Zen.dnetworkshop ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอ? ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ของบริษัทดีเน็ทเวิร์ค โดย คุณเซน.วรวีร์

โรคต้อ..คืออะไร  ที่นี่มีคำตอบ
14/10/2020

โรคต้อ..คืออะไร ที่นี่มีคำตอบ

♋ โรคต้อของตามีกี่โรค และมีความแตกต่างกันอย่างไร ??

📚 มาเรียนรูเรื่อง โรคต้อ 4 ชนิด

คำว่าต้อเป็นคำทั่วไปหมายถึงตา ดังนั้นเมื่อบอกว่าเป็นโรคต้อ ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นโรคต้อชนิดใด ที่พบบ่อยๆ และควรทราบ เรียงลำดับตามความรุนแรงจากน้อยไปมาก คือ

1. โรคต้อลม (pinguecular)
✔ ลักษณะเป็นเยื่อสีขาว หรือ ขาวเหลือง บริเวณตาขาว ข้างๆ ตาดำ
✔ เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองต่อเยื่อบุตา เช่น ลม ฝุ่น แสงแดด มาเป็นเวลานาน มักทำให้มีอาการเคืองตาง่าย
✔ ไม่ทำให้ตามัวหรือบอด

2. โรคต้อเนื้อ (pterygium)
▶ เป็นโรคที่ต่อเนื่องมาจากโรคต้อลม แต่เยื่อบุตาลามเข้ามาถึงบริเวณกระจกตาดำ (cornea)
▶ เป็นลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อสีขาวออกแดง บริเวณกระจกตาด้านหัวตาหรือหางตา
▶ เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองมาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้มีอาการเคืองตาและตาแดง บริเวณต้อเนื้อเมื่อถูกสิ่งระคายเคือง
▶ ไม่ทำให้ตามัวหรือบอด

3. โรคต้อกระจก (cataract)
➡ เป็นโรคที่เกิดจากการขุ่นของเลนส์แก้วตา (lens) ในลูกตา ทำให้การมองเห็นภาพมีลักษณะคล้ายเป็นหมอก หรือควันขาวๆ บัง
➡ ส่วนมากมักเป็นจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตาตามอายุ
➡ อาจเป็นตั้งแต่กำเนิด หรือ เกิดหลังอุบัติเหตุต่อดวงตาก็ได้
➡ มักทำให้ตามัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจมองไม่เห็นในที่สุดถ้าไม่ได้รับการรักษา

4. โรคต้อหิน (glaucoma)
📍 เป็นโรคที่มีความดันในลูกตาสูงจากการระบายออกของน้ำเลี้ยงในลูกตา (aqueous) น้อยผิดปกติ ทำให้ลูกตาแข็งขึ้น จนกระทั่งกดขั้วประสาทตา (optic disc) ทำให้มีการเสียของลานสายตาการมองเห็น จนกระทั่งตาบอดสนิทได้ในที่สุด

✳ โรคต้อลมสาเหตุเกิดจากลม การใส่แว่นจะป้องกันโรคได้หรือไม่ ?

🎯 สิ่งระคายเคืองที่เป็นสาเหตุของโรคต้อลม เป็นไปได้ทั้งจากลม ฝุ่น หรือ แสงแดดจ้าๆ ซึ่งนอกจาก จะเป็นสาเหตุของโรคต้อลมแล้ว ยังทำให้ผู้ที่เป็นต้อลมอยู่แล้ว มีอาการเคืองตามากขึ้น และ ต้อลมลุกลามมากขึ้น เมื่อสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองดังกล่าว

แว่นตามักช่วยกันลมเฉพาะจากทางด้านหน้า จึงไม่เพียงพอต่อการป้องกันทั้งลม ฝุ่น และแสงแดด

✔ ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุด จึงควรพยายามหลีกเลี่ยง บริเวณที่มีลม ฝุ่น หรือ แสงแดดจ้าๆ จะเป็นประโยชน์มากกว่า.

✳ โรคต้อเนื้อ เกิดจากการกินเนื้อ และหลังลอกต้อเนื้อควรงดอาหารประเภทเนื้อสัตว์จริงหรือไม่ ?

🎯 โรคต้อเนื้อ เกิดจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตาบริเวณข้างตาดำ จากการสัมผัสสิ่งระคายเคือง เช่น ลม ฝุ่น แสงแดด แม้มีลักษณะคล้ายเป็นก้อนเนื้อ แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับอาหารประเภทเนื้อ และ การกินอาหารประเภทเนื้อหลังการลอกต้อเนื้อ ไม่ทำให้แผลเกิดการอักเสบ หรือ เกิดต้อเนื้อขึ้นใหม่ แต่อย่างใด

✳ โรคต้อกระจก จำเป็นต้องเป็นทุกคนหรือไม่ ?

🎯 โรคต้อกระจก เกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์แก้วตา ทำให้เลนส์แก้วตา ซึ่งควรมีลักษณะใสมีสีขาว หรือ ขาวอมน้ำตาลมากขึ้น. เมื่อมนุษย์ทุกคนมีอายุมากขึ้น จะต้องเกิดการเสื่อมของเลนส์ตาทุกคน เมื่อการขุ่นของเลนส์ตามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดปัญหาตามัว จะเรียกว่าเป็น โรคต้อกระจก

✔ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจะต้องเป็น ต้อกระจก แน่นอน แต่อาจเป็นตั้งแต่อายุมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละบุคคล

✳ โรคต้อกระจกสามารถใช้ยาหยอดรักษาให้หายได้หรือไม่ ?

🎯 ปัจจุบันยังไม่มียาหยอดตา หรือ ยากินที่สามารถให้การรักษาโรคต้อกระจกให้หายขาดได้ การรักษาที่ได้ผลคือ การผ่าตัด (หรืออาจเรียกว่าลอกต้อ) เอาเลนส์ตาธรรมชาติที่ขุ่นเป็นต้อกระจกออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียม เข้าไปแทนที่ โดยวิธีการเอาเลนส์ตาที่เป็นต้อกระจกออก อาจใช้วิธีดันออกหรือใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) สลายออกก็ได้ แต่ยังไม่มีการใช้แสงเลเซอร์ในการผ่าตัดโรคต้อกระจก

✳ เลนส์แก้วตาเทียมใช้ได้นานกี่ปี และต้องดูแลรักษาอย่างไร ?

🎯 ปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิตเลนส์แก้วตาเทียม มีความก้าวหน้า มีภาวะแทรกซ้อนน้อย ใส่แล้วคล้ายธรรมชาติ ไม่ต้องการการดูแลรักษาใดๆ และ สามารถใช้เลนส์แก้วตาเทียมนั้นได้ตลอดอายุ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมอีก

✳ โรคต้อหิน ต้องรักษาโดยการผ่าตัดเสมอไปหรือไม่ และการผ่าตัดทำเพื่อวัตถุประสงค์ใด ?

🎯 โรคต้อหิน มีหลายชนิด ดังนั้นการรักษาจึงมีหลากหลายวิธี เช่น การใช้ยาหยอดตาลดความดันตา ยากินลดความดันตา การใช้แสงเลเซอร์ และการผ่าตัด

โดยในกรณีที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ไม่ใช่การผ่าเอาหินหรือของแข็งใดๆ ออกจากตา แต่เป็นการผ่าตัดเพื่อเปิดทางระบายน้ำเลี้ยงในลูกตา (aqueous) ออกจากลูกตา ทำให้ความดันตาลดลง และ ไม่เป็นอันตรายต่อขั้วประสาทตา

✳ โรคต้อต่างๆ เป็นโรคพันธุกรรมหรือไม่ ?

🎯 โรคต้อลมและต้อเนื้อ เป็นโรคที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งระคายเคือง จึงไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

🎯 โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ เกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาตามสภาพ ไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่โรคต้อกระจกที่เกิดในเด็ก หรือ เป็นแต่กำเนิดในบางราย อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

🎯 โรคต้อหิน อาจเป็นได้ทั้งเป็น และ ไม่เป็นโรคพันธุกรรม แต่ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อหิน เมื่ออายุเกิน 40 ปีควรได้รับการตรวจวัดความดันตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเฝ้าระวังโรคต้อหินที่อาจเกิดขึ้นได้

======================

📚 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :
🔘 วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา พ.บ. ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
🔘ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ. จักษุแพทย์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์ตาดี healthy eyes
👉 Add Line : https://lin.ee/v7uRd8H ()

🔘 ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ดีคอนแทคพลัส
✔ อาหารเสริมบำรุงดวงตา ช่วยดูแลอาการตาแห้ง
เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล เมื่อยล้าดวงตา
ปวดตา ตาพร่ามัว ให้ดีขึ้นได้

📱 โทรปรึกษาก่อนสั่งซื้อ
สายด่วน 082-499-1777 , 087-591-7495

อย่าลืมดูแลตัวเองกันนะค่ะ
06/10/2020

อย่าลืมดูแลตัวเองกันนะค่ะ

" โรคตาแห้ง " โรคฮิตคนทำงาน

🤓 โรคตาแห้ง เป็นอีกหนึ่งภาวะที่คนปัจจุบันประสบเป็นจำนวนมาก มีสาเหตุหลักมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการระคายเคืองดวงตา รวมไปถึงการเกิดโรคตาแห้งที่อาจส่งผลเสียได้มากกว่าที่คิด

👧 อ.พญ.ภัศรา จงขจรพงษ์ สาขาวิชากระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า
" โรคตาแห้ง " มีอาการแสดง คือ
☆ ระคายเคืองตาเหมือนมีเศษผงอยู่ในดวงตา
☆ รู้สึกแสบตาง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีลมพัดเข้าสู่ดวงตา หรือเมื่ออยู่ในห้องแอร์ จะรู้สึกได้ว่าดวงตาแห้ง และรู้สึกดีเมื่อกระพริบตา
☆ การอ่านหนังสือ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ในระยะใกล้แล้วผ่านไปสักระยะ จะรู้สึกว่าตาเบลอ ๆ

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาการที่บ่งบอกถึงโรคตาแห้ง

🔯 สาเหตุของโรคตาแห้ง

✔ การใช้สายตาระยะใกล้ อย่างการจ้องจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือ การอ่านหนังสือต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง
✔ เพศ โดยพบว่า เพศหญิงเป็นมากกว่าเพศชาย
✔ อายุ พบว่าเมื่อเข้าสู่อายุ 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการเกิดโรคตาแห้งสูงกว่าวัยอื่น
✔ การมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคภูมิแพ้ตัวเอง โรคความดันโลหิตสูง ที่ต้องมีการทานยาขับปัสสาวะ และ ส่งผลข้างเคียงทำให้เกิดตาแห้ง หรือ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ต้องทานยาบางตัวที่ส่งผลข้างเคียงเช่นกัน

❎ ในทางพฤติกรรมของการใช้สายตาระยะใกล้ มักทำให้มีการกระพริบตาน้อยลงถึง 3 เท่ากว่าภาวะปกติ ซึ่งโดยปกติคนเราจะกระพริบตา 8-12 ครั้งต่อนาที
สำหรับการใช้สายตาระยะใกล้ซึ่งเป็นการตั้งใจมากเกินไป และ เกิดการเพ่งมอง จะส่งผลให้น้ำตาระเหยออกโดยไม่ได้รับการทดแทน ส่งผลให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้น และ เกิดปัญหาตาแห้งตามมา

❎ นอกจากนี้ในบางรายอาจเกิดจากการศัลยกรรมบริเวณหนังตาหรือเปลือกตา รวมถึงการใช้ขนตาปลอม ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดตาแห้งได้เช่นกัน

➡ โดยปกติคนทั่วไปจะมีต่อมน้ำตาที่บริเวณด้านบนของคิ้ว ทำหน้าที่ผลิตส่วนประกอบของน้ำตาที่เป็นส่วนของน้ำ เพื่อมาหล่อเลี้ยงดวงตาให้เกิดความชุ่มชื้น
➡ นอกจากนี้ยังมีต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาที่ผลิตไขมันออกมาซึ่งเป็นส่วนประกอบของน้ำตาเช่นกัน โดยไขมันจะทำหน้าที่ป้องกันการระเหยของน้ำตา ทำให้น้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตาได้ยาวนานขึ้น
➡ โดยทั้งส่วนของน้ำและไขมัน คือ องค์ประกอบที่ทำให้น้ำตามีคุณภาพดี ช่วยป้องกันโรคตาแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

❎ แต่ในคนที่ทำศัลยกรรมบริเวณหนังตา เช่น ผ่าตัดทำตาสองชั้น มักเกิดปัญหาตาแห้งตามมา เนื่องจากได้มีการทำลายต่อมไขมันที่เปลือกตา ทำให้น้ำตาระเหยได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีไขมันที่ทำหน้าที่ป้องกันการระเหย บางครั้งยังเกิดการหลับตาที่ไม่สนิท เพราะแผลผ่าตัดยังมีอาการบวม จึงทำให้ 6 เดือนแรกหลังผ่าตัดทำตามักมีอาการตาแห้ง

❎ นอกจากนี้การติดขนตาปลอมก็มีความเสี่ยงเช่นกัน สืบเนื่องมาจากการใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดกาวติดขนตา ที่มีส่วนทำให้ตาแห้ง และ ทำให้ไขมันอุดตันได้ง่าย

✳ กลุ่มอาการจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับโรคตาแห้ง เนื่องจากการทำงานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นการใช้สายตาระยะใกล้ ถึง ระยะกลาง ซึ่งมักใช้สมาธิและความตั้งใจสูง ส่งผลให้เกิดการเพ่งมอง
📍พฤติกรรมนี้ มักทำให้เกิดปัญหาการกระพริบตาน้อยลงตามมา บวกกับ
การทำงานในห้องแอร์ ซึ่งมีสภาพอากาศที่แห้ง ประกอบกับแสงจ้าจากคอมพิวเตอร์ คือ สิ่งแวดล้อมที่ส่งผลให้ตาแห้งได้ง่าย โดยเฉพาะการทำงานติดต่อกัน 2 ชั่วโมงเป็นต้น ไปโดยไม่พักเลย จะส่งผลให้เกิดตาแห้งได้ง่ายมาก

😲 หากปล่อยไว้ไม่ดูแล จะกระตุ้นให้เกิด
> การอักเสบของเยื่อบุตา
> มีอาการตาแดงแสดงออกมา
> ถ้าตาแห้งมาก ๆ กระจกตาสามารถถลอกได้ หรือ เป็นแผล ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

----------------------------------------
✳ ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :
🏥 รายการพบหมอรามา ช่วง Big Story

ปรึกษาปัญหาดวงตา
หรือ สั่งซื้อ ดีคอนแทคพลัส
☎ 082 499 1777

👉 แอดไลน์ >> https://lin.ee/v7uRd8H

👉 ดูผลิตภัณฑ์อื่นๆ >> https://shop.line.me/

เรื่องใกล้ตัว สำหรับผู้สูงวัย
05/10/2020

เรื่องใกล้ตัว สำหรับผู้สูงวัย

อายุมากแล้ว ต้องดูแลตัวเองให้ดี มีสาระดีๆมาฝากค่ะ

รู้หรือไม่ 1 ใน 5 ปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุไทย คือโรคข้อเข่าเสื่อม ปวดข้อ-ปวดเข่าเรื้อรังไม่หายเสียที แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกระดูกและข้อ ชวนเช็กลิตส์ตัวเองกันหน่อย...ปวดแบบไหนเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม!!

ข้อมูลโดย นพ.ปิยวัฒน์ จิรัปปภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกระดูกและข้อ ประจำโรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี โรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อมและสถิติที่น่าตกใจ เมื่อพบว่า 1 ใน 5 ปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุไทย คือโรคข้อเข่าเสื่อม

รู้จักโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมนั้น เกิดจากการที่กระดูกอ่อน ผิวข้อมีการสึกหรอ หลุดร่อน ทำให้กระดูกมีการเสียดสีกัน และร่างกายพยายามที่จะซ่อมแซมตัวเอง โดยการสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ แต่จะเป็นการสร้างในตำแหน่งที่ไม่ควรจะสร้าง ทำให้เกิดอาการอักเสบของข้อ ปวดเรื้อรัง บวม กดเจ็บ เคลื่อนไหวลำบาก และข้อผิดรูป

สาเหตุของข้อเข่าเสื่อม
• อายุที่มากขึ้น
• น้ำหนักตัวที่มากเกินไป
• พฤติกรรมการใช้ข้อผิดวิธี เช่น การนั่งยอง นั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิเป็นเวลานาน
• เคยได้รับบาดเจ็บบริเวณเข่า เช่น กระดูกหัก เข่าแตก เอ็นฉีก เป็นต้น
• โรคที่เคยเป็น เช่น โรครูมาตอยด์ โรคเก๊าท์
• การไม่ออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าไม่แข็งแรง
• การใช้ยา โดยมีการใช้ยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

Checklist อาการแบบไหนเข้าข่ายเสี่ยงเป็นข้อเข่าเสื่อม
มาสังเกตุอาการเบื้องต้นกันหน่อย ว่าปวดแบบไหนถึงจะเข้าข่ายเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีอาการดังนี้
• ปวดหรือเจ็บข้อเข่าเวลาเดิน นั่ง หรือขึ้นลงบันได
• ปวดเรื้อรังหลายปี
• เข่าโตขึ้น ข้อเข่าบวม
• ขาโก่ง

Checklist ใครเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมบ้าง
สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรคข้อเข่าเสื่อม มีหลายกลุ่ม
• น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน
• ผู้ที่ปวดเข่าเรื้อรังหลายปี
• อายุมากกว่า 40 ปี
• เคยป่วยด้วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคพุ่มพวง (SLE) โรคเก๊าท์
• เคยเกิดอุบัติเหตุทำให้มีกระดูกหักบริเวณข้อเข่า

แนวทางการรักษา
แนวทางการรักษา จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

1.การรักษาแบบไม่ผ่าตัด เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและช่วยให้เข่าเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น โดยมีหลากหลายวิธี ดังนี้
• ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ได้แก่ รับประทานอาหารที่เหมาะสมเพื่อควบคุมน้ำหนักตัว
• ออกกำลังกายชนิดส่งแรงกระแทกข้อเข่าน้อยเป็นประจำ เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดิน เพื่อส่งเสริมให้ข้อเข่าแข็งแรงขึ้น
• ลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักตัวมากเกินไป เพื่อลดแรงกดบนข้อเข่า
• รักษาด้วยยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และยากลุ่มสารอาหารเสริมสร้างกระดูก
• ฉีดสารน้ำเลี้ยงไขข้อ ในกรณีที่มีอาการปวดไม่มาก และการทำลายของกระดูกอ่อนยังไม่รุนแรง
• ฉีดยาสเตียรอยด์ ในกรณีที่มีอาการปวดเฉียบพลันที่รุนแรงและเป็นครั้งคราว
• ทำกายภาพบำบัด เช่น บริหารกล้ามเนื้อรอบเข่า

2. การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม จำเป็นในกรณีรักษาด้วยยาและปรับวิธีดำเนินชีวิตแล้วไม่ได้ผล

Cr: นพ.ปิยวัฒน์ จิรัปปภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกระดูกและข้อ ประจำโรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี และโพสต์ทูเดย์

ด้วยความปรารถนาดีจาก: ศูนย์กระดูกและข้อ Healthy Bone ( D-BOON )

ด้วยความปรารถนาดี สำหรับทุกๆคน
05/10/2020

ด้วยความปรารถนาดี สำหรับทุกๆคน

แชร์ข้อมูลดีๆ สำหรับสังคมก้มหน้าอย่างพวกเรา

📱" ติดจอ" ต้องรู้ !! 5 โรคที่มากับอาการเสพติด 'โซเชียล'

💻 รู้จัก 5 โรคที่เกิดจากการ "ติดจอ" หรือ เสพติด "โซเชียล" ที่มากเกินพอดี แทนที่จะใช้ สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน แต่กลับกลายเป็นว่า มันทำร้ายสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของผู้ใช้ได้

"สมาร์ทโฟน" และ อินเทอร์เน็ต เป็นสิ่งพื้นฐานที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในปี 2020 สองสิ่งนี้ทำให้ผู้คนยุคนี้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายมากกว่าอดีตเป็นสิบๆ เท่า แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็สามารถทำร้ายเราได้เช่นกัน เพราะความรุนแรงของอาการ "ติดจอ" หรือ การเสพติด "โซเชียล" (หลายคนกำลังเป็นอยู่) กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี

👥 สำหรับใครที่คิดว่า ก็แค่เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ ขอบอกว่า คิดผิด!! เพราะอาการเสพติดโซเชียลมีเดียนี้ ในประเทศอังกฤษบันทึกว่า เป็นโรคอย่างหนึ่ง ซึ่งในแต่ละปี มีชาวอังกฤษเข้ารับการบำบัดมากกว่า 100 ราย

📖 ส่วนในบ้านเรามีข้อมูลจากสถาบันสื่อเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ระบุว่า โรคยอดฮิตที่มักพ่วงมากับ อาการเสพติดโซเชียลมีเดีย มีทั้งหมด 5 โรคได้แก่

♳โรคเศร้าจากเฟซบุ๊ก
การศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน นำโดยศาสตราจารย์ อีธาน ครอสส์ ได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 82 คน ซึ่งใช้บริการเฟซบุ๊กบนสมาร์ทโฟนเป็นประจำ พบว่า
▶การใช้เฟซบุ๊กมากเกินไป จนมีอาการติดจอ อาจกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขและความพึงพอใจในการดำรงชีวิตได้ เช่น รู้สึกโดดเดี่ยว เหงา และ เศร้ามากขึ้น

ทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่ สอดคล้องกับงานวิจัยจากเยอรมนี ที่พบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เฟซบุ๊ก มีทัศนคติต่อตัวเองในแง่ลบ เนื่องจากเห็นการอัพเดตสถานะของเพื่อน ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ที่มีแต่ความสำเร็จและความสุข

ดังนั้นแล้วอาจจะสรุปได้ว่า การเล่นเฟซบุ๊กอาจจะเป็นต้นเหตุของโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน

♴ ละเมอแชท (Sleep-Texting)
ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน และโรคนี้ไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอน หรือ ป่วนสมองได้ แม้กระทั่งตอนที่คุณเข้านอนแล้ว สามารถเรียกโรคนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า "อาการติดแชท" แม้ขณะที่ตัวเองกำลังหลับอยู่

▶การศึกษาในต่างประเทศ พบว่า Sleep-Texting เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้าขั้น "ติดจอ" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา ร่างกายและระบบประสาท จะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไปในทันที ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะ "กึ่งหลับกึ่งตื่น"

เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมา จะจำอะไรไม่ได้ว่า ทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง และข้อความนั้นก็เป็นข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้ หากเป็นโรคนี้ จะมีปัญหาที่ตามมาในระยะยาว ได้แก่
✔ร่างกายอ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ✔โรคอ้วน
✔ภาวะซึมเศร้า และอาจส่งผลกระทบในการเรียนหรือการทำงานด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงมีคำแนะนำจากแพทย์ คือ หากจะเล่นไลน์ เฟซบุ๊ก วอทแอพ หรือ วีแชต ก็ควรเล่นแต่พอดี แต่หากคุณติดจองอมแงม ก็ควรตัดใจปิดมือถือ หรือ ปิดเสียงและปิดสัญญาณ WiFi และ 3G 4G ทันที ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนได้เต็มที่

♵โรควุ้นในตาเสื่อม
สำหรับบางคนอาจจะต้องทำงานติดจอคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลาย ๆ ชั่วโมง และบางคนก็จ้องสมาร์ทโฟนอยู่ตลอดแบบไม่วางตา ทั้งการเล่นโซเชียล แชท หรือ เล่นเกม

👉 พฤติกรรมเหล่านี้ หากทำติดต่อกันนานเกินไปอาจทำให้เกิด 📍โรควุ้นในตาเสื่อม📍ได้ ทั้งนี้จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่า มีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคน

➡โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุบัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย
➡ อาการสำคัญคือ **เวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากไย่ ** ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ที่เป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น ท้องฟ้า หรือ ผนังห้องสีขาว ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ จะทำให้เกิดอาการ ปวดตา และ มีปัญหาด้านสายตาในที่สุด

คำแนะนำจากแพทย์คือ ให้พักสายตาโดยการหลับตาแล้วกรอกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับตานิ่งๆ ประมาณ 5 นาที อย่าลืมออกไปสูดอากาศให้ผ่อนคลาย และ มองดูสิ่งของสีเขียวๆ เช่น ต้นไม้ จะช่วยให้อาการดีขึ้นซึ่งได้ผลถึง 70%

♶โนโมโฟเบีย (Nomophobia)
เป็นโรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร รวมถึงความเครียด เมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้
Nomophobia มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" ซึ่งจัดเป็น โรคกลัวทางจิตเวช เพราะมีอาการวิตกกังวล หรือ กลัวเกินกว่าปกติ

⛤ อาการโดยทั่วไปที่สามารถเช็คได้ง่าย ๆ ว่าคุณเข้าขั้นเป็นโรคนี้หรือเปล่าก็คือ ✔เกิดอาการเครียด วิตกกังวล ตัวสั่น หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้เมื่อไม่มีโทรศัพท์ อยู่ในจุดอับสัญญาณ หรือแบตเตอรี่หมด

⛤ นอกจากนี้ยังแสดงอาการด้วยการหยิบ สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตขึ้นมาเช็คอยู่ตลอดเวลา ก็คือ มีอาการติดจอ ติดการส่งข้อความ และติดการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ฯการอัพเดทสเตตัส การเช็กอิน โพสต์รูป ฯลฯ อาการบ่งชี้ที่สำคัญคือ ผู้ที่เป็นโรคนี้จะไม่เคยปิดมือถือ เพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ในโลกออนไลน์

⛤ จากการสำรวจของทั่วโลกพบว่า มีคนเป็นโรคนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน จะเป็นมากกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
สำหรับประชากรไทยพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มเยาวชน จะมีอาการติดจอ และชอบเล่นสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานไลน์ หรือ เฟซบุ๊ก และถ้าหากเป็นมากก็ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

♷สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face)
สมาร์ทโฟนเฟซ หรือ โรคใบหน้าสมาร์ทโฟน เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ตมากจนเกินไป
✡ เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้า ทำให้แก้มบริเวณกราม เกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการนั่งก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอ และ เพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา และจะเห็นชัดเจนเมื่อถ่ายภาพใบหน้าของตัวเอง

✳ เอาเป็นว่า...ไม่ว่าคุณจะคลั่งไคล้การใช้โซเชียลมากแค่ไหน ติดจอขนาดหนักอย่างไร ก็ต้องหันกลับมาใส่ใจสุขภาพของตัวเองควบคู่ไปด้วย อย่าลืมว่า เทคโนโลยีเหล่านี้ ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นแล้วการอยู่กับมันอย่างพอดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ

การปรับพฤติกรรมให้ใช้งานโซเชียลน้อยลง อาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละนิด ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างบาลานซ์และไม่มีโรคภัยมากล้ำกรายอีกต่อไป

--------------------------------------------

📚ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :
👉กรมสุขภาพจิต
👉สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน
👉bangkokbiznews.com

🏨 ด้วยความปรารถนาดีจาก zendnetworkshop
👉 Add Line : https://lin.ee/v7uRd8H ()👉

Myshop : https://shop.line.me/

🔘 ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ดีคอนแทคพลัส
อาหารเสริมบำรุงดวงตา ช่วยดูแลอาการตาแห้ง
เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล เมื่อยล้าดวงตา
ปวดตา ตาพร่ามัว ให้ดีขึ้นได้

19/02/2020
!!! ต้อลม ต้อเนื้อ มีอาการอย่างไร ? รักษาและป้องกันได้อย่างไร ? และ ควรดูแลตัวเองอย่างไร ? หาคำตอบได้ที่นี่ค่ะ 🔻📚 ต้อลม ...
18/02/2020

!!! ต้อลม ต้อเนื้อ มีอาการอย่างไร ?
รักษาและป้องกันได้อย่างไร ?
และ ควรดูแลตัวเองอย่างไร ?
หาคำตอบได้ที่นี่ค่ะ 🔻

📚 ต้อลม (Pinguecula)
เป็นก้อนสีขาวเหลือง ที่อาจเรียบหรือนูนเล็กน้อยอยู่บนเยื่อตาที่คลุมตาขาว พบอยู่ทางด้านข้างของกระจกตา

📚 ต้อเนื้อ (Pterygium) มีลักษณะเหมือนแผ่นเนื้อสีแดง รูปสามเหลี่ยม งอกมาจากบริเวณเยื่อตาโดยมียอดสามเหลี่ยมอยู่ทางด้านกระจกตา ต้อเนื้อจะค่อยๆ โตอย่างช้าๆ มีขนาดหลากหลายตั้งแต่ขนาดเล็กและดูฝ่อ จนถึงขนาดใหญ่ โตอย่างรวดเร็วและมีเส้นเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก ถ้าเป็นมาก อาจลามเข้าถึงกลางกระจกตา และ ปิดบังการมองเห็นได้ ต้อเนื้อเป็นเนื้องอกที่ไม่อันตราย ทั้งต้อลมและต้อเนื้อไม่ใช่มะเร็ง

✡ ต้อลม และ ต้อเนื้อ มักถูกพบที่หัวตามากกว่าหางตา อย่างไรก็ตาม อาจพบบนตาขาวทางด้านหัวตา หางตา หรือพบทั้งสองตำแหน่งได้ในคราวเดียวกัน
✡ ต้อลม ต่างจาก ต้อเนื้อ ตรงที่ต้อลมจะไม่ลุกลามไปบนกระจกตา
✡ ต้อลม และ ต้อเนื้อ อาจมีการอักเสบ ทำให้มีอาการแดง เคือง และ ปวดตาได้

📂 สาเหตุของการเกิดต้อลมและต้อเนื้อ

🌞 ต้อลม เกิดจากการเสื่อมของเส้นใยคอลลาเจน (collagen fibers) ในเยื่อตา สาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากลมเหมือนชื่อ แต่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่สัมพันธ์กับการได้รับ รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet, UV) ที่มีในแสงแดดเป็นเวลานาน ร่วมกับการสัมผัสกับ ลม ฝุ่น ควัน และ ความร้อนที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อตา

🌞 ต้อเนื้อ เกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจน (elastotic degeneration of collagen) และ การมีเนื้อเยื่อพังผืด เกิดขึ้น แม้ว่าชื่อโรคจะมาจากลักษณะที่เหมือนก้อนเนื้อ แต่สาเหตุของการเกิดไม่เกี่ยวข้องกับการรับประทานเนื้อเลย โดยมีสาเหตุเหมือน ต้อลม และ มีรังสี UV เป็นสาเหตุหลัก

⚡ อาการ ต้อลม ต้อเนื้อ

✔ ตาแดง บวม
✔ คันตา เคืองตา
✔ แสบตา น้ำตาไหล
✔ ตาไม่สู้แสง

โดยทั่วไปต้อลมและต้อเนื้อ จะไม่ทำให้เกิดตามัว ยกเว้น ต้อเนื้อ ที่เป็นมากและลามเข้ามากลางกระจกตา ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเยื่อตาที่มีการยกตัวขึ้น และ กระจกตาที่อยู่รอบๆ

🔘 การรักษา

1. ใส่แว่นกันแดด เมื่อออกกลางแจ้ง เพื่อลดการโดนรังสี UV และ ลดอาการต่างๆ
2. กรณีที่เป็นไม่มาก ไม่มีอาการผิดปกติ สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้โดยไม่มีอันตราย
3. ถ้ามีอาการ อาจใช้ยาหยอดตา หรือ สารหล่อลื่น เช่น น้ำตาเทียม ยาหยอดตาผสมสเตียรอยด์ในระยะสั้น เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองตา และ ทำให้ตาไม่แดง แต่อย่างไรก็ตาม ยาหยอดตาไม่สามารถทำให้ ต้อลม และ ต้อเนื้อ หายไปได้
4. การผ่าตัด ทำในกรณี ต้อเนื้อ ลุกลามเข้าไปบนกระจกตาพอสมควร มีการมองเห็นลดลง ตามัวมองไม่ชัด จากต้อเนื้ออย่างผิดปกติ หรือเพื่อความสวยงาม ถ้าเป็นน้อย ไม่จำเป็นต้องทำผ่าตัด ส่วน ต้อลม นั้นไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออกเพราะไม่มีอันตรายต่อตา การผ่าตัด ลอก ต้อเนื้อ มีหลายวิธี การเลือกวิธีผ่าตัดขึ้นกับสภาพต้อเนื้อและคนไข้

❎ การป้องกัน ซึ่งเป็นทั้งวิธีรักษาวิธีหนึ่งด้วย ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ต้อเนื้อและต้อลม เกิดจากการเสื่อมของเยื่อบุตาอันเนื่องจากสิ่งแวดล้อม การหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่น ลม ควันไฟ ตลอดจนแสงแดดจ้าๆ จะลดอุบัติการณ์ของโรคนี้ได้ ดังนั้นหากจะต้องทำงานหรือออกกลาง แจ้งควรใช้แว่นกันแดดเสมอ

🚫 หลังผ่าตัดลอกต้อเนื้อ
ควรพบแพทย์ตามนัด และ สวมแว่นกันแดดอย่างต่อเนื่อง เมื่อออกกลางแจ้ง เนื่องจากในบางรายอาจกลับเป็นซ้ำได้ ต้อเนื้อที่เป็นซ้ำ มักจะมีลักษณะที่หนา แดงกว่าเดิม และการลอกอีกครั้ง จะทำยากกว่าครั้งแรก

ขอขอบคุณข้อมูล :

แพทย์หญิง ณฐมน ศรีสำราญ
จักษุแพทย์เฉพาะทางต้อหิน

ประจำศูนย์จักษุเฉพาะทาง (Advanced Ophthalmology Center)
โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล
World Medical Hospital (WMC)

-------------------------------------------

🏪ปรึกษาปัญหาดวงตา หรือ สนใจสั่งซื้อ ดี-คอนแทค
zen.dnetworkshop
☎ 082 499 1777
คลิ๊กแอดไลน์ได้ที่....
👉>> https://lin.ee/v7uRd8H

02/08/2017
08/03/2017
แชร์ช่องทางนำเงินเข้ากระเป๋าครับปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจไม่เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน เงินทองหายากแต่ช่องทางที่ทำให้เราต้องควัก...
24/02/2017

แชร์ช่องทางนำเงินเข้ากระเป๋าครับ

ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจไม่เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน เงินทองหายากแต่ช่องทางที่ทำให้เราต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินง่ายขึ้น เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคดิจิตอลมีข้อมูลมาหาเราเยอะมาก มีของน่าซื้อวิ่งเข้ามาหาเราทุกวัน ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น

แต่ถ้าอยากเปลี่ยนจากผู้จ่ายเงิน เป็นผู้รับเงินบ้าง
ดูรายละเอียด คลิกลิงค์เลยครับ
https://sukkaphapdee.wordpress.com/

This is the home page's excerpt

📣📣 แพทย์เตือน!! ระวัง ปิดไฟเล่น มือถือ-แท็บเล็ต-สมาร์ทโฟนในที่มืดก่อนนอน เสี่ยงโรคต้อหิน🚩 รศ. นพ. นริศ กิจนรงค์ ภาควิชาจ...
17/12/2016

📣📣 แพทย์เตือน!! ระวัง ปิดไฟเล่น มือถือ-แท็บเล็ต-สมาร์ทโฟนในที่มืดก่อนนอน เสี่ยงโรคต้อหิน

🚩 รศ. นพ. นริศ กิจนรงค์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้อำนวยการทางวิทยาศาสตร์งาน ชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย และ เลขาธิการวิทยาศาสตร์งานราชวิทยาลัย จักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวในงานเสวนาสุขภาพ " ภัยร้ายสังคมก้มหน้า อาจถึงขั้นตาบอดได้ " ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตามากกว่า 80% สาเหตุมาจากการได้รับรังสี UV 400, UVA1 และแสงสีฟ้า จากพฤติกรรมจ้องคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน

พบได้ทั้งผู้สูงอายุ วัยทำงาน และ เด็ก โดยพฤติกรรมที่พบส่วนใหญ่ คือ ช่วงเวลาก่อนนอนที่จะมีการหยิบสมาร์ทโฟนมาเล่นในขณะที่ปิดไฟแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่เร่งให้มีอาการทางสายตาเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ อันตรายจากแสง UV และ แสงสีฟ้า ที่อยู่ในจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จะทำลายดวงตาเมื่อจ้องเป็นเวลานาน เนื่องจากการกระพริบตาจะน้อยลง โดยปกติจะกะพริบตาประมาณ 20 ครั้งต่อนาที เพื่อให้ตาได้รับความชุ่มชื้น การเพ่งมองเป็นเวลานาน จะทำให้ตาแห้ง แสบตา ส่งผลให้การมองเห็นเริ่มผิดปกติ เห็นภาพซ้อน ภาพไม่ชัด พร่ามัว ปวดเบ้าตา กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคคอมพิวเตอร์วิชชั่นซินโดรม เป็นส่วนทำให้เกิด ต้อเนื้อ ต้อลม และ จอประสาทตาเสื่อม ซึ่งพบมากขึ้นเรื่อยๆ และรักษาได้ยาก อาจส่งผลให้ตาบอดได้ ขณะที่การตรวจสุขภาพตาน้อยมาก


🔘 วิธีหลีกเลี่ยงแสงอันตราย

1. เลือกอุปกรณ์ป้องกัน หรือ ลดปริมาณแสงสีฟ้าที่ดวงตาได้รับโดยตรง เช่น ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด แสงสีฟ้า ป้องกันรังสียูวี หรือใช้แว่นกันแดดที่เคลือบสารป้องกันแสงที่เหมาะสม

2. ปรับค่าความสว่างให้เหมาะสม เมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง ประมาณ 5 นาที

3. การพักสายตาที่ดีที่สุดคือการนอน แต่ถ้าไม่สามารถนอนได้ ให้มองไปไกลๆ หรือพื้นที่สีเขียว เช่น ต้นไม้ เพื่อลดการเพ่งของสายตา นอกจากนี้คือ

4. การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ประเภทผักผลไม้ ที่มีสีเหลืองส้ม จะช่วยบำรุงสายตาได้

ซึ่งคนไทยมากกว่า 50 % เป็นโรคเกี่ยวดวงตา จึงอยากแนะนำให้ผู้ที่อายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปตรวจ
สุขภาพตาทุกๆ 1-2 ปี

ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในแต่ละวันเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง ติดต่อกัน มีความเสี่ยงในการเกิด คอมพิวเตอร์วิชชั่นซินโดม แล้วยังมีความสัมพันธ์กับจำนวนการเกิดต้อหิน ในการประชากรที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งหากวินิจฉัยและรักษาช้าเกินไปจะทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวร

ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนนาดา ได้มีการประกาศเตือนผู้ปกครอง ในเด็กเล็กแรกเกิดถึง 2 ปี ให้งดใช้เพราะจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสมอง ทำให้การเรียนรู้ช้าลง และในเด็กที่อายุน้อยกว่า 12 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้งาน เพราะจะทำให้เด็กสมาธิสั้น การเคลื่อนไหวน้อย เด็กจะนั่งนิ่งๆจนกลายเป็น
โรคอ้วน และโรคอื่นๆ ตามมา ไม่ควรจ้องมองสมาร์ทโฟนในบริเวณที่มีแสงน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ควรปิดไฟนอนแล้วเล่นสมาร์โฟน จะทำให้ตาบอด ผู้ปกครองจึงควรระมัดระวัง

แหล่งที่มา :
http://203.157.19.14/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=63912

สนใจรับข้อมูล หรือ บทความดีๆ ในการดูแลสุขภาพ ถนอมดวงตา
คลิ๊กแอ๊ดไลน์ได้เลยนะคะ 👇
https://line.me/R/ti/p/%40zenshop

💻เดี๋ยวนี้มองไปทางไหนเราก็จะเห็นคนติดจอกันเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เด็กติดจอแท็บเล็ตก้มหน้าก้มตาเล่นเกมอยู่ก...
15/11/2016

💻เดี๋ยวนี้มองไปทางไหนเราก็จะเห็นคนติดจอกันเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เด็กติดจอแท็บเล็ตก้มหน้าก้มตาเล่นเกมอยู่กับจอ ผู้ใหญ่ก็ติดจอสมาร์ทโฟนทั้งหลาย คอยแชท แชร์ไลน์ กันตลอดเวลา

😲😲 โรคยอดฮิตของคนติดจอ 😲😲

✔โรคเกี่ยวกับตา ปวดตา ปวดกระบอกตา สายตาสั้น จากการจ้องหน้าจอเป็นเวลาต่อเนื่องกันนานๆ เพราะแสงสีของภาพที่ฉูดฉาด การเคลื่อนที่เร็ว ส่งผลให้จอประสาทตาล้า กล้ามเนื้อรอบตาต้องเกร็งตัว ตาแห้งเนื่องจากต้องจ้องมองภาพจอสีต่อเนื่อง การมีพฤติกรรรมแบบนี้ตลอดเวลาจะส่งผลให้จอประสาทตาเสื่อมเร็ว เมื่อเสื่อมก็จะเสื่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ จนมองไม่เห็น

อาการหรือโรคปวดศีรษะ ปวดคอ-บ่า-ไหล่ เรามองเห็นได้ชัดเจนว่าในขณะที่เราเมามัน เล่นเกมต่างๆ หรือจ้องมองที่หน้าจอนานๆ นั้น ท่าทางร่างกายของเราก็จะค่อยๆ ค่อมตัวลง คอ-คางจะยื่นออกไปเรื่อยๆ ตัวงองุ้ม และอยู่ในท่าเหล่านี้นาน กว่าจะนึกได้ว่าตัวงองุ้มอยู่เช่นนี้ ก็ต้องล้าไปทั้งคอ-บ่าแล้ว ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเพราะถ้าเลือดไหลเวียนผ่านกล้ามเนื้อบ่า กล้ามเนื้อต้นคอ ที่เกิดการเกร็งจากท่าทางที่ผิดปกติเช่นนี้ จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เมื่อเป็นเรื้อรังอาจทำให้เป็นต้นเหตุของอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ด้วย และจากท่าทางเหล่านี้ก็ยังส่งผลให้กระดูกหรือหมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร โรคเหล่านี้เริ่มพบในวัยรุ่นมากขึ้น ทั้งนี้ก็เหตุจากการติดจอนั่นเอง

✔โรคระบบทางเดินหายใจ เคยสังเกตตัวเองไหมว่า หลังจากก้มหน้าก้มตาจนติดจอ เมื่อยืดตัวขึ้นมาเราก็จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อน ถึงจะเริ่มเล่นหรือเริ่มทำสิ่งอื่นต่อ นั่นก็เป็นเพราะว่าเวลาที่เรานั่งหลังงุ้มนานๆ จะทำให้การหายใจไม่สุดปอด ทำให้หายใจได้สั้น เมื่อยืดลำตัวขึ้นจึงเป็นกลไกของร่างกายที่ต้องขับเอาอากาศเสียออกด้วยการถอนหายใจลึกๆ ปอดที่ถูกรบกวนการทำงานจะพบมากในวัยเด็กและวัยรุ่น คือ เด็กหายใจสั้นและติดขัด ส่งผลต่อการขับของเสียหรือเชื้อโรค
ในทางเดินหายใจ เด็กจะเป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดบ่อย เป็นหอบหืด ได้ง่าย

✔โรคอ้วน และโรคกระเพาะอาหาร การนั่งอยู่กับที่ต่อเนื่องนานๆ ร่างกายก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมาก ไม่เกิดการเผาผลาญ อาหารก็จะเข้าไปพอกพูนเป็นไขมันสะสมโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ก้น ต้นขา ซึ่งเป็นที่สะสมของเซลลูไลท์เป็นอย่างดี นอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังส่งผลต่อเรื่องของสุขภาพตามมามากมาย ลำไส้อ่อนแรง ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ อาหารย่อยยาก ท้องอืด และยิ่งเล่นเพลินจนลืมทานอาหาร ก็ทำให้เป็นโรคกระเพาะได้เช่นเดียวกัน

✔โรคนิ้วล็อก เส้นเอ็นข้อมืออักเสบ ปวดข้อมือ ชานิ้ว หลายท่านอาจเริ่มจากเมื่อยหรือรู้สึกว่ากำมือไม่ค่อยลง มือและนิ้วแข็ง กำแล้วเหยียดนิ้วไม่ขึ้น ยิ่งตอนตื่นนอนมารู้สึกมือแข็งเป็นพิเศษ อาการเหล่านี้ ให้เริ่มสงสัยได้เลยว่าเป็นโรคฮิตของคนที่ติดหน้าจอนี่เอง

เทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ก็ส่งผลร้ายต่อร่างกายของเราได้เช่นกัน เราต้องรู้จักเลือกใช้ เลือกเล่นให้พอประมาณ และที่สำคัญต้องเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ไม่ว่าจะเล่นหรือทำงาน เปลี่ยนมาลุกขึ้นเดินบ่อยๆ ยืดเส้นสาย หมุนหัวไหล่บ้าง ใช้เวลาไม่ถึงสองนาที เพียงเท่านี้ก็ทำให้รักษาร่างกายเราไว้ได้โดยไม่เป็นโรคเป็นภัยแล้ว จะได้มีร่างกายใช้เล่นไปนานๆ นะ

ที่มา : www.bangkokbiznews.com

----------------------------

📚สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม/ปรึกษาปัญหาดวงตา
คลิ๊กแอ๊ดไลน์ได้เลยนะคะ👇
http://line.me/ti/p/%40zenshop

☎ Call Center : 082 499 1777

😉 ชีวิตคุณติดจอมากเกินไปหรือเปล่า? 😉 🔊สัญญาณอันตรายทำร้ายดวงตา ❗✔ถ้าคุณเป็นคนที่หยิบมือถือมาดูทุก 5 นาที ปล่อยให้มี noti...
15/11/2016

😉 ชีวิตคุณติดจอมากเกินไปหรือเปล่า? 😉

🔊สัญญาณอันตรายทำร้ายดวงตา ❗
✔ถ้าคุณเป็นคนที่หยิบมือถือมาดูทุก 5 นาที ปล่อยให้มี notification แจ้งเตือนแอพต่างๆทิ้งไว้ไม่ได้
✔วันๆ นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากกว่า 7 ชั่วโมง
✔ก่อนนอนอย่างสุดท้ายที่ทำคือหยิบมือถือมาดู...

ถ้าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้ คุณก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีชีวิตติดจอแน่นอน ปัจจุบันนี้ผู้คนมากมายต่างพากันใช้เทคโนโลยี สมาร์ทโฟนมากมาย จนกลายเป็นปัจจัย 5 ที่ใช้ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มักจะเห็นแต่ผู้คนก้มหน้าก้มตาเล่นสมาร์ทโฟนของตัวเองกันไปหมด
จากรายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2557 (Thailand Internet User Profile 2014) โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พบว่าคนไทยมีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต เฉลี่ยถึง 7.2 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งนับว่าคนไทยเป็นชาติที่ขาดไอทีไม่ได้ติดอันดับต้นๆ ของโลก

แต่รู้หรือไม่ว่าการจ้องคอมพิวเตอร์ หรือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต นานเกินไป จะเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาโดยเฉพาะ สุขภาพตา โรคยอดฮิตที่นับวันยิ่งทะลุเพิ่มมากขึ้นคืออาการ computer vision syndrome ยิ่งคนใช้อุปกรณ์ gadget ต่างๆ โดยเฉพาะมือถือ จะดูตัวหนังสือที่แสดงในจอมีขนาดเล็ก ยิ่งทำให้ต้องเพ่งจอ หรือการใช้จอเป็นเวลานานก็ทำให้เกิดอาการเกร็งตาจนลืมกะพริบตา ก็ทำให้มีอาการตาล้า แสบตา หรือตาพร่าได้

💥โรค computer vision syndrome (โรคซีวีเอส)
เป็นโรคที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ gadget ทั้งหลายเช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เป็นเวลานานมากเกินไป จนเกิดอาการเกร็งตา ลืมกะพริบตา นานๆ เข้าก็จะมีอาการปวดศีรษะ ตาล้า สายตาพร่ามัว แสบตา เมื่อยคอ ปวดหลัง การที่เราจ้องหน้าจอเป็นเวลานานแล้วเกิดอาการดังกล่าวข้างต้น แสดงว่าคุณเป็น computer vision syndrome หรือ " โรคซีวีเอส " แล้ว

วิธีป้องกันอาการ computer vision syndrome
1. ถ้ารู้สึกตัวว่าจ้องหน้าจอนานเกินไป ให้กะพริบตาให้บ่อยขึ้น หรือพักสายตาโดยการละสายตาจากคอมพิวเตอร์ หลังจากใช้ไปประมาณ 20 นาที และนั่งในท่าที่เหมาะสม ผ่อนคลาย

2. ปรับห้องและบริเวณทำงาน อย่าให้มีแสงจ้าส่องเข้าตามากเกินไปการใช้แผ่นกรองแสงวางหน้าจอ หรือใส่แว่นกรองแสง (ปรึกษาหมอตาก่อน) อาจลดแสงสะท้อนเข้าตาได้บ้าง

3. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ในระยะทำงานพอเหมาะที่ตามองได้สบายๆ โดยเฉลี่ยระยะจากตาถึงจอภาพควรเป็น 0.45 ถึง 0.50 เมตร จอภาพควรตั้งสูง 0.72-0.75 เมตร เหนือพื้นห้อง ปรับเก้าอี้นั่งให้พอเหมาะ ให้ตาอยู่สูงจากพื้นโดยเฉลี่ย 1.0 – 1.15 เมตร ตาควรอยู่สูงกว่าขอบบนของจอภาพเล็กน้อย

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สามารถบรรเทาปัญหาทางสายตาได้
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่โดยเฉพาะบิลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีแอนโทไซยานินสูงช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา และ มีบทบาทสำคัญต่อการถนอมสุขภาพตา เพราะมีงานวิจัยว่า ช่วยลดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นที่เซลล์ของดวงตา จึงช่วยป้องกันเลนส์และจอประสาทตาจากการถูกทำลาย ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา และช่วยให้ดวงตาแข็งแรง

ปัจจุบันมีการใช้สารสกัดจากผลเบอร์รี่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในการรักษาสุขภาพตาและหลอดเลือด ซึ่งการรับประทานผลเบอร์รี่เพื่อให้ได้ผลในการถนอมดวงตานั้น อาจเลือกรับประทานสดหรือเพื่อความสะดวก อาจเลือกรับประทานในรูปของเบอร์รี่สกัดเข้มข้นก็ได้เช่นกัน

ดังนั้นหากคุณเป็นคนมีชีวิตติดจอไม่ว่าจะเป็น คนทำงาน หรือนักเรียน นักศึกษา ซึ่งจะใช้อุปกรณ์ gadget ต่างๆ เป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะใช้ในการทำงาน หรือ พักผ่อนคุยกับเพื่อน ควรดูแลสุขภาพดวงตาด้วยการ ไม่ควรจ้องจอนานจนเกินไป พักสายตา มองไปไกลๆบ้าง ดูแลเป็นพิเศษด้วยผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เป็นประจำ

ที่มา: ไทยรัฐ (ข่าวไอที)
-------------------------------------------------------------

😉😉 มีปัญหาดวงตา เรียกหา " ดีคอนแทค "
สอบถามเพิ่มเติมติดต่อ Dcontact Center
📱 Tel : 082 499 1777
🆔Line :

คลิ๊กแอ็ดไลน์สอบถาม/รับข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมรับราคา ได้นะคะ
http://line.me/ti/p/~

ที่อยู่

242 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี
Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

+66824991777

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Zen.dnetworkshopผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Zen.dnetworkshop:

แชร์