
10/10/2025
ข่าวดี! 31% ของผู้ป่วย “ลองโควิด” ที่มีอาการรุนแรง ได้รับการวินิจฉัยพบว่าเป็นภาวะ พอตส์ (POTS) ซึ่งสามารถตรวจยืนยันได้ด้วยการทดสอบเฉพาะทางและสามารถรักษาได้ตามแนวทางมาตรฐาน
กลุ่มอาการ พอตส์ (POTS : Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome) คือภาวะที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ (มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที) เกิดขึ้นทันทีเมื่อเปลี่ยนจากท่านั่งหรือท่านอนเป็นท่ายืน ซึ่งอยู่ในกลุ่มโรคความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system disorder) ทำให้มีอาการ ใจสั่น, เวียนหัว, อ่อนเพลีย, และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น หน้ามืด เป็นลม สาเหตุเกิดจากการที่เลือดไหลเวียนไม่สะดวกเมื่อร่างกายต้องฝืนแรงโน้มถ่วง ทำให้หัวใจต้องปรับตัวเต้นเร็วขึ้น การรักษาอาจรวมถึงการปรับพฤติกรรม, การออกกำลังกายที่เหมาะสม, และการใช้ยา
โดยส่วนใหญ่พบในสตรีวัยกลางคนตอนต้น ภาวะนี้สามารถตรวจยืนยันได้ด้วยการทดสอบเฉพาะทางและรักษาได้ตามแนวทางมาตรฐาน
แถลงงานวิจัย วันที่ 3 ตุลาคม 2568 โดย สถาบัน Karolinska ประเทศสวีเดน
______________________________________
ปัญหาลองโควิดและความหวังใหม่จากการวินิจฉัย
______________________________________
นับตั้งแต่การระบาดใหญ่ของโรค COVID-19 ทั่วโลกได้เผชิญหน้ากับความท้าทายด้านสุขภาพครั้งใหม่ นั่นคือ “ภาวะลองโควิด” (Long COVID) ซึ่งเป็นภาวะที่อาการของโรคยังคงอยู่หรือปรากฏขึ้นใหม่เป็นระยะเวลานานหลังจากการติดเชื้อเริ่มต้น อาการเหล่านี้มีความหลากหลายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การทำความเข้าใจกลไกและลักษณะของอาการเหล่านี้จึงเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วน
ล่าสุด การศึกษาครั้งใหม่จากสถาบัน Karolinska (Karolinska Institutet) ในประเทศสวีเดน ได้เผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างภาวะลองโควิด กับความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจที่หายากชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติเมื่อเปลี่ยนท่าทาง หรือ พอตส์ (POTS : Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome)
นี่คือข่าวดีที่สำคัญที่สุดจากการศึกษา: ผลการวิจัยชี้ว่า 31% ของผู้ป่วย ลองโควิด ที่มีอาการรุนแรงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะ พอตส์ ซึ่ง พอตส์ เป็นภาวะที่ สามารถตรวจพบและรักษาได้ด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน
การยืนยันว่า พอตส์ เป็นสาเหตุหลักของอาการในผู้ป่วยลองโควิดจำนวนมาก ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเข้าถึงและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ดังนั้น การวินิจฉัย พอตส์ อย่างตรงจุดจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการนำผู้ป่วยกลับคืนสู่การใช้ชีวิตตามปกติ
______________________________________
ทำความเข้าใจ พอตส์ และอาการที่ซ้อนทับกับ ลองโควิด
______________________________________
เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการค้นพบนี้อย่างลึกซึ้ง เราจำเป็นต้องทำความรู้จักกับทั้งสองภาวะให้ชัดเจน โดยเริ่มจากอาการลองโควิดและกลุ่มอาการ พอตส์
ภาวะลองโควิด หมายถึงอาการต่างๆ ที่ยังคงอยู่หรือเกิดขึ้นใหม่หลังจากผ่านไปสี่สัปดาห์นับตั้งแต่การติดเชื้อ COVID-19 ครั้งแรก โดยอาการหลักที่ผู้ป่วยลองโควิดมักประสบ ได้แก่ ความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง (Severe Fatigue) อาการสมองล้า (Brain Fog) รวมถึงอาการอื่น ๆ เช่น ปัญหาการนอนหลับ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ อาการเหล่านี้มักไม่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในช่วงแรก เพราะผู้ป่วยหลายรายที่ประสบกับภาวะลองโควิดรุนแรงนั้นเป็นกลุ่มที่ไม่เคยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเลยด้วยซ้ำ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผลกระทบระยะยาวของไวรัส SARS-CoV-2 อาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในผู้ป่วยที่อาการหนักเท่านั้น
ส่วน กลุ่มอาการ พอตส์ คือความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) หัวใจสำคัญของ พอตส์ คือ ภาวะทนต่อการเปลี่ยนท่าทางไม่ได้ (Orthostatic Intolerance) เมื่อเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่ายืน หัวใจจะเต้นเร็วผิดปกติ (Tachycardia) ซึ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกวิงเวียนศีรษะและอยากนั่งหรือนอนลง สำหรับผู้ที่เป็น พอตส์ ร่างกายจะแสดงอาการต่างๆ คล้ายกับอาการที่พบในภาวะลองโควิดอย่างยิ่ง เช่น ความเหนื่อยล้าและสมองล้า ก่อนการระบาดใหญ่ ภาวะ พอตส์ ถือเป็นภาวะที่พบได้ยากมากก่อนยุคโควิด โดยมีรายงานว่าพบในประชากรชาวสวีเดนไม่ถึงร้อยละหนึ่ง
______________________________________
กลไกวิทยาศาสตร์: ไวรัส SARS-CoV-2 ก่อให้เกิด ลองโควิด และ พอตส์ ได้อย่างไร?
______________________________________
เมื่อทราบแล้วว่า พอตส์ คือความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ คำถามต่อไปที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ไวรัส SARS-CoV-2 ใช้วิธีใดในการโจมตีร่างกายจนกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติเหล่านี้ได้?
นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอทฤษฎีกลไกหลัก ๆ ที่เชื่อมโยงการติดเชื้อไปสู่ภาวะลองโควิดและ พอตส์ ไว้ดังนี้
ภาวะ ลองโควิด ไม่ได้มีสาเหตุเดียว แต่เป็นผลจากปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันในร่างกายหลังจากการติดเชื้อไวรัส:
______________________________________
1. ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmunity):
______________________________________
o นี่คือทฤษฎีที่มีความสำคัญสูงสุดและเชื่อมโยงกับ พอตส์ โดยตรง หลังจากการติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้าง แอนติบอดี เพื่อโจมตีไวรัส แต่ในผู้ป่วยบางราย แอนติบอดีเหล่านี้เกิดความผิดพลาด (Molecular Mimicry) และกลับไปโจมตีเซลล์และเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย
o เป้าหมายของ พอตส์ : แอนติบอดีที่ระบบนำวิถีผิดพลาดเหล่านี้พุ่งเป้าไปที่ ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System - ANS) โดยเฉพาะตัวรับสัญญาณ (Receptors) ที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความสามารถในการหดตัวของหลอดเลือด เมื่อตัวรับสัญญาณเหล่านี้ถูกทำลายหรือถูกปิดกั้น ระบบประสาทอัตโนมัติจึงไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้ไม่สามารถรักษาสมดุลของความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเมื่อเปลี่ยนท่าทางได้ ทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ (Tachycardia) และอาการเวียนศีรษะ
______________________________________
2. การอักเสบเรื้อรังและภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่สงบ (Chronic Inflammation):
______________________________________
o แม้ว่าไวรัสจะถูกกำจัดออกจากกระแสเลือดไปแล้ว แต่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยบางรายยังคงทำงานในโหมด "แจ้งเตือน" อย่างต่อเนื่อง (Chronic Low-Grade Inflammation) ร่างกายยังคงหลั่งสารสื่ออักเสบ (Cytokines) ออกมาในระดับสูง ซึ่งการอักเสบที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายนี้เองที่ส่งผลให้เกิดอาการหลักของ ลองโควิด เช่น ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Fatigue) และ สมองล้า (Brain Fog)
______________________________________
3. การคงอยู่ของไวรัส (Viral Persistence / Viral Reservoirs):
______________________________________
o มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเศษซากของไวรัส (Viral Fragments) หรือไวรัสที่ยังคงทำงานอยู่บางส่วนอาจหลบซ่อนตัวอยู่ในอวัยวะหรือเนื้อเยื่อบางส่วนของร่างกาย เช่น ในลำไส้ ระบบน้ำเหลือง หรือเนื้อเยื่อไขมัน การคงอยู่ของไวรัสเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น ตัวกระตุ้น (Perpetuator) ระบบภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้การอักเสบไม่ยุติลง และอาจเป็นปัจจัยร่วมที่กระตุ้นให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (ข้อ 1) ตามมา
______________________________________
4. ความเสียหายต่อหลอดเลือดฝอยและลิ่มเลือดขนาดเล็ก (Microclotting and Endothelial Dysfunction):
______________________________________
o ไวรัส SARS-CoV-2 โจมตีเซลล์ที่เรียงรายอยู่ภายในหลอดเลือด (Endothelial Cells) ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายต่อผนังหลอดเลือด และการก่อตัวของลิ่มเลือดขนาดเล็ก (Microclots) ที่มองไม่เห็นในการตรวจเลือดทั่วไป
o ลิ่มเลือดขนาดเล็กเหล่านี้ขัดขวางการไหลเวียนของออกซิเจนและสารอาหารไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและสมอง
o ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พอตส์ : ความเสียหายต่อหลอดเลือดฝอยมีส่วนทำให้ความสามารถในการควบคุมการหดตัวและขยายตัวของหลอดเลือด (Vasomotor Tone) ลดลง ทำให้เลือดคั่งอยู่ในส่วนล่างของร่างกายมากขึ้นเมื่อยืน ซึ่งเป็นสาเหตุทางกายภาพที่ทำให้หัวใจต้องเต้นเร็วขึ้นเพื่อชดเชย
สรุปความเชื่อมโยงระหว่าง COVID-19 และ พอตส์ : สาเหตุที่ พอตส์ พบได้บ่อยในผู้ป่วย ลองโควิด จึงมุ่งเน้นไปที่ ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ เป็นหลัก โดยเฉพาะจากภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองที่แอนติบอดีโจมตีตัวรับสัญญาณ ANS โดยตรง, การอักเสบเรื้อรัง และความเสียหายของหลอดเลือด
______________________________________
ผลการศึกษาจาก Karolinska Institute: การยืนยันความชุก
______________________________________
การทำความเข้าใจกลไกทางชีววิทยาเหล่านี้ นำไปสู่การค้นหาหลักฐานยืนยันในระดับคลินิก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาของสถาบัน Karolinska ที่มุ่งประเมินความชุกและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในกลุ่มผู้ป่วยลองโควิดอย่างรุนแรง
การศึกษาได้ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Circulation: Arrhythmia and Electrophysiology นี้ ถือเป็นการศึกษาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและให้รายละเอียดมากที่สุดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่าง พอตส์ และลองโควิด นำโดย Mikael Björnson และ Judith Bruchfeld จากสถาบัน Karolinska
______________________________________
กลุ่มตัวอย่างและวิธีการศึกษาที่เจาะจง:
______________________________________
นักวิจัยได้ประเมินผู้ป่วยทั้งหมด 467 รายที่เป็นลองโควิดอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ไม่เคยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ต้องหยุดงานเนื่องจากอาการที่คงอยู่ต่อเนื่อง โดยมีการประเมินเฉลี่ย 12 เดือน หลังจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ผู้ป่วยที่แสดงสัญญาณของ พอตส์ จะได้รับการตรวจเฉพาะทางโดยแพทย์โรคหัวใจ ซึ่งรวมถึงการทำ Head-Up Tilt Testing และ Active Stand Test
**Head-Up Tilt Test คือการตรวจโดยให้นอนบนเตียงที่สามารถปรับเอนขึ้นได้ทีละน้อย (ประมาณ 60–70°) เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นหัวใจและความดันโลหิตเมื่อร่างกายเปลี่ยนท่า ใช้ยืนยันภาวะ POTS หรือความดันตกเมื่อยืน
Active Stand Test คือการตรวจให้ผู้ป่วยลุกขึ้นยืนเองจากท่านอน แล้ววัดชีพจรและความดันทุกช่วงเวลา (0, 2, 5, 10 นาที) เพื่อประเมินการตอบสนองของระบบประสาทอัตโนมัติในการควบคุมการไหลเวียนเลือด**
เกณฑ์วินิจฉัยภาวะพอตส์ (POTS)
แพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะพอตส์ได้ เมื่อพบว่า:
1. หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างชัดเจน — เพิ่มขึ้น อย่างน้อย 30 ครั้งต่อนาที ภายใน 10 นาทีหลังจากลุกจากท่านอนเป็นท่ายืน (เช่น จาก 70 เป็น 100 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป)
2. ความดันโลหิตคงที่ — ไม่มีภาวะ “ความดันตก” ระหว่างเปลี่ยนท่า
3. มีอาการต่อเนื่องนานกว่า 3 เดือน เช่น ใจสั่น เวียนหัว หน้ามืด อ่อนเพลีย หรือเป็นลม
4. ไม่พบโรคอื่นที่อธิบายอาการได้ดีกว่า เช่น โรคหัวใจ เต็มเลือดจาง หรือไทรอยด์ทำงานเกิน
กล่าวง่าย ๆ คือ เมื่อคนที่มีพอตส์ “ลุกขึ้นยืน” หัวใจจะเต้นเร็วเกินปกติโดยที่ความดันไม่ตก และอาการเกิดซ้ำเรื้อรังนานเกิน 3 เดือน
______________________________________
ข้อค้นพบหลักด้านประชากรและสุขภาพก่อนหน้า:
______________________________________
• ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ ร้อยละ 84 เป็นผู้หญิง และส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยกลางคนตอนต้น
• ร้อยละ 32 มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อนการติดเชื้อ COVID-19 โดยโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคหืด (16%) และ ภาวะน้ำหนักเกิน (15%) ส่วนโรคทางจิตเวช เช่น ซึมเศร้าและวิตกกังวล พบในระดับใกล้เคียงกับประชากรทั่วไปในสวีเดนกลุ่มอายุเดียวกัน ซึ่ง ชี้ให้เห็นว่าอาการลองโควิดไม่ได้เกิดจากปัญหาทางจิตใจเพียงอย่างเดียว แต่มีพื้นฐานทางชีวภาพและร่างกายที่ชัดเจน
• ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัย พอตส์ มีอายุเฉลี่ย 40.0 ปี ซึ่งถือว่าอายุน้อยกว่ากลุ่มที่อาการไม่เข้าเกณฑ์ พอตส์ (44.0 ปี) และกลุ่มที่ไม่มีอาการ (47.0 ปี)
______________________________________
เหตุผลที่ผู้หญิงเป็น พอตส์ มากกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ (อัตราส่วนประมาณ 5:1 ถึง 9:1 ในการศึกษาทั่วไป)
______________________________________
นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานถึงความแตกต่างทางชีววิทยาที่ทำให้ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งรวมถึง:
• อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ: ความผันผวนของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เกิดขึ้นระหว่างรอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบประสาทอัตโนมัติและระบบหลอดเลือด ทำให้ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรายงานว่าอาการ พอตส์ มักกำเริบในช่วงก่อนมีประจำเดือน
• ความแตกต่างทางระบบภูมิคุ้มกัน: ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune Diseases) สูงกว่าผู้ชาย ซึ่งสอดคล้องกับกลไกที่ พอตส์ เชื่อมโยงกับภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
• ความแตกต่างทางสรีรวิทยาของหลอดเลือดและหัวใจ: บางทฤษฎีเสนอว่าผู้หญิงบางคนอาจมีปริมาตรเลือดน้อยกว่า (Hypovolemia) หรือมีขนาดหัวใจที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับขนาดร่างกาย ซึ่งทำให้หัวใจต้องทำงานหนักและเต้นเร็วขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อชดเชยเมื่อเปลี่ยนท่าทาง
______________________________________
ความชุกและผลกระทบทางคลินิก:
______________________________________
1. ความชุกที่สูงมาก: ผู้เข้าร่วมการศึกษาร้อยละ 31 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น พอตส์ อย่างชัดเจน ในขณะที่อีกร้อยละ 27 มีอาการที่บ่งชี้แต่ไม่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัย
2. อาการซ้อนทับกัน: แม้อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ เหนื่อยล้า (93%) หายใจลำบาก (70%) ใจสั่น (60%) และสมองล้า (48%) แต่อาการเหล่านี้เกิดได้ใกล้เคียงกันทั้งในผู้ป่วยที่มีและไม่มี พอตส์ แสดงว่าการดูจากอาการอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยการทดสอบเฉพาะเพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจน
3. ความสามารถทางกายภาพที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด: นอกจากความสามารถในการเดินที่ลดลงแล้ว ผู้ป่วยกลุ่ม พอตส์ ยังแสดงให้เห็นถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในระหว่างการเดิน 6 นาทีและ ระหว่างการทดสอบเปลี่ยนท่ายืนนั่ง 1 นาที (1-minute sit-to-stand test) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มอื่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของระบบอัตโนมัติในการตอบสนองต่อการออกแรงในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน ผู้ป่วย พอตส์ รายงานว่า มีกิจกรรมทางกายลดลงอย่างมาก (วัดจากมาตรวัด Frandin-Grimby) และมีขีดความสามารถทางกายภาพที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน โดยวัดจาก การทดสอบเดิน 6 นาที ซึ่งพวกเขาเดินได้เฉลี่ยเพียง 448 เมตร เทียบกับกลุ่มที่ไม่มีอาการ พอตส์ ที่เดินได้ถึง 509 เมตร
4. คุณภาพชีวิตที่ตกต่ำอย่างรุนแรง: เมื่อวัดด้วยมาตรวัดคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ (EQ Visual Analogue Scale - EQ VAS) ผู้ป่วยลองโควิดทุกกลุ่มมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40.6 (จากคะแนนเต็ม 100) ซึ่งถือว่า ต่ำมาก เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ยของประชากรสวีเดนทั่วไปในกลุ่มอายุเดียวกันที่สูงถึง 77–80 คะแนน ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงระดับความรุนแรงและผลกระทบต่อความเป็นอยู่โดยรวมของผู้ที่ประสบกับภาวะลองโควิด ไม่ว่าจะมี พอตส์ หรือไม่ก็ตาม
Mikael Björnson ให้ความเห็นว่า “การศึกษาครั้งนี้ยืนยันได้อย่างมั่นใจว่า พอตส์ เป็นภาวะที่พบบ่อยมากในผู้ป่วยลองโควิด... และควรได้รับการประเมินอย่างเป็นระบบในผู้ป่วยกลุ่มนี้”
______________________________________
แนวทางการดูแลรักษา: จากการวินิจฉัยสู่การฟื้นฟูคุณภาพชีวิต
______________________________________
การค้นพบสาเหตุที่ซ่อนอยู่ (พอตส์ ) ได้นำมาซึ่งความหวังและแนวทางการรักษาที่ชัดเจน เนื่องจาก พอตส์ สามารถตรวจพบและรักษาได้ด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน ดังนั้นการวินิจฉัยอย่างตรงจุดจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
รองศาสตราจารย์ Judith Bruchfeld เน้นย้ำว่า “สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่า พอตส์ สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการทดสอบที่ ไม่แพงและยุ่งยาก ซึ่งมีให้บริการในสถานพยาบาลทุกระดับ และสำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัย ก็มีแนวทางการรักษาที่สามารถบรรเทาอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้”
______________________________________
รายละเอียดวิธีการรักษา พอตส์ ในบริบท ลองโควิด: มุ่งเน้นการปรับสมดุลระบบประสาทอัตโนมัติ
______________________________________
การรักษา พอตส์ ที่เกี่ยวข้องกับ ลองโควิด นั้นต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมและปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีเป้าหมายหลักคือ การเพิ่มปริมาตรของเลือด (Volume Expansion) เพื่อให้มีเลือดไหลเวียนกลับสู่หัวใจและสมองมากขึ้น และ การปรับสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ (ANS Modulation) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 แนวทางหลัก:
______________________________________
1. การจัดการด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอาหาร (Lifestyle Management)
______________________________________
นี่คือแนวทางพื้นฐานและจำเป็นที่สุดสำหรับการรักษา พอตส์ โดยเน้นการเพิ่มปริมาตรเลือดและลดอาการเมื่อเปลี่ยนท่าทาง:
• การเพิ่มปริมาณน้ำและเกลือ: ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย – ลิตรต่อวัน พร้อมทั้งเพิ่มการบริโภคเกลือ (ประมาณ – กรัมต่อวัน) หรือใช้เม็ดเกลือเสริมอาหารภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อช่วยให้ร่างกายกักเก็บน้ำและเพิ่มปริมาตรเลือด
• การใช้ชุดรัดกล้ามเนื้อ: สวมใส่ถุงน่องรัดกล้ามเนื้อที่ยาวถึงเอว (High-Waist Compression Stockings) หรือผ้ารัดช่องท้อง (Abdominal Binder) เพื่อช่วยลดการคั่งของเลือดในส่วนล่างของร่างกายเมื่อยืน
• การปรับท่าทาง: ยกศีรษะเตียงให้สูงขึ้นประมาณ – นิ้วขณะนอนหลับ เพื่อฝึกร่างกายให้ทนต่อการเปลี่ยนท่าทางได้ดีขึ้น
• การรับประทานอาหาร: รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ บ่อยขึ้น แทนการทานอาหารมื้อใหญ่ เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำหลังอาหาร
______________________________________
2. โปรแกรมการออกกำลังกายที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ (Recumbent Exercise)
______________________________________
เนื่องจากผู้ป่วย ลองโควิด มักประสบปัญหาอาการอ่อนเพลียรุนแรงหลังออกแรง (Post-Exertional Malaise) การออกกำลังกายจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเน้น การออกกำลังกายในท่านอน (Recumbent Exercise) เป็นหลัก เช่น การใช้จักรยานนอน (Recumbent Bike), การว่ายน้ำ, หรือเครื่องกรรเชียงบก เพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนล่างและแกนกลางลำตัว โดยไม่กระตุ้นอาการ พอตส์ รุนแรง ผู้ป่วยจะค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาและความหนักของการออกกำลังกายในท่านอน ก่อนที่จะเปลี่ยนไปสู่การออกกำลังกายในท่ายืนภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
______________________________________
3. การรักษาด้วยยา (Pharmacological Treatment)
______________________________________
แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาเมื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอ โดยจัดกลุ่มยาตามกลไกการทำงาน:
• ยาเพิ่มปริมาตรเลือด: เช่น Fludrocortisone ช่วยให้ไตดูดซึมโซเดียมและน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย
• ยาหดหลอดเลือด: เช่น Midodrine ทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการคั่งของเลือดในส่วนล่างของร่างกาย
• ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ: เช่น Low-Dose Beta-Blockers หรือ Ivabradine เพื่อชะลออัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเกินไป และลดอาการใจสั่น
• ยาจัดการระบบประสาท: เช่น Pyridostigmine (Mestinon) เพื่อปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ
______________________________________
4. การจัดการกับสาเหตุรากฐาน (Addressing the Root Cause - การรักษาขั้นสูง)
______________________________________
เนื่องจาก ลองโควิด พอตส์ เชื่อมโยงกับภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองและการอักเสบเรื้อรัง การรักษาบางอย่างจึงมุ่งเป้าไปที่การจัดการกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ซึ่งต้องใช้ดุลยพินิจของแพทย์เฉพาะทาง:
• การต้านการอักเสบ: การใช้ยาหรืออาหารเสริมเพื่อลดระดับสารสื่ออักเสบในร่างกาย
• ภูมิคุ้มกันบำบัด: ในกรณีที่รุนแรงและสงสัยว่าเกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเองอย่างชัดเจน อาจมีการพิจารณาการรักษาด้วย IVIG (Intravenous Immunoglobulin) หรือ Plasmapheresis ซึ่งเป็นการรักษาที่มุ่งเป้าไปที่การปรับเปลี่ยนการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดพลาด
______________________________________
ข้อแนะนำและการติดตามผลระยะยาว
______________________________________
ด้วยแนวทางการจัดการอาการที่ชัดเจนนี้ นักวิจัยจึงได้ให้ข้อแนะนำที่สำคัญแก่บุคลากรทางการแพทย์ และวางแผนติดตามผลในระยะยาว เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างยั่งยืน
นักวิจัยจึงแนะนำให้แพทย์พิจารณาตรวจหา พอตส์ ในผู้ป่วยลองโควิดที่รู้สึกว่าอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปลี่ยนท่าทาง และมีอาการร่วม เช่น วิงเวียนศีรษะ สมองล้า และความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน
ในส่วนของงานวิจัย นักวิจัยจากสถาบัน Karolinska กำลังดำเนินการศึกษาติดตามผลผู้ป่วยกลุ่มนี้ต่อไปในระยะ 4 และ 5 ปี รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อประเมินการฟื้นตัวและระดับการทำงานของร่างกายในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นการให้ความหวังและทางออกแก่ผู้ป่วยลองโควิดหลายล้านคนทั่วโลกที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง การที่อาการ พอตส์ ถูกระบุว่าเป็นสาเหตุร่วมที่พบบ่อย ทำให้แพทย์สามารถให้การวินิจฉัยที่ชัดเจนและนำไปสู่การรักษาที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อีกครั้ง
______________________________________
• Prevalence and Clinical Impact of Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome in Highly Symptomatic Long COVID
งานวิจัยนี้เป็นความร่วมมือกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Karolinska และได้รับการสนับสนุนจาก the Swedish Research Council และ the Swedish Heart-Lung Foundation. ตีพิมพ์ในวารสาร Circulation: Arrhythmia and Electrophysiology, เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 (https://www.ahajournals.org/doi/10.1161/CIRCEP.124.013629)
• พอตส์ common in patients with long COVID
https://www.eurekalert.org/news-releases/1100722
• Webinar: What is พอตส์ & Why is it More Common in Women? | Dr. Curnew MD
https://www.youtube.com/watch?v=trRBxva6JG0