06/06/2025
อีกไข้ที่ต้องระวังหน้าฝน คือไข้เลือดออก
สังเกตอาการให้ดี เพราะผู้ป่วยยาบางตัวไม่สามารถทานได้นะครับ
สังเกตสัญญาณอันตรายไข้เลือดออก จับสังเกตอาการให้ทันในช่วง 3–5 วันและกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังพิเศษ
บทนำ
ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้บ่อยในเขตร้อนชื้นรวมถึงประเทศไทย อาการจะมีความรุนแรงแตกต่างกันไปตั้งแต่มีไข้สูงทั่วไปจนถึงอาการรุนแรง (Dengue Haemorrhagic Fever, DHF) การเฝ้าระวังและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดมีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงวันที่ 3–5 ของการป่วย ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะช็อกหรือมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงได้
1. ลักษณะของไข้เลือดออกและระยะการดำเนินโรค
1. ระยะไข้ (Febrile phase)
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก เบื่ออาหาร และอาจมีผื่นหรือจุดแดงตามตัว
- ระยะนี้โดยทั่วไปกินเวลาประมาณ 2–7 วัน โดยช่วงวัน 3–5 เป็นช่วงที่ผู้ป่วยบางรายอาจเริ่มมีภาวะน้ำรั่วออกจากหลอดเลือด (Plasma leakage) ซึ่งทำให้เกิดอาการช็อกในไข้เลือดออกระยะรุนแรง
2. ระยะวิกฤติ (Critical phase)
- มักเกิดในช่วงหลังไข้เริ่มลดลง (ส่วนใหญ่ระหว่างวัน 3–5 ของอาการ)
- อาจเกิดภาวะช็อกจากการที่มีพลาสมารั่วออกนอกหลอดเลือด (Dengue shock syndrome) และมีอาการเลือดออกง่ายขึ้น เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล จุดเลือดออกตามผิวหนัง หรืออาเจียนเป็นเลือด
- หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา ผู้ป่วยอาจทรุดลงอย่างรวดเร็ว
3. ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)
- หากผ่านช่วงวิกฤติไปได้สภาพไหลเวียนเลือดจะค่อยๆ กลับมาสู่ปกติ เริ่มมีความอยากอาหาร และอาการปวดต่างๆ ลดลง
2. สัญญาณอันตรายช่วงวันที่ 3–5 ของไข้เลือดออก
1. ไข้ลดลง แต่สภาพทั่วไปแย่ลง
- ปกติเมื่อไข้ลดลงควรมีอาการดีขึ้น แต่หากไข้ลดลงแล้วผู้ป่วยกลับดูอ่อนเพลียมากขึ้น เหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็น ควรรีบสังเกตอาการช็อก
2. ปวดท้องรุนแรงหรือปวดใต้ชายโครงขวา
- อาจเกิดจากตับโตหรือตับอักเสบซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะวิกฤติ
3. อาเจียนบ่อยหรืออาเจียนเป็นเลือด
- การอาเจียนบ่อยทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่เร็วกว่าปกติ หากอาเจียนมีเลือดปนอาจเป็นสัญญาณว่ามีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
4. มีผื่นหรือจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (Petechiae)
- หากใช้ “วิธีทดสอบทัวร์นิเกต์” (Tourniquet test) พบจุดเลือดออกจำนวนมาก เป็นสัญญาณว่ามีภาวะเลือดออกง่าย
5. ซึม กระสับกระส่าย หรือกระวนกระวายผิดปกติ
- บ่งบอกถึงสมองขาดเลือดหรือมีภาวะช็อก
3. กลุ่มเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
1.เด็กเล็กและผู้สูงอายุ
- เด็กเล็กอาจสื่อสารอาการได้ยากและผู้สูงอายุอาจมีโรคประจำตัวทำให้อาการทรุดลงได้เร็ว
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง
- การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายไม่สมบูรณ์หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
3. หญิงตั้งครรภ์
- มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทั้งต่อมารดาและทารกในครรภ์
4. ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ที่มีประวัติติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน
- การติดเชื้อซ้ำอาจรุนแรงยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัสคนละซีโรไทป์
4. การดูแลเบื้องต้นและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
1. การติดตามอาการ
- ควรจดบันทึกอุณหภูมิร่างกายทุกวัน ประเมินอาการทางร่างกายและอาการทางเดินอาหาร หากพบสัญญาณอันตรายควรปรึกษาแพทย์ทันที
2. การให้สารน้ำอย่างเหมาะสม
- ดื่มน้ำเกลือแร่หรือของเหลวมากพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้ปวดลดไข้กลุ่ม NSAIDs (เช่น ไอบูโพรเฟน) หรือแอสไพริน ที่เพิ่มความเสี่ยงเลือดออก
3. การสังเกตพฤติกรรมและสภาพทั่วไป
- ดูว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย ซึม หรือมีการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึกตัวหรือไม่
4. การส่งต่อแพทย์เมื่อมีอาการรุนแรง
- หากมีแนวโน้มว่าจะเกิดภาวะช็อกหรือมีอาการเลือดออกควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
5. การป้องกันไข้เลือดออก
1. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- คว่ำภาชนะกักเก็บน้ำทำความสะอาดไม่ให้มีน้ำนิ่งหรือใช้ฝาปิดให้มิดชิด
2. ป้องกันไม่ให้ยุงกัด
- สวมเสื้อผ้าปกปิดใช้ยาทากันยุงหรือใช้มุ้งลวดกันยุง
3. ให้ความรู้กับคนรอบข้าง
- แจ้งเตือนและให้ความรู้เรื่องการสังเกตอาการในช่วงวันที่ 3–5 และสัญญาณอันตราย
สรุป
ไข้เลือดออกยังคงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ การเฝ้าระวังและสังเกตสัญญาณอันตรายในช่วงวันที่ 3–5 ของการป่วยมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยป้องกันภาวะช็อกหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรงผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว รวมถึงผู้เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน ต้องเฝ้าดูแลเป็นพิเศษ หากพบอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการดูแลที่เหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
1. World Health Organization. Dengue: Guidelines for diagnosis, treatment, prevention and control. Geneva: World Health Organization; 2009.
2. Kalayanarooj S, Rothman AL, Srikiatkhachorn A. Dengue: bench to bedside. Curr Top Microbiol Immunol. 2010;338:1–428.
3. Centers for Disease Control and Prevention. Dengue [Internet]. Atlanta: CDC; 2020
4. Ministry of Public Health (Thailand). Guidelines for the Diagnosis, Treatment, Prevention and Control of Dengue in Thailand. Bangkok: Bureau of Vector Borne Diseases; 2015.