Center for Medical Genomics

Center for Medical Genomics ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Center for Medical Genomics, ห้องทดลองทางการแพทย์, center for medical genomics, Bangkok.

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
"เราอาจไม่ใช่ผู้คิดค้นทุกนวัตกรรม แต่เรามุ่งมั่นเป็นผู้ประยุกต์ใช้จีโนมิกส์ที่ดีที่สุด เพื่อยกระดับสุขภาพคนไทยและแก้ปัญหาสาธารณสุขชาติ พร้อมเป็นพันธมิตรสำคัญของโลกเพื่อสร้างอนาคตการแพทย์"

ข่าวดี!  31% ของผู้ป่วย “ลองโควิด” ที่มีอาการรุนแรง ได้รับการวินิจฉัยพบว่าเป็นภาวะ พอตส์ (POTS) ซึ่งสามารถตรวจยืนยันได้ด...
10/10/2025

ข่าวดี! 31% ของผู้ป่วย “ลองโควิด” ที่มีอาการรุนแรง ได้รับการวินิจฉัยพบว่าเป็นภาวะ พอตส์ (POTS) ซึ่งสามารถตรวจยืนยันได้ด้วยการทดสอบเฉพาะทางและสามารถรักษาได้ตามแนวทางมาตรฐาน

กลุ่มอาการ พอตส์ (POTS : Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome) คือภาวะที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ (มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที) เกิดขึ้นทันทีเมื่อเปลี่ยนจากท่านั่งหรือท่านอนเป็นท่ายืน ซึ่งอยู่ในกลุ่มโรคความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system disorder) ทำให้มีอาการ ใจสั่น, เวียนหัว, อ่อนเพลีย, และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น หน้ามืด เป็นลม สาเหตุเกิดจากการที่เลือดไหลเวียนไม่สะดวกเมื่อร่างกายต้องฝืนแรงโน้มถ่วง ทำให้หัวใจต้องปรับตัวเต้นเร็วขึ้น การรักษาอาจรวมถึงการปรับพฤติกรรม, การออกกำลังกายที่เหมาะสม, และการใช้ยา
โดยส่วนใหญ่พบในสตรีวัยกลางคนตอนต้น ภาวะนี้สามารถตรวจยืนยันได้ด้วยการทดสอบเฉพาะทางและรักษาได้ตามแนวทางมาตรฐาน

แถลงงานวิจัย วันที่ 3 ตุลาคม 2568 โดย สถาบัน Karolinska ประเทศสวีเดน
______________________________________
ปัญหาลองโควิดและความหวังใหม่จากการวินิจฉัย
______________________________________

นับตั้งแต่การระบาดใหญ่ของโรค COVID-19 ทั่วโลกได้เผชิญหน้ากับความท้าทายด้านสุขภาพครั้งใหม่ นั่นคือ “ภาวะลองโควิด” (Long COVID) ซึ่งเป็นภาวะที่อาการของโรคยังคงอยู่หรือปรากฏขึ้นใหม่เป็นระยะเวลานานหลังจากการติดเชื้อเริ่มต้น อาการเหล่านี้มีความหลากหลายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การทำความเข้าใจกลไกและลักษณะของอาการเหล่านี้จึงเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วน

ล่าสุด การศึกษาครั้งใหม่จากสถาบัน Karolinska (Karolinska Institutet) ในประเทศสวีเดน ได้เผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างภาวะลองโควิด กับความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจที่หายากชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติเมื่อเปลี่ยนท่าทาง หรือ พอตส์ (POTS : Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome)

นี่คือข่าวดีที่สำคัญที่สุดจากการศึกษา: ผลการวิจัยชี้ว่า 31% ของผู้ป่วย ลองโควิด ที่มีอาการรุนแรงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะ พอตส์ ซึ่ง พอตส์ เป็นภาวะที่ สามารถตรวจพบและรักษาได้ด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน

การยืนยันว่า พอตส์ เป็นสาเหตุหลักของอาการในผู้ป่วยลองโควิดจำนวนมาก ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเข้าถึงและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ดังนั้น การวินิจฉัย พอตส์ อย่างตรงจุดจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการนำผู้ป่วยกลับคืนสู่การใช้ชีวิตตามปกติ
______________________________________
ทำความเข้าใจ พอตส์ และอาการที่ซ้อนทับกับ ลองโควิด
______________________________________

เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการค้นพบนี้อย่างลึกซึ้ง เราจำเป็นต้องทำความรู้จักกับทั้งสองภาวะให้ชัดเจน โดยเริ่มจากอาการลองโควิดและกลุ่มอาการ พอตส์

ภาวะลองโควิด หมายถึงอาการต่างๆ ที่ยังคงอยู่หรือเกิดขึ้นใหม่หลังจากผ่านไปสี่สัปดาห์นับตั้งแต่การติดเชื้อ COVID-19 ครั้งแรก โดยอาการหลักที่ผู้ป่วยลองโควิดมักประสบ ได้แก่ ความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง (Severe Fatigue) อาการสมองล้า (Brain Fog) รวมถึงอาการอื่น ๆ เช่น ปัญหาการนอนหลับ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ อาการเหล่านี้มักไม่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในช่วงแรก เพราะผู้ป่วยหลายรายที่ประสบกับภาวะลองโควิดรุนแรงนั้นเป็นกลุ่มที่ไม่เคยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเลยด้วยซ้ำ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผลกระทบระยะยาวของไวรัส SARS-CoV-2 อาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในผู้ป่วยที่อาการหนักเท่านั้น

ส่วน กลุ่มอาการ พอตส์ คือความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) หัวใจสำคัญของ พอตส์ คือ ภาวะทนต่อการเปลี่ยนท่าทางไม่ได้ (Orthostatic Intolerance) เมื่อเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่ายืน หัวใจจะเต้นเร็วผิดปกติ (Tachycardia) ซึ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกวิงเวียนศีรษะและอยากนั่งหรือนอนลง สำหรับผู้ที่เป็น พอตส์ ร่างกายจะแสดงอาการต่างๆ คล้ายกับอาการที่พบในภาวะลองโควิดอย่างยิ่ง เช่น ความเหนื่อยล้าและสมองล้า ก่อนการระบาดใหญ่ ภาวะ พอตส์ ถือเป็นภาวะที่พบได้ยากมากก่อนยุคโควิด โดยมีรายงานว่าพบในประชากรชาวสวีเดนไม่ถึงร้อยละหนึ่ง
______________________________________
กลไกวิทยาศาสตร์: ไวรัส SARS-CoV-2 ก่อให้เกิด ลองโควิด และ พอตส์ ได้อย่างไร?
______________________________________

เมื่อทราบแล้วว่า พอตส์ คือความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ คำถามต่อไปที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ไวรัส SARS-CoV-2 ใช้วิธีใดในการโจมตีร่างกายจนกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติเหล่านี้ได้?

นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอทฤษฎีกลไกหลัก ๆ ที่เชื่อมโยงการติดเชื้อไปสู่ภาวะลองโควิดและ พอตส์ ไว้ดังนี้

ภาวะ ลองโควิด ไม่ได้มีสาเหตุเดียว แต่เป็นผลจากปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันในร่างกายหลังจากการติดเชื้อไวรัส:
______________________________________
1. ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmunity):
______________________________________

o นี่คือทฤษฎีที่มีความสำคัญสูงสุดและเชื่อมโยงกับ พอตส์ โดยตรง หลังจากการติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้าง แอนติบอดี เพื่อโจมตีไวรัส แต่ในผู้ป่วยบางราย แอนติบอดีเหล่านี้เกิดความผิดพลาด (Molecular Mimicry) และกลับไปโจมตีเซลล์และเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย

o เป้าหมายของ พอตส์ : แอนติบอดีที่ระบบนำวิถีผิดพลาดเหล่านี้พุ่งเป้าไปที่ ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System - ANS) โดยเฉพาะตัวรับสัญญาณ (Receptors) ที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความสามารถในการหดตัวของหลอดเลือด เมื่อตัวรับสัญญาณเหล่านี้ถูกทำลายหรือถูกปิดกั้น ระบบประสาทอัตโนมัติจึงไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้ไม่สามารถรักษาสมดุลของความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเมื่อเปลี่ยนท่าทางได้ ทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ (Tachycardia) และอาการเวียนศีรษะ
______________________________________
2. การอักเสบเรื้อรังและภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่สงบ (Chronic Inflammation):
______________________________________
o แม้ว่าไวรัสจะถูกกำจัดออกจากกระแสเลือดไปแล้ว แต่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยบางรายยังคงทำงานในโหมด "แจ้งเตือน" อย่างต่อเนื่อง (Chronic Low-Grade Inflammation) ร่างกายยังคงหลั่งสารสื่ออักเสบ (Cytokines) ออกมาในระดับสูง ซึ่งการอักเสบที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายนี้เองที่ส่งผลให้เกิดอาการหลักของ ลองโควิด เช่น ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Fatigue) และ สมองล้า (Brain Fog)
______________________________________

3. การคงอยู่ของไวรัส (Viral Persistence / Viral Reservoirs):
______________________________________
o มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเศษซากของไวรัส (Viral Fragments) หรือไวรัสที่ยังคงทำงานอยู่บางส่วนอาจหลบซ่อนตัวอยู่ในอวัยวะหรือเนื้อเยื่อบางส่วนของร่างกาย เช่น ในลำไส้ ระบบน้ำเหลือง หรือเนื้อเยื่อไขมัน การคงอยู่ของไวรัสเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น ตัวกระตุ้น (Perpetuator) ระบบภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้การอักเสบไม่ยุติลง และอาจเป็นปัจจัยร่วมที่กระตุ้นให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (ข้อ 1) ตามมา
______________________________________

4. ความเสียหายต่อหลอดเลือดฝอยและลิ่มเลือดขนาดเล็ก (Microclotting and Endothelial Dysfunction):
______________________________________

o ไวรัส SARS-CoV-2 โจมตีเซลล์ที่เรียงรายอยู่ภายในหลอดเลือด (Endothelial Cells) ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายต่อผนังหลอดเลือด และการก่อตัวของลิ่มเลือดขนาดเล็ก (Microclots) ที่มองไม่เห็นในการตรวจเลือดทั่วไป

o ลิ่มเลือดขนาดเล็กเหล่านี้ขัดขวางการไหลเวียนของออกซิเจนและสารอาหารไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและสมอง

o ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พอตส์ : ความเสียหายต่อหลอดเลือดฝอยมีส่วนทำให้ความสามารถในการควบคุมการหดตัวและขยายตัวของหลอดเลือด (Vasomotor Tone) ลดลง ทำให้เลือดคั่งอยู่ในส่วนล่างของร่างกายมากขึ้นเมื่อยืน ซึ่งเป็นสาเหตุทางกายภาพที่ทำให้หัวใจต้องเต้นเร็วขึ้นเพื่อชดเชย

สรุปความเชื่อมโยงระหว่าง COVID-19 และ พอตส์ : สาเหตุที่ พอตส์ พบได้บ่อยในผู้ป่วย ลองโควิด จึงมุ่งเน้นไปที่ ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ เป็นหลัก โดยเฉพาะจากภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองที่แอนติบอดีโจมตีตัวรับสัญญาณ ANS โดยตรง, การอักเสบเรื้อรัง และความเสียหายของหลอดเลือด
______________________________________
ผลการศึกษาจาก Karolinska Institute: การยืนยันความชุก
______________________________________

การทำความเข้าใจกลไกทางชีววิทยาเหล่านี้ นำไปสู่การค้นหาหลักฐานยืนยันในระดับคลินิก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาของสถาบัน Karolinska ที่มุ่งประเมินความชุกและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในกลุ่มผู้ป่วยลองโควิดอย่างรุนแรง

การศึกษาได้ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Circulation: Arrhythmia and Electrophysiology นี้ ถือเป็นการศึกษาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและให้รายละเอียดมากที่สุดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่าง พอตส์ และลองโควิด นำโดย Mikael Björnson และ Judith Bruchfeld จากสถาบัน Karolinska
______________________________________
กลุ่มตัวอย่างและวิธีการศึกษาที่เจาะจง:
______________________________________

นักวิจัยได้ประเมินผู้ป่วยทั้งหมด 467 รายที่เป็นลองโควิดอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ไม่เคยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ต้องหยุดงานเนื่องจากอาการที่คงอยู่ต่อเนื่อง โดยมีการประเมินเฉลี่ย 12 เดือน หลังจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ผู้ป่วยที่แสดงสัญญาณของ พอตส์ จะได้รับการตรวจเฉพาะทางโดยแพทย์โรคหัวใจ ซึ่งรวมถึงการทำ Head-Up Tilt Testing และ Active Stand Test

**Head-Up Tilt Test คือการตรวจโดยให้นอนบนเตียงที่สามารถปรับเอนขึ้นได้ทีละน้อย (ประมาณ 60–70°) เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นหัวใจและความดันโลหิตเมื่อร่างกายเปลี่ยนท่า ใช้ยืนยันภาวะ POTS หรือความดันตกเมื่อยืน

Active Stand Test คือการตรวจให้ผู้ป่วยลุกขึ้นยืนเองจากท่านอน แล้ววัดชีพจรและความดันทุกช่วงเวลา (0, 2, 5, 10 นาที) เพื่อประเมินการตอบสนองของระบบประสาทอัตโนมัติในการควบคุมการไหลเวียนเลือด**

เกณฑ์วินิจฉัยภาวะพอตส์ (POTS)

แพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะพอตส์ได้ เมื่อพบว่า:

1. หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างชัดเจน — เพิ่มขึ้น อย่างน้อย 30 ครั้งต่อนาที ภายใน 10 นาทีหลังจากลุกจากท่านอนเป็นท่ายืน (เช่น จาก 70 เป็น 100 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป)

2. ความดันโลหิตคงที่ — ไม่มีภาวะ “ความดันตก” ระหว่างเปลี่ยนท่า

3. มีอาการต่อเนื่องนานกว่า 3 เดือน เช่น ใจสั่น เวียนหัว หน้ามืด อ่อนเพลีย หรือเป็นลม

4. ไม่พบโรคอื่นที่อธิบายอาการได้ดีกว่า เช่น โรคหัวใจ เต็มเลือดจาง หรือไทรอยด์ทำงานเกิน

กล่าวง่าย ๆ คือ เมื่อคนที่มีพอตส์ “ลุกขึ้นยืน” หัวใจจะเต้นเร็วเกินปกติโดยที่ความดันไม่ตก และอาการเกิดซ้ำเรื้อรังนานเกิน 3 เดือน
______________________________________
ข้อค้นพบหลักด้านประชากรและสุขภาพก่อนหน้า:
______________________________________
• ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ ร้อยละ 84 เป็นผู้หญิง และส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยกลางคนตอนต้น

• ร้อยละ 32 มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อนการติดเชื้อ COVID-19 โดยโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคหืด (16%) และ ภาวะน้ำหนักเกิน (15%) ส่วนโรคทางจิตเวช เช่น ซึมเศร้าและวิตกกังวล พบในระดับใกล้เคียงกับประชากรทั่วไปในสวีเดนกลุ่มอายุเดียวกัน ซึ่ง ชี้ให้เห็นว่าอาการลองโควิดไม่ได้เกิดจากปัญหาทางจิตใจเพียงอย่างเดียว แต่มีพื้นฐานทางชีวภาพและร่างกายที่ชัดเจน

• ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัย พอตส์ มีอายุเฉลี่ย 40.0 ปี ซึ่งถือว่าอายุน้อยกว่ากลุ่มที่อาการไม่เข้าเกณฑ์ พอตส์ (44.0 ปี) และกลุ่มที่ไม่มีอาการ (47.0 ปี)
______________________________________
เหตุผลที่ผู้หญิงเป็น พอตส์ มากกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ (อัตราส่วนประมาณ 5:1 ถึง 9:1 ในการศึกษาทั่วไป)
______________________________________

นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานถึงความแตกต่างทางชีววิทยาที่ทำให้ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งรวมถึง:

• อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ: ความผันผวนของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เกิดขึ้นระหว่างรอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบประสาทอัตโนมัติและระบบหลอดเลือด ทำให้ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรายงานว่าอาการ พอตส์ มักกำเริบในช่วงก่อนมีประจำเดือน

• ความแตกต่างทางระบบภูมิคุ้มกัน: ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune Diseases) สูงกว่าผู้ชาย ซึ่งสอดคล้องกับกลไกที่ พอตส์ เชื่อมโยงกับภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง

• ความแตกต่างทางสรีรวิทยาของหลอดเลือดและหัวใจ: บางทฤษฎีเสนอว่าผู้หญิงบางคนอาจมีปริมาตรเลือดน้อยกว่า (Hypovolemia) หรือมีขนาดหัวใจที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับขนาดร่างกาย ซึ่งทำให้หัวใจต้องทำงานหนักและเต้นเร็วขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อชดเชยเมื่อเปลี่ยนท่าทาง
______________________________________
ความชุกและผลกระทบทางคลินิก:
______________________________________

1. ความชุกที่สูงมาก: ผู้เข้าร่วมการศึกษาร้อยละ 31 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น พอตส์ อย่างชัดเจน ในขณะที่อีกร้อยละ 27 มีอาการที่บ่งชี้แต่ไม่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัย

2. อาการซ้อนทับกัน: แม้อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ เหนื่อยล้า (93%) หายใจลำบาก (70%) ใจสั่น (60%) และสมองล้า (48%) แต่อาการเหล่านี้เกิดได้ใกล้เคียงกันทั้งในผู้ป่วยที่มีและไม่มี พอตส์ แสดงว่าการดูจากอาการอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยการทดสอบเฉพาะเพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจน

3. ความสามารถทางกายภาพที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด: นอกจากความสามารถในการเดินที่ลดลงแล้ว ผู้ป่วยกลุ่ม พอตส์ ยังแสดงให้เห็นถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในระหว่างการเดิน 6 นาทีและ ระหว่างการทดสอบเปลี่ยนท่ายืนนั่ง 1 นาที (1-minute sit-to-stand test) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มอื่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของระบบอัตโนมัติในการตอบสนองต่อการออกแรงในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน ผู้ป่วย พอตส์ รายงานว่า มีกิจกรรมทางกายลดลงอย่างมาก (วัดจากมาตรวัด Frandin-Grimby) และมีขีดความสามารถทางกายภาพที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน โดยวัดจาก การทดสอบเดิน 6 นาที ซึ่งพวกเขาเดินได้เฉลี่ยเพียง 448 เมตร เทียบกับกลุ่มที่ไม่มีอาการ พอตส์ ที่เดินได้ถึง 509 เมตร

4. คุณภาพชีวิตที่ตกต่ำอย่างรุนแรง: เมื่อวัดด้วยมาตรวัดคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ (EQ Visual Analogue Scale - EQ VAS) ผู้ป่วยลองโควิดทุกกลุ่มมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40.6 (จากคะแนนเต็ม 100) ซึ่งถือว่า ต่ำมาก เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ยของประชากรสวีเดนทั่วไปในกลุ่มอายุเดียวกันที่สูงถึง 77–80 คะแนน ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงระดับความรุนแรงและผลกระทบต่อความเป็นอยู่โดยรวมของผู้ที่ประสบกับภาวะลองโควิด ไม่ว่าจะมี พอตส์ หรือไม่ก็ตาม

Mikael Björnson ให้ความเห็นว่า “การศึกษาครั้งนี้ยืนยันได้อย่างมั่นใจว่า พอตส์ เป็นภาวะที่พบบ่อยมากในผู้ป่วยลองโควิด... และควรได้รับการประเมินอย่างเป็นระบบในผู้ป่วยกลุ่มนี้”

______________________________________
แนวทางการดูแลรักษา: จากการวินิจฉัยสู่การฟื้นฟูคุณภาพชีวิต
______________________________________

การค้นพบสาเหตุที่ซ่อนอยู่ (พอตส์ ) ได้นำมาซึ่งความหวังและแนวทางการรักษาที่ชัดเจน เนื่องจาก พอตส์ สามารถตรวจพบและรักษาได้ด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน ดังนั้นการวินิจฉัยอย่างตรงจุดจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

รองศาสตราจารย์ Judith Bruchfeld เน้นย้ำว่า “สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่า พอตส์ สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการทดสอบที่ ไม่แพงและยุ่งยาก ซึ่งมีให้บริการในสถานพยาบาลทุกระดับ และสำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัย ก็มีแนวทางการรักษาที่สามารถบรรเทาอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้”

______________________________________
รายละเอียดวิธีการรักษา พอตส์ ในบริบท ลองโควิด: มุ่งเน้นการปรับสมดุลระบบประสาทอัตโนมัติ
______________________________________

การรักษา พอตส์ ที่เกี่ยวข้องกับ ลองโควิด นั้นต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมและปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีเป้าหมายหลักคือ การเพิ่มปริมาตรของเลือด (Volume Expansion) เพื่อให้มีเลือดไหลเวียนกลับสู่หัวใจและสมองมากขึ้น และ การปรับสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ (ANS Modulation) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 แนวทางหลัก:
______________________________________
1. การจัดการด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอาหาร (Lifestyle Management)
______________________________________
นี่คือแนวทางพื้นฐานและจำเป็นที่สุดสำหรับการรักษา พอตส์ โดยเน้นการเพิ่มปริมาตรเลือดและลดอาการเมื่อเปลี่ยนท่าทาง:

• การเพิ่มปริมาณน้ำและเกลือ: ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย – ลิตรต่อวัน พร้อมทั้งเพิ่มการบริโภคเกลือ (ประมาณ – กรัมต่อวัน) หรือใช้เม็ดเกลือเสริมอาหารภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อช่วยให้ร่างกายกักเก็บน้ำและเพิ่มปริมาตรเลือด

• การใช้ชุดรัดกล้ามเนื้อ: สวมใส่ถุงน่องรัดกล้ามเนื้อที่ยาวถึงเอว (High-Waist Compression Stockings) หรือผ้ารัดช่องท้อง (Abdominal Binder) เพื่อช่วยลดการคั่งของเลือดในส่วนล่างของร่างกายเมื่อยืน

• การปรับท่าทาง: ยกศีรษะเตียงให้สูงขึ้นประมาณ – นิ้วขณะนอนหลับ เพื่อฝึกร่างกายให้ทนต่อการเปลี่ยนท่าทางได้ดีขึ้น

• การรับประทานอาหาร: รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ บ่อยขึ้น แทนการทานอาหารมื้อใหญ่ เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำหลังอาหาร

______________________________________
2. โปรแกรมการออกกำลังกายที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ (Recumbent Exercise)
______________________________________
เนื่องจากผู้ป่วย ลองโควิด มักประสบปัญหาอาการอ่อนเพลียรุนแรงหลังออกแรง (Post-Exertional Malaise) การออกกำลังกายจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเน้น การออกกำลังกายในท่านอน (Recumbent Exercise) เป็นหลัก เช่น การใช้จักรยานนอน (Recumbent Bike), การว่ายน้ำ, หรือเครื่องกรรเชียงบก เพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนล่างและแกนกลางลำตัว โดยไม่กระตุ้นอาการ พอตส์ รุนแรง ผู้ป่วยจะค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาและความหนักของการออกกำลังกายในท่านอน ก่อนที่จะเปลี่ยนไปสู่การออกกำลังกายในท่ายืนภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
______________________________________
3. การรักษาด้วยยา (Pharmacological Treatment)
______________________________________

แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาเมื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอ โดยจัดกลุ่มยาตามกลไกการทำงาน:

• ยาเพิ่มปริมาตรเลือด: เช่น Fludrocortisone ช่วยให้ไตดูดซึมโซเดียมและน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย

• ยาหดหลอดเลือด: เช่น Midodrine ทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการคั่งของเลือดในส่วนล่างของร่างกาย

• ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ: เช่น Low-Dose Beta-Blockers หรือ Ivabradine เพื่อชะลออัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเกินไป และลดอาการใจสั่น

• ยาจัดการระบบประสาท: เช่น Pyridostigmine (Mestinon) เพื่อปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ
______________________________________
4. การจัดการกับสาเหตุรากฐาน (Addressing the Root Cause - การรักษาขั้นสูง)
______________________________________
เนื่องจาก ลองโควิด พอตส์ เชื่อมโยงกับภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองและการอักเสบเรื้อรัง การรักษาบางอย่างจึงมุ่งเป้าไปที่การจัดการกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ซึ่งต้องใช้ดุลยพินิจของแพทย์เฉพาะทาง:

• การต้านการอักเสบ: การใช้ยาหรืออาหารเสริมเพื่อลดระดับสารสื่ออักเสบในร่างกาย

• ภูมิคุ้มกันบำบัด: ในกรณีที่รุนแรงและสงสัยว่าเกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเองอย่างชัดเจน อาจมีการพิจารณาการรักษาด้วย IVIG (Intravenous Immunoglobulin) หรือ Plasmapheresis ซึ่งเป็นการรักษาที่มุ่งเป้าไปที่การปรับเปลี่ยนการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดพลาด
______________________________________
ข้อแนะนำและการติดตามผลระยะยาว
______________________________________

ด้วยแนวทางการจัดการอาการที่ชัดเจนนี้ นักวิจัยจึงได้ให้ข้อแนะนำที่สำคัญแก่บุคลากรทางการแพทย์ และวางแผนติดตามผลในระยะยาว เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างยั่งยืน

นักวิจัยจึงแนะนำให้แพทย์พิจารณาตรวจหา พอตส์ ในผู้ป่วยลองโควิดที่รู้สึกว่าอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปลี่ยนท่าทาง และมีอาการร่วม เช่น วิงเวียนศีรษะ สมองล้า และความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน

ในส่วนของงานวิจัย นักวิจัยจากสถาบัน Karolinska กำลังดำเนินการศึกษาติดตามผลผู้ป่วยกลุ่มนี้ต่อไปในระยะ 4 และ 5 ปี รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อประเมินการฟื้นตัวและระดับการทำงานของร่างกายในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นการให้ความหวังและทางออกแก่ผู้ป่วยลองโควิดหลายล้านคนทั่วโลกที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง การที่อาการ พอตส์ ถูกระบุว่าเป็นสาเหตุร่วมที่พบบ่อย ทำให้แพทย์สามารถให้การวินิจฉัยที่ชัดเจนและนำไปสู่การรักษาที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อีกครั้ง
______________________________________
• Prevalence and Clinical Impact of Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome in Highly Symptomatic Long COVID
งานวิจัยนี้เป็นความร่วมมือกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Karolinska และได้รับการสนับสนุนจาก the Swedish Research Council และ the Swedish Heart-Lung Foundation. ตีพิมพ์ในวารสาร Circulation: Arrhythmia and Electrophysiology, เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 (https://www.ahajournals.org/doi/10.1161/CIRCEP.124.013629)

• พอตส์ common in patients with long COVID
https://www.eurekalert.org/news-releases/1100722

• Webinar: What is พอตส์ & Why is it More Common in Women? | Dr. Curnew MD
https://www.youtube.com/watch?v=trRBxva6JG0

ความขัดแย้ง Tylenol-ออทิซึม: บทเรียนการเมือง การแพทย์ และการสื่อสารในยุคข้อมูลท่วมท้นสัปดาห์ที่ผ่านมานับเป็นช่วงเวลาที่ย...
08/10/2025

ความขัดแย้ง Tylenol-ออทิซึม: บทเรียนการเมือง การแพทย์ และการสื่อสารในยุคข้อมูลท่วมท้น

สัปดาห์ที่ผ่านมานับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับยา Tylenol ซึ่งเป็นชื่อสามัญของยา acetaminophen โดยประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยา Tylenol ในระหว่างตั้งครรภ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของ ภาวะออทิซึม (Autism) ได้กลายมาเป็นหัวข้อถกเถียงอย่างร้อนแรง จุดชนวนเริ่มต้นจากการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แสดงความเห็นอย่างหนักแน่นว่าการรับประทานยา Tylenol ขณะตั้งครรภ์อาจนำไปสู่ "ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก" ของภาวะออทิซึม อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และมีข้อมูลมากมายที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
___________________________________
1. ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน: ความสัมพันธ์หรือสาเหตุที่แท้จริง?
___________________________________

ประเด็นหลักของความขัดแย้งนี้เริ่มต้นจากความคลุมเครือของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

ในทางวิทยาศาสตร์ ยังคงมี ความไม่เห็นด้วยอย่างมาก ว่ายา Tylenol เป็นสาเหตุของการเพิ่มความเสี่ยงของออทิซึมหรือไม่ และข้อมูลที่มีอยู่นั้น "คลุมเครือมาก" (very muddy)

แม้ว่าจะเป็นไปได้ที่ยาที่ได้รับในช่วงพัฒนาการของทารกในครรภ์จะมีผลต่อภาวะออทิซึม แต่ในกรณีของ Tylenol นั้น การวิจัยมีความขัดแย้งกัน มีการศึกษาบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึง ความเชื่อมโยง (association) ที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็มีงานวิจัยอื่น ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมโยงดังกล่าวอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดจาก Tylenol โดยตรง สมมติฐานที่ถูกนำมากล่าวอ้างถึงกลไกการทำงานทางชีวภาพของ Tylenol นั้น มักชี้ไปที่บทบาทของ acetaminophen ในการก่อให้เกิดภาวะออกซิเดชันผิดปกติ (Oxidative Stress) หรือการกระตุ้นการอักเสบในสมองของทารกในครรภ์ ซึ่งนักวิจัยที่สนับสนุนแนวคิดนี้เชื่อว่าอาจเป็นปัจจัยเสริมต่อความเสี่ยงออทิซึม แต่กลไกนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนและต้องการหลักฐานเพิ่มเติมอีกมาก

นักวิจัยจำเป็นต้องแยกแยะปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มีความเป็นไปได้ที่การปวดหัวบ่อยครั้งหรืออาการปวดอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับมารดา อาจเป็น เครื่องบ่งชี้ของความเสี่ยงทางพันธุกรรมที่ซ่อนอยู่ มากกว่าที่จะเป็นผลมาจาก Tylenol มนุษย์เรามีความชอบที่จะคิดว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ A แล้วจะทำให้เกิดเหตุการณ์ B แต่โลกไม่ได้ทำงานเช่นนั้นเสมอไป บ่อยครั้งที่เหตุการณ์ A และ B ถูกกระตุ้นจากปัจจัยอื่น ๆ หรือเพียงแค่เกิดขึ้นพร้อมกันโดยบังเอิญ

แหล่งข้อมูลได้ยกตัวอย่างที่ชัดเจนเพื่ออธิบายความแตกต่างระหว่าง ความสัมพันธ์ (correlation) และ ความเป็นเหตุเป็นผล (causation) คือ การบริโภคไอศกรีมที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดอาการผิวไหม้จากแดดและการโจมตีของปลาฉลาม ซึ่งเราทราบดีว่าทั้งสามสิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันเนื่องจากเป็นฤดูร้อน ผู้คนจึงไปชายหาดและรับประทานไอศกรีม เช่นเดียวกัน อาจเป็นไปได้ที่อาการไข้ อาการปวดไมเกรน หรือตัวบ่งชี้อื่น ๆ ในตัวมารดา อาจเป็นปัจจัย โน้มน้าวให้เด็กพัฒนาภาวะออทิซึม เราไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่นอนว่า การที่ออทิซึมเพิ่มขึ้นในกรณีที่มีการใช้ Tylenol มากขึ้นนั้น หมายความว่า Tylenol เป็น "สาเหตุ"

สิ่งที่สำคัญคือ แม้แต่ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดนี้ก็ยังยอมรับว่า ความเสี่ยงที่พูดถึงนี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียง ความเสี่ยงเล็กน้อยที่ยากจะแยกแยะ และหากจะมี "การระบาด" ของออทิซึมจริง (ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียง) Tylenol ก็ไม่สามารถเป็นสาเหตุหลักของมันได้
___________________________________
2. บทบาทของรัฐบาลและความสับสนต่อสาธารณะ
___________________________________

แม้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จะยังคลุมเครือ แต่ประเด็นนี้กลับถูกยกระดับขึ้นสู่เวทีสาธารณะอย่างรวดเร็ว ผ่านบทบาทของรัฐบาลและผู้นำระดับสูง ซึ่งส่งผลให้เกิดความสับสนต่อสาธารณะอย่างหนัก

ประเด็นความเชื่อมโยงระหว่าง Tylenol และออทิซึมถูกนำเสนอสู่สาธารณะโดยเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ซึ่งสร้างความสับสนอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ว่า "อย่ารับประทาน Tylenol"

ข้อแนะนำดังกล่าวเกิดขึ้นในการแถลงข่าวที่แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับ RFK Jr. (ซึ่งถูกเรียกในฐานะ รัฐมนตรีเคนเนดี หรือ Bobby) ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปด้วยความอบอุ่น และเป็นที่ชัดเจนว่าทั้งสองฝ่าย มีความคิดเห็นที่สอดคล้องกัน โดยทั้งคู่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนนอก (outsiders) ที่ไม่สามารถไว้ใจชุมชนวิทยาศาสตร์หรือสภาพที่เป็นอยู่ (status quo) ได้ และต้องค้นหาความจริงด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์เคยกล่าวมานานหลายทศวรรษ แต่เพิ่งปรากฏชัดเจนเมื่อเขามีรัฐมนตรีด้านสุขภาพที่แสดงความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน

ในการแถลงข่าวครั้งนั้น มีการอ้างอิงถึงการทบทวนงานวิจัยหลายชิ้นของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่พบ ความสัมพันธ์ ระหว่าง Tylenol ในปริมาณสูงที่ใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลาสี่สัปดาห์หรือมากกว่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Marty McCary กรรมาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ซึ่งเป็นแพทย์ด้วย ได้กล่าวในการแถลงข่าวว่ามีการพบความเชื่อมโยงที่เป็นเหตุเป็นผล (causal link) หรือความสัมพันธ์ แต่ ผู้เขียนการทบทวนงานวิจัยดังกล่าวกลับกล่าวว่ายังคงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

นี่คือจุดที่สร้างความสับสนอย่างยิ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงและแพทย์ชั้นนำกล่าวว่ามี "ความเชื่อมโยงนี้" แต่การวิจัยกลับไม่ได้ยืนยันเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงให้คำแนะนำทางการแพทย์ แม้จะกล่าวว่าตน "ไม่ใช่หมอ" และสิ่งที่พูดเป็นเพียง "ข้อเสนอแนะ" สถานการณ์นี้ทำให้สาธารณชนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะเชื่อถือใคร

นอกจากประเด็น Tylenol แล้ว ความคิดเห็นของผู้นำยังขยายไปถึงเรื่อง ตารางการฉีดวัคซีนในวัยเด็ก เช่น วัคซีน MMR (หัด คางทูม และหัดเยอรมัน) และวัคซีนตับอักเสบชนิดบี มีการเสนอให้แยกวัคซีน MMR ออกจากกัน หรือยืดระยะเวลาการให้วัคซีนออกไปสี่หรือห้าปี หรือแม้แต่การเลื่อนวัคซีนตับอักเสบชนิดบีออกไปถึง 12 ปี ซึ่งแตกต่างจากข้อเสนอของที่ปรึกษาด้านวัคซีนของ HHS ที่พูดถึงการเลื่อนวัคซีนตับอักเสบชนิดบีเพียง "หนึ่งเดือน" หลังคลอด

สิ่งที่น่าสังเกตคือ สำหรับประเด็นการแยกวัคซีนหรือการยืดระยะเวลา มีงานวิจัยและงานวิจัยจำนวนมากที่ ขัดแย้งกับข้อเสนอเหล่านี้ โดยชี้ว่าแนวคิดดังกล่าว "ไม่เป็นความจริง" และ ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญคนใดนำมาถกเถียงกัน (not up for debate) ความแตกต่างระหว่างข้อมูลที่สนับสนุนเรื่อง Tylenol (ซึ่งยังไม่สรุปผลและไม่เป็นเหตุเป็นผล) กับข้อมูลที่ขัดแย้งอย่างหนักกับเรื่องวัคซีน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ

หากความเชื่อเหล่านี้ถูกนำมาปฏิบัติจริง มันจะเป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์และเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ในด้านสาธารณสุขของประเทศ
___________________________________
3. มิติทางกฎหมายและเศรษฐกิจที่ทับซ้อนกับความเชื่อมั่น
___________________________________

ความขัดแย้งเกี่ยวกับ Tylenol ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องแถลงข่าวเท่านั้น แต่ยังได้ขยายผลไปสู่มิติทางเศรษฐกิจและกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบัน บริษัท Johnson & Johnson (J&J) ซึ่งเป็นผู้ผลิต Tylenol กำลังเผชิญหน้ากับคดีความฟ้องร้องแบบกลุ่ม (Class-Action Lawsuits) หลายคดีในสหรัฐฯ โดยผู้ฟ้องร้องอ้างว่าบริษัทล้มเหลวในการเตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์

คดีความเหล่านี้เป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ประเด็นความเชื่อมโยง Tylenol-ออทิซึม ยังคงถูกพูดถึงในวงกว้าง เนื่องจากมีเดิมพันทางกฎหมายและเศรษฐกิจที่สูงมาก การนำเสนอความเห็นจากผู้นำทางการเมืองในลักษณะที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องร้องจึงเป็นการสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อผู้ผลิตยา และเพิ่มความตื่นตระหนกในหมู่สาธารณชน แม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะยังไม่เป็นข้อสรุป การฟ้องร้องที่ดำเนินการอยู่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ความสับสนในสาธารณสุขยังคงอยู่และทวีความรุนแรงขึ้น
___________________________________
4. การเมืองกับความจริงทางวิทยาศาสตร์: ทำไมผู้นำถึงเชื่อความรู้สึกและทำไมผู้คนถึงเชื่อพวกเขา
___________________________________

สถานการณ์ที่ผู้นำใช้ความเห็นส่วนตัวชี้นำเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า เหตุใดผู้นำเหล่านี้จึงเลือกใช้ความรู้สึกนำหน้าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และทำไมคนจำนวนหนึ่งจึงให้ความเชื่อถือในแนวทางดังกล่าว ปรากฏการณ์นี้เป็นประเด็นเชิงสังคม การเมือง และจิตวิทยาที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยปัจจัยหลักหลายประการ:

4.1. ปัจจัยทางยุทธศาสตร์ของผู้นำ (Why Leaders Do It)
การใช้ความเห็นส่วนตัวแทนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในทางการเมือง โดยเฉพาะสำหรับผู้นำที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์แบบ ประชานิยม (Populism)
___________________________________
การสร้างภาพลักษณ์ 'คนนอก' ที่ต่อสู้กับ 'ชนชั้นนำ'
___________________________________
ในบทความนี้ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่อบอุ่นระหว่างทรัมป์กับ RFK Jr. โดยระบุว่าทั้งคู่รู้สึกว่าตนเองเป็น "คนนอก (outsiders)" ที่ไม่สามารถไว้ใจ "ชุมชนวิทยาศาสตร์หรือสภาพที่เป็นอยู่ (status quo) ได้"
• ยุทธศาสตร์: ผู้นำเหล่านี้ใช้ความรู้สึกส่วนตัวเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองเป็น พวกเดียว กับคนทั่วไปที่ถูกสถาบันขนาดใหญ่ (เช่น FDA, มหาวิทยาลัย, บริษัทผลิตยา) กดขี่หรือปกปิดความจริง การแสดงความสงสัยต่อวิทยาศาสตร์กระแสหลักจึงเป็นการประกาศความภักดีต่อฐานผู้สนับสนุนที่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง
___________________________________
Tylenol-ออทิซึม: เมื่อการเมืองบิดเบือนวิทยาศาสตร์สู่สาธารณะ
___________________________________

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มักจะซับซ้อน (เช่น การแยกแยะ ความสัมพันธ์ กับ สาเหตุ) ซึ่งต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ส่วนความคิดเห็นส่วนตัวนั้น เรียบง่าย ชัดเจน และตรงไปตรงมา (เช่น "อย่ารับประทาน Tylenol")

• การเชื่อมโยงทางอารมณ์: ความเห็นส่วนตัวสามารถเชื่อมโยงกับความกลัว ความโกรธ หรือความไม่พอใจของประชาชนได้โดยตรง เช่น ความกลัวต่อความปลอดภัยของลูก หรือความกังวลเรื่องสุขภาพ การสื่อสารที่ใช้ อารมณ์ จึงมักมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นและรวบรวมผู้คนได้ดีกว่าการนำเสนอ ข้อเท็จจริง ที่ต้องใช้การวิเคราะห์

4.2. ปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคม (Why People Believe It)
แม้ว่าข้อมูลที่ได้รับจะขัดแย้งกับฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญ แต่คนจำนวนหนึ่งยังคงเลือกที่จะเชื่อผู้นำ เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้:

___________________________________
การกัดเซาะความเชื่อมั่นในสถาบัน (Status Quo)
___________________________________

ความเชื่อถือในสถาบันสำคัญของสังคม (เช่น รัฐบาล องค์กรด้านสาธารณสุข สื่อหลัก) ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
• การไม่ไว้วางใจ: เมื่อผู้คนไม่เชื่อใน FDA หรือ แพทย์ชั้นนำ พวกเขาก็จะมองหาแหล่งข้อมูลทางเลือก ซึ่งผู้นำที่ประกาศตัวเป็น "คนนอก" ก็จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างความเชื่อมั่นนั้นทันที การที่ผู้นำมี "หมอ" ที่แสดงความคิดเห็นคล้ายคลึงกันในการแถลงข่าว ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแนวคิดที่ขัดแย้งนั้น
___________________________________
อคติในการยืนยัน (Confirmation Bias)
___________________________________

มนุษย์มีแนวโน้มที่จะแสวงหา ตีความ และจดจำข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของตนเอง และเพิกเฉยต่อข้อมูลที่ขัดแย้ง
• การเลือกรับสาร: หากบุคคลหนึ่งมีความสงสัยหรือความกังวลเกี่ยวกับวัคซีนหรือยาอยู่แล้ว การที่ผู้นำของพวกเขาออกมา "ยืนยัน" ความสงสัยนั้น (ไม่ว่าจะอ้างอิงจากหลักฐานที่ "คลุมเครือมาก" หรือไม่) จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองคิดถูก และยิ่งยึดมั่นในความเชื่อนั้นมากขึ้น
___________________________________
ความผูกพันทางอัตลักษณ์
___________________________________

ในโลกที่มีการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรง การเชื่อในข้อมูลชุดใดชุดหนึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ อัตลักษณ์ทางการเมืองและสังคม ของบุคคล
• ความภักดีต่อกลุ่ม: การเชื่อในสิ่งที่ผู้นำกล่าวถึง ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของข้อเท็จจริงอีกต่อไป แต่เป็นการแสดงออกถึง ความภักดี ต่อกลุ่มหรือขั้วการเมืองที่ตนสังกัด การยอมรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กระแสหลักอาจถูกมองว่าเป็นการ ทรยศ ต่อ "กลุ่มคนนอก" ของตนเอง

โดยสรุปแล้ว ปรากฏการณ์นี้เป็นผลมาจากการที่ผู้นำใช้ ยุทธศาสตร์ทางการเมือง ที่เน้นการสื่อสารทางอารมณ์และความเรียบง่าย (เพื่อสู้กับความซับซ้อนของวิทยาศาสตร์) เข้ามาตอบสนองต่อ ความไม่ไว้วางใจ ที่มีอยู่เดิมในสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วย อคติทางจิตวิทยา ของผู้รับสาร
___________________________________
5. บทเรียนเปรียบเทียบ: ความขัดแย้ง Tylenol-ออทิซึม กับ วัคซีน mRNA
___________________________________

ความขัดแย้งเกี่ยวกับ Tylenol นี้ไม่ใช่กรณีเดียว แต่เป็นภาพสะท้อนของสงครามข้อมูลด้านสุขภาพที่ปรากฏในประเด็นอื่น ๆ ด้วย เช่นเดียวกับความขัดแย้งเกี่ยวกับวัคซีน mRNA ที่มีลักษณะร่วมและแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ
___________________________________
ความเหมือน: สงครามข้อมูลและการบิดเบือนหลักฐาน
___________________________________

ความขัดแย้งทั้งสองกรณีมีลักษณะร่วมที่สำคัญ ดังนี้:

• ความสับสนระหว่าง 'ความสัมพันธ์' และ 'สาเหตุ':
o ในกรณี Tylenol-ออทิซึม จุดเริ่มต้นคือการเห็น ความเชื่อมโยง (association) ว่าการใช้ Tylenol มากขึ้นอาจเกิดขึ้นพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของออทิซึม โดยที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า Tylenol เป็น "สาเหตุ" โดยตรง (ตามตัวอย่างไอศกรีมกับฉลามในเนื้อหาส่วนนี้)
o ในกรณี วัคซีน mRNA ก็คล้ายกัน ผู้คนมักสังเกตเห็นเหตุการณ์ A (ฉีดวัคซีน) ตามด้วยเหตุการณ์ B (อาการป่วยบางอย่าง) แล้วสรุปว่า A เป็นสาเหตุของ B ทันที โดยละเลย ปัจจัยทางพันธุกรรม หรือตัวบ่งชี้อื่น ๆ ที่อาจเป็น "เครื่องบ่งชี้ของความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่" เช่นเดียวกับที่อธิบายในส่วนที่ 1 ของบทความ

• ความไม่ไว้วางใจต่อสถาบันเดิม (Status Quo):
o ทั้งสองกรณีถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนที่รู้สึกว่าเป็น "คนนอก (outsiders)" และ "ไม่สามารถไว้ใจชุมชนวิทยาศาสตร์หรือสภาพที่เป็นอยู่ (status quo) ได้" ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับ RFK Jr. ในเนื้อหานี้
o ความขัดแย้งเหล่านี้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ประชาชนตั้งคำถามกับ FDA, องค์กรสาธารณสุขหลัก และ แพทย์ชั้นนำ ซึ่งทำให้ความสับสนทวีความรุนแรง

• การสื่อสารที่สร้างความสับสนจากผู้นำ:
o ในบทความนี้ เราเห็นว่า เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง และแพทย์ชั้นนำในแถลงการณ์ได้กล่าวว่าพบ "ความเชื่อมโยงนี้" โดยที่งานวิจัยกลับไม่ได้ยืนยันเช่นนั้น ซึ่งเป็นจุดที่สร้าง "ความสับสนอย่างยิ่ง"
o ในกรณี วัคซีน mRNA ผู้นำทางการเมืองหรือผู้ทรงอิทธิพลบางรายก็มักจะให้ "ข้อเสนอแนะ" ทางการแพทย์ที่ขัดแย้งกับหลักการปฏิบัติมาตรฐาน ทำให้สาธารณชนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะเชื่อถือใคร
___________________________________
ความแตกต่าง: ระดับความชัดเจนทางวิทยาศาสตร์และผลกระทบ
___________________________________

แม้จะมีความเหมือนกัน แต่ระดับของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และบริบททางการเมืองมีความแตกต่างกัน:

• ระดับความชัดเจนของหลักฐาน:
o Tylenol-ออทิซึม: หลักฐานที่พบคือ ความเชื่อมโยง (association) ที่มีข้อมูล "คลุมเครือมาก" และยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติม (ดังที่ผู้เขียนงานวิจัยฮาร์วาร์ดยอมรับ)
o วัคซีน mRNA: ในประเด็นความเสี่ยงร้ายแรงส่วนใหญ่ เช่น การเชื่อมโยงกับออทิซึม หรือการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมระยะยาวนั้น ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่ "ขัดแย้งกับข้อเสนอเหล่านี้" โดยชี้ว่าแนวคิดดังกล่าว "ไม่เป็นความจริง" และ "ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญคนใดนำมาถกเถียงกัน" ซึ่งคล้ายคลึงกับประเด็นวัคซีน MMR ที่ถูกกล่าวถึงใน ส่วนก่อนหน้า

• บริบทของสาธารณสุข:
o Tylenol: เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับยาที่ใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน (Acetaminophen) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลตนเองตามปกติ
o วัคซีน mRNA: เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อ โรคระบาดระดับโลก ซึ่งมีมิติทางกฎหมายและเสรีภาพของพลเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างรุนแรง ทำให้เป็นประเด็นที่มีการแบ่งขั้วทางการเมืองสูงกว่ามาก และส่งผลกระทบถึง "การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์และเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่" ในด้านสาธารณสุขของประเทศ (ตามที่กล่าวในส่วนที่ 2)

• ผลกระทบต่อชุมชน:
o Tylenol-ออทิซึม: ส่งผลให้ชุมชนออทิซึมรู้สึก "เหยียดหยาม" เพราะมีการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจว่าออทิซึมเป็นสิ่งที่ต้อง "ป้องกัน" หรือ "ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเลย"
o วัคซีน mRNA: สร้างความแตกแยกในสังคมอย่างกว้างขวางระหว่างกลุ่มที่เชื่อในวิทยาศาสตร์กับกลุ่มที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งกระทบต่อความสัมพันธ์ทางสังคมและครอบครัวโดยตรง
โดยสรุปแล้ว ทั้งสองความขัดแย้งล้วนเผยให้เห็นถึง ความตึงเครียดระหว่างการเมืองและวิทยาศาสตร์ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง ความสัมพันธ์ และ ความเป็นเหตุเป็นผล
___________________________________
6. ผลกระทบต่อชุมชนออทิซึมและความเข้าใจที่บิดเบือน
___________________________________

นอกจากมิติทางการเมืองและวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลกระทบที่ความขัดแย้งเหล่านี้สร้างขึ้นต่อชุมชนที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยเฉพาะชุมชนออทิซึม

สำหรับชุมชนออทิซึม ประเด็นที่เกิดขึ้นสร้างความลำบากอย่างยิ่ง พวกเขา/พวกเเขารู้สึกว่าถูก "เหยียดหยาม" (denigrating) โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในระบบสุขภาพของอเมริกากล่าวว่า ออทิซึมไม่ใช่แค่สิ่งที่เด็กมีความเสี่ยงที่จะเป็นจากการใช้ยา acetaminophen แต่ยังหมายถึงการกล่าวเป็นนัยว่า ออทิซึมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเลย (a thing that you would never want to have)

มุมมองนี้ ขัดแย้งอย่างรุนแรง กับสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากในชุมชนออทิซึมกล่าวถึง พวกเขายอมรับว่าออทิซึมคือ "วิธีการดำรงชีวิตในโลกที่แตกต่างกัน" (a different way of being in the world) และไม่ใช่สิ่งที่ควรระดมโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพของรัฐบาลกลางทั้งหมดเพื่อ "ป้องกัน"

ออทิซึมเป็นประเด็นที่ซับซ้อน และเกิดจากปัจจัยทาง พันธุกรรมเป็นหลัก มี ยีนจำนวนมากหลายตัว ที่เกี่ยวข้องกับภาวะออทิซึม ดังนั้น เมื่อนักวิจัยพยายามทำความเข้าใจว่าปัจจัยทางพันธุกรรมใดที่นำไปสู่ภาวะออทิซึม จึงเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก การที่รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าวว่าจะ "พบสาเหตุของออทิซึม" ในเดือนกันยายน จึงเป็นสิ่งที่ชุมชนนักวิจัยสงสัย เนื่องจากพวกเขาพยายามค้นหามานานหลายทศวรรษ และมีแนวคิดที่ชัดเจนแล้วว่าปัจจัยหลักคือพันธุกรรม อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ

นอกจากนี้ การนำเสนอของภาวะออทิซึมก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก บุคคลออทิซึมบางคนอาจมีความต้องการการสนับสนุนไม่มากนัก สามารถทำงานในองค์กรได้ ในขณะที่บางคนอาจมีความต้องการการสนับสนุนที่สูงขึ้นมาก การใช้คำพูดเหมารวม (painting a broad brush) โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ชุมชนออทิซึม รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก (flabbergasted) เพราะมันไม่สอดคล้องกับวิธีการที่การวิจัยและผู้คนออทิซึมเองประสบกับภาวะนี้

สรุปได้ว่า ความพยายามในการเชื่อมโยง Tylenol กับออทิซึมอย่างแนบแน่นโดยผู้นำระดับสูงของประเทศ ได้เผยให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างการเมืองและวิทยาศาสตร์ และสร้างความสับสนต่อสาธารณชนเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพที่สำคัญ ในขณะเดียวกัน ก็ได้เน้นย้ำถึงความเข้าใจที่ผิด ๆ เกี่ยวกับภาวะออทิซึม ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนที่กำลังพยายามให้สังคมยอมรับความหลากหลายของการเป็นอยู่
___________________________________
7. บทเรียนที่ไทยควรเรียนรู้และสิ่งที่ต้องทำ
___________________________________

จากทุกมิติของความขัดแย้ง Tylenol-ออทิซึม ทั้งในแง่ของวิทยาศาสตร์ การเมือง และผลกระทบทางสังคม จึงมีบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรนำมาพิจารณาและหาแนวทางปฏิบัติ

เหตุการณ์ความขัดแย้งเกี่ยวกับ Tylenol และออทิซึม เป็นบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามข้อมูลด้านสุขภาพที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคดิจิทัล
___________________________________
ไทยเรียนรู้อะไรจากความขัดแย้งนี้?
___________________________________

1. ความสำคัญของการแยกแยะ 'ความสัมพันธ์' และ 'สาเหตุ': สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่สังคมโดยรวม รวมถึงสื่อและสาธารณชน มักจะสรุปทันทีเมื่อพบความเชื่อมโยงโดยไม่ตรวจสอบความเป็นเหตุเป็นผล (causal link) บทเรียนคือการที่ไทยต้องสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน การรู้เท่าทันทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) ให้แก่ประชาชน เพื่อให้สามารถประเมินข้อมูลสุขภาพและงานวิจัยที่ "คลุมเครือมาก" ได้อย่างมีวิจารณญาณ

2. อำนาจของผู้นำกับการสื่อสารสาธารณสุข: เมื่อผู้นำประเทศหรือเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่ "ไม่ใช่หมอ" ให้ "ข้อเสนอแนะ" ทางการแพทย์ที่ขัดแย้งกับฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ (Status Quo) ย่อมสร้างความสับสนให้ประชาชนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที บทเรียนสำหรับไทยคือ การสื่อสารสาธารณสุขต้องถูกนำโดย ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับ ในฐานะองค์กรที่เป็นกลางเท่านั้น และต้องระวังการนำมุมมองทางการเมืองเข้ามาแทรกแซง

3. การเคารพต่อความหลากหลายทางประสาท (Neurodiversity): การใช้คำพูดเหมารวมที่กล่าวเป็นนัยว่าออทิซึมเป็น "สิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเลย" สร้างความรู้สึกถูกเหยียดหยามต่อชุมชนออทิซึม บทเรียนคือ สังคมไทยต้องเปลี่ยนมุมมองจากออทิซึมเป็น "ภาวะที่ต้องป้องกัน" ให้กลายเป็น "วิธีการดำรงชีวิตในโลกที่แตกต่างกัน" และส่งเสริมการยอมรับในความหลากหลาย

___________________________________
สิ่งที่ไทยควรทำเพื่อเตรียมพร้อม:
___________________________________

1. จัดตั้งคณะทำงานสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพระดับชาติที่เน้นความเข้าใจง่าย (Effectiveness in Communication): หน่วยงานอย่างกระทรวงสาธารณสุขและ อย. (FDA) ต้องมีหน่วยงานเฉพาะกิจที่มีอำนาจในการ ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียว ทันทีที่มีประเด็นสุขภาพที่สร้างความสับสน การสื่อสารต้องมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นและใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้เข้าถึงสาธารณชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังเช่นรูปแบบการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา อ้างอิงหลักฐาน และสร้างความไว้วางใจของบุคคลตัวอย่างอย่าง นพ.ธนีย์ ธนียวัน และ Dr. Noc บุคคลเหล่านี้มักมีอิสระในการสื่อสารสูง เนื่องจากไม่ได้ทำงานในหน่วยงานหลักที่อาจมีผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อการแสดงออก (https://www.facebook.com/CMGrama/posts/pfbid02taFePKKhxxBtszboZm9THz29aaLv1SZkYYUXmzWZA3cDATGhjJrBsmsmPF9TLRtVl) โดยเน้นการอธิบายความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์และสาเหตุ พร้อมทั้งเปิดเผยแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และอ้างอิงถึงผู้เขียนงานวิจัยต้นฉบับเมื่อมีข้อสงสัย

2. ยกระดับการศึกษาและการฝึกอบรมสื่อมวลชน: ควรมีการจัดฝึกอบรมภาคบังคับให้กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับการตีความงานวิจัยทางการแพทย์ โดยเฉพาะการใช้คำว่า "สาเหตุ (Causation)" และ "ความเชื่อมโยง (Association)" อย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดสู่สาธารณะ และควรตรวจสอบอย่างหนักเมื่อมีการเสนอแนวคิดที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า "ไม่เป็นความจริง" หรือ "ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญคนใดนำมาถกเถียงกัน"

3. ส่งเสริมสิทธิและความเข้าใจในชุมชนออทิซึม: รัฐบาลไทยต้องสนับสนุนชุมชนออทิซึม โดยเน้นย้ำว่าภาวะออทิซึมมีที่มาจาก พันธุกรรมเป็นหลัก และไม่ควรใช้ภาษาสื่อสารที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองเป็นภาระหรือเป็นความผิดปกติที่ต้องกำจัด ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและอาชีพที่รองรับความต้องการที่แตกต่างกันอย่างสูงของบุคคลออทิซึมแต่ละคน

ที่อยู่

Center For Medical Genomics
Bangkok
10400

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 19:00
อังคาร 08:30 - 19:00
พุธ 08:30 - 19:00
พฤหัสบดี 08:30 - 19:00
ศุกร์ 08:30 - 19:00
เสาร์ 09:00 - 18:00
อาทิตย์ 09:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+66645850928

เว็บไซต์

https://www.rama.mahidol.ac.th/rama-km/post-activity/99/download/2473

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Center for Medical Genomicsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Center for Medical Genomics:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram