ร้านขายยา กมลฟาร์มาซี - KAMON Pharmacy

ร้านขายยา กมลฟาร์มาซี - KAMON Pharmacy 📍ตรงข้าม เจริญสินธานี ห้วยปราบ (ร้านสีเหลือง)

19/08/2025
16/07/2025

"ทำไมหมอไทยชอบแนะนำให้เช็ดตัวหรือกินยาลดไข้ แต่หมอในต่างประเทศกลับบอกว่าไข้คือสิ่งที่ดี ไม่ควรเช็ดตัวหรือให้ยาเลย❓"

คำพูดจากพ่อแม่ชาวต่างชาติหลายท่าน ที่ได้ยินซ้ำไปซ้ำมา จนเป็นจุดที่ทำให้ผมกลับมา review เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับ “ไข้ในเด็ก” ว่าทั่วโลกเขาพูดถึงเรื่องนี้กันยังไงบ้าง?

โพสต์นี้เป็นการสรุปจากงานวิจัยและ guideline 19 ฉบับ ทั้ง AAP, NICE, WHO และ systematic review และ meta-analysis
ใครสนใจ reference ทั้งหมด ดูได้ในรูป comment ด้านล่างเลย 👇

📌 Topic: ลูกเป็นไข้ ควรทำอย่างไร? ไข้กี่องศาควรให้ยา? เช็ดตัวดีไหม? วันนี้จะมาสรุปแบบ Q&A 11 ข้อครับ

ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านโพสต์ตาม link นี้ครับ https://www.facebook.com/share/p/1HfbgxmYKs/

=========================================
❓ Q1: ไข้ในเด็กคืออะไร?
• ไข้เป็น Defense mechanism ของร่างกาย โดยที่ hypothalamus จะปรับ set point อุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อ illness หรือ infection
• ร่างกายทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเพื่อเพิ่ม immune efficiency มาต่อสู้กับเชื้อโรค เช่น
1. ↑ neutrophil, ↑lymphocyte, IL1, INF ทำงานฆ่าเชื้อได้เก่งขึ้น
2. inhibit viral replication & Bacterial growth

🧪 ตัวอย่างงานวิจัยบางชิ้นที่บอกว่าไข้มีประโยชน์ เช่น
1. งานวิจัยในฟินแลนด์ทำในเด็ก 102 คนที่เป็น Salmonella enteritis พบว่าเด็กที่ไข้สูงจะมี duration of excretion ที่สั้นกว่าเด็กที่ไม่มีไข้
2. Human volunteers infected with rhinovirus การใช้ยาลดไข้สัมพันธ์กับ antibody ที่ต่ำลง, viral shedding นานขึ้น
3. เด็กที่มาด้วย severe infection [เช่น pneumonia or septicaemia] พบว่าอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำสัมพันธ์กับ mortality rate ที่สูงขึ้น

=========================================
❓ Q2: อุณหภูมิเท่าไหร่ถึงเรียกว่ามีไข้? มี cutpoint ไหม?
• ทั้ง AAP, NICE และ guideline อื่นๆ เขียนว่านิยามจริงๆของไข้คือ "a body temperature that is higher than normal"
(ซึ่งอุณหภูมิปกติของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับ age, general health, activity level, and time of day)
• นั่นหมายความว่า คำว่าไข้ของเด็กแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน
• คนที่จะรู้อุณหภูมิปกติของเด็กได้ดีที่สุดคือพ่อแม่ที่เป็นคนเลี้ยง ดังนั้นถ้าพ่อแม่บอกว่าลูกมีไข้จึงเป็นสิ่งที่ควรเชื่อพ่อแม่มากกว่าเชื่อตัวเลขที่วัดได้จริงที่โรงพยาบาล
(NICE guideline เขียนไว้ชัดเจนว่า Reported parental perception of a fever should be considered valid and taken seriously by healthcare professionals)
• แต่ในทางการแพทย์เรามักจะอิงกันว่า BT ≥38°C (วัดทาง re**al) คือมีไข้ เพื่อให้สื่อสารกันเข้าใจง่าย
[ถ้าวัดทาง axilla จะต่ำกว่าทาง re**al ประมาณ 0.5C ดังนั้น Axilla จึงตัดที่ BT 37.5C โดยประมาณ]

=========================================
❓ Q3: เป็นไข้กี่องศาถึงควรให้ยาลดไข้?
• เป็นสิ่งที่ทุก paper เขียนตรงกันแบบไม่มีข้อโต้แย้ง คือ การรักษาไข้ไม่ได้ดูจากตัวเลข body temperature แต่ให้ดูจากความไม่สุขสบายของเด็ก
• KEYWORD = treat discomfort not temperature
• ถ้าเด็กดูสบาย เล่นได้, กินได้, นอนได้, ไม่ซึม → ไม่จำเป็นต้องให้ยา แม้ว่าไข้จะสูง
• ดังนั้น การที่วัดไข้ลูกตอนกลางคืนที่กำลังหลับอยู่ พอวัดได้ว่ามีไข้ แล้วปลุกลูกขึ้นมากลางดึกเพื่อกินยาลดไข้ เช็ดตัว จึงไม่ควรทำ

=========================================
❓ Q4: ถ้าปล่อยให้เด็กเป็นไข้สูงแล้วไม่รักษา จะทำให้เด็กเป็นไข้ชักหรือเปล่า?
• ทุก paper เขียนไว้เหมือนกันว่า antipyretic agents "do not" prevent febrile convulsions
• สาเหตุเพราะจริงๆแล้วกลไกการเกิด febrile seizure ไม่ได้เกิดจากไข้สูงโดยตรงแต่เกิดจาก cytokine จาก inflammatory process ที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ

🧪 ตัวอย่าง Evidence ที่อธิบายเรื่องนี้
1. เด็กๆเป็นไข้กันได้บ่อยมากๆ แต่พบ febrile seizure เพียง 1/3 เท่านั้น → แสดงว่าไข้อย่างเดียวไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิด seizure เสมอไป
2. เด็กบางคนมี seizure ในช่วงติดเชื้อทั้งๆที่ไม่มีไข้ (afebrile seizure) และไม่มีการติดเชื้อในสมองด้วย
3. ไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ทำให้เกิด febrile seizure (เช่น rotavirus, RSV) ก็ทำให้เกิด afebrile seizure ได้เช่นกัน
4. พบว่าเด็กที่มี febrile seizure มีระดับ interleukins (IL-1, IL-6, IL-10), TNF-α, HMGB1 สูงกว่าปกติอย่างชัดเจน
5. ในหนูทดลอง การฉีด IL-1 ปริมาณมากสามารถกระตุ้น seizure ได้ แม้ไม่มีไข้ → สนับสนุนว่า cytokine อาจเป็น trigger ได้จริง มากกว่าแค่ temperature elevation
• สรุปว่า Febrile seizure และ fever อาจเป็นแค่ "collateral events" จาก immune response ใน context ของการติดเชื้อ
• การให้ยาลดไข้จึง ไม่สามารถป้องกัน febrile seizure ได้ เพราะไม่ได้จัดการที่ตัว inflammatory process ที่เกิดขึ้น
• ทุก paper เน้นย้ำว่าเราควรให้ความรู้พ่อแม่ว่า Febrile seizures มักจะ benign และไม่ได้มี long-term neurological or cognitive damage เพื่อลดความตื่นตะหนกตกใจของพ่อแม่

=========================================
❓ Q5: มีหลักฐานที่เป็น Clinical research ไหมที่บอกว่ายาลดไข้ไม่สามารถป้องกัน febrile seizure
• มีเยอะเลย ยกตัวอย่างเช่น (คัดมาเฉพาะที่เป็น meta-analysis)
>> Rosenbloom et al. (2013) meta-analysis n = 520 ที่เคยเป็น Febrile seizure มาก่อน; พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาลดไข้และกลุ่มยาหลอก อัตราการเกิด febrile seizure ไม่ต่างกัน (22.7% ในคนที่ได้ยาลดไข้และ24.4% ในคนที่ได้ placebo)
>> Hashimoto et al. (2021) meta-analysis n = 1503 ที่วินิจฉัย Febrile seizure; พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาลดไข้และกลุ่มยาหลอก อัตราการเกิด recurrent febrile seizure ไม่ต่างกัน

=========================================
❓ Q6: ถ้าต้องให้ยาลดไข้ paracetamol หรือ ibuprofen ดีกว่ากัน? ให้สลับกันได้ไหม?
• Paracetamol: ปลอดภัยที่สุด ใช้ได้ทุกวัย ขนาด 10–15 mg/kg q4–6hr
• Ibuprofen: ใช้ได้เหมือนกันแต่หลีกเลี่ยงในเด็กที่ dehydration (เสี่ยง AKI)
*** สิ่งที่ต้องระวังในไทยคือเด็กที่เสี่ยงเป็นไข้เลือดออก ห้ามกิน ibuprofen ***
• ไม่แนะนำการให้ยาสองชนิดพร้อมกัน
• พิจารณาให้ยาแบบสลับกันได้ เฉพาะเมื่อความ discomfort กลับมาก่อนถึงเวลาให้ยาครั้งต่อไป
เช่น ให้ paracet ไปแล้ว แต่ผ่านไปไม่ถึง4ชั่วโมงแล้วเด็กมีอาการไม่สุขสบายใหม่ก็สามารถให้ ibuprofen แทนได้

=========================================
❓ Q7: เช็ดตัวลดไข้ (Tepid sponge) มีคำแนะนำยังไงบ้าง?
• Guideline ปัจจุบันทั้ง AAP, WHO, NICE ไม่แนะนำการเช็ดตัวเพื่อลดไข้
[Tepid sponging is not effective and not recommended]
• สาเหตุของการแนะนำแบบนี้เขียนไว้ดังนี้
1. จุดมุ่งหมายของการลดไข้คือเพื่อความสบายตัวของเด็ก แต่การเช็ดตัวพบว่าเพิ่มความ discomfort และ adverse effect เป็นอย่างมาก [RR ประมาณ5เท่าเมื่อเทียบกับการไม่ทำ] ได้แก่ shivering, goose pimples (cutis anserina), crying, irritable
2. การเช็ดตัวทำให้เกิดการ mismatch ระหว่าง the hypothalamic set point and skin temperature ซึ่งจะทำให้เกิด 1.peripheral vasoconstriction 2. metabolic heat production ด้วยวิธี shivering และสุดท้ายก็จะ increased discomfort

🧪 Evidence ทั้งหมดที่มีส่วนมากเป็นไปในทางเดียวกัน คือ
1. Tepid sponge vs placebo; ลดไข้ไม่แตกต่างกัน
2. Tepid sponge vs ยาลดไข้; พบว่าการเช็ดตัวเพียงอย่างเดียวลดไข้ได้น้อยกว่าการกินยาลดไข้
3. Tepid sponge+ ยาลดไข้ vs ยาลดไข้ alone; การใช้ร่วมกันจะทำให้อุณหภูมิลดลงเร็วกว่าแค่ในช่วง 15-30 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นอุณหภูมิของทั้งสองกลุ่มก็เท่ากัน
• มี Guideline ของ Australia (RCH); เขียนไว้ว่าสามารถใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าผาก เช็ดหน้าได้แบบเบาๆ แต่จุดประสงค์เพื่อให้รู้สึกสบายตัวขึ้นเฉยๆ
• ไม่มี paper ไหนที่เขียนถึงการให้เช็ดตัวแรงๆจนตัวแดง หรือเช็ดตัวย้อนรูขุมขนเพื่อให้ลดไข้ได้มากขึ้น

=========================================
❓ Q8:หลายคนแย้งว่า… guideline ที่ไม่แนะนำให้เช็ดตัวลดไข้ มาจากประเทศเมืองหนาว แต่ไทยคือเมืองร้อนนะ?
• มีงานวิจัยของประเทศเมืองร้อนเองก็มีเยอะ เช่นของประเทศไนจีเรีย มาลาวี อินโดนีเซีย บราซิล อินเดีย ฯลฯ

• 🔍 สรุปจากงานวิจัยในบริบทเขตร้อน
1. Mini-review 2021: เน้นการศึกษาใน hot tropical climates[ประเทศกานา ไนจีเรีย มาลาวี]โดยเฉพาะ
สรุปว่า tepid sponging นั้นไม่มีประสิทธิภาพในการลดไข้และมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการให้ยาพาราเซตามอลในการลดไข้ภายใน 2 ชั่วโมงหลังการรักษา (อุณหภูมิลดลงเฉลี่ย 0.39°C ในกลุ่มเช็ดตัว และ 1.6°C ในกลุ่มพาราเซตามอล)
2. Meta-analysis(Lim et al., 2018); รวมการจากหลายประเทศรวมถึง บราซิล อินเดีย ไทย และประเทศเขตร้อนอื่น ๆ
สรุปว่า no significant effect of tepid massage on temperature in febrile children และยังเพิ่มความไม่สบายตัวให้แก่เด็กอีกด้วย
3. Systematic review ปี 2024 (อินเดีย, ปากีสถาน, ไทย): มี 3/6 การศึกษาที่บอกว่าเช็ดตัวร่วมกับยาลดไข้ไม่ต่างจากการให้ยาเดี่ยวๆ

• ✅ สรุปงานวิจัยที่บอกว่าเช็ดตัวอาจจะช่วยได้
1. การศึกษาในบราซิล (2008): เช็ดตัว + ยาลดไข้ = ไข้ลดเร็วช่วง 15 นาทีแรกเท่านั้น แต่ยาลดไข้เดี่ยวๆควบคุมไข้ได้ดีกว่าในระยะ 2 ชม. แต่การเช็ดตัวแลกมากับการทำให้เด็กหลายคนหงุดหงิด ร้องไห้
2. systematic review ปี 2024 (อินเดีย, ปากีสถาน, ไทย): มี 3/6 การศึกษาที่บอกว่าเช็ดตัวร่วมกับยาลดไข้ช่วยลดไข้ได้ในช่วงแรกๆแปปนึง หลังจากนั้นก็ไม่ต่างจากการกินยาเดี่ยวๆ

=========================================
❓ Q9: ถ้าไม่เช็ดตัว แล้วควรดูแลเด็กที่มีไข้อย่างไร?
• เน้นการ hydration 💧 → น้ำเปล่า/น้ำผลไม้/ORS/นมแม่
• ถ้าเด็กไม่กินอาหารไม่ต้องบังคับ แต่ต้องเน้น hydration เป็นหลัก
• อยู่ในห้องเย็นอากาศถ่ายเท (~25°C)
• ใส่เสื้อผ้าบาง ไม่ห่อตัวแน่น
• ลดกิจกรรมหนัก พักผ่อนเพียงพอ

=========================================
❓ Q10: เด็กมีไข้แบบไหนต้องไปหาหมอ?
• อายุ < 3 เดือน มีไข้ >38C (โอกาส occult bacteremia สูง)
• เด็กทุกคนที่มีไข้ >38C "ร่วมกับ" อาการอื่นๆต่อไปนี้
1. อ้วกเยอะ ท้องเสียเยอะ กินได้น้อยมาก โอกาส dehydrate สูง
2. ดูง่วงซึม นอนหลับเยอะผิดปกติ
3. หายใจหอบ หายใจเหนื่อย หายใจผิดปกติ
4. ไข้นานกว่า 24 ชั่วโมงในเด็กอายุ

30/06/2025
10/06/2025
10/06/2025

Omeprazole ยาสามัญที่มีการใช้บ่อยมาก
ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องมีการใช้ในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องป้องกันการเกิดแผลในทางเดินอาหาร ได้แก่

📍ผู้ป่วยที่ได้รับยา dual anti platelets (DAPT) ที่มีปัจจัยเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
- ประวัติ GI ulcer/hemorrhage
- ใช้ anticoagulants
- ใช้ NSAIDs
- ใช้ steroids

📍ผู้ป่วยที่ได้รับยา DAPT ที่มีปัจจัยเหล่านี้ 2 ข้อขึ้นไป
- อายุ 65 ปีขึ้นไป
- Dyspepsia
- GERD
- H. pylori infection
- chronic alcohol use

📌 อาการไม่พึงประสงค์ที่สำคัญ (ไม่ได้เกิดกับทุกคน บางอย่างพบได้น้อย) ได้แก่
- Atrophic gastritis หรือกระเพาะอาหารฝ่อซึ่งอาจจะนำไปสู่การเกิดการขาดวิตามินบี 12 ทำให้เกิดโรคโลหิตจางและอาจทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้
- สัมพันธ์กับการติดเชื้อ Clostridoides difficile ซึ่งทำให้เกิดโรคท้องเสียลำไส้อักเสบเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่นอนโรงพยาบาล
- สัมพันธ์กับการเกิดกระดูกหัก (hip, wrist, spine factures) โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงกระดูกพรุน โดยมากเมื่อใช้ยา 1 ปีขึ้นไป
- สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ โดยมากเมื่อใช้ยา 3 เดือนขึ้นไป

ดังนั้น เมื่อมีการใช้ยานี้ในระยะยาวจึงควรต้องติดตามอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้ด้วยนะครับ 

(ข้อมูลนี้รวมถึงเอกสารอ้างอิง มีเขียนสรุปในเล่ม short note โรคในร้านยาและ pharmacotherapy ด้วยครับ)

28/05/2025

ทำความรู้จักโรคซิฟิลิส??????

ซิฟิลิส มีสาเหตุจากอะไร?

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นกามโรคชนิดหนึ่งที่ติดต่อจากคนสู่คน โดยมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย การทำรักด้วยปากหรือการทำออรัลเซ็กส์ (Oral s*x) การจูบที่สัมผัสกับน้ำลาย การสัมผัสกับบาดแผลหรือเยื่อเมือกของผู้ที่ติดเชื้อ หรือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดบุตร

ซิฟิลิส มีอาการกี่ระยะ?

ในทางการแพทย์ ซิฟิลิสสามารถแบ่งอาการออกได้เป็น 4 ระยะตามลักษณะและความรุนแรงของโรคที่ปรากฏแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยการดำเนินโรคอาจเป็นแบบเรียงตามระยะ หรือไม่เรียงตามระยะ และอาจมีความคาบเกี่ยวกันระหว่างอาการของระยะหนึ่งกับอีกระยะหนึ่ง ในบางราย เชื้อซิฟิลิสอาจแฝงเร้นในร่างกายโดยไม่แสดงอาการเป็นเวลานานหลายปี

ซิฟิลิสระยะที่ 1 ระยะปฐมภูมิ หรือระยะเป็นแผล (Primary syphilis)

อาการของซิฟิลิสในระยะที่ 1 หรือระยะเป็นแผลจะปรากฎเป็นตุ่มแผลเล็ก ๆ สีแดงขอบนูนแข็งหรือที่เรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) ขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ปาก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ เยื่อบุตา หรือเยื่อบุช่องคลอดภายใน 3 สัปดาห์หลังติดเชื้อ แผลริมแข็งในระยะติดเชื้อจะมีลักษณะกดไม่เจ็บ อาจมีแผลเดียวหรือหลายแผล และสามารถหายได้เองภายใน 3-8 สัปดาห์แต่เชื้อซิฟิลิสจะยังคงแฝงในร่างกายและสามารถพัฒนาไปสู่ระยะที่ 2 ได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ซิฟิลิสระยะที่ 2 ระยะทุติยภูมิ หรือระยะออกดอก (Secondary syphilis)

อาการของซิฟิลิสในระยะที่ 2 หรือระยะออกดอกจะปรากฏอาการ 3-12 สัปดาห์หลังติดเชื้อ เป็นระยะที่เชื้อซิฟิลิสแพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือดตามอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายหลายระบบทำให้เกิดรอยโรคที่มีลักษณะเป็นผื่นราบ ผื่นนูนหนามีสะเก็ด ผื่นชนิดเป็นแผล หรือแผลหลุมกดไม่เจ็บและไม่คัน กระจายตัวทั่วร่างกาย อวัยวะเพศ ฝ่ามือฝ่าเท้า เป็นที่มาของคำเรียก “ระยะออกดอก” ร่วมกับอาการต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้ เจ็บคอ เหนื่อยล้า น้ำหนักลด ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เชื้อราในปาก ผมร่วงทั่วศีรษะหรือร่วงเป็นหย่อม ๆ ในระยะนี้ หากตรวจเลือด มักมีผลเลือดเป็นบวก จากนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายไปหรือเป็น ๆ หาย ๆ โดยเชื้อจะยังคงแฝงเร้นในร่างกายและจะพัฒนาเข้าสู่ระยะแฝง

ซิฟิลิสระยะที่ 3 ระยะแฝง (Latent syphilis)

ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาโรคซิฟิลิสใน 2 ระยะแรกจะพัฒนาเข้าสู่ซิฟิลิสในระยะที่ 3 หรือระยะแฝง เป็น “ระยะสงบทางคลินิก” ที่แทบจะไม่แสดงอาการอะไร เป็นระยะที่มีการดำเนินโรคยาวนานที่สุด โดยเชื้อสามารถแฝงเร้นในร่างกายได้นานกว่า 20 ปีก่อนที่จะพัฒนาเข้าสู่ระยะที่ 4 หรือซิฟิลิสระยะสุดท้าย ผู้ที่เข้าสู่ซิฟิลิสระยะนี้อาจมีผื่น หรือแผลออกดอกทั่วร่างกายแบบเป็น ๆ หาย ๆ และสามารถแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสกับสารคัดหลั่งหรือเยื่อเมือก หรือการแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารกระหว่างตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดบุตร

ซิฟิลิสระยะที่ 4 ระยะสุดท้าย (Tertiary syphilis)

ผู้ติดเชื้อซิฟิลิสราว 15-30% ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจะมีการดำเนินโรคเข้าสู่ซิฟิลิสระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้าย โดยจะพบรอยโรคเป็นแผล ฝี หรือผื่นแดงนูนหนากดไม่เจ็บที่ผิวหนังหรือเยื่อบุอวัยวะ เป็นระยะที่เชื้อซิฟิลิสในต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือดทำลายอวัยวะภายในให้ได้รับความเสียหาย ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบประสาทและสมอง ระบบหัวใจและหลอดเลือด ตับ ดวงตา กระดูกและข้อต่อที่ทำให้เกิดโรคและความผิดปกติต่าง ๆ เช่น ความผิดปกติในการเคลื่อนไหว (Movement disorder) ลิ้นหัวใจรั่ว (Aortic regurgitation) หลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบ (Aortitis) ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ตาบอด หูหนวก อัมพาต ชัก และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด

ซิฟิลิส ป้องกันได้ มีเพศสัมพันธ์ต้องใส่ถุงยางอนามัย !!!!!

Cr เจ้าของภาพ

25/05/2025
25/05/2025

🔍 อัปเดตใหญ่! Acute otitis media[AOM] ปี 2025 จาก NEJM & Peds in Review ✨

หลังจาก AAP guideline ปี 2013 เงียบหายไปนาน ปีนี้ทั้ง NEJM และ Pediatrics in Review 2025 ออกบทความรีวิวใหม่มาแล้วว ผมสรุปเนื้อหาสำคัญจากทั้ง 2 ฉบับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับกุมารแพทย์, GP, intern, extern, นศพ. ที่ต้องเจอคนไข้เด็กแน่นอน

ปล.1 โพสต์นี้ยาวมากกกกกกก เซฟเก็บไว้ทยอยอ่านเถอะนะ เขียนเองยังหลายวันเลย 555+
ปล.2 โพสต์นี้มีศัพท์แพทย์ค่อนข้างเยอะ เหมาะสำหรับบุคลากรทางแพทย์นะครับ

พร้อมแล้วลุยกันเลย แบ่งเป็น 7 หัวข้อหลักดังนี้ 👇

📌1. Incidence & Risk Factors
- เด็ก 24% ในวันที่ 4–7 (NNT = 17)
>> 67% ในวันที่ 10–12 (NNT = 7)
>> ⏳ ภายใน 24 ชม.แรก ไม่ต่างจาก placebo (เพราะยายังไม่ทันออกฤทธิ์)
- ➗ ลดโอกาสเป็น AOM ที่หูอีกข้าง [contralateral AOM]: จาก 19% → 10% (NNT = 11)
- 🔖 ลด TM perforation: จาก 5% → 2% (NNT = 33)

4.3) Risk/Side effect of Antibiotics [จาก Meta-analysis; J Ped2019]
- 💩 Diarrhea
>> 1 ใน 5 ของเด็กที่ได้ amoxi-clavulanic acid (NNH = 9; ให้ ATB 9 คน จะเจอ diarrhea 1 คน)
>> 1 ใน 8 ของเด็กที่ได้ amoxicillin (NNH = 15)
- ⚠️ การใช้ antibiotics ตั้งแต่เล็ก มีความสัมพันธ์กับบางโรคในอนาคต เช่น allergies, asthma, obesity

4.4) ยาปฏิชีวนะที่แนะนำ
- 💊 First-line = High-dose Amoxicillin 80–90 mg/kg/day x 10 วัน
- 💊 ใช้ Amoxicillin–Clavulanate เป็น first-line ได้ ในกรณีที่คิดว่าโอกาสเป็นเชื้อ H.influenzae ได้สูง ซึ่ง risk นั้นได้แก่
>> ได้ antibiotic ภายใน 30 วัน
>> conjunctivitis–otitis syndrome [คือมีตาแดงร่วมกับ AOM ด้วย]
>> มี spontaneous TM rupture
- 💉Refractory AOM; กรณีให้กิน oral ATB หลายรอบแล้วไม่หาย >> ให้ใช้ Ceftriaxone 50 mg/kg/day IM for 3 days
- ❌ **หลีกเลี่ยง**
>> Macrolides (เพราะ resistance สูง)
>> Oral cephalosporins (ประสิทธิภาพต่ำต่อ S. pneumoniae ดื้อยา)

4.5) ระยะเวลาการรักษา (Duration)
- เด็ก > ❌ Antihistamines; not effective [ใน paper ที่อ้างอิงหมายถึงเฉพาะยา CPM พบว่าทำให้ prolong duration of middle-ear effusion เพราะ anticholinergic effect ทำให้ effusion เหนียวขึ้น เลย drain ได้ยาก]
>> ❌ Decongestants; not effective

📌5. Recurrent Acute Otitis Media (RAOM)
- Definition; 🔁 เกิด ≥3 ครั้งใน 6 เดือน หรือ ≥4 ครั้งใน 12 เดือน
- 🧑‍⚕️เด็กกลุ่มนี้มักได้รับการใส่ tympanostomy tube
- แต่ปัจจุบัน [NEJM2021] พบว่า การใส่ tympanostomy tube เทียบกับการให้ episodic antibiotic treatment >> อัตรา AOM ที่เกิดซ้ำใน 2 ปี ไม่แตกต่างกัน

📌6. Complication
- 🧠 Acute mastoiditis: ถ้าใช้ ATB → ~2/10,000, ถ้าไม่ใช้ → ~4/10,000
- 😵 Facial nerve palsy
- 🌀 Labyrinthitis
- 💥 Chronic suppurative OM (chronic otorrhea + TM rupture)

📌7. มุมมองใหม่จาก NEJM2025 ที่ต่างจาก AAP Guidelines 2013

1. ไม่แยกการรักษาตาม “one ear” หรือ “both ears”
- 👂 แนวทาง AAP 2013 แนะนำให้พิจารณา severity และใช้ยาต่างกันในกรณี AOM “one ear” หรือ “both ears”
- ❌ แต่ผู้เขียน ไม่เห็นด้วย เพราะข้อมูลล่าสุด ไม่พบความต่างด้านประสิทธิภาพการรักษา ระหว่าง “one ear” กับ “both ears”

2. ไม่สนับสนุนการใช้เกณฑ์ “ไข้สูง >39°C หรือ otalgia รุนแรง” เป็นตัวกำหนด severity
- 🔥 AAP 2013 ใช้ “ไข้ >39°C” + severe otalgia [the presence of
holding, tugging, or rubbing of the ear] = Severe AOM
- แต่อาการ otalgia ในเด็กเล็กที่ยังสื่อสารไม่ได้ มันบอกได้ยากมาก
- 📉 ไม่มีข้อมูลชัดว่าการใช้เกณฑ์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา

#หมอม็อดหมอเด็กขอเล่า #หูอักเสบ #เด็กป่วย
#โรคทางเดินหายใจ

Reference
1. Ped in review2025; https://publications.aap.org/pediatricsinreview/article-abstract/46/3/139/201120/Acute-Otitis-Media?redirectedFrom=fulltext
2. NEJM2025; https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMcp2400531

24/05/2025
18/05/2025

สรุปความดันสูงทำลายอวัยวะอะไรบ้าง
13 ภาวะ ครบจบในโพสต์เดียว


ความดันสูง: มากกว่า 140/90 mmHg โดยวัดในระยะพัก และตัดปัจจัยแวดล้อมออกไปหมดแล้ว, เกิดจากหลากหลายปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน เช่น พันธุกรรม อ้วน รับโซเดียมต่อวันสูง ฯลฯ

ความดันที่สูงตลอดเวลา ทำให้ผนังหลอดเลือดถูก “เฉือน” ผนังตลอดเวลา วนไปทั้งวัน แม้กระทั่งตอนหลับ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ขี้นสถานที่
โดย 3 ข้อแรก มักจะเป็นกลไกพื้นฐานนำไปสู่ข้ออื่นๆ

_______________________


[ รวมภาวะแทรกซ้อน ]

1️⃣ คอเลสเตอรอลแทรกผนังหลอดเลือด
(Atherosclerosis)

ความดันสูงถูผนังหลอดเลือดแดงเรื้อรัง
⮕ เซลล์เยื่อบุผนังเสียหาย
⮕ ขนส่ง LDL เข้าง่ายขึ้น
+ เม็ดเลือดขาวแทรกผนังง่ายขึ้น
+ เพิ่มสารอนุมูลอิสระ
⮕ LDL ถูกเปลี่ยนเป็น oxLDL ถูกกินโดยเม็ดเลือดขาว
⮕ ปล่อยสารอักเสบ ทำให้ไขมันแทรกเร็วขึ้น
⮕ หลอดเลือดตีบเรื่อยๆ

📊 ผลกระทบ
⮕ ขึ้นกับหลอดเลือดที่โดน: หัวใจ สมอง ไต
⮕ ตีบเรื้อรัง ลดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะ
⮕ ถูแรงจนผนังแผล (Plaque rupture) → กระตุ้นลิ่มเลือด → อุดหลอดเลือดเฉียบพลัน


_______________________


2️⃣ หลอดเลือดแดงจิ๋วผนังหนาตัว
(Arteriolosclerosis)

ความดันสูงถูผนังหลอดเลือดเล็กต่อเนื่อง
⮕ เกิดความเครียดที่ผนังหลอดเลือดสูงมาก
⮕ ปรับตัว: สร้างคอลลาเจน + กล้ามเนื้อหนาขึ้น เพื่อป้องกันการฉีกขาด
⮕ แต่ทำให้รูในแคบลง เลือดผ่านได้น้อย บางกรณีรุนแรงถึงขั้นเนื้อหลอดเลือดตาย (Fibrinoid necrosis)

📊 ผลกระทบ
⮕ อวัยวะปลายทางขาดเลือดเรื้อรัง
⮕ เช่น จอประสาทตา สมอง กล้ามเนื้อหัวใจ ไต


_______________________


3️⃣ หัวใจโต หรือผนังหัวใจหนา
(Left ventricular concentric hypertrophy)

ความดันสูง
⮕ หัวใจห้องล่างซ้ายต้องสร้างแรงดันสูงขึ้น เพื่อดันเลือดฝ่าความต้านทานในหลอดเลือด
⮕ ผนังหัวใจเกิด stress
⮕ ปรับตัวด้วยการทำให้กล้ามเนื้อหนาขึ้น เพื่อกระจายแรงดัน

📊 ผลกระทบ
⮕ ผนังหนาทำให้คลายตัวยาก รับเลือดน้อย เสี่ยงหัวใจล้มเหลว
⮕ ใช้แรงบีบมากขึ้น → ต้องใช้ออกซิเจนมากขึ้น → เสี่ยงหัวใจขาดเลือด
⮕ กล้ามเนื้อหนามักมีพังผืดแทรก → เสี่ยงหัวใจเต้นผิดจังหวะ


_______________________


4️⃣ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
(Myocardial ischemia)

▪️ความดันสูงเร่งไขมันแทรกผนังหลอดเลือด
⮕ รูหลอดเลือดตีบ
⮕ กล้ามเนื้อหัวใจได้เลือดน้อยลง แต่ต้องใช้พลังงานมากขึ้นเพราะต้องบีบสู้ความดัน
⮕ เวลาออกแรง หัวใจยิ่งเต้นแรง แต่เลือดผ่านจุดตีบน้อย → เกิดอาการแน่นหน้าอก (Chronic ischemic heart disease)

▪️เลือดไหลแรงเฉือนผนังหลอดเลือดจนฉีกขาด
⮕ สร้างลิ่มเลือดอุดทันที
⮕ เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจหยุดชะงัก
⮕ กล้ามเนื้อตา-ยเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome)

📊 ผลกระทบ
⮕ หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง (Ventricular arrhythmia) ใน 1 ชม.แรก
⮕ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
⮕ ผนังทะลุ → เลือดท่วมเยื่อหุ้มหัวใจ (Cardiac tamponade)
⮕ ผนังกั้นทะลุ (VSD) → เลือดไหลซ้ายไปขวา เข้าปอดมาก → หัวใจล้มเหลว
⮕ ผนังโป่งพอง (Ventricular aneurysm) → เสี่ยงลิ่มเลือดจากเลือดนิ่ง


_______________________


5️⃣ หัวใจล้มเหลว
(Heart failure)

▪️ความดันสูงทำให้ผนังหัวใจหนาจนหัวใจคลายตัวยาก (Diastolic dysfunction)
⮕ เลือดเติมหัวใจห้องล่างได้น้อย
⮕ ส่งเลือดออกไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ
+ เลือดคั่งในปอดจนน้ำท่วมปอด

▪️ส่งผลมาจาก 4️⃣: กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
⮕ หัวใจบีบออกไปไม่ออก + เลือดคั่งในปอดจนน้ำท่วมปอด


_______________________


6️⃣ เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง
(Aortic aneurysm)

ความดันสูงถูผนังหลอดเลือดแดงใหญ่เรื้อรัง
+ ไขมันแทรกผนังร่วมด้วย
⮕ เกิดการอักเสบเรื้อรัง เม็ดเลือดขาวปล่อยเอนไซม์ย่อย (MMP) มาก
⮕ กล้ามเนื้อเรียบและเส้นใยยืดหยุ่นถูกทำลาย
⮕ ผนังอ่อนแอ → โป่งพองออก

📊 ผลกระทบ
⮕ เสี่ยงฉีกขาด ถ้าแตก → เลือดออกในหลอดเลือดใหญ่ที่สุดในร่างกาย → เสียชีวิตรวดเร็ว


_______________________


7️⃣ ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่กัดเซาะ
(Aortic dissection)

คล้ายหลอดเลือดโป่งพอง แต่เกิดเฉียบพลัน
⮕ ความดันสูงถูผนังหลอดเลือดแดงใหญ่นาน
⮕ ผนังอักเสบ เส้นใยโครงสร้างถูกทำลาย
⮕ พอความดันพุ่งสูงเฉียบพลัน → ผนังด้านในฉีก
⮕ เลือดทะลักเข้าไปเซาะผนังแทนที่จะไหลในรูปกติ
⮕ เจ็บหน้าอกรุนแรงทันที และเลือดที่เซาะผนังอาจไปโป่งเบียดรูหลักให้เลือดไหล

📊 ผลกระทบ
⮕ ถ้ารูหลักถูกเบียด → เลือดไปอวัยวะนั้นได้น้อย → ขาดเลือดเฉียบพลัน
⮕ ถ้าฉีกถึงชั้นนอก → หลอดเลือดแตก → เสียชีวิตฉับพลัน


_______________________


8️⃣ หลอดเลือดสมองตีบ/แตก (Stroke)

🧠หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke)

ความดันสูงเรื้อรังถูหลอดเลือดเล็ก
⮕ ผนังอักเสบ กล้ามเนื้อเรียบตา-ย เส้นใยเสียหาย
⮕ ผนังโป่งพอง (Charcot-Bouchard aneurysm)
⮕ วันดีคืนดี ความดันพุ่งเฉียบพลัน → ฉีกขาด → เลือดทะลักในสมองทันที
⮕ ปวดหัวรุนแรง เลือดกดเนื้อสมอง
⮕ สมองบวม ปลิ้น กดก้านสมอง → เสียชีวิต

🧠หลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke)

ไขมันแทรกผนังหลอดเลือดสมองหรือหลอดเลือดคอ
⮕ จุดตีบถูกแรงเฉือน → แผลในผนัง → เกิดลิ่มเลือดอุดทันที หรือไหลไปอุดปลายทาง ⮕ อาการเฉียบพลัน: อ่อนแรงครึ่งซีก, ชา, พูดไม่ได้, เดินเซ ฯลฯ
⮕ 2–3 วัน สมองบริเวณขาดเลือดเริ่มบวม กดทับคล้ายเลือดออก

ผลจากหลอดเลือดเล็กตีบ
⮕ เกิดจุดขาดเลือดเล็กๆ ใยประสาทใต้เปลือกสมอง (Lacunar infarction)


_______________________


9️⃣ เลือดออกในตา
(Hypertensive retinopathy)

ความดันสูงต่อเนื่องถูเยื่อบุหลอดเลือด
⮕ อักเสบจนทำลาย pericyte (เซลล์พี่เลี้ยงหลอดเลือด)
⮕ ผนังหลอดเลือดอ่อนแอ บางจุดหนาตัว บางจุดรั่วเลือดเล็กน้อย
⮕ ถ้าความดันพุ่งเร็ว → หลอดเลือดฉีกขาด → เลือดออกในจอประสาทตา (Retinal hemorrhage) หรือจอบวม (Papilledema)

📊 ผลกระทบ
⮕ การมองเห็นลดลงเฉียบพลัน
⮕ บางรายถึงขั้นตาบอดถาวร


_______________________


🔟 ไตพัง ทั้งฉับพลันและเรื้อรัง
(Hypertensive nephropathy and CKD)

ความดันสูงเรื้อรังถูไส้กรองไตต่อเนื่อง มีสองแบบ
▪️ ถูเรื้อรัง
⮕ ผนังหลอดเลือดและไส้กรองหนาตัว
⮕ ไส้กรองเสื่อม ล้มตา-ยสะสม
⮕ ไตเสื่อมเรื้อรัง (CKD)
▪️ ความดันพุ่งเฉียบพลัน
⮕ เยื่อบุหลอดเลือดตา-ย
⮕ ผนังตีบเฉียบพลัน
⮕ เลือดไปไตน้อยลง
⮕ ไตวายเฉียบพลัน


_______________________


1️⃣1️⃣ สมองเสื่อมจากความดันสูง
(Vascular dementia)

ความดันสูงเรื้อรัง
⮕ เส้นเลือดสมองเล็กหนาตัว (เหมือนกลไกข้อ 2️⃣)
⮕ รูตีบ เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง
⮕ เซลล์ประสาทค่อยๆ ตา-ย โดยเฉพาะ hippocampus และ cerebral cortex
⮕ ความจำ การคิด การจดจ่อลดลงเรื่อยๆ จนเกิดภาวะสมองเสื่อม


_______________________


1️⃣2️⃣ สมองบวมจากความดันสูงโดยตรง
(Hypertensive encephalopathy)

ความดันสูงเรื้อรัง
⮕ สมองพยายามหดหลอดเลือดลดเลือดเข้า (Autoregulation)
⮕ แต่ถ้าความดันพุ่งเร็วเกิน สมองปรับไม่ทัน
⮕ หลอดเลือดคลายตัวทันที → เลือดทะลักเข้ารุนแรง
⮕ แนวกั้นเลือด-สมอง (BBB) เสียหาย
⮕ สารน้ำรั่วออกนอกหลอดเลือด → สมองบวม (Vasogenic edema)

📊 ผลกระทบ
⮕ สติลดลง ชัก ซึม และโคม่าได้


_______________________


1️⃣3️⃣ เม็ดเลือดแตกจากหลอดเลือดพัง
(Microangiopathic hemolytic anemia: MAHA)

ความดันสูงรุนแรง (Malignant hypertension) ถูหลอดเลือดแรงจนเยื่อบุเสียหายวงกว้าง
⮕ กระตุ้นการแข็งตัวของเลือดทั่วร่าง
→ มีไฟบรินเกาะผนังหลอดเลือดเล็ก
⮕ ระบบสลายลิ่มพยายามสลาย
→ เหลือเศษไฟบรินเกาะผนัง
⮕ เม็ดเลือดแดงวิ่งผ่านโดนบาด ฉัวะ! แตกเป็นเสี่ยงๆ
⮕ เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย → โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก

ที่อยู่

Boeng

เบอร์โทรศัพท์

+66888921414

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ร้านขายยา กมลฟาร์มาซี - KAMON Pharmacyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์