที่จะพัฒนามาสู่การใช้จริง
3.1 การใช้ Exosome:
Exosome คือเป็นถุงบรรจุอะไรก็ได้ค่ะ ส่งไปมาระหว่างเซลล์ ให้มองมันเหมือนรถบรรทุกค่ะ ที่งานวิจัยทำคือ ให้มันขนสิ่งที่เรียกว่า microRNA (ไม่ใช่ mRNA นะ)
มันคือชิ้นส่วน RNA เล็กๆ ที่ทำหน้าที่ไปเล็งยับยั้งการโปรตีนบางตัวค่ะ ซึ่งโปรตีนที่มันเล็ง จะเป็นพวกโปรตีนก่ออักเสบในสมองโดยตรง เพื่อลดการทำร้ายเซลล์ประสาท และปรับการงอกของปลายประสาท
3.2 การใช้สเต็มเซลล์ชนิด Mesenchymal stem cell (MSC)
สเต็มเซลล์มีหลายประเภทนะคะ พูดแล้วยาว เอาแค่สเต็มเซลล์สายพันธุ์ mesenchyme ก่อน มันคือ ‘ต้นกำเนิด’ ของเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพันค่ะ เช่น เม็ดเลือด, เซลล์สร้างเส้นใย ฯลฯ
หลักการคือให้สเต็มเซลล์ตัวนี้แปลงร่างเป็นเม็ดเลือดที่มันหลั่งสารต้านอักเสบ หรือถุงบรรจุต้านอักเสบ (EVs) ซึ่งไปเกิดที่สมองโดยตรง
3.3 การปลูกถ่ายไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial transplantation)
หลักการคือโรคซึมเศร้าจุดที่สมองทำงานผิดปกติ ในระดับเซลล์ประสาทคือ ไมโตคอนเดรียของเซลล์นั้นก็พังด้วย คือผลิตพลังงาน (ATP) ได้น้อย แถมผลิตสารอนุมูลอิสระได้เยอะ
ดังนั้นวิธีการรักษานี้คือ แยกไมโตคอนเดรียดีๆ ออกมา อาจจะมาจากผู้บริจาค หรือเซลล์อวัยวะอื่นของผู้ป่วยเองที่ปกติ แล้วอาจจะส่งไปตรงๆ , หรือใส่ในรถบรรทุก exosome, หรือใส่ผ่านเซลล์ เพื่อให้มันไปส่งให้เซลล์ประสาทค่ะ
3.4 ถ่าย plasma
ใน paper พบว่าการถ่าย plasma จากสัตว์ทดลองปกติที่อายุน้อยกว่า ไปยังสัตว์ทดลองที่อายุมากกว่า + มี depression ทำให้อาการสัตว์ทดลองลดลงได้ค่ะ เพราะใน plasma มีสารสัญญาณหลากหลายชนิดที่ช่วยได้
แต่ใดๆ คือยังไม่มีการคิดต่อว่าในคนจะต่อในมุมไหน
⸻
📌 โดยสรุปคือ นอกเหนือได้จากยาและจิตบำบัดแล้ว วิธีที่ได้เป็นการรักษาคือ
การออกกำลังกายในระดับรักษา, และ rTMS/tDCS
ส่วนการปลูกถ่ายไมโตคอนเดรีย, การใช้ exosomes และสเต็มเซลล์ยังอยู่ในระดับงานวิจัยค่ะ
🌱 ส่วนวิธีปรับคุณภาพชีวิตอื่นๆ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล (Social intervention), การปรับการนอนหลับ, music therapy, การทำสมาธิ ฯลฯ ก็มีส่วนช่วยเสริมด้วยค่ะ