ร้านขายยาจิรเวช เชียงใหม่ Jiravej Pharmacy

ร้านขายยาจิรเวช เชียงใหม่ Jiravej Pharmacy ขายปลีก-ส่ง ยา วิตามิน อาหารเสริม อุ?

07/06/2025

ฟ้าทะลายโจร หลังโควิด: ใช้นานแค่ไหนถึงเสี่ยงตับอักเสบ? พร้อมแนะวิธีสังเกตอาการอันตราย”

บทนำ

“ฟ้าทะลายโจร” (Andrographis paniculata) เป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในการบรรเทาอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงการนำมาใช้หลังหายจากโรคโควิด-19 โดยหวังว่าจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดอาการอ่อนเพลีย อย่างไรก็ตาม การใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นเวลานานเกินความเหมาะสมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียง โดยเฉพาะปัญหาตับอักเสบซึ่งเป็นภาวะที่ควรเฝ้าระวัง

1. กลไกการออกฤทธิ์ของ “ฟ้าทะลายโจร”

สารออกฤทธิ์หลักของฟ้าทะลายโจรคือ **แอนโดรกราโฟไลด์** (andrographolide) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน [1] หลายการศึกษาพบว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถช่วยยับยั้งการขยายตัวของเชื้อไวรัสบางชนิดและช่วยลดความรุนแรงของอาการไข้และเจ็บคอ [2] อย่างไรก็ตามข้อมูลที่สนับสนุนการใช้หลังหายจากโควิด-19 ยังจำกัดและต้องการการศึกษาเพิ่มเติม

2. ระยะเวลาการใช้ฟ้าทะลายโจรที่เหมาะสม

ตาม **แนวทางของกระทรวงสาธารณสุข** (ประเทศไทย) ระบุว่าควรใช้ฟ้าทะลายโจรเมื่อมีอาการของโรคทางเดินหายใจหรือภาวะอักเสบต่าง ๆ ใช้ต่อเนื่อง **ไม่เกิน 5-7 วัน** เพื่อป้องกันอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นโดยเฉพาะเมื่อใช้ขนาดสูงและเป็นระยะเวลานาน [3]

- สำหรับผู้ที่เพิ่งหายจากโควิด-19 และต้องการใช้ฟ้าทะลายโจร อาจพิจารณาใช้ในช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 1 สัปดาห์ หากอาการเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียเรื้อรังยังคงอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อประเมินก่อนใช้สมุนไพรอย่างต่อเนื่อง
- การใช้เกินกำหนดอาจมีความเสี่ยงทั้งในด้านตับอักเสบ (hepatotoxicity) และอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ [4]

3. ความเสี่ยงตับอักเสบจากการใช้ฟ้าทะลายโจร

- ตับอักเสบ (hepatitis) อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้สมุนไพรหรือยาบางชนิดในระยะยาวหรือใช้ในขนาดสูงกว่าที่แนะนำ ในกรณีของฟ้าทะลายโจรหลักฐานรายงานผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะตับอักเสบหลังใช้อย่างต่อเนื่องเกินกว่า 2 สัปดาห์ หรือใช้ร่วมกับยาที่มีผลต่อตับ [5] แม้กรณีดังกล่าวจะพบไม่บ่อย แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ใช้ควรระมัดระวัง ดังนี้

1. ตรวจสอบประวัติการทำงานของตับ สำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคตับมาก่อน เช่น ไขมันพอกตับ ตับอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็ง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งาน
2. หลีกเลี่ยงการใช้ติดต่อกันนานเกินกว่า 7 วัน หลีกเลี่ยงการใช้ในขนาดสูงหรือใช้ร่วมกับยาบางชนิดที่อาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น (เช่น ยาลดไขมันบางกลุ่ม หรือยาปฏิชีวนะบางประเภท)
3. หยุดใช้ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติและเข้ารับการตรวจเพิ่มเติม

4. วิธีเฝ้าสังเกตอาการอันตราย

หากมีการใช้ฟ้าทะลายโจรหลังหายจากโควิด-19 ควรเฝ้าระวังอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ว่ามีภาวะตับอักเสบหรือระบบอื่น ๆ ผิดปกติ ได้แก่

1. อาการทางผิวหนัง เช่น ผื่นคันหรือเป็นลมพิษ
2. อาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือเบื่ออาหาร
3. อาการของตับอักเสบ ได้แก่ ปวดบริเวณชายโครงขวา ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ หรืออ่อนเพลียมากขึ้น
4. อาการอื่น ๆ เช่น เวียนศีรษะ ปวดหัวรุนแรง ใจสั่น หรือหายใจลำบาก

ในกรณีที่พบอาการเหล่านี้ควรหยุดใช้ฟ้าทะลายโจรและรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเลือดหรือตรวจสมรรถภาพตับ (LFTs)

5. ข้อแนะนำในการใช้ฟ้าทะลายโจรอย่างปลอดภัย

1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
มีเลขทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือผลิตโดยบริษัทที่ได้รับการรับรอง
2. ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างฉลาก
หรือคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะขนาดและระยะเวลาที่ใช้
3. หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาบางชนิด
ที่อาจมีผลต่อตับหรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (drug interaction) เช่น ยาลดไขมันในเลือดบางชนิด ยาต้านไวรัส
4. ประเมินอาการของตนเอง
หากใช้ติดต่อกันเกิน 5-7 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่น
5. ปรับพฤติกรรมสุขภาพ
เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายเบา ๆ และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ร่วมกับการใช้สมุนไพร เพื่อฟื้นฟูร่างกายหลังโควิด-19

สรุป

ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณน่าสนใจในการบรรเทาอาการของระบบทางเดินหายใจ และมีข้อมูลเบื้องต้นว่าอาจช่วยลดอาการอ่อนเพลียหลังโควิด-19 ได้ในช่วงสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม การใช้ฟ้าทะลายโจรในระยะเวลานานเกิน 5-7 วันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบหรืออาการข้างเคียงอื่น ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว ดังนั้นผู้ใช้ควรระมัดระวังในการใช้ ปฏิบัติตามขนาดและคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และหยุดใช้ทันทีหากพบอาการผิดปกติ

เอกสารอ้างอิง

1. Panossian A, Brendler T, Efferth T, Pflüger W, Worthen DR. A Comprehensive Review of Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees and Its Main Bioactive Diterpenoid Andrographolide. Front Pharmacol. 2022;13:876843.
2. Zhang X, Yang Q, Chen L, Guo Q, Wang J, Liu C. Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees Extract: Review of Anti-Inflammatory Activities and Related Molecular Mechanisms. Evid Based Complement Alternat Med. 2021;2021:4433742.
3. กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 ในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงสาธารณสุข; 2564.
4. World Health Organization (WHO). WHO Global Report on Traditional and Complementary Medicine 2019. Geneva: World Health Organization; 2019.
5. Chen J, Li Z, Chen AY, Reuhl KR, Walker NJ, Zhang F. Hepatotoxicity of Herbal Products: Insights into Mechanisms and Management. Int J Mol Sci. 2022;23(4):2132.

05/06/2025

Ibuprofen vs พาราเซตามอล : ปวดหัว-ปวดฟัน เลือกอะไรดี ?

อาการปวดหัวและปวดฟันเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย ซึ่งยาที่นิยมใช้บรรเทาอาการปวดทั้งสองชนิดหลัก ๆ คือ **พาราเซตามอล (Paracetamol)** และ **ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)** บทความนี้จะกล่าวถึงข้อดี-ข้อเสีย ปริมาณยาสูงสุดต่อวันที่ปลอดภัย และแนวทางป้องกันอันตรายต่อตับและกระเพาะอาหาร

1. พาราเซตามอล (Paracetamol)

1.1 กลไกการออกฤทธิ์

พาราเซตามอลออกฤทธิ์ลดไข้และบรรเทาปวดผ่านการยับยั้งเอนไซม์ (Cyclooxygenase; COX) บางส่วนในระบบประสาทส่วนกลาง แต่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงเหมาะสำหรับอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลางและมีไข้ แต่ไม่เน้นลดอักเสบ(1)

1.2 ข้อดี
- ออกฤทธิ์ลดไข้และบรรเทาปวดได้ดี
- ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหารมากเท่ายากลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-inflammatory Drugs)
- ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารต่ำกว่าไอบูโพรเฟน

1.3 ข้อเสีย
- ไม่ต้านการอักเสบ
- อาจเป็นพิษต่อตับในกรณีได้รับเกินขนาด หรือมีการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในผู้ดื่มสุราประจำหรือมีโรคตับมาก่อน

1.4 ปริมาณสูงสุดต่อวัน
- ปริมาณสูงสุดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่สุขภาพทั่วไป คือ **ไม่เกิน 4 กรัม/วัน** (4,000 มิลลิกรัมต่อวัน)(1-2)
- ในผู้ใหญ่บางราย หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อตับ เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประจำโรคตับเรื้อรังหรือผู้สูงอายุควรลดขนาดยาลงและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

2. ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)

2.1 กลไกการออกฤทธิ์
ไอบูโพรเฟนเป็นยาในกลุ่ม NSAIDs ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไซโคลออกซีจีเนส (COX) ทั้งชนิด 1 และ 2 ทำให้มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดปวด และลดไข้ แต่ในขณะเดียวกันการยับยั้ง COX-1 ในกระเพาะอาหารอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองและเกิดแผลในกระเพาะ(2-3)

2.2 ข้อดี
- มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการรักษาปวดที่เกิดจากกระบวนการอักเสบ เช่น ปวดฟันที่มีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ
- ออกฤทธิ์ลดปวดและลดไข้ได้ดี

2.3 ข้อเสีย
- เสี่ยงต่อการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะหรือกระเพาะอักเสบ
- อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคไตหรือมีภาวะขาดน้ำ
- ผู้ป่วยโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากการยับยั้ง COX-2 อาจส่งผลต่อความสมดุลในการแข็งตัวของเลือดและระบบหลอดเลือด

2.4 ปริมาณสูงสุดต่อวัน
- โดยทั่วไปขนาดสำหรับผู้ใหญ่เพื่อบรรเทาปวดหรือไข้ มักใช้ขนาด 200-400 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง
- ปริมาณสูงสุดไม่ควรเกิน **3,200 มิลลิกรัม/วัน** (3.2 กรัมต่อวัน) ในกรณีที่แพทย์ประเมินว่าอาจใช้ขนาดสูงได้ชั่วคราวภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ส่วนใหญ่แนะนำไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัม/วัน(2-4)
- ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคไต โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนชนิดยา

3. การเลือกใช้ยา: ปวดหัว-ปวดฟัน

1. ปวดหัวทั่วไป (Tension headache)
- พาราเซตามอลเป็นตัวเลือกแรก เนื่องจากปลอดภัยต่อกระเพาะอาหารมากกว่าและหากไม่มีอาการอักเสบร่วมมากนักการใช้พาราเซตามอลก็มักเพียงพอ(3)
- หากมีอาการปวดศีรษะร่วมกับการอักเสบหรืออาการปวดที่ไม่ตอบสนองต่อพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟนอาจพิจารณาเป็นทางเลือก

2. ปวดฟัน :
- หากเป็นเพียงปวดเบื้องต้นหรือไม่มีอาการอักเสบชัดเจนสามารถใช้พาราเซตามอลได้
- แต่หากมีการอักเสบบวม หรือปวดมาก ไอบูโพรเฟนมีข้อได้เปรียบในการต้านการอักเสบได้ดีกว่า(4)
- อย่างไรก็ตามถ้าใช้ไอบูโพรเฟนในระยะยาวหรือขนาดสูงควรระวังผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร

4. การป้องกันทำร้ายตับและกระเพาะอาหาร

1. ปกป้องตับ (Paracetamol)
- หลีกเลี่ยงการใช้พาราเซตามอลเกินขนาด (4 กรัม/วัน)
- ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างใช้ยา
- ผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรังหรือผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

2. ปกป้องกระเพาะอาหาร (Ibuprofen)
- ควรรับประทานยาหลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหารเพื่อลดการระคายเคืองต่อกระเพาะ
- ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะ หรือมีประวัติแผลในกระเพาะ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาใช้ยากลุ่มป้องกันเยื่อบุกระเพาะ (Proton Pump Inhibitors: PPIs) เช่น Omeprazole ร่วมด้วย(5)
- ไม่ควรใช้ยาในขนาดสูงหรือต่อเนื่องเป็นเวลานานหากไม่จำเป็น

5. ข้อสรุปและคำแนะนำ

**พาราเซตามอล** เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหรือไข้ทั่วไปเพราะมีความปลอดภัยเมื่อใช้ในขนาดที่เหมาะสม (ไม่เกิน 4 กรัม/วัน) โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือมีข้อจำกัดในการใช้ NSAIDs
**ไอบูโพรเฟน** เหมาะสำหรับอาการปวดที่มีการอักเสบร่วม เช่น ปวดฟันที่มีอักเสบบวม หรืออาการปวดศีรษะ/กล้ามเนื้อที่ไม่ตอบสนองต่อพาราเซตามอล อย่างไรก็ตามควรระวังผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและไตร่วมด้วย
- หากมีอาการปวดเรื้อรังหรืออาการปวดรุนแรงควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์โดยตรง เพื่อประเมินสาเหตุและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

1. Barkin RL. Acetaminophen, aspirin, or ibuprofen in combination with an opioid in the treatment of mild to moderate pain. Am J Ther. 2020;27(3):e243–e255.
2. Derry CJ, Derry S, Moore RA. Single dose oral ibuprofen for acute postoperative pain in adults. Cochrane Database Syst Rev. 2015;(7):CD001548.
3. National Institute for Health and Care Excellence (NICE). Headaches in over 12s: diagnosis and management [CG150]. London: NICE; 2012 [updated 2021]. Available from: [https://www.nice.org.uk/guidance/cg150]
4. Freedman SB, Powell EC, Seshadri R, Sivabalasundaram V, Workentine ML, Goldman RD. Effect of Combined Ibuprofen and Acetaminophen vs Ibuprofen Alone on Fever and Pain in Young Children With Mild Infection: A Randomized Clinical Trial. JAMA. 2022;327(1):38-47.
5. Lanas A, Tornero J, Zamorano JL, Gargallo CJ, Lip GYH, González-Juanatey JR, et al. Assessment of gastroenterological and cardiovascular risk in NSAID therapy: Development of a new algorithm (the Spanish Algorithm). Med Clin (Barc). 2018;151(4):146-50.

02/06/2025

ยากลุ่ม PDE-5 Inhibitors กับข้อบ่งใช้ใหม่ที่นอกเหนือจากภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ: แนวโน้มทางคลินิกและข้อควรระวัง

บทนำ

ยากลุ่ม Phosphodiesterase type 5 inhibitors (PDE-5 inhibitors) ได้แก่ sildenafil, tadalafil, vardenafil และ avanafil เป็นกลุ่มยาที่รู้จักและใช้กันแพร่หลายสำหรับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (erectile dysfunction; ED) อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการศึกษาและหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนการประยุกต์ใช้ยากลุ่มนี้ในข้อบ่งใช้อื่น ๆ นอกเหนือจาก ED มากขึ้น เช่น ภาวะความดันโลหิตสูงในระบบไหลเวียนเลือดปอด (pulmonary arterial hypertension; PAH) ภาวะต่อมลูกหมากโต (benign prostatic hyperplasia; BPH) และภาวะอื่น ๆ

กลไกการออกฤทธิ์

ยากลุ่ม PDE-5 inhibitors ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ phosphodiesterase type 5 ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลาย cyclic guanosine monophosphate (cGMP) ส่งผลให้ระดับ cGMP เพิ่มสูงขึ้นในเซลล์กล้ามเนื้อเรียบและหลอดเลือด กระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือดและการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบบริเวณอวัยวะเป้าหมาย เดิมใช้เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศชายในการรักษาภาวะ ED แต่ด้วยกลไกนี้เองทำให้เกิดแนวโน้มการนำไปประยุกต์ใช้ในภาวะอื่นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหลอดเลือดและกล้ามเนื้อเรียบ

ข้อบ่งใช้นอกเหนือจากภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

1. ภาวะความดันโลหิตสูงในระบบไหลเวียนเลือดปอด (Pulmonary Arterial Hypertension; PAH)

- Sildenafil และ tadalafil ได้รับการอนุมัติสำหรับการรักษา PAH โดยช่วยลดแรงต้านในหลอดเลือดปอดและเพิ่มสมรรถนะการออกกำลังกายของผู้ป่วย
- มีการศึกษาพบว่าการใช้ PDE-5 inhibitors สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิต และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม (1)

2. ภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia; BPH)

- PDE-5 inhibitors เช่น tadalafil มีการนำมาใช้เพื่อลดอาการทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (lower urinary tract symptoms; LUTS) ในผู้ป่วย BPH
- เชื่อว่ากลไกการขยายหลอดเลือดและการคลายกล้ามเนื้อเรียบบริเวณทางเดินปัสสาวะส่วนล่างอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรเทาอาการ (2)

3. ภาวะ Raynaud’s Phenomenon

- แม้ว่าจะยังไม่ใช่มาตรฐานการรักษาหลัก แต่มีรายงานการใช้ sildenafil หรือ tadalafil ในผู้ป่วย Raynaud’s phenomenon ชนิดรุนแรง ที่ไม่ตอบสนองต่อยาขยายหลอดเลือดชนิดอื่น
- กลไกสำคัญคือการเพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือดส่วนปลาย ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปลายมือปลายเท้าเย็น (3)

4. การใช้ด้านอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการวิจัย

- มีรายงานการศึกษาว่า PDE-5 inhibitors อาจมีประโยชน์ในโรคหัวใจและหลอดเลือดบางชนิด เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือภาวะความดันโลหิตสูงทั่วร่างกายบางรูปแบบ

ข้อควรระวัง

1. ปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug Interactions)
- ยาในกลุ่มนี้ห้ามใช้ร่วมกับยากลุ่ม nitrate (เช่น nitroglycerin) เนื่องจากอาจทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรุนแรง
- ควรระวังการใช้ร่วมกับยากลุ่ม alpha-blockers ในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ หรือผู้ป่วยสูงอายุ (5)

2. ผลข้างเคียง (Side Effects)
- อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะ หน้าแดง คัดจมูก แน่นท้อง และในบางรายอาจมีการมองเห็นสีฟ้าหรือสีเขียวผิดปกติ (cyanopsia) ชั่วคราว
- อาการรุนแรงอื่น ๆ ที่พบได้น้อย เช่น การสูญเสียการได้ยินกะทันหัน หรือภาวะการแข็งตัวของอวัยวะเพศถาวร (priapism) (2,5)

3. ภาวะโรคร่วมและข้อจำกัดในการใช้ยา
- ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตต่ำเป็นพื้นเดิมควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนเริ่มยา
- ควรระวังการใช้ยากับผู้ป่วยที่มีภาวะตับหรือไตบกพร่อง เพราะอาจส่งผลต่อการกำจัดยา (5)

บทสรุป

ยากลุ่ม PDE-5 inhibitors ไม่ได้ถูกจำกัดใช้เพียงภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศอีกต่อไป หากแต่มีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพในภาวะอื่น ๆ อาทิ PAH, BPH และ Raynaud’s phenomenon อย่างไรก็ตามควรพิจารณาข้อควรระวังโดยเฉพาะปฏิกิริยากับยาอื่น และประเมินความเสี่ยงเฉพาะรายในผู้ป่วยที่มีโรคร่วม การใช้ยากลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปลอดภัย

เอกสารอ้างอิง

1. Galiè N, Brundage BH, Ghofrani HA, Olschewski H, Scelsi L, Roecker EB, et al. Tadalafil therapy in pulmonary arterial hypertension. Circulation. 2019;139(25):2800-12.
2. McVary KT, Monnig W, Camps JL, Young JM, Tseng LJ, van den Ende G. Sildenafil citrate improves erectile function and urinary symptoms in men with erectile dysfunction and LUTS: A randomized, double-blind trial. J Urol. 2020;203(4):885-92.
3. Khan F, Belch JJ, Struthers AD. Effects of phosphodiesterase type 5 inhibitors in treatment-resistant Raynaud’s phenomenon: A double-blind, placebo-controlled study. Rheumatology (Oxford). 2021;60(8):3767-73.
4. Ben-Yehuda O, White HD, Cunningham J, Frishman WH. PDE-5 inhibitors in cardiac disease: Current indications and emerging applications. Am J Cardiovasc Drugs. 2022;22(4):383-92.
5. Hackett G, Kirby M, Wylie K, Heald AH. Pivotal PDE5 inhibition therapy and the interplay with concomitant medications: A focus on safety and tolerability. Int J Clin Pract. 2023;77(3)\:e14895.

31/05/2025

ฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata) OTC: ประสิทธิผลจริง vs. Thai FDA ADR 2015–2025

บทนำ

ฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata) เป็นสมุนไพรที่ใช้ในทางการแพทย์แผนไทยมาช้านาน ได้รับการอนุมัติในหลายประเทศให้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยาสามัญประจำบ้าน (OTC) สำหรับบรรเทาอาการหวัดและการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (1,2) ในประเทศไทยเอง ฟ้าทลายโจรได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตามระยะยาวหน่วยงานด้านสุขภาพได้เฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ (ADR) ในช่วงปี 2015–2025 ตามข้อมูลจาก Thai FDA ซึ่งพบว่ามีแนวโน้มผื่นแพ้รุนแรงและภาวะความดันเลือดต่ำร่วมด้วย (3) บทความนี้มีเป้าหมายในการทบทวนหลักฐานทางวิชาการ (RCT) ล่าสุด เกี่ยวกับประสิทธิผลจริงของฟ้าทลายโจรต่อโรคที่มีอาการคล้ายโควิด (COVID-like illness) รวมถึงการสรุปแนวโน้มอาการไม่พึงประสงค์ และให้แนวทางเบื้องต้นในการซักประวัติปฏิกิริยาระหว่างยาและสมุนไพร (drug–herb interaction)

กลไกการออกฤทธิ์และประสิทธิผลจริง

สารสำคัญในฟ้าทลายโจร ได้แก่ andrographolide ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและส่งเสริมภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังพบว่ามีฤทธิ์ต้านไวรัสหลายชนิด (4) งานวิจัยแบบ (RCT) หลายฉบับรายงานว่าฟ้าทลายโจรช่วยลดระยะเวลาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและลดอาการไข้และเจ็บคอ (5)

อัปเดต RCT ต่อ COVID-like illness

RCT ล่าสุดระหว่างปี 2021–2023 ได้ศึกษาประสิทธิผลของฟ้าทลายโจรในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายโควิด เช่น ไข้ ไอ และเจ็บคอ พบว่าช่วยลดความรุนแรงของอาการได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยเฉพาะช่วง 3–5 วันแรกของอาการ (6) อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายที่รับประทานฟ้าทลายโจรขนาดสูงมีรายงานอาการความดันโลหิตต่ำและแนวโน้มเกิดผื่นแพ้มากขึ้น (6,7)

ข้อมูลความปลอดภัยและอาการไม่พึงประสงค์ (Thai FDA ADR 2015–2025)

ตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2025 หน่วยงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย ได้รวบรวมฐานข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ฟ้าทลายโจรในรูปแบบ OTC พบแนวโน้มของการเกิดผื่นแพ้ทางผิวหนังที่รุนแรง (Stevens-Johnson syndrome หรือ SJS) และอาการความดันโลหิตต่ำในผู้ที่ไวต่อสาร andrographolide [8] ทั้งนี้ความถี่ของอาการดังกล่าวยังถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การเฝ้าระวังและสอบถามประวัติการแพ้สมุนไพรหรือยาเป็นสิ่งสำคัญ

Check-list สำหรับซักประวัติปฏิกิริยาระหว่างยาและสมุนไพร (drug–herb interaction)

1. **ประวัติการใช้ยาแผนปัจจุบัน**
* ยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น steroids, immunosuppressants)
* ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น warfarin)
* ยาลดความดันโลหิต

2. **ประวัติการแพ้ยา**
* ประวัติผื่นแพ้รุนแรง (SJS/TEN)
* แพ้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรอื่น ๆ

3. **รูปแบบและขนาดการใช้ฟ้าทลายโจร**
* ใช้ขนาดสูงต่อเนื่องหรือไม่
* ใช้ร่วมกับยาหรืออาหารเสริมชนิดอื่น

4. **อาการหรือลักษณะผิดปกติที่เกิดหลังรับประทาน**
* ผื่นคัน แดง ลมพิษ
* หน้ามืด ความดันต่ำ เวียนศีรษะ

5. **ระยะเวลาที่ใช้ฟ้าทลายโจรกับยาตัวอื่น**
* ควรพิจารณาช่วงเวลาการรับประทานให้ห่างกัน หากมีข้อกังวลเรื่องการดูดซึมหรือปฏิกิริยา

ข้อควรระวัง

* ควรหลีกเลี่ยงการใช้ฟ้าทลายโจรในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้สมุนไพรหรือมีผื่นแพ้ทางผิวหนังรุนแรงมาก่อน
* ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำหรือกินยาลดความดันโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
* การใช้ในสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร ควรมีข้อมูลความปลอดภัยเพิ่มเติมก่อนใช้

สรุป

ฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata) เป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพในการลดอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงอาการคล้ายโควิด แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะแนวโน้มการเกิดผื่นแพ้รุนแรงและความดันโลหิตต่ำตามรายงานของ Thai FDA ช่วงปี 2015–2025 การซักประวัติอย่างละเอียด การเลือกขนาดยาและรูปแบบการใช้อย่างเหมาะสม ตลอดจนการติดตามอาการข้างเคียงเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ควรมีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนเริ่มใช้สมุนไพรฟ้าทลายโจรในระยะยาวหรือในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว

เอกสารอ้างอิง

1. Misra P, Palbag S, Dinda AK. Preclinical studies on Andrographis paniculata for respiratory tract infections. J Ethnopharmacol. 2018;220:123–128.
2. World Health Organization. WHO monographs on selected medicinal plants – Volume 4. Geneva: WHO; 2019.
3. Chokevivat V, Thunyaharn S, Thunyaharn S. Thai FDA Annual ADR Summaries 2015–2025. Bureau of Drug and Narcotic, Thai FDA; 2025.
4. Huo X, Shi X, Li S. Molecular mechanism of andrographolide against viral infections. Pharmacol Res. 2020;156:104763.
5. Hu X, Wu L, Shao Y, Liang J, Xia Y, Wei J, et al. Efficacy and safety of Andrographis paniculata in the treatment of acute upper respiratory tract infections: a systematic review and meta-analysis of randomized controlled trials. J Complement Integr Med. 2017;14(1).
6. Lim C, Heng SC, Chan CH, Tan CE. Andrographis paniculata for mild COVID-19: a randomized controlled trial. BMC Infect Dis. 2022;22:341.
7. Chan TY, Liu S, Teo HY. Adverse events of Andrographis paniculata: a case series of hypotension and severe cutaneous reactions. J Int Med Res. 2023;51(2):3000605231159073.
8. Thai FDA. Annual Pharmacovigilance Report on Herbal Products. Bangkok: Ministry of Public Health; 2024.

25/05/2025

**เปรียบเทียบ Senna 15 mg (Sennoside B) กับ Bisacodyl 5 mg**

---

# # # 1. บทนำ

อาการท้องผูก (constipation) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย มีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย การดื่มน้ำน้อย การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย หรืออาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด รวมถึงปัญหาสุขภาพเฉพาะทาง การใช้ยาระบาย (laxatives) เพื่อช่วยกระตุ้นการขับถ่ายเป็นวิธีที่แพทย์มักพิจารณาสั่งใช้เพื่อบรรเทาอาการ ในบทความนี้จะเปรียบเทียบยาระบายชนิดกระตุ้น (stimulant laxatives) สองชนิดที่นิยม ได้แก่ **Senna (Sennoside B)** ขนาด 15 มิลลิกรัม และ **Bisacodyl** ขนาด 5 มิลลิกรัม โดยจะกล่าวถึงกลไกการออกฤทธิ์ ช่วงเวลาในการออกฤทธิ์ อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อย รวมถึงภาวะ **Melanosis Coli** ในการใช้ Senna ระยะยาว

---

# # # 2. กลไกการออกฤทธิ์

1. **Senna (Sennoside B)**
* สารออกฤทธิ์หลักใน Senna คือ **sennosides** ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม anthraquinone stimulant laxatives
* ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นเส้นประสาทที่ผนังลำไส้ใหญ่ (colon) ให้มีการบีบตัว (peristalsis) เพิ่มขึ้น และลดการดูดซึมน้ำกลับที่ลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่มลงและขับถ่ายง่ายขึ้น

2. **Bisacodyl**
* เป็นยาระบายชนิดกระตุ้น (stimulant laxative) เช่นเดียวกัน แต่จัดอยู่ในอนุพันธ์ของ **triarylmethane**
* กระตุ้นเซลล์ประสาทในผนังลำไส้ใหญ่ เพิ่ม peristalsis คล้ายกับ Senna แตกต่างที่โครงสร้างทางเคมี

---

# # # 3. ช่วงเวลาในการออกฤทธิ์ (Onset of Action)

* **Senna (Sennoside B) 15 mg**
* เริ่มออกฤทธิ์ประมาณ **6-12 ชั่วโมง** หลังรับประทาน
* นิยมรับประทานก่อนนอน เพื่อให้ได้ผลการขับถ่ายในช่วงเช้า

* **Bisacodyl 5 mg**
* ในรูปแบบยาเม็ดรับประทาน เริ่มออกฤทธิ์โดยเฉลี่ยที่ **8-10 ชั่วโมง**
* ในรูปแบบยาเหน็บทางทวารหนัก (suppository) อาจออกฤทธิ์เร็วกว่า (ประมาณ 15-60 นาที)

ทั้งนี้ ช่วงเวลาในการออกฤทธิ์อาจแตกต่างขึ้นอยู่กับสภาวะทางร่างกายของผู้ใช้ การดูดซึมยา และปริมาณน้ำที่ดื่ม

---

# # # 4. ผลข้างเคียงและอาการไม่พึงประสงค์

1. **อาการปวดบิดท้อง **
* พบได้ทั้งใน Senna และ Bisacodyl เนื่องจากการเพิ่มการบีบตัวของลำไส้อย่างรวดเร็ว
* ผู้ที่มีภาวะลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome, IBS) หรือไวต่อสิ่งกระตุ้นอาจมีความรุนแรงของอาการปวดบิดมากขึ้น

2. **อาการข้างเคียงอื่น**
* ท้องเสีย (diarrhea) หากใช้ยาเกินขนาดหรือร่างกายไวต่อยา
* คลื่นไส้ อาเจียน
* ความผิดปกติของสมดุลเกลือแร่ (electrolyte imbalance) โดยเฉพาะหากใช้เป็นเวลานานหรือใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะ (diuretics)

3. **การเกิดการพึ่งพายา (Dependence)**
* การใช้ยาระบายกระตุ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ลำไส้ขี้เกียจ (lazy bowel) หรือมีภาวะ rebound constipation เมื่อหยุดยา

---

# # # 5. Melanosis Coli ในการใช้ Senna ระยะยาว

**Melanosis Coli** คือภาวะที่ผนังลำไส้ใหญ่เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (น้ำตาลเข้มถึงดำ) โดยมีสาเหตุหลักจากการสะสมของเม็ดสี **lipofuscin** ในผนังลำไส้ ซึ่งมักพบในผู้ใช้ยาระบายกลุ่ม **anthraquinones** (เช่น Senna) ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

* **ลักษณะ**: ระหว่างการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) จะเห็นสีของผนังลำไส้ใหญ่คล้ำขึ้นอย่างชัดเจน
* **ความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง**: แม้ชื่อจะทำให้กังวล แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยส่วนใหญ่พบว่า Melanosis Coli **ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ**
* **ข้อควรระวัง**: ควรใช้ Senna ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น โดยเฉพาะการใช้ระยะยาว ควรพิจารณาประโยชน์และความเสี่ยงร่วมกัน

---

# # # 6. ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

1. **ระยะเวลาการใช้**
* ควรใช้ยาระบายกลุ่มกระตุ้นในระยะสั้นหรือเป็นครั้งคราว หากมีปัญหาท้องผูกเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เพิ่มใยอาหาร ดื่มน้ำให้มากขึ้น และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

2. **การใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น**
* ระมัดระวังการใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะ (diuretics) หรือยาที่มีผลต่อสมดุลเกลือแร่ เช่น ยาในกลุ่ม Digitalis หรือผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง เพราะอาจเสี่ยงเกิด hypokalemia หรือภาวะขาดโปแตสเซียมได้

3. **ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ**
* **หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร**: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาระบายทุกชนิด
* **ผู้สูงอายุ**: ต้องระวังภาวะขาดน้ำและสมดุลเกลือแร่ ควรได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากบุคลากรทางการแพทย์

---

# # # 7. บทสรุป

* **Senna (Sennoside B) 15 mg** และ **Bisacodyl 5 mg** เป็นยาระบายกระตุ้นที่มีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกัน โดย Senna ออกฤทธิ์ในช่วง 6-12 ชั่วโมง ขณะที่ Bisacodyl ใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง เมื่อรับประทานในรูปแบบยาเม็ด
* ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ อาการปวดบิดท้อง (cramp pain) คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือเสียสมดุลเกลือแร่
* การใช้ **Senna** ระยะยาวอาจก่อให้เกิด **Melanosis Coli** ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสีผนังลำไส้ใหญ่ แต่ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่
* ควรใช้ยาระบายอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการใช้ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากมีอาการท้องผูกเรื้อรังหรือมีโรคร่วม

---

# # # อ้างอิง

1. UpToDate Wald A, et al. Stimulant laxatives for the treatment of constipation in adults. UpToDate
2. Mayo Clinic Mayo Clinic. Bisacodyl (Oral Route) Description and Brand Names. Mayo Clinic
3.Goodman & Gilman's The Pharmacological Basis of Therapeutics (13th Edition).บทเกี่ยวกับ Gastrointestinal Pharmacology. McGraw-Hill Education.
4. British National Formulary (BNF).Bisacodyl และ Senna ในการรักษาอาการท้องผูก (BNF Online)
5. American College of Gastroenterology (ACG)Guidelines for Chronic Constipation. ACG Guidelines

20/05/2025

**Bilastine 20 mg: ทำไมถึงเป็นแอนตี้ฮิสตามีนรุ่นใหม่ที่เภสัชกรชุมชนควรรู้จัก?**

ปัจจุบันโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เช่น โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) และลมพิษ (Urticaria) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในทุกกลุ่มอายุ การจัดการอาการทางภูมิแพ้โดยใช้ยาแอนตี้ฮิสตามีน (Antihistamines) จึงเป็นวิธีการรักษาสำคัญอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนซึ่งผู้ป่วยเข้าถึงยาต้านภูมิแพ้ได้สะดวก

“Bilastine” เป็นแอนตี้ฮิสตามีนในกลุ่มที่เรียกว่า “Second-Generation” หรือ “รุ่นใหม่” ซึ่งได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากออกฤทธิ์จำเพาะต่อ H1 receptor และ มีประสิทธิภาพในการลดอาการคัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล และมีผลข้างเคียงในด้านง่วงนอนน้อยกว่ายาในกลุ่ม First-Generation

---

# # 1. Bilastine คืออะไร?

**Bilastine** เป็นยาแอนตี้ฮิสตามีนชนิดรับประทานในกลุ่ม Second-Generation ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป เพื่อบรรเทาอาการของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (ทั้งแบบเป็นช่วงฤดูกาลหรือเป็นตลอดปี) และลมพิษ (Urticaria) ยาชนิดนี้มีจุดเด่นคือ
* ออกฤทธิ์จำเพาะต่อ H1 receptor อย่างสูง
* แทบไม่ผ่านการเมแทบอลิซึมที่ตับ (Minimal hepatic metabolism)
* มีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ค่อนข้างน้อย (Low drug-drug interactions)
* ออกฤทธิ์เร็วและคงระดับยาในเลือดได้นาน ทำให้รับประทานเพียงวันละ 1 ครั้ง

---

# # 2. กลไกการออกฤทธิ์

Bilastine ออกฤทธิ์โดยจับกับ H1 receptor ในเซลล์ต่าง ๆ เช่น Mast cell และ Basophil ช่วยยับยั้งการทำงานของฮิสตามีน (Histamine) ที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ส่งผลให้อาการคัน จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก และผื่นคัน (Urticaria) ลดลง

นอกจากนี้ Bilastine ยังมีค่า “Affinity” สูงต่อ H1 receptor และมีค่า “Selectivity” ดี หมายความว่าการจับ receptor อื่น ๆ หรือการผ่าน Blood-Brain Barrier มีน้อย จึงทำให้อาการข้างเคียงอย่างเช่น ง่วงซึม หรือมึนงงน้อยลง เมื่อเทียบกับแอนตี้ฮิสตามีนรุ่นเก่า

---

# # 3. ข้อบ่งใช้และขนาดการใช้

* **โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)**: รับประทาน Bilastine ขนาด 20 mg วันละ 1 ครั้ง เป็นประจำทุกวันตามระยะเวลาที่อาการยังคงอยู่
* **ลมพิษ (Urticaria)**: รับประทาน Bilastine ขนาด 20 mg วันละ 1 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการคันและผื่นแดง

ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทาน Bilastine ขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง เนื่องจากการดูดซึมยาจะลดลงเมื่อรับประทานพร้อมอาหารหรือเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า)

---

# # 4. ข้อดีของ Bilastine เมื่อเทียบกับแอนตี้ฮิสตามีนรุ่นเก่า

1. **ผลข้างเคียงเรื่องทำให้ง่วงนอนต่ำ**: Bilastine แทบไม่ผ่านเข้าสมอง จึงลดผลข้างเคียงเรื่องง่วงหรือเรื่องทำให้ประสิทธิภาพในการขับรถหรือทำงานลดลงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับแอนตี้ฮิสตามีนรุ่นที่หนึ่ง (First-Generation)
2. **ความปลอดภัยสูงในผู้ป่วยโรคหัวใจ**: มีรายงานว่า Bilastine ไม่มีผลข้างเคียงต่อคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (เช่น QT prolongation) อย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก ซึ่งมักเป็นความกังวลในผู้ป่วยที่ใช้ยาแอนตี้ฮิสตามีนบางชนิด
3. **Drug-drug interactions ต่ำ**: Bilastine มีการเมแทบอลิซึมผ่านตับน้อย จึงเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาต่ำ เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาหลายชนิด
4. **การออกฤทธิ์นาน**: สามารถคงระดับยาในเลือดเพียงพอได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้สะดวกในการรับประทานวันละครั้ง

---

# # 5. แนวทางในการบริบาลทางเภสัชกรรมสำหรับเภสัชกรชุมชน

1. **การประเมินอาการผู้ป่วย**: เภสัชกรควรคัดกรองผู้ป่วยที่มาพบด้วยอาการคัดจมูก จาม น้ำมูกไหล คันตา คันจมูก หรือลมพิษ เพื่อแยกอาการที่เหมาะสมกับการใช้ยาแอนตี้ฮิสตามีน เช่น Bilastine
2. **การซักประวัติการแพ้ยาและโรคร่วม**: เนื่องจาก Bilastine มีอัตราการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาต่ำ แต่ก็ควรตรวจสอบรายการยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผู้ป่วยใช้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาการทำงานของตับหรือไต
3. **การให้คำแนะนำการใช้ยา**:
* รับประทาน Bilastine ขนาด 20 mg วันละ 1 ครั้ง ซึ่งควรรับประทานขณะท้องว่าง (ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง)
* หลีกเลี่ยงการรับประทานพร้อมอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ (นอกเหนือจากน้ำเปล่า) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการดูดซึมที่ดีที่สุด
* แนะนำผู้ป่วยให้เฝ้าสังเกตอาการข้างเคียง เช่น ง่วงซึม ปากแห้ง หรือเวียนศีรษะ หากมีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
4. **การติดตามอาการ**: แนะนำผู้ป่วยให้กลับมาติดตามการตอบสนองของยา โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรง หรือมีภาวะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โรคหืด หรือไซนัสอักเสบ

---

# # 6. สรุป

Bilastine 20 mg เป็นแอนตี้ฮิสตามีนรุ่นใหม่ที่มีจุดเด่นทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาอาการจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และลมพิษ ด้วยคุณสมบัติในการออกฤทธิ์เฉพาะ H1 receptor การดูดซึมดี และมีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทส่วนกลางน้อย ยานี้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสมในการบริบาลผู้ป่วยของเภสัชกรชุมชน ซึ่งจะช่วยให้สามารถให้คำแนะนำได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย

---

# # เอกสารอ้างอิง

1. Mullol J, Bousquet J, Bachert C, Canonica GW. Bilastine: a new oral H1 antihistamine for the treatment of allergic rhinoconjunctivitis and urticaria. Clin Exp Allergy. 2016;46(5):684-695.
2. Kmentová T, Klimes J, et al. Pharmacokinetics and Bioequivalence of Bilastine 20 mg. Clin Drug Investig. 2012;32(10):665-673.
3. European Medicines Agency (EMA). Bilastine: Summary of Product Characteristics (SmPC). 2016.
4. World Allergy Organization (WAO). WAO White Book on Allergy: Update 2013. World Allergy Organization; 2013.
5. Bachert C, Kuna P, Sanico A, et al. Efficacy and safety of bilastine 20 mg once daily in the treatment of allergic rhinitis: an integrated analysis. Clin Drug Investig. 2010;30(2):89-100.

13/05/2025

**จากเม็ดยาสู่เป้าหมาย: การเดินทางของยาในร่างกาย**
ยาทุกเม็ดที่เราใช้ ไม่ว่าจะเป็นยารับประทาน ยาฉีด หรือยาทาภายนอก ล้วนผ่านกระบวนการทางชีววิทยาที่ซับซ้อน เพื่อส่งยาไปยังบริเวณเป้าหมายที่ต้องการออกฤทธิ์ กระบวนการนี้เรียกว่า “เภสัชจลนศาสตร์” (Pharmacokinetics) ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การดูดซึม (Absorption) การกระจาย (Distribution) การเปลี่ยนแปลงหรือการเผาผลาญ (Metabolism) และการขับออก (Excretion) หรือที่นิยมเรียกย่อว่า ADME บทความนี้จะพาผู้อ่านไปเจาะลึกว่า ยาเดินทางอย่างไรในร่างกาย และปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อกระบวนการเหล่านี้

---

# # 1. การดูดซึม (Absorption)

การดูดซึมหมายถึงกระบวนการที่ยาเคลื่อนย้ายจากบริเวณที่ให้ยาไปสู่กระแสเลือด เช่น

* **ยารับประทาน (Oral Route):** ยาจะถูกกลืนเข้าสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ จากนั้นจึงดูดซึมผ่านเยื่อบุลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดูดซึมของยารับประทาน ได้แก่ ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ภายในทางเดินอาหาร เวลาการเคลื่อนผ่านของอาหารในลำไส้ (Gastrointestinal Transit Time) และคุณสมบัติของโมเลกุลยา (1)
* **ยาฉีด (Parenteral Route):** การฉีดยาเข้าสู่ร่างกายโดยตรง เช่น การฉีดเข้าเส้นเลือดดำ (IV) ยาจะเข้าสู่กระแสเลือดทันที การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (IM) และการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (SC) ยาจะดูดซึมผ่านเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
* **ยาใช้ภายนอก (Topical Route):** เช่น ยาทาผิวหนังหรือยาป้ายตา ยาจะดูดซึมผ่านผิวหนังหรือเยื่อบุตา โดยจะมีปัจจัยเรื่องความสามารถในการซึมผ่านของเนื้อเยื่อและความสมบูรณ์ของผิวหนังเข้ามาเกี่ยวข้อง

---

# # 2. การกระจาย (Distribution)

หลังจากที่ยาถูกดูดซึมและเข้าสู่กระแสเลือดเรียบร้อยแล้ว ยาจะถูกลำเลียงไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย กระบวนการกระจายตัวนี้ขึ้นอยู่กับ

* **การไหลเวียนของเลือด (Blood Flow):** อวัยวะที่มีเลือดไหลเวียนมาก เช่น ตับ ไต และสมอง จะได้รับยามากกว่าอวัยวะที่เลือดไหลเวียนน้อย
* **การจับกับโปรตีนในเลือด (Plasma Protein Binding):** ยาบางชนิดจับกับโปรตีนในเลือด (เช่น อัลบูมิน) ได้แน่น ทำให้ปริมาณยาที่ยังเป็นรูปอิสระ (Free Drug) ซึ่งออกฤทธิ์ได้มีน้อยลง
* **ความสามารถในการผ่านเยื่อกั้นของยา (Membrane Permeability):** เช่น ยาที่ละลายในไขมัน (Lipid-soluble) มักจะผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ง่าย ส่งผลให้การกระจายตัวกว้างขวางมากกว่ายาที่ละลายน้ำ (Water-soluble) (2)

---

# # 3. การเปลี่ยนแปลงหรือการเผาผลาญ (Metabolism)

เมื่อยามาถึงอวัยวะเป้าหมายหรือไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ยาจะถูกเปลี่ยนแปลงทางเคมีให้มีรูปร่างหรือฤทธิ์ที่แตกต่างจากเดิม กระบวนการนี้เรียกว่า “เมแทบอลิซึม” (Metabolism) ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่ตับ (Liver) โดยเอนไซม์ที่สำคัญคือกลุ่มไซโตโครมพี450 (Cytochrome P450)

* **การทำงานของเอนไซม์ในตับ:** บางครั้งเอนไซม์อาจเปลี่ยนยาที่ไม่ออกฤทธิ์ (Prodrug) ให้กลายเป็นรูปที่ออกฤทธิ์ได้ หรือเปลี่ยนยาที่ออกฤทธิ์เป็นสารที่ไม่มีฤทธิ์ (Inactive Metabolite) (3)
* **First-pass Effect:** กรณีที่เป็นยารับประทาน เมื่อยาถูกดูดซึมผ่านลำไส้และเข้าสู่ตับก่อนที่จะกระจายไปทั่วร่างกาย อาจเกิดการเผาผลาญยาอย่างมาก ทำให้ปริมาณยาที่เหลืออยู่สำหรับการออกฤทธิ์ลดลง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ยาบางชนิดต้องใช้ขนาด (Dose) สูงขึ้นเมื่อให้ทางปากเทียบกับการฉีดเข้ากระแสเลือด

---

# # 4. การขับออก (Excretion)

ขั้นตอนสุดท้ายของการเดินทางของยา คือ การขับออกจากร่างกาย ทั้งในรูปของตัวยาหรือสารเมแทบอไลต์

* **ไต (Kidney):** เป็นอวัยวะหลักในการขับออกผ่านทางปัสสาวะ กระบวนการขับออกผ่านไตขึ้นกับการกรองที่โกลเมอรูลัส (Glomerular Filtration) การดูดกลับ (Reabsorption) และการหลั่งออก (Secretion) (4)
* **น้ำดีและทางเดินอาหาร (Biliary and F***l Excretion):** ยาบางชนิดหรือสารเมแทบอไลต์จะถูกขับออกทางน้ำดีและถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระ
* **อื่น ๆ:** ยาบางส่วนอาจถูกขับออกทางเหงื่อ น้ำลาย หรือทางปอด (เช่น ยาสูดพ่นบางชนิด)

---

# # 5. ปัจจัยที่มีผลต่อการเดินทางของยาในร่างกาย

* **อายุ (Age):** ทารกอาจมีกลไกการเผาผลาญยังไม่สมบูรณ์ ผู้สูงอายุการทำงานของตับและไตอาจลดลง ส่งผลต่อการกำจัดยา
* **โรคประจำตัว (Comorbidities):** โรคตับหรือไตอาจส่งผลต่ออัตราการเปลี่ยนแปลงและการขับออกของยา
* **การใช้ยาอื่นร่วม (Drug Interactions):** ยาที่ใช้ร่วมกันอาจกระตุ้นหรือยับยั้งเอนไซม์การเผาผลาญ ทำให้ระดับยาในเลือดเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
* **พันธุกรรม (Genetics):** ความแตกต่างของยีนที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ (เช่น Cytochrome P450) อาจทำให้ร่างกายของแต่ละคนตอบสนองต่อยาต่างกัน

---

# # 6. ความสำคัญของการเข้าใจการเดินทางของยา

ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ ADME มีความสำคัญมากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยเอง

1. **การกำหนดขนาดยา (Dose) และความถี่ (Frequency):** เพื่อให้ระดับยาในเลือดเหมาะสมและคงที่
2. **หลีกเลี่ยงอันตรกิริยาระหว่างยา (Drug Interactions):** การเลือกใช้ยาหลายชนิดพร้อมกันโดยคำนึงถึงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้น
3. **ลดอาการไม่พึงประสงค์ของยา (Adverse Effects):** ด้วยการปรับขนาดหรือเปลี่ยนวิธีการให้ยา
4. **เลือกเส้นทางการให้ยาที่เหมาะสม (Route of Administration):** เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียง

---

# # บทสรุป

การเดินทางของยาในร่างกาย หรือกระบวนการ ADME เป็นหัวใจสำคัญของการรักษาทางเภสัชวิทยา การทำความเข้าใจกระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยสามารถเลือกใช้ยาได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ตลอดจนสามารถปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยได้ ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคดีขึ้นและลดความเสี่ยงจากอาการข้างเคียง

---

# # # เอกสารอ้างอิง

1. Brunton L, Knollmann B, Hilal-Dandan R, editors. Goodman & Gilman's The Pharmacological Basis of Therapeutics. 13th ed. New York: McGraw-Hill Education; 2017.
2. Rang HP, Dale MM, Ritter JM, Flower RJ, Henderson G. Rang and Dale’s Pharmacology. 7th ed. Edinburgh: Churchill Livingstone; 2012.
3. Katzung BG, Trevor AJ. Basic and Clinical Pharmacology. 14th ed. New York: McGraw-Hill Education; 2018.
4. DiPiro JT, Talbert RL, Yee GC, Matzke GR, Wells BG, Posey LM. Pharmacotherapy: A Pathophysiologic Approach. 10th ed. New York: McGraw-Hill Medical; 2017.

ที่อยู่

11 Chang Moi Road
Chiang Mai
50300

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 21:00
อังคาร 09:00 - 21:00
พุธ 09:00 - 21:00
พฤหัสบดี 09:00 - 21:00
ศุกร์ 09:00 - 21:00
เสาร์ 09:00 - 21:00
อาทิตย์ 09:00 - 21:00

เบอร์โทรศัพท์

+66949811991

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ร้านขายยาจิรเวช เชียงใหม่ Jiravej Pharmacyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์