Akanit tattananurat - หมอกิ๊ก

Akanit tattananurat - หมอกิ๊ก ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Akanit tattananurat - หมอกิ๊ก, Chiang Mai.

รูปนี้ใช้ AI ทำ น่ารักมาก เดี๋ยวนี้ AI เก่งจังเลยKeyword : Inner child, love, compassion, colorful, spiritual, lovely, h...
29/11/2023

รูปนี้ใช้ AI ทำ น่ารักมาก เดี๋ยวนี้ AI เก่งจังเลย

Keyword : Inner child, love, compassion, colorful, spiritual, lovely, happiest, 3D

🥰☺️😉🎉🎊🥳🍭💕💫✨🌟❤️

ในยุคสมัยที่มองไปทางไหน ก็มีแต่เรื่องราวของคนประสบความสำเร็จ ... คุณเองเผลอเคยเก็บเอาสิ่งเหล่านั้น มาเปรียบเทียบกับตัวคุ...
03/05/2023

ในยุคสมัยที่มองไปทางไหน ก็มีแต่เรื่องราวของคนประสบความสำเร็จ ... คุณเองเผลอเคยเก็บเอาสิ่งเหล่านั้น มาเปรียบเทียบกับตัวคุณเอง แล้วมีความรู้สึกแย่บ้างไหม ถ้าใช่ อยากให้ลองอ่านบทความนี้ดู..

เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ตั้งแต่เกิดจนวันสุดท้ายของชีวิตนั้น สังคมได้มีแบบแผนไว้ให้เราหมดแล้วว่าเราควรจะใช้ชีวิตอย่างไร ทำอะไร หรือเป็นอย่างไร
เราพยายามทำในสิ่งที่สังคมอยากให้ทำ เราพยายามเป็นในสิ่งที่สังคมบอกว่าดี เราใช้ชีวิตเพื่อวันข้างหน้า เราทำทุกอย่างในวันนี้เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า เราใช้ชีวิตในวันนี้ทั้งหมดไปกับสิ่งต่างๆที่เราคาดหวังในอนาคต

เราหวังว่า…
ถ้าชีวิตเราในอนาคตมี ...... (บางสิ่งบางอย่าง) …..
เราจะมีความสุขมากกว่านี้

เราหวังว่า…
ถ้าชีวิตเราในอนาคตไม่ต้อง ......(เผชิญบางอย่าง) …..
เราคงจะไม่ต้องมีความรู้สึกที่เราไม่อยากมีแบบทุกวันนี้

เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวังกับอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
เราแทบไม่ได้ใช้เวลาของเราจริงๆในวันนี้เพื่อวันนี้เลย
เราแทบไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไร เราชอบอะไร หรือเราอยากมีชีวิตแบบไหน เราอยากที่จะมีชีวิตหรือใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไร

เราใช้เวลาทั้งหมดไปกับสิ่งที่ต้องทำ เพราะเรารู้สึกว่านั่นมันคือความรับผิดชอบของเรา(Responsibility) จนเราแทบจะไม่เวลาให้ตัวเอง

คุณรู้สึกว่าการที่คุณอยู่เฉยๆหรือทำอะไรที่ไร้สาระหรือไม่มีประโยชน์นั้น มันทำให้คุณรู้สึกผิด

คุณรู้สึกว่ามันคงจะดีกว่านี้ถ้าคุณเอาเวลาเหล่านั้นไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์

มันเหมือนกับเราวิ่งไล่ตามอะไรสักอย่างที่อย่างไม่จบสิ้น บางครั้งคุณรู้สึกเหมือนคุณได้เดินวิ่งเข้าสู่เส้นชัย เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่คุณตั้งไว้และใช้ความพยายามมาอย่างยาวนานนั้นสำเร็จ แต่เพียงไม่นานคุณก็รู้สึกว่านั้นมีเป้าหมายใหม่ คุณต้องลงสนามอีกครั้งและก้าวต่อไป

คุณเคยลองสังเกตตัวเองไหม ว่าเราใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการพยายามเพื่อทำอะไรสักอย่างมากกว่าการยินดีหรือมีความสุขกับสิ่งที่เราพยายามหามาได้ เพราะเรารู้สึกผิดเวลาที่เราอยู่เฉยๆ หรือรู้สึกผิดเวลาที่เราทำอะไรเพื่อตัวเอง หรือทำอะไรที่เป็นความสุขของตัวเอง

ลองปล่อยวางความรู้สึกผิดนั้น ให้เวลาตัวเองได้ทำในสิ่งที่อยากทำแม้มันจะดูเหมือนไม่ได้มีประโยชน์นัก ปล่อยวางตัวชี้วัดต่างๆที่คุณเอาไว้วัดผลตัวเอง แล้วคุณจะพบว่าการมีความสุขนั้นเรียบง่าย ไม่ต้องใช้ความอดทนหรือความพยายามที่ยาวนานหลายปี

คุณสามารถมีความสุขได้จากการทำตามความต้องการของตัวเองเล็กๆน้อยๆในแต่ละวัน และคุณจะพบว่าในแต่ละวันคุณสามารถมีความสุขได้หลายครั้งถ้าคุณเรียนรู้ว่าตัวเองชอบหรือต้องการอะไร ❤️🥰😊

“You’re enough, No need to prove it.”

กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปในช่วงสงกรานต์ ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงที่แอดมินได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และช่วงนี้ก็เ...
19/04/2023

กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปในช่วงสงกรานต์ ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงที่แอดมินได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่แอดมินกำลังเขียนหนังสืออย่างขะมักขเม่น5555😆

โพสนี้จึงเป็นโพสที่ได้นำเอาบางส่วนของหนังสือมาแชร์ให้อ่านกัน เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างความเจ็บปวด(Pain)และความทุกข์ทรมาน(Suffering) อ่านแล้วรู้สึกยังไงหรืออยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรต่อ คอมเม้นมาพูดคุยกันได้นะคะ 😊

ความเจ็บปวดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าคุณนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธจะบอกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่มีใครหลีกหนีได้พ้น ทุกคนบนโลกนี้ล้วนผ่านการเกิด และต้องผ่านการเจ็บ(Pain) การแก่และการตาย การที่เราพยายามที่จะหลีกหนีความจริงของธรรมชาติเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การที่เราวิ่งหนีความเจ็บปวด(pain) นั้นทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน(suffering) โดยที่เราไม่รู้ตัว

Suffering นั้นเป็นสิ่งที่เราสามารถเลือกได้ที่เราจะไม่เจอมัน ต่างจาก Pain ที่เราไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้น การปฏิเสธความเจ็บปวด นั้นนำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน(Suffering) และเป็นสิ่งที่ทำได้แค่ชั่วคราว เพราะความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต(Pain) วันหนึ่งสิ่งที่คุณวิ่งหนีมาทั้งชีวิตคุณจะพบว่ามันไม่เคยหายไปไหนเลย มันอยู่กับคุณมาโดยตลอด เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ

ถึงเราจะรู้ความจริงในข้อนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะอยู่กับ suffering รวมถึงฉันในอดีต เพราะ suffering นั้นความเจ็บปวดที่ยาวนานเรื้อรัง(chronic) เป็นความทุกข์ทรมานที่เรารู้สึกทนได้ เราคุ้นชินกับระดับความรุนแรงของมัน มันจะเจ็บปวดประมาณหนึ่งในระดับที่เราสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ส่วน pain นั้นเป็นความเจ็บปวดรุนแรงแต่สั้น(Acute) คนส่วนใหญ่เลยไม่อยากที่จะเผชิญกับ pain รวมถึงฉัน เพียงแต่ฉันรู้ว่าเบื้องหลังของการเผชิญกับความเจ็บปวดนั้นมีความสุขสงบ(Peaceful) ความอิสระ(Freedom) และปัญญา(Wisdom)หรือบทเรียนที่ล้ำค่ารออยู่

เราไม่มีทางที่จะรู้สึกว่าเราพร้อมสำหรับความเจ็บปวด(pain) ไม่อย่างงั้นมันคงไม่เรียกว่าความเจ็บปวด เหมือนกับเวลาที่เราถูกเข็มทิ่ม ประตูหนีบ ขาเตะโต๊ะ ร่างกายเราจะกระตุกออกจากสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดโดยอัตโนมัติ นั่นคือกลไกปกติของร่างกายเพื่อที่จะช่วยให้เรามีชีวิตอยู่รอด(In order to survive) เราใช้แรงใจ(courage)ในการเผชิญกับความจริงที่เจ็บปวดของตัวเอง มันไม่ได้ง่าย และไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ(Weakness) มันยากและเราต้องใช้ความเข้มแข็ง(Strength) และเราใช้แรงใจ(courage)ที่สูงมากในการเผชิญหน้ากับมัน คนที่ทำแบบนั้นได้คือคนที่เข้มแข็ง ถ้าคุณทำได้ คุณต้องยอมรับ(Claim)ความเข้มแข็งในตัวคุณ ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ และถ้าคุณทำได้ ยินดีกับมันแม้ว่ามันจะเป็นก้าวเล็กๆ ยินดีกับทุกๆก้าวของตัวเอง 🥰👍🎊🎉

เรามีนิสัยชอบ "โทษตัวเอง" อยู่หรือเปล่า (Self-Blaming)   หากใครยังจำได้ โพสต์ก่อนหน้าเราพูดถึงการ"โทษคนอื่น" (projection...
05/04/2023

เรามีนิสัยชอบ "โทษตัวเอง" อยู่หรือเปล่า (Self-Blaming)

หากใครยังจำได้ โพสต์ก่อนหน้าเราพูดถึงการ"โทษคนอื่น" (projection) วันนี้เราจะมาพูดถึงการโทษตัวเองกันบ้าง จะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลย 🥰

เราทุกคนเรียนรู้วิธีการโทษตัวเองตั้งแต่วัยเด็กโดยธรรมชาติ โดยเมื่อเราเจอเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจเกิดขึ้นในวัยเด็ก เช่น พ่อแม่พูดไม่ดีกับเรา พ่อแม่ไม่มีเวลาให้เรา เมื่อพ่อแม่มีความกังวลหรือคาดหวังในตัวเรา เมื่อพ่อแม่หงุดหงิดหรือมีปัญหาไม่สบายใจ ธรรมชาติของเด็กมักจะคิดว่าเป็นเพราะเขา
- เพราะเขานั้นไม่ดี เรื่องทุกอย่างก็เลยเป็นแบบนี้
- ถ้าเขาเป็นคนที่ดีกว่านี้ ทำทุกอย่างที่พ่อแม่ต้องการ เรื่องราวทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น
เด็กนั้นจะไม่เคยมองเห็นว่าพ่อ/แม่เขามีปัญหาอะไร ในสายตาของเด็กนั้นพ่อแม่ดีทุกอย่าง และถ้ามันมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเป็นเพราะฉัน(self-centered, blaming yourself )

ทีนี้ลองคิดดูว่า แล้วคุณล่ะ ? คุณเคยโทษตัวเองทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ผิดหรือไม่ เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น คุณมักมีแนวโน้มที่จะโทษตัวเองหรือเปล่า ? เมื่อคุณทำผิดพลาด คุณซ้ำเติม ลงโทษตัวเองหรือไม่อย่างไร ?

หลายๆ คนคิดว่า การลงโทษหรือทำให้ตัวเองรู้สึกผิดนั้น เป็นการสอนให้เราจำ และเรียนรู้ที่จะไม่ทำพลาดอีก แต่แท้จริงแล้วการโทษตัวเองไม่เคยให้ประโยชน์อะไรกับเราเลย...

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นไปแล้ว....และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

หากชีวิตเราจะผิดพลาด แม้จะป้องกัน หรือ เตรียมพร้อมไว้แค่ไหน ไม่ว่ายังไง ความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะเราเองไม่สามารถรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคตได้

ไม่มีใครเรียนรู้จากการโทษตัวเอง สิ่งที่เราควรทำคือ การเปิดโอกาสให้ตัวเองเผชิญความผิดพลาด/ความรู้สึกผิดหวังนั้น และใช้ชีวิตของเราต่อไป

การโทษและตำหนิตัวเองเป็นเพียงการที่เราพยายามจะ "หาคนที่จะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้" เพราะถ้าคุณสามารถหาใครสักคนที่รับผิดชอบ หรือเป็นสาเหตุให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้น(ซึ่งนั่นก็คือตัวคุณเอง) มันทำให้คุณรู้สึกว่าเรื่องมันจบ แต่สิ่งที่ตามมาคือคุณย้ายโฟกัสจากความรู้สึกผิดหวังในความผิดพลาดที่เกิดขึ้่น แต่ไปจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกแย่กับตัวเองแทน

เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้ตัวว่ากำลัง "โทษตัวเองอยู่” สิ่งเดียวที่จะแนะนำได้ก็คือให้ "เลิกทำ,หยุดทำ” และอนุญาตให้ตัวเองได้อยู่กับความรู้สึกผิดหวังบ้าง(disappointed) ก็คือ คุณจะได้เห็นและรู้ว่ามันไม่ได้แย่เท่าที่คุณจินตนาการเอาไว้ ซึ่งสิ่งนี้เองมันจะทำให้คุณเป็นอิสระจากการโทษตัวเองและการกลัวความผิดพลาด ความวิตกกังวล หรือ "ใช้ชีวิตอยู่กับอนาคตที่ยังไม่เกิด และ อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้" พร้อมกับคำถามที่ว่าถ้าหากเรื่องร้ายๆที่เรารับไม่ได้นั้นเกิดขึ้นกับเรา เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง ?
เชื่อมันในตัวเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น “It’s gonna be okay” ❤️

มีฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Me before you 2016 ที่ติดอยู่ในใจมานานมาก ***spoiler alert ***       เป็นฉากหนึ่งที่นางเอกเสียใจแ...
29/03/2023

มีฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Me before you 2016 ที่ติดอยู่ในใจมานานมาก ***spoiler alert ***

เป็นฉากหนึ่งที่นางเอกเสียใจและรับไม่ได้กับการตัดสินใจของพระเอกที่ตัดสินใจที่จบชีวิตตัวเองเพราะรู้สึกว่าเขารับไม่ได้กับชีวิตตัวเองในปัจจุบัน ทั้งๆที่นางเอกและพระเอกรักกันและมีช่วงเวลาดีๆต่อกัน และนางเอกพร้อมที่จะดูแลพระเอกไปตลอด

นางเอกร้องไห้และพ่อเข้ามาปลอบว่า
พ่อนางเอก “You can’t change who people are”
(เราไม่สามารถเปลี่ยนใครได้)
นางเอก “Then what can you do?”
(แล้วเราทำอะไรได้บ้าง)
พ่อนางเอก ”You love them”
(เราทำได้แค่รักเขา)

จำได้เลยความรู้สึกตอนนั้นที่ดูฉากนี้คือ ”จุกอก” ดูเป็นเรื่องง่าย แต่ทำไม่ได้ เราเข้าใจความรู้สึกพระเอกทุกอย่างถ้าเป็นเรา(ในตอนนั้น)เราก็คงเลือกเหมือนพระเอก แต่ถ้าให้เรามองในมุมของนางเอกเรารับในสิ่งที่พระเอกตัดสินใจไม่ได้

และเกิดคำถามขึ้นในใจ คนแบบไหนกันนะ
ที่จะรับเรื่องแบบนี้ได้จากหัวใจ?

วันนี้เราได้นึกถึงฉากนี้อีกครั้ง ( 7-8ปีผ่านไป )

อื้มม… เรารับได้แล้วนะ ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเรา
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เสียใจ
เราจะเสียใจมาก สุดหัวใจเหมือนกัน
แต่มันไม่ได้รู้สึกว่าเราไม่มีค่า หรือไม่สำคัญ
หรือชีวิตเราไม่เหลืออะไร
ถ้าใครสักคนเลือกจากไปด้วยเหตุผลบางอย่างของเขา
( doesn’t take it personal. )

เราสามารถเคารพการตัดสินใจของเขาได้
เคารพเส้นทางที่เขาเลือกเดินในชีวิตได้
แม้ว่าถ้าเป็นเราเราจะเลือกทางที่ต่างออกไป
แต่เราก็เคารพสิ่งที่เขาเลือกเพราะนั่นคือชีวิตของเขา และไม่ว่าเขาจะเลือกอะไรให้กับตัวเองนั่นมันก็สมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว ☺️

หลายๆ คนคงเคยรู้สึกหงุดหงิด เวลาที่อะไรในชีวิตไม่ได้ดั่งใจกันบ้าง .. แต่เคยสังเกตตัวเองกันมั้ยว่า เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ได้ด...
22/03/2023

หลายๆ คนคงเคยรู้สึกหงุดหงิด เวลาที่อะไรในชีวิตไม่ได้ดั่งใจกันบ้าง .. แต่เคยสังเกตตัวเองกันมั้ยว่า เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจแล้ว .. เราจัดการมันอย่างไร ? เรามีนิสัยโทษทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวว่าเป็นต้นเหตุบ้างหรือเปล่า หรือถ้าหากเราไม่มีพฤติกรรมนี้ ลองนึกถึงคนรอบๆตัวเรา ว่ามีใครเป็นแบบนี้บ้างไหม? คิดว่าคงพอนึกออกกันบ้าง เพราะพฤติกรรมนี้ เป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่อาจถูกปลูกฝังมาโดยที่หลายๆ คนอาจไม่รู้ตัว

เราโทษคนอื่น(projection)เพราะอะไรกัน? ทำไมบางคนถึงชอบโทษคนอื่น(projection) สิ่งเหล่านี้เกิดจากอะไรมาดูกัน

บางครั้งคุณอาจจะได้เข้าไปบังเอิญเห็นหรืออยู่สถานการณ์ ที่เด็กวิ่งชนหัวโขกโต๊ะหรือเสาอะไรอย่างจนเจ็บ/ตกใจและร้องไห้ และมีคนเข้ามาปลอบอาจจะเป็นพ่อแม่หรือคุณปู่คุณย่า/คุณตาคุณยาย ประโยคคลาสสิคที่มักจะได้ยินก็คือ

“นี่แหน่ะ ทำน้องเจ็บทำน้องร้องไห้ใช่มั้ย ตีมันเลยๆ”

คนที่พูดนั้น เพียงแค่อยากให้เด็กหยุดร้องไห้ให้ไวที่สุดเลยพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปตีโต๊ะหรือเสาเจ้าปัญหานั้น เด็กหยุดร้องไห้และหันมามองผู้ใหญ่ที่กำลังตีโต๊ะหรือเสานั้น ซึ่งทำให้เด็กหันเหจากความรู้สึกตกใจ/เจ็บของตัวเองและเปลี่ยนไปเป็นความโกรธแทน และเดินเข้าไปตีโต๊ะหรือเสานั้นที่อยู่เฉยๆ
“นี่แหน่ะๆ ตีๆๆ”
ซึ่งเมื่อเราโกรธ การที่ได้ระบายลงที่ใครสักคนหรืออะไรสักอย่าง จะทำให้ความโกรธนั้นก็จะบางเบาลง ผลคือเด็กหยุดร้องไห้และไปวิ่งเล่นต่อ ส่วนผู้ใหญ่ก็แฮปปี้ที่ทำให้เด็กหยุดร้องไห้ได้ กลับกัน ในฝั่งของคุณที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่นั้นก็ได้แต่งุนงงว่า ”แล้วโต๊ะมันผิดอะไรนะ?” คุณมองเห็นถึงความไม่สมเหตุผลนั้น แต่จริง ๆ แล้ว คุณรู้หรือไม่ว่า แม้กระทั่งเราเอง ก็มักที่จะเผลอโทษคนอื่น/สิ่งอื่น(projection)กันเป็นประจำ 😆

ยกตัวอย่างเช่น
- ถ้าเรื่องวันนั้นไม่เกิดขึ้นกับฉัน วันนี้ฉันคงไม่ต้องเป็นแบบนี้
- ที่ฉันโกรธ/โมโหเพราะคนนั้น(แฟน เพื่อน หัวหน้า สามี/ภรรยา พ่อ/แม่)ทำ/เป็นแบบนี้กับฉัน
- ที่ฉันไม่สามารถไว้ใจคนอื่นได้เป็นเพราะคนอื่นไม่ได้ทำให้ฉันไว้ใจ
- ที่ฉันไม่สามารถมีชีวิตที่เป็นของตัวเองได้เลยเพราะคนอื่นไม่อนุญาตให้ฉันมี

“ที่ฉันต้องเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะเธอ! เพราะเธอคนเดียว!”

แท้ที่จริงแล้ว คุณเองแค่ไม่อยากที่จะรับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเอง/ชีวิตตัวคุณเอง คุณก็เลยเลือกที่จะโทษคนอื่นว่า ทุกสิ่งที่คุณเป็น ทุกสิ่งที่คุณทำ หรือทุกสิ่งที่คุณรู้สึก มันเป็นเพราะเขา และเมื่อเขาเป็นต้นเหตุ เขานั่นแหล่ะ คือคนที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนคุณนั้นไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ หรือ รู้สึกผิดอะไร
แต่ให้คุณลองถามตัวเองจริงๆว่า คุณรู้สึกสบายใจและมั่นคง(secure)จริงๆหรือที่ฝากความรู้สึกของคุณไว้กับคนอื่น เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครที่จะรับผิดชอบความรู้สึกเราได้นอกจากตัวเราเอง การที่คุณให้คนอื่นมารับผิดชอบความรู้สึกของคุณ คือการที่คุณกำลังสูญเสียอำนาจ(power)ในการดูแลความรู้สึกตัวเอง/ชีวิตตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะรู้สึกว่าชีวิตนี้มันแทบจะไม่ใช่ของคุณและคุณไม่สามารถทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นได้(powerless)
ทั้งนี้ เพียงแค่คุณยอมรับว่าคุณเป็นคนเลือกชีวิตแบบนี้ให้กับตัวเอง(gain your power back) และคุณสามารถเลือกต่างออกไปได้ คุณจะมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น คุณจะเจ็บปวดน้อยลง และคุณจะโกรธ/หงุดหงิดใจกับคนอื่นน้อยลง ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้างก็จะดีขึ้น 💕

ขอบคุณสำหรับ 111 followers ค่า 💙🙏
19/03/2023

ขอบคุณสำหรับ 111 followers ค่า 💙🙏

ถ้าเราเป็นเราที่แท้จริง.. แล้วคนอื่นจะยังโอเคกับเราอยู่ไหม? -- เคยมีคำถามนี้ในใจกันมั้ยคะ     วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการ...
15/03/2023

ถ้าเราเป็นเราที่แท้จริง.. แล้วคนอื่นจะยังโอเคกับเราอยู่ไหม? -- เคยมีคำถามนี้ในใจกันมั้ยคะ

วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการสร้าง boundaries กันตามที่เราเคยได้บอกกันไว้ ก่อนที่เราจะพูดถึงการสร้าง boundaries เราจะพูดถึงอุปสรรคในการสร้าง boundaries สั้นๆ เพื่อให้เราเห็นภาพและเข้าใจการ set boundaries ได้มากยิ่งขึ้น โพสนี้มีประโยชน์และมีคุณค่ามากหวังว่าทุกคนจะได้อ่านมันจนจบน้า 😊
อุปสรรคในการ set boundaries หรือในการสร้าง boundaries ที่ดีก็คือเรากลัวว่าเราจะทำให้คนที่เรารักหรือคนที่เราแคร์นั้นไม่พอใจในการกระทำของเรา ในการปฏิเสธของเรา
เราคาดหวังให้คนที่เรารักหรือคนรอบข้างเราเข้าใจว่า การที่เราปฏิเสธหรือการที่เราไม่อยากที่จะทำอะไรบางอย่าง ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้มีเจตนาหรือรู้สึกที่ไม่ดีกับคนที่เราปฏิเสธ แต่เราเพียงแค่อยากที่จะซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อเราปฏิเสธออกไปแล้วพวกเขากลับไม่เข้าใจในสิ่งนั้น มันเลยกลับทำให้คุณรู้สึกผิด(Guilt)ที่คุณไม่สามารถทำตามความต้องการของพวกเขาได้ และคุณรู้สึกว่าการปฏิเสธของคุณ(Say no )มันทำให้คนที่คุณรัก/แคร์นั้นไม่พอใจ หรือรู้สึกแย่กับคุณ และลึกๆคุณก็ยังกลัวด้วยว่า หากคุณทำให้เขารู้สึกแย่กับคุณมากๆแล้ว สุดท้ายก็จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพวกเขามันจะแย่ลงไปด้วย
ความกลัวนี้(Fear based) เป็นสิ่งที่ทำให้คุณมองข้าม/ละทิ้งความต้องการและความรู้สึกของตัวเอง เพื่อที่จะไปตอบสนองความต้องการและความรู้สึกของคนอื่น คุณให้ความสำคัญกับความต้องการ/ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเอง(putting others first) ซึ่งก็คือการที่คุณทำลาย boundaries ของตัวเอง
การทำแบบนี้จะส่งผลโดยตรงกับคุณค่าในตัวเองของคุณ(Self-worth) เมื่อคุณให้ความสำคัญกับความต้องการ/ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่า คุณกำลังลดคุณค่าของตัวเองลง และมันจะทำให้คนรอบข้างหรือคนที่คุณรักนั้นแคร์ความต้องการ/ความรู้สึกคุณน้อยลง เพราะคุณได้แสดงให้พวกเขาเห็นว่าความรู้สึกของพวกเขานั้นสำคัญกว่าความรู้สึกคุณ และในบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่ให้เกียรติคุณหรือไม่แคร์ความรู้สึกคุณ เพราะพวกเขาอาจสัมผัสได้ว่าคุณไม่มี boundaries ดังนั้นพวกเขาเลยคิดไปเองว่า คุณน่าจะโอเคถ้าพวกเขาทำแบบนั้นกับคุณ
ดังนั้นการ set boundaries จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องพูด บอก หรือยืนหยัดกับคนรอบข้างว่า boundaries ของเรานั้นอยู่ตรงไหน แต่ว่าทำด้วยคำพูดที่ดี น้ำเสียงที่ดี ด้วยความจริงใจและใจเย็น อธิบายว่า “เราจะทำแบบนี้เพราะอะไร” “เราไม่สามารถแบบนั้นได้เพราะอะไร” และปล่อยวางความคาดหวังต่างๆที่เรามีต่อความรู้สึกของคนอื่น ถ้าเขาจะรู้สึกไม่ดีเพราะเรายืดหยัด/ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง เปิดโอกาสให้เขาได้ดูแลความรู้สึกของตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเขาว่าเขาจะสามารถทำความเข้าใจความไม่พึงพอใจของเขาที่มีต่อเราได้
แต่ถ้าหากว่าจนแล้วจนเล่าเขาก็ไม่สามารถที่จะก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดของเขาได้ เขายังคงโกรธและโทษว่าเป็นความผิดของคุณที่ไม่รับผิดชอบความรู้สึกเขา คุณก็แค่ยอมรับว่าเขารู้สึกแบบนั้นและเคารพการตัดสินใจของเขา/ทางที่เขาเลือกเดินแม้ว่ามันอาจจะทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด แต่คุณจะผ่านมันไปได้เองเพราะ การยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง/ตามแบบที่มันเป็นนั้น จะปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระจากทุกสิ่งทุกอย่าง และความอิสระนั้นจะทำให้คุณรู้สึกมีความสุขสบาย สงบ(peaceful) ในการใช้ชีวิตของคุณในแบบที่คุณต้องการ

ขอบคุณทุกๆคนที่ให้ความไว้วางใจในการมาทำ inner work ด้วยกัน ❤️🙏🥰
12/03/2023

ขอบคุณทุกๆคนที่ให้ความไว้วางใจในการมาทำ inner work ด้วยกัน ❤️🙏🥰

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนที่ทำงานกี่ครั้ง แต่ทำไมก็เจอแต่ปัญหาเรื่องคนแบบเดิม ๆ หรือ เรื่องความรัก ทำไมเร...
08/03/2023

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนที่ทำงานกี่ครั้ง แต่ทำไมก็เจอแต่ปัญหาเรื่องคนแบบเดิม ๆ หรือ เรื่องความรัก ทำไมเราถึงโชคร้าย ที่ไม่ว่าจะเริ่มใหม่กับใครกี่ครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว เรื่องราวก็จบลงแบบเดิม ... คำตอบของคำถามว่าทำไมความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเรา มักเจอปัญหาแบบเดิมเสมอนั้นก็คือ รูปแบบความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อตัวเอง (relationship with ourselves)

"เราเรียนรู้รูปแบบและวิธีการสร้างความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในชีวิตมาจากพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว"

กล่าวคือ เราจะสร้างความสัมพันธ์ที่เรามีต่อตัวเอง(relationship with ourselves)แบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับต้นแบบที่เราเรียนรู้มา ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพ่อแม่(relationship with parents) เช่น

ถ้าพ่อแม่มีความคาดหวังต่อเรา เช่น อยากให้เราเรียนเก่ง อยากให้เรามีระเบียบวินัย อยากให้เราเป็นคนเรียบร้อย อยากให้เราเป็นคนเข้มแข็ง
เราก็จะแนวโน้มมีความคาดหวังต่อตัวเองสูง ว่าเราจะต้องเรียนให้เก่ง มีระเบียบวินัย ประสบความสำเร็จ เป็นคนเรียบร้อย มีความเข้มแข็ง

ถ้าพ่อแม่ไม่เคยเคารพ boundaries ของเรา เราก็จะมีแนวโน้มที่จะไม่มี boundaries

ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถที่จะจัดการอารมณ์ด้านลบของตัวเองได้ อย่างเช่น อารมณ์โกรธ/อารมณ์โมโห เราก็จะมีแนวโน้มที่จะจัดการอารมณ์โกรธและอารมณ์โมโหของตัวเองไม่ได้

ถ้าพ่อแม่มีความรักให้เราอย่างไม่มีเงื่อนไข(unconditional love) ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็น(accepted) เราเองก็จะมีแนวโน้มที่จะรักตัวเอง(self love) และยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองเป็นและเห็นคุณค่าในตัวเอง(self-worth)

ซึ่งความสัมพันธ์ที่เรามีต่อตัวเองนี้( relationship with ourselves ) จะเป็นตัวกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นๆ รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ทำให้ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนที่ทำงานกี่ครั้ง คุณก็จะยังรู้สึกว่าคุณมีเพื่อนร่วมงานสไตล์ใกล้เคียงเดิม หรือแม้กระทั่งคนรัก ที่บ่อยครั้งก็มักจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์แต่ละครั้งก็มักจะจบลงแบบเดิมๆ

เปรียบเทียบได้กับความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อแม่ ที่คุณรู้สึกไม่ว่าคุณจะพยายามเท่าไรความสัมพันธ์ที่มีก็ไม่เคยจะเปลี่ยนไปเลย จนทำให้บางครั้งคุณก็เลิกที่จะพยายามและปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่มันเป็นอยู่ หรือในบางครั้งที่คุณมีความคิดอยู่ภายในใจว่า ถ้าแม่คุณ/พ่อคุณเลิกทำ…....(พฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง) ความสัมพันธ์ของคุณกับแม่/พ่อคุณก็คงจะดีกว่านี้ แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านั้นที่คุณเฝ้ารอให้เปลี่ยนแปลงก็ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะทั้งตัวคุณและพวกเขาต่างก็ไม่เคยเปลี่ยน

การที่เราจะปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนรอบตัว(relationship with others)ได้นั้น เราต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่เรามีต่อตัวเอง(relationship with ourselves) ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะเรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์ที่มีต่อตัวเองมาจากพ่อและแม่ตั้งแต่วัยเด็กก็ตาม แต่นั่นก็ไม่หมายความว่าเราจะเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ความจริงก็คือ เราสามารถเรียนรู้ที่จะมีความสัมพันธ์กับตัวเองที่ดีขึ้นได้ และทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเราเอง และเมื่อไรก็ตามที่เรามีความสัมพันธ์กับตัวเองที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ของเรากับครอบครัวเรา รวมไปถึงความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคนรัก หรือเพื่อนร่วมงาน ก็จะดีขึ้นเองโดยธรรมชาติ จนในบางครั้งเราเองก็อาจรู้สึกแปลกใจว่า มันกลายเป็นเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร แต่ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็คือความจริง (truth) ที่เกิดขึ้นได้นั่นเอง

เมื่อพูดถึงดราม่าแต่ละเรื่องแล้ว หากพิจารณาดู จะพบว่าจะต้องมีองค์ประกอบหรือตัวละครที่นับว่าขาดไม่ได้เลย 2 ฝ่ายคือ 1.ฝ่าย...
01/03/2023

เมื่อพูดถึงดราม่าแต่ละเรื่องแล้ว หากพิจารณาดู จะพบว่าจะต้องมีองค์ประกอบหรือตัวละครที่นับว่าขาดไม่ได้เลย 2 ฝ่ายคือ 1.ฝ่ายเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำ(Victim) และ 2. ผู้กระทำความผิด(Perpetrator) ซึ่งมีบทบาทตรงกันข้ามกับเหยื่อนั่นเอง

เมื่อเราซึ่งเป็นคนนอกมองเข้าไป สิ่งที่เรามักจะเผลอทำก็คือ ตัดสิน หรือการติดป้ายชื่อ(Label) ให้กับฝ่ายเหยื่อว่าเป็นคนดี และมักจะเผลอติดป้ายชื่อให้กับผู้กระทำผิดว่าเป็นผู้ร้ายหรือเป็นคนเลว อันเป็นจุดเริ่มต้นในการดึงเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดราม่าเรื่องนั้นๆในที่สุด โดยที่เราเองก็จะเข้ามาเป็นอีกบทบาทหนึ่งในวงจรดราม่าในฐานะของผู้ตัดสินนั่นเอง

เราจะเริ่มเข้าไปทำตัวเป็นกรรมการเป็นผู้ตัดสินถูกผิด เป็นผู้ที่ชี้หรือบอกว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ สิ่งไหนควรเกิดขึ้น และสิ่งไหนไม่ควรเกิดขึ้น และเราจะเริ่มมีอารมณ์โกรธเมื่อสิ่งต่างๆมันแตกต่างไปจากสิ่งที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น ราวกับว่ามันเกิดขึ้นกับเราหรือกับคนใกล้ตัวที่เรารัก หรือที่เราเรียกว่า "อิน" ไปกับเหตุการณ์นั่นเอง

แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่เราทำความเข้าใจได้ก็คือ บนโลกนี้ไม่มีคนที่ดีหรือคนที่เลวแบบ 100% คนทุกคนนั้น ล้วนแต่มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดีกันทั้งนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจและรับได้ถึงความจริงที่ว่าทุกคนมีทั้งส่วนดีและส่วนเลว คุณก็จะรับได้เวลาที่คุณมองเห็นส่วนไม่ดีในตัวของคุณเอง ซึ่งการที่คุณยอมรับในสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองเองได้ จะทำให้คุณไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธมัน ไม่ต้องหนีมัน หรือไม่ต้องรู้สึกว่าคุณไม่อยากที่จะมีสิ่งไม่ดีเหล่านี้อยู่ในตัวคุณเอง แต่คุณจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ก็เท่านั้นเอง

เมื่อคุณยอมรับด้านไม่ดีของตัวเองได้แล้ว ต่อมาหากคุณได้เห็นด้านไม่ดีของคนอื่น คุณจะสามารถมองเห็นมันด้วยความเข้าใจ และเมื่อคุณยอมรับในทุกด้านของตัวเองได้ คุณจะสามารถมองมันได้อย่างที่มันเป็น โดยที่ไม่ต้องไปกำหนดนิยามว่าความรู้สึกแบบนี้ดี ความรู้สึกแบบนั้นไม่ดี การกระทำแบบนี้ดี การกระทำแบบนั้นเลว และสุดท้ายแล้ว เราจะสามารถมองทุกอย่าง แค่ในแบบที่มันเป็น มองเห็นว่าความรู้สึกที่เรารู้สึกอยู่นั้น โดยธรรมชาติแล้วเป็นอย่างไร เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์หรือสาเหตุใด หรือการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลหรือเป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากความเจ็บปวดใดที่อยู่ภายในจิตใจของเรา และส่งผลให้เราตัดสินใจกระทำ หรือ มีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเพื่อที่จะช่วยให้เราหลีกหนีจากความเจ็บปวดนั้นได้นั่นเอง

เมื่อพูดถึงความมั่นใจในตัวเอง (Confidence)  เรามักเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มหรือลดได้โดยการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง รูป...
22/02/2023

เมื่อพูดถึงความมั่นใจในตัวเอง (Confidence) เรามักเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มหรือลดได้โดยการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง รูปลักษณ์หรือสิ่งต่างๆภายนอก เช่น ถ้าเราเก่งขึ้น สวยขึ้น หล่อขึ้น หรือดูดีขึ้นเราก็จะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หรือถ้าเรามีหน้าที่การงานที่ดี มีการศึกษาที่ดี รวย หุ่นดี มี six packs มีร่อง 11 มีความสามารถพิเศษ เก่งหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะช่วยทำให้เรารู้สึกมีความมั่นใจและภูมิใจในตัวเอง เพราะเราจะไม่รู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น ๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความมั่นใจของเรานั้น เป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้จากภายใน จากการรู้จักตัวเอง(knowing yourself) รักตัวเอง(loving yourself) เห็นคนคุณค่าในตัวเอง(self-worth) นั่นก็คือทุกๆคนนั้นมีคุณค่าในตัวเอง และทุกๆคนนั้นล้วนแต่มีความแตกต่างกันในแบบของตัวเอง และถ้าคุณรู้ความจริงข้อนี้ และคุณรักและเห็นคุณค่าในตัวเองมากพอแล้ว คุณจะไม่เห็นประโยชน์อะไรในการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเลย

การที่คุณเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เปรียบเสมือนว่าคุณกำลังเอาของ 2 สิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ของ 2 สิ่งนั้นไม่สามารถเทียบกันได้ และเมื่อเห็นว่ามันเทียบกันไม่ได้แล้ว คุณก็พยายามเทียบมันเป็นบางด้าน ใส่เงื่อนไขหรือตัวชี้วัดบางอย่างเข้าไป เพื่อให้คุณรู้สึกว่า มันสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ แล้วคุณก็จะได้ข้อสรุปบางอย่างที่คุณมีอยู่แล้วในใจ
-เห็นไหมล่ะ ฉันดีกว่าคนนี้
-เห็นไหมล่ะ ฉันแย่กว่าคนนั้น
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการที่คุณเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการลดคุณค่าในตัวเองของคุณ

เมื่อไรที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นแล้ว ให้ดึงตัวเองกลับมาที่ร่างกาย ดึงตัวเองกลับมาที่หัวใจ แล้วฝึกเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเอง ลองถามตัวเองว่า คุณเป็นใคร คุณต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร ชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ทำตามความต้องการของตัวเอง แล้วเห็นคุณค่าในตัวเองจากสิ่งที่ตัวเองเป็น
" You’re worthy, simply because you exist. "

ที่อยู่

Chiang Mai
50300

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 20:00
อังคาร 09:00 - 20:00
พุธ 09:00 - 20:00
พฤหัสบดี 09:00 - 20:00
ศุกร์ 09:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

+66824293535

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Akanit tattananurat - หมอกิ๊กผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram