สารอาหาร บำรุงไต

  • Home
  • สารอาหาร บำรุงไต

สารอาหาร บำรุงไต สารอาหารบำบัด ซ่อมแซม ฟื้นฟู ไต ตับ ?

👉ใครมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค ไต- อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ไต จะเริ่มเสื่อม- ความดันโลหิตสูง- โรคหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจต...
08/09/2022

👉ใครมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค ไต
- อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ไต จะเริ่มเสื่อม
- ความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคเบาหวาน
- โรคเก๊าท์
- โรคไตอักเสบชนิดต่าง ๆ เช่น โรคไตอักเสบตั้งแต่วัยเด็ก ไตอักเสบ เอส-แอล –อี โรคไตเป็นถุงน้ำ นิ่ว เนื้องอก หลอดเลือดฝอยอักเสบ
- มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไต
- โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ
- ใช้ยาแก้ปวด หรือสัมผัสสารเคมีบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

📌5 วิธีดูแลตัวเองง่าย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต- ดื่มน้ำให้เพียงพอการดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายอย่างที่ทุกท...
06/09/2022

📌5 วิธีดูแลตัวเองง่าย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี โดยทั่วไปควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน ขึ้นกับปริมาณน้ำที่สูญเสียไป เช่นวันที่อากาศร้อนเสียเหงื่อมากก็ควรจะดื่มน้ำมากกว่าปกติ วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าอาจดื่มน้ำไม่เพียงพอคือปัสสาวะจะมีสีเข้มกว่าปกติเนื่องจากไตพยายามเก็บน้ำอย่างเต็มที่ หากสังเกตเห็นแบบนี้แล้วควรรีบดื่มน้ำเพื่อให้ไตสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ในการที่เราจะดูแลให้สุขภาพไตให้ดี การกินผักผลไม้สดเพื่อเสริมสร้าง วิตามินและ ธาตุต่าง ๆ เป็นตัวเลือกที่ดี ลดการรับประทานเนื้อแดง และอาหารที่มีไขมันสูง และที่สำคัญ กินเกลือโซเดียมไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน (นับรวมเกลือที่ละลายอยู่ในอาหารและน้ำจิ้มด้วย) และน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวันเพื่อลดการสาเหตุที่จะทำให้ไตทำงานหนัก
- ตรวจเช็คความดันโลหิตให้อยู่ในค่าปกติ
ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อการเกิดโรคไต โดยส่วนมากจะไม่มีอาการจึงต้องอาศัยการตรวจวัดความดันโลหิต ซึ่งในปัจจุบันสามารถตรวจวัดได้ง่ายโดยไม่ต้องเจ็บตัว ค่าความดันโลหิตปกติโดยเฉลี่ยจะมีค่าประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท หากพบว่าความดันโลหิตสูงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลอย่างเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวดและแก้อักเสบเกินความจำเป็น
ยาแก้ปวดลดอาการอักเสบหลายชนิดจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า NSAIDs เช่น ไดโคลฟีแนค, นาโปรเซน , ไอบูโพรเฟน เป็นยาที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้อย่างดี แต่หากกินต่อเนื่องในปริมาณมากหรือกินโดยไม่จำเป็นอาจจะส่งผลเสียต่อการทำงานของไต ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตได้ลดลง นอกจากนี้ยังพบว่ามีการผสมยาเหล่านี้หลายขนานรวมกันในยาชุดซึ่งอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาดโดยไม่รู้ตัว จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาชุดโดยที่ไม่ทราบส่วนประกอบชัดเจน
- การออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
อย่างที่ทุกท่านทราบกันอยู่ดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายเป็นกิจกรรมสิ่งที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจและปอดมีประสิทธิภาพดีขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำยังช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ซึ่งนอกจากจะมีผลต่อโรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูงแล้ว ยังมีผลโดยตรงต่อความดันโลหิตและความดันภายในไตอีกด้วย ดังนั้นหากต้องการมีสุขภาพที่ดีจึงควรที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

06/09/2022
01/09/2022
"ตอนนี้"🎤หากคุณกำลัง🙄มองหาทางเลือกใหม่"ไม่อยากฟoกไต"เป็นประจำวันในวันข้างหน้าคนไทยเป็นโsคไต เกือบ 8 ล้านคน เท่ากับ ในคนไ...
01/09/2022

"ตอนนี้"🎤หากคุณกำลัง🙄มองหาทางเลือกใหม่"ไม่อยากฟoกไต"เป็นประจำวันในวันข้างหน้า
คนไทยเป็นโsคไต เกือบ 8 ล้านคน เท่ากับ ในคนไทย 8 คนพบไม่สบายเป็นโsคไตเsื้อsัง 1 คน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน สาเหตุส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เกิดจาก
"เบาหวาน"และ"ความดันสูง'
อาการเหล่านี้📢📢
🔸ปัสสาวะขัด
🔸ปัสสาวะกลางคืนบ่อย
🔸ปัสสาวะสีน้ำตาลขุ่น
🔸รอบตาหน้า และเท้า บวม
🔸ปวดหลัง ปวดเอว
🔸ความดันสูง
💨ภาวะไตเsื้อsัง ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ
⭐️ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ไตเริ่มเสื่oม (มีโปรตีนในปัสสาวะ) ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR ปกติ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 90 หรือมากกว่า
⭐️ระยะที่ 2 ไตเสื่๐ม ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR ลดลงเล็กน้อย ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 60-89
⭐️ระยะที่ 3 ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR ลดลงปานกลางซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 30-59
⭐️ระยะที่ 4 ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR ลดลงมาก ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 15-29
⭐️ระยะที่ 5 เข้าสู่ภาวะไตY ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR น้อยกว่า 15
#️⃣ 💫ดูแลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์พอลลิติน
Pollitin สาsสกัดธรรมชาติจากอณูละอองเกสรดอกไม้ Pollitin มีค่าsะดับความเข้มข้นของสาsต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีอยู่เกือบ 100%
ปรึกษาฟรี:
#โรคไต #ไตวาย #ดูแลไต #ไตเสื่อม #การฟอกไต
#ไตเรื้อรัง #กรวยไตอักเสบ #อาการโรคไต #โรคเบาหวาน #โรคความดันโลหิตสูง #ไขมันในเลือดสูง #ฟอกไต
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

เกสรข้าวไรย์อาจเป็นสุดยอดวิตามินรวมตามธรรมชาติเพราะประกอบด้วย▶️วิตามิน โปรวิตามินเอ (แคโรทีนอยด์) บี1 ไทอามีน, บี2 ไรโบฟ...
01/09/2022

เกสรข้าวไรย์อาจเป็นสุดยอดวิตามินรวมตามธรรมชาติเพราะประกอบด้วย
▶️วิตามิน โปรวิตามินเอ (แคโรทีนอยด์) บี1 ไทอามีน, บี2 ไรโบฟลาวิน, ไนอาซิน, บี6 ไพริด็อกซิน, กรดแพนโทเทนิก, ไบโอติน, บี12 (ไซยาโนโคบาลามิน), กรดโฟลิค, โคลีน, อิโนซิทอล, วิตามินซี, วิตามินดี, วิตามินอี, วิตามินเค, รูทิน
▶️กรดไขมัน กรดคาไพรลิก (C-8), คาพริก (C-10), ลอริก (C-12), ไมริสติก (C-14), ไมริสเลอิก (C-14), เพนทาเดคาโนอิก (C-15), ปาลมิติก (C-16), ปาลมิโตเลอิก (C-16), เฮพตาเดคาโนอิก (C-17), สเตียริก (C-18), โอเลอิก (C-18), ไลโนเลอิก (C-18), ไลโนเลนิก (C-18), อะราชิดิก (C-20), อีโคซีโนอิก (C-20), อีโคซาดิเอโนอิก (C-20), อีโคซาทริเอโนอิก (C-20), อะราชิโดนิก (C-20)
▶️แร่ธาตุ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ซัลเฟอร์ส โซเดียม คลอรีน แมกนีเซียม เหล็ก แมงกานีส ทองแดง ไอโอดีน สังกะสี ซิลิคอน โครเมียม โมลิบดินัม โบรอน ไทเทเนียม
▶️โพลาร์ลิพิด เลซิติน, ไลโซเลซิติน, ฟอสโฟอิโนซิตอล, ฟอสฟาติดิลโคลีน
▶️นิวทรัลลิพิด โมโนกลีเซอไรด์ส, ไดกลีเซอไรด์ส, ไตรกลีเซอไรด์ส, กรดไขมันอิสระ, สเตอรอล, ไฮโดรคาร์บอน
▶️ไฟโตสเตอรอล ฟิวโคสเทอรอล, เบตา-ไซโตสเตอรอล, สติกมาสเตอรอล, คอเลสเตอรอล, แคมเปอสเตอรอล, เอสโทรน
▶️กรดอะมิโน อะลานีน, กรดอัลฟา-อะมิโนบิวทิริก, อาร์จินีน, แอสพาราจีน, กรดแอสพาร์ติก, ซิสเตอีน, ซิสตีน, กรดกลูตามิก, กลูตามีน, กลีเซอรีน, ฮิสติดีน, ไฮดรอกซีโพรลีน, ไอโซลิวซีน, ลิวซีน, ไลซีน, เมไทโอนีน, ฟีนิลอะลานิน, โพรลีน, ซีรีน, ทอรีน, ทรีโอนีน, ทริพโตเฟน, ไทโรซีน, วาลีน
▶️ฟลาโวนอยด์ เควอซิทิน, ดีไฮโดรเควอซิทิน, นารินเจนีน, กรดพี-คูมาริก, อะพิเจนีน, ไอซอร์แฮมเนทิน, ไมริกซิทิน, คาเอ็มเฟรอล, ดีไฮโดรคาเอ็มเฟรอล, ลูเทโอลีน
RYE GRASS
พืชชนิดหนึ่งในตระกูลข้าวสาลี ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์มาก เมล็ดของมันเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
เกสรหญ้าไรย์พร้อมสารสกัดเกสรดอกไม้เข้มข้น POLLITIN®
สกัดจากอณูเกสรข้าวไรย์เป็นความก้าวหน้าด้านโภชนาการอันยิ่งใหญ่ที่สามารถปฏิวัติแนวทางการบำรุงสุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรงของร่ายกายโดยมีผลวิจัยที่ดำเนินต่อเนื่องกว่า 50 ปีและการศึกษาทางคลินิกกว่า 100 ชิ้นรองรับ แพทย์ในประเทศต่างๆ รวมถึงเยอรมนี รัสเซีย และอาร์เจนติน่าได้ใช้สกัดจากอณูเกสรข้าวไรย์ในการเสริมสร้างโภชนาการในผู้ป่วยที่มีปัญหาต่อมลูกหมากหรือกระทั่งเสริมสร้างสมรรถภาพของต่อมลูกหมาก
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

โรคไต ถือเป็นโรคเรื้อรัง ที่ต้องดูแลรักษายาวนานตลอดชีวิต ที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคไตก็สูงมาก แล้วโรคไต เกิดจากอะไร...
01/09/2022

โรคไต ถือเป็นโรคเรื้อรัง ที่ต้องดูแลรักษายาวนานตลอดชีวิต ที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคไตก็สูงมาก แล้วโรคไต เกิดจากอะไร มาดูคำตอบกันค่ะ
รู้จักอวัยวะที่ชื่อว่า “ไต”
ไตเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางเดินปัสสาวะ จะมีรูปร่างคล้างเมล็ดถั่วแดง ขนาดประมาณ 9-13 เซนติเมตร มี 2 ข้าง วางตัวในลักษณะแนวตั้ง ขนานกับกระดูกสันหลังช่วงเอว อยู่บริเวณสีข้างของร่างกาย มีหน้าที่สำคัญในการกรองของเสียออกจากร่างกาย โดยหลอดเลือดที่ไต จะพาเลือดในร่างกายของเรามาฟอก กรองของเสีย กำจัดยาและสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ควบคุมความดันโลหิต และยังทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนในการผลิตเม็ดเลือดแดงของร่างกาย ทำให้ความเข้มข้นของเลือดในร่างกายเรา อยู่ในระดับปกติ
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไต
1.เกิดจากโรคอื่นที่มีผลกระทบกับไต เช่น เบาหวาน, ความดัน,โรคเก๊าท์ โรคต่าง ๆ เหล่านี้จะส่งผลให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตเสื่อมลง การทำงานของไตก็จะลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะไตเสื่อม
2.อายุมากกว่า 60 ปี เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ก็อาจจะทำให้การทำงานของไตลดลง
3.มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไต
4.มีประวัติการเป็นโรคไตอักเสบ หรือถุงน้ำในไต ก็ทำให้ไตเสื่อมได้เช่นกัน
5.การใช้ยาผิดประเภท ใช้ยาเกินขนาด จะทำให้การทำงานของไตลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในคนไทย
6.การทานอาหารรสจัดไม่ใช่เพียงแค่รสเค็ม รวมไปถึงหวานจัด หรือเผ็ดจัดด้วยเช่นกัน
7.ดื่มน้ำน้อยเกินไป
8.ไม่ออกกำลังกาย
9.มีความเครียด
กินอาการโซเดียมสูงเสี่ยงไต
โซเดียม เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ทำหน้าที่ ควบคุมระดับความดันโลหิต รักษาความสมดุลต่าง ๆ ในร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตโซเดียมเองได้ จึงได้รับโซเดียมผ่านการกินเป็นหลัก แต่หากรับประทานเข้าไปในปริมาณมากอาจจะทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไต เพราะปริมาณโซเดียมที่มากจะทำให้ไตไม่สามารถขับโซเดียมออกไปได้จนเกิดการสะสมไว้ในเลือด เมื่อมีโซเดียมมากไตก็จะยิ่งทำงานหนักผลที่ตามมาคือ ในหน่วยไตจะเกิดความดันสูงขึ้นจนเกิดการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะและนำพาไปสู่ภาวะไตเสื่อมในที่สุด
อาหารที่มีโซเดียมสูงมีอะไรบ้าง
1.เครื่องปรุงรสต่าง ๆ เช่น ซอสปรุงรส ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ น้ำจิ้มสุกี้ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว กะปิ
2.อาหารแปรรูป หรืออาหารที่ผ่านกรรมวิธีถนอมอาหาร โดยใช้โซเดียมเป็นส่วนประกอบ เช่น เบคอน แฮม ผักกาดดอง ผลไม้กระป๋อง อาหารกระป่อง ไข่เค็ม เนื้อสัตว์แดดเดียว ปลาเค็ม ปลาร้า
3.อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊ก ข้าวต้มสำเร็จรูป ซุปต่าง ๆ ทั้งชนิดก้อนและชนิดซอง
เครื่องดื่ม เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผลไม้บรรจุกล่องที่ใส่สารกันบูด
4.ขนมและเบเกอรี่ต่าง ๆ ที่มีการเติมผงฟู เช่น ขนมปัง ขนมเค้ก โดนัท คุ้กกี้
5.ขนมคบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอดกรอบ ปลาเส้น ขนมกรุบกรอบ
ปัจจุบันเราพบผู้ป่วยประมาณ 8 ล้านคนป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง เท่ากับ ในคนไทย 8 คนพบป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง 1 คนซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นควรดูแลตัวเอง ลดการบริโภคอาหารที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงโรคไต และความตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อลดโอกาสเสี่ยงจากโรคร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้น
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

สัญญาณ เตือน "โรคไต"✅มีอาการบวมทั้งตัวผู้ป่วยโรคไตส่วนมากจะมีอาการบวมตามตัว เกิดจากการมีน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นในร่างกาย ระ...
01/09/2022

สัญญาณ เตือน "โรคไต"
✅มีอาการบวมทั้งตัว
ผู้ป่วยโรคไตส่วนมากจะมีอาการบวมตามตัว เกิดจากการมีน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นในร่างกาย ระยะแรกอาจมีเพียงการบวมที่หนังตา และหน้า ต่อมาจะมีการบวมที่ขาและเท้าทั้งสองข้าง โดยทดสอบได้ด้วยการลองใช้นิ้วกดที่หน้าแข้งสักพักแล้วปล่อย หากพบว่ามีรอยบุ๋มอยู่แสดงว่าบวมแน่น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยโรค เพราะอาการบวมอาจไม่ได้เป็นโรคไตก็ได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ และโรคตับ ดังนั้นการตรวจปัสสาวะน่าจะได้ผลที่ชัดเจนที่สุด
✅เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซีด
ผู้ที่เป็นโรคไต ถ้าเป็นน้อย ๆ มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หากเป็นมาก ๆ ใกล้เป็นไตวายเรื้อรังจะเพิ่มอาการซีด คันตามตัว เบื่ออาหาร
✅ปวดหลัง ปวดบั้นเอว
หากไตเกิดความผิดปกติขึ้น เราอาจรู้สึกปวดหลัง บั้นเอวที่บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย หัวหน่าว และที่อวัยวะเพศได้ บางคนก็ถึงขั้นปวดกระดูกและข้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการอุดตันที่ท่อไต กรวยไตอักเสบ หรือในท่อไตมีถุงน้ำโป่งพองก็ได้ แต่อาการปวดหลังก็สามารถวินิจฉัยได้หลายโรคเช่นกัน จึงต้องตรวจสอบอาการอื่นควบคู่ ๆ ไปด้วย ทั้งนี้ หากเรากดหลัง และทุบเบา ๆ แล้วมีอาการเจ็บ อาจแสดงว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง หรือไตอักเสบ ถ้ามีไข้สูงร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของกรวยไตอักเสบติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน ซึ่งก็มีหลายโรคที่ทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรค SLE เป็นต้น
✅ปัสสาวะผิดปกติ
อาจหมายถึงไตทำงานผิดปกติได้ โดยเราสามารถสังเกตปัสสาวะได้ดังนี้
- ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมีหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการนี้ ทั้งนิ่ว เนื้องอกของทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อุบัติเหตุกับทางเดินปัสสาวะ หรือเส้นเลือดฝอยของไตอักเสบ แม้แต่มะเร็งของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือโรคไตเป็นถุงน้ำ ฯลฯ
- ปัสสาวะน้อยลง แต่หากใครปัสสาวะไม่ออกเลย อาจเป็นเพราะทางเดินปัสสาวะถูกอุดกั้น หรือการทำงานของไตเสียไป ลองทดสอบง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้น แล้วสังเกตดูว่าปัสสาวะออกมากขึ้นหรือไม่ หากปัสสาวะยังน้อยอยู่ นั่นแสดงว่าไตเริ่มผิดปกติ
- ปัสสาวะบ่อย ความถี่ในการปัสสาวะของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการดื่มน้ำ หรือการที่ร่างกายเสียน้ำไปทางอื่น ๆ เช่น เหงื่อ หรืออุจจาระ แต่หากวันดีคืนดี รู้สึกว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หรือตื่นขึ้นมาปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 3-4 ครั้ง อาจต้องสงสัยว่าป่วยเป็นโรคไตก็ได้ เพราะกระเพาะปัสสาวะจะสามารถเก็บน้ำได้ถึง 250 ซี.ซี. แต่ในคนที่เป็นโรคไต ไตจะไม่สามารถหยุดการขับน้ำในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีน้ำออกมามากและปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ จึงมักจะตื่นขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางดึก
- ปัสสาวะเป็นฟองมาก ฟองสีขาว ๆ ที่เราในปัสสาวะก็คือโปรตีนนั่นเอง ซึ่งก็มีกันทุกคน แต่หากใครมีฟองสีขาว ๆ มากผิดปกติ อาจสงสัยไว้ก่อนว่า เส้นเลือดฝอยในไตอาจอักเสบ ทำให้มีโปรตีนรั่วไหลออกมามากผิดปกติ แต่ถึงกระนั้นก็อย่าเพิ่งฟันธงว่าเป็นโรคไต ต้องดูอาการอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น หากปัสสาวะมีฟองมากแถมยังเป็นเลือด ก็สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นโรคไตก็ได้ ให้รีบไปพบแพทย์ตรวจร่างกายโดยเร็ว
✅ความดันโลหิตสูงมากๆ
การกินอาหารรสเค็มมากๆ จะทำให้ไตทำงานหนัก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

สาเหตุของการรับประทานอาหารรสเค็ม ทำให้เกิดอาการ หน้าบวม เพราะในอาหารรสเค็มนั้นมีโซเดียมอยู่สูง ซึ่งปรกติในอาหารทุกชนิดล้...
01/09/2022

สาเหตุของการรับประทานอาหารรสเค็ม ทำให้เกิดอาการ หน้าบวม เพราะในอาหารรสเค็มนั้นมีโซเดียมอยู่สูง ซึ่งปรกติในอาหารทุกชนิดล้วนมีโซเดียมเป็นส่วนหนึ่งอยู่แล้ว โดยร่างกายเรานั้นต้องการโซเดียมปริมาณ 1.5 กรัม / วัน หรือน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียมประมาณ 1 – 1.6 กรัม ถ้าหากเรารับประทานโซเดียมในปริมาณที่พอดี โซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย รักษาระดับความดันโลหิต และดูดซึมสารอาหารในไตและลำไส้เล็ก
🚩อาหารประเภทไหนที่มีโซเดียมอยู่บ้าง ?
– อาหารจากธรรมชาติ ปกติโซเดียมมีอยู่แล้วในทุกอาหาร เพราะได้มาจากเนื้อสัตว์ และผักผลไม้ แต่เป็นปริมาณโซเดียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงสามารถรับประทานได้ปกติ แต่อาจลดการปรุงรส
– อาหารจากการถนอมอาหาร การจะทำการถนอมอาหารได้อยู่ยาวนานมากขึ้นจำเป็นต้องใช้โซเดียมช่วย จึงเป็นอาหารที่มีโซเดียมสูงมาก ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เช่น อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง
– เครื่องปรุงรส ในเครื่องปรุงรสมีโซเดียมอยู่ในทุกชนิด เพียงแต่มีความน้อยหรือมากแตกต่างกัน สามารถดูปริมาณได้ในฉลาก หรือหากรับประทานอาหาร อาจลดการปรุงรสน้อยลง เพื่อลดปริมาณโซเดียมได้
ทำไมโซเดียมทำให้ หน้าบวม ?
การรับประทานโซเดียมที่ปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิว และเนื้อเยื่อในร่างกายบริเวณต่าง ๆ ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และร่างกายดูบวมกว่าปกติ บวมออกทั้งร่างกายและหน้า ที่มาของ อาการบวมน้ำ
🚩วิธีแก้อาการบวมน้ำ
– หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปต่าง ๆ เช่น อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
– หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารเพิ่มเติม
– หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง เช่น กิมจิ ผักดอง ปลาร้า
– ดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อให้ไตทำงานได้มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ของเหลวในร่างกายที่เพิ่มขึ้น ไม่ทำให้เกิดอาการบวมน้ำ
– ออกกำลังกาย หลังจากเรารับประทานอาหารที่มีโซเดียมมาก ควรเผาผลาญพลังงานออกบ้าง ซึ่งร่างกายสามารถระบายโซเดียมออก ผ่านเหงื่อของเรานั่นเอง และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อการสูญเสียจากการออกกำลังกายด้วยนะคะ
– รับประทานกล้วย เพราะในกล้วยมีโพแทสเซี่ยม ช่วยจำกัดโซเดียมในร่างกายเราได้
🚩อาการบวมน้ำ ไม่ได้มาจากการกินเค็มอย่างเดียว
นอกจากการรับประทานอาหารรสเค็ม ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยที่ทำให้เกิดอาการบวมน้ำ
– ขาดการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกาย สามารถช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ช่วยให้ร่างกายสามารถขับของเสียออกได้ดี ซึ่งทำให้สามารถขับบรรดาโซเดียมออกจากร่างกายได้
– ท้องผูก การท้องผูกทำให้ร่างกายไม่ขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้มีสิ่งตกข้างในร่างกาย เปลี่ยนเป็นแก๊สจนตัวบวมได้
– มีประจำเดือน สำหรับสาว ๆ ปัญหานี้อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอประจำเดือน ซึ่งประจำเดือนอาจผลิตฮอร์โมนที่ทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้ แต่เมื่อประจำเดือนหมด อาการบวมน้ำก็จะหายไป
– ดื่มน้ำน้อยเกินไป การดื่มน้ำสำคัญมาก ๆ สามารถช่วยขับสารพิษจากร่างกายได้ การดื่มน้ำน้อยทำให้เลือดข้น ของเหลวไม่ไหลเวียน ทำให้เกิดอาการท้องผูก และระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่ดี
นอกจากอาการบวมน้ำ การกินเค็มยังมีผลกระทบต่อระบบอื่นในร่างกายด้วย
🔸โรคความดันโลหิตสูง
ในร่างกายเรามีไตที่ทำหน้าที่ช่วยปรับสมดุลระดับโซเดียมและน้ำในร่างกาย แต่หากร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมสูง ทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เพราะไม่สามารถปรับสมดุลของโซเดียมและน้ำ ปริมาณโซเดียมและน้ำจึงเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เลือดที่มีน้ำเป็นส่วหนึ่งประกอบอยู่ด้วย ทำให้สูงขึ้นตามไปด้วย หากเลือดไหลผ่านเส้นเลือดมากก็ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงนั่นเอง
🔸โรคหัวใจ
เมื่อเรามีปริมาณเลือดที่สูงจนทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ทำให้ระบบหัวใจทำการสูบฉีดเลือดหนัก และหัวใจเต้นเร็วขึ้นมากกว่าปรกติ เพราะปริมาณโซเดียมที่มากไป ทำให้เกิดภาวะร่างกายบวมน้ำ มีโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด หากเป็นมาก อาจถึงขั้นหัวใจวายได้
🔸โรคไต
เมื่อเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ไตก็จะทำงานหนักขึ้นตามเช่นกัน ทำให้ไตทำงานได้ไม่ดีตามปรกติ ไม่สามารถขับของเสียจากร่างกายได้ ก่อให้เกิดโรคไตเสื่อมหรืออาจถึงขั้นไตวายได้
🔸อัมพฤกษ์ อัมพาต
เมื่อการทำงานของความดันทำงานได้ไม่ดีเหมือนปรกติ เป็นผลต่อหัวใจ ไต และอีกโรคหนึ่งที่เป็นผลกระทบมาจากการรับประทานโซเดียมมากไป นั่นคือ อัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งเกิดจากการไม่รับการรักษาอย่างถูกต้อง ผนังหลอดเลือดอาจถูกทำลาย รวมถึงอวัยวะในส่วนอื่น ๆ จนกระทั่งทำลายสมอง เสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เพราะเกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ตีบ หรือตัน
ผลของการรับประทานโซเดียมมากไป ไม่ได้ทำให้บวมน้ำอย่างเดียว แต่มีผลเสียอื่น ๆ ตามมาในร่างกายอีกด้วย ซึ่งเกิดจากการรับประทานโซเดียมมากเกินไป เป็นระยะยาวนาน หากไม่อยากให้เกิดผลเสียกับร่างกาย ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ก็เพียงพอแล้ว
🚩อาหารที่ทำให้ หน้าบวม
อาการบวมเกิดจากการรับประทานอาหารของเรา โดยอาหารทุกประเภทมีโซเดียวอยู่แล้ว แต่มากน้อยแตกต่างกัน ซึ่งมีอาหารบางอย่างที่กินแล้วอาจทำให้หน้าบวมมากกว่าอาหารอื่น ๆ มีอะไรบ้างที่ต้องหลีกเลี่ยง
🔸เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายเราขาดน้ำ ความเข้มข้นของเลือดสูงขึ้น ซึ่งร่างกายเราจะรักษาสมดุลเลือดด้วยการดูดน้ำเข้าเส้นเลือดเพิ่มมากขึ้น และอาจสะสมทำให้เกิดอาการบวมในตอนเช้าได้ ถ้าไม่อยากตื่นมาหน้าบวมก็ต้องหลีกเลี่ยงนะคะ
🔸บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
เป็าอาหารที่เหมาะมากกับการกินช่วงดึก ๆ เวลาหิว ๆ เพราะช่วยแก้หิวได้ดีมากเลยใช่ไหม แต่ก็เป็นอาหารที่เป็นเหตุให้หน้าบวมได้มากที่สุดเลย เพราะมีโซเดียมสูงมาก ไม่ว่าจะเส้น หรือผงปรุงรสที่แถมมาใส่ แสนอร่อย เมื่อร่างกายรับโซเดียมมาก และไม่ได้ขับออก จะทำให้ตัวบวม หน้าบวมได้
🔸ขนมกรุบกรอบ
ขนมซอง ๆ ที่หาซื้อได้ง่าย และอร่อย สามารถรับประทานได้เพลิน ๆ ยิ่งซื้อซองใหญ่ ๆ ยิ่งซะใจ แต่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการบวม เพราะมีโซเดียมสูงพอ ๆ กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเลย ถ้าอยากรับประทานโดยไม่ให้หน้าบวม ควรออกกำลังกายขับเหงื่อไล่โซเดียมออกจากร่างกายด้วยนะคะ
🔸มันฝรั่งทอด หรือ เฟรนช์ฟราย
อาจเป็นของโปรดใครหลายคนเลย ยิ่งจิ้มซอสมะเขือเทศ ยิ่งอร่อยยย แต่ว่า เฟรนช์ฟรายเป็นอีกหนึ่งอาหารที่โซเดียมสูงมากเช่นกัน เพราะโซเดียมสูงจากการ แช่แข็ง และการคลุกเกลือปรุงให้รสชาติมันฝรั่งมีรสชาติอร่อยขึ้น ยิ่งจิ้มซอสให้มีรสชาติเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ก็ยิ่งได้โซเดียมเพิ่มอีก เพราะในซอสก็มีโซเดียมเช่นเดียวกัน ได้รับโซเดียมเต็ม ๆ ไปเลยละ รับประทานแล้วอย่าลืมออกกำลังกาย และดื่มน้ำเปล่าตามเยอะ ๆ เพื่อปรับสมดุลน้ำในร่างกายด้วย
🔸อาหารแปรรูป อาหารแช่แข็ง
อย่างที่บอกไปในข้อของมันฝรั่งทอด ที่ว่าอาหารแช่แข็งนั้นมีโซเดียมสูง ยิ่งในปัจจุบันร้านสะดวกซื้อมีอาหารแช่แข็งให้เลือกรับประทานมากมาย เพราะสะดวก เพียงแค่เก็บใส่ช่องฟรีซ หิวเมื่อไรก็เอาออกมาใส่เครื่องไมโคเวฟ อุ่นร้อน ก็สามารถรับประทานได้แล้ว สะดวกสุด ๆ และก็ได้รับโซเดียมเยอะเช่นเดียวกันน เพราะการยืดอายุของอาหารแช่แข็งจะต้องใส่โซเดียมเข้าไปให้มีอายุมากขึ้น ควรกินเฉพาะช่วงเวลาที่จำเป็นจริง ๆ ดีกว่า ถ้าหากมีเวลาสามารถเลือกรับประทานอาหารปรุงสุกได้ ก็เลือกแบบปรุงสุกจะดีกว่าค่ะ
🚩อาหารช่วยลดอาการ หน้าบวม
เมื่อมีอาหารที่ทำให้เราหน้าบวมแล้ว แต่เราก็สามารถแก้อาการหน้าบวมด้วยอาหารได้เช่นกัน หนามหยอกเอาหนามบ่ง
🔸หน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยขจัดของเหลวที่เป็นส่วนเกินออกจากร่างกายของเรา และหน่อไม้ฝรั่งมีโซเดียมต่ำ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาตัวบวมน้ำ เพราะโซเดียมเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เกิดอาการบวมน้ำ
🔸น้ำเปล่า
การดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือมากขึ้น จะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกาย เมื่อโซเดียมเกินลดน้อยลง อาการบวมน้ำจะลดลง โดยปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวัน คือ 1.5 – 2 ลิตร แต่หากเป็นผู้ที่ออกกำลังกายก็ต้องดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้น เพื่อเติมน้ำที่เสียไปให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
🔸อารหารที่มีวิตามินบี 6
วิตามินบี 6 ช่วยลดการสะสมของเหลวไว้ในร่างกาย โดยเฉพาะสาวที่มีอาการก่อนมีประจำเดือน โดยวิตามิน บี 6 จะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับอาการบวมน้ำได้ ซึ่งวิตามิน บี 6 สามารถได้รับจาก กล้วย อโวคาโด เนื้อวัว ปลาแซลมอน ปลาทูน่า แครอท มันฝรั่ง
🔸อาหารที่มีโพแทสเซียม
โพแทสเซียม จะช่วยลดปริมาณโซเดียม ช่วยเพิ่มการขับปัสสาวะ เพื่อขับโซเดียมออก เมื่อโซเดียมลดลง ของเหลวที่อยู่ในร่างกายจะน้อยลงด้วยเช่นกัน โดยสามารถรับโพแทสเซียมได้จากอาหาร เช่น มันเทศ แตงโม น้ำมะพร้าว ถั่วดำ ทับทิม
การได้รับโซเดียมมากเกินไปทำให้เกิดอาการตัวบวม หน้าบวม ถ้าหากเรารับประทานติดต่อกันเป็นระยะหนึ่ง จากแค่บวมเฉย ๆ กลายเป็นมีไขมันสะสมแทน และทำให้เกิดไขมันส่วนเกิน เพราะฉะนั้นการได้รับโซเดียมมากไป อาจต้องออกกำลังกายเพื่อขับโซเดียมออก ป้องกันไม่ให้เกิดอาการตัวบวม หน้าบวม
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคไต หลอดเลือดตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจ แต่ความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบ...
01/09/2022

โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคไต หลอดเลือดตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจ แต่ความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตของทุกท่าน เนื่องจากไม่มีอาการเตือน ดังนั้นการจะทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูงจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและดูแลรักษาที่เหมาะสม
ความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันในหลอดเลือดที่สูงขึ้น ซึ่งในปัจจุบันแพทย์วินิจฉัยว่าในภาวะปกติผู้ที่มีความดันเท่ากับหรือมากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท เป็นผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หากปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ในระดับนี้นานๆ อาจทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายเสื่อม เช่น มีโอกาสเป็นโรคหัวใจตีบตัน 3-4เท่า และโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน 7 เท่าของผู้ที่มีความดันปกติ และถ้าปล่อยทิ้งไว้ความดันจะเพิ่มขึ้นทุกๆ 10 มิลลิเมตรปรอทต่อปี
ชนิดของโรคความดันโลหิตสูง
1. ชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ กรรมพันธุ์หรือสิ่งแวดล้อม โดยส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยส่งเสริม เช่น ภาวะอ้วน เบาหวาน ทานอาหารเค็ม ดื่มสุรา สูบบุหรี่ เครียด เป็นต้น
2. ชนิดที่ทราบสาเหตุ เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นผลมาจาก ที่เป็นโรคอื่นมาก่อนและมักต้องรักษาโรคที่เป็นสาเหตุด้วย เช่น เนื้องอกที่ต่อมหมวกไต ไตวายเรื้อรัง หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบ หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบในส่วนของช่องอก รวมถึงผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
1. กรรมพันธุ์ จากการสำรวจความถี่ในการเกิดโรค พบว่า ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง มีโอกาสและความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้มากกว่า
2. เพศและอายุ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มีข้อมูลบ่งบอกว่า พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในช่วงก่อนอายุ 50 ปี แต่เมื่ออายุเลย 50 ปี ผู้หญิงจะมีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงมีฮอร์โมนเอสโทรเจนลดลง ซึ่งมีผลต่อความยืดหยุ่นของเส้นเลือด ส่วนในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป พบความดันโลหิตสูงเท่ากันทั้ง 2 เพศ
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
ปัจจัยที่ควบคุมได้
1. อ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน
2. ไขมันในเลือดสูง
3. ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
4. กินเค็มเป็นประจำ
5. ขาดการออกกำลังกาย
6. มีภาวะดื้ออินซูลินหรือเป็นเบาหวาน
รู้ได้อย่างไรว่ากำลังเป็นโรคความดันโลหิตสูง
ภาวะโรคความดันโลหิตสูง เปรียบเหมือนฆาตกรเงียบ หากความดันสูงเล็กน้อยหรือปานกลาง มักไม่มีอาการเตือนให้รู้ตัว แต่สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมาก อาจมีอาการเหล่านี้ได้ เช่น
ปวดศีรษะตุบๆบริเวณท้ายทอย
เวียนศีรษะตอนตื่นนอนใหม่ๆ
ตาพร่ามัว
มีเลือดกำเดาไหล
เหนื่อยง่าย
เจ็บหน้าอก
ถ้าเป็นโรคความดันโลหิตสูง อยู่นานจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าคุณมีภาวะความดันโลหิตสูงและปล่อยให้ตนเองมีค่าความดันสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมหรือต่อเนื่อง อีกทั้งควบคุมไม่ได้จนกระทั่งเกินกว่า 160/100 มิลลิเมตรปรอท ในที่สุดอาจเกิดหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน โรคเลือดสมอง ไตวาย และหัวใจวาย
ค่าความดันโลหิตแบ่งออกเป็น 2 ค่า คือ
ค่าความดันโลหิตตัวบน (Systolic Blood Pressure) คือค่าความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัว
ค่าความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure) คือค่าความดันของเลือดที่ขณะที่หัวใจคลายตัว
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

น้ำเปล่าน้ำเปล่า  เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตมากที่สุด หากมีอาการบวมน้ำ มีความดันโลหิตสูง ให้ดื่มน้ำไม่เกินวั...
01/09/2022

น้ำเปล่า
น้ำเปล่า เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตมากที่สุด หากมีอาการบวมน้ำ มีความดันโลหิตสูง ให้ดื่มน้ำไม่เกินวันละ 700-1,000 cc. หรือ 3-4 แก้วต่อวัน แต่หากผู้ป่วยไม่มีอาการบวมน้ำ สามารถดื่มน้ำได้ตามปกติ และสามารถดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่หวานจัดได้บ้าง เช่น น้ำใบเตย น้ำอัญชัน น้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ ทั้งนี้ต้องควบคุมปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับระดับความเสื่อมของไตด้วย
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

 #ควรเลี่ยงขนมหวานควรเลี่ยงขนมหวาน เช่น ขนมใส่กะทิ หรือขนมอบที่มีเนย เนยแข็ง เพราะขนมอบมักใส่ผงฟูซึ่งมีสารฟอสเฟตสูง ถ้าผ...
01/09/2022

#ควรเลี่ยงขนมหวาน
ควรเลี่ยงขนมหวาน เช่น ขนมใส่กะทิ หรือขนมอบที่มีเนย เนยแข็ง เพราะขนมอบมักใส่ผงฟูซึ่งมีสารฟอสเฟตสูง ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานด้วยและระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงขนมหวานจัดซึ่งมีน้ำตาลมาก และไม่ควรใช้น้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โทร 0625051590
ทักแชท m.me/

Address


Telephone

+66625051590

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when สารอาหาร บำรุงไต posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share