ชมพูนุท คลินิกกายภาพบำบัด เชียงใหม่

ชมพูนุท คลินิกกายภาพบำบัด เชียงใหม่ ตรวจประเมิน/บำบัดรักษาอาการ
ปวดคอ, ?

ตรวจประเมิน/บำบัดรักษาอาการ
ปวดคอ, ปวดไหล่, ไหล่ติด, ปวดศอก, ปวดข้อมือ, ชามือ, นิ้วล็อค, ปวดหลัง, ปวดสะโพก, ปวดกระเบนเหน็บ, หมอนรองกระดูกเคลื่อน , กระดูกกดทับเส้นประสาท, ปวดเข่า ,ปวดข้อเท้า , ปวดฝ่าเท้า,อัมพฤกษ์, อัมพาต

04/12/2025

5-7 ธันวาคม 68
หยุด
กรุณานัดหมายล่วงหน้านะค่ะ🙏

https://www.facebook.com/share/1AoB1LeaBP/
16/11/2025

https://www.facebook.com/share/1AoB1LeaBP/

Stretchingดีกับ ความยืดหยุ่นของหลอดเลือด

👉ใน expert's consensus หรือ การสอบถามความคิดเห็นของผู้เชียวชาญจากหลายๆคน เรื่องของผลของการยืดเหยียดกับมิติต่างๆที่เกิดขึ้น มีมิตินึงน่าสนใจ ที่expertsหลายๆคนเห็นตรงกันว่า "เออ มันน่าจะดีนะ"

👉มิตินั้นคือเรื่องของ สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยเห็นตรงกันว่า การยืดเหยียดสัปดาห์ละ15นาที อาทิตย์ละ5วัน อย่างน้อย4สัปดาห์ อาจจะทำให้ความฟิต เช่น VO2max สูงขึ้น และ สุขภาพหลอดเลือด #ดีขึ้นได้

👉ทีนี้ความน่าสนใจคือสุขภาพหลอดเลือด หนึ่งในตัววัด เวลาเราไปหาคุณหมอแล้วจ่ายซื้อชุดตรวจสุขภาพใหญ่ๆหน่อย จะมีการตรวจนึงเรียกว่า PWV หรือ Pulse wave velocity คือการวัด ความเร็วของคลื่นpulse ที่เกิดจากหลอดเลือดส่วนนึงไปยังอีกส่วนนึงว่าไวแค่ไหน

👉สมมิต เราวัดจากหลอดเลือดที่แขนไปหาหลอดเลือดที่ข้อเท้า ก็จะเรียก brachial-ankle PWV / ถ้าวัดจาก หลอดเลือดที่คอไปหาที่หา ก็จะเรียก carotid-femoral PWVเป็นต้น

📌ความไวของคลื่น #ยิ่งไว แปลว่า หลอดเลือด #ยิ่งแข็ง

งานวิจัยพบว่าจากการเก้บข้อมูลในคน8000กว่าคน ทุก1m/s ที่คลื่นไปไวขึ้นจากการวัด brachial-ankle PWV จะทำให้ความเสี่ยงจากการเสียชีวิตสูงขึ้น 13% และโอกาสเป็นโรคCVD เพิ่ม12%

📚งาน meta-analysisในปี 2021นั้นพบว่า การยืดเหยียดเป็นประจำนั้นดีกับค่านี้มากๆ แนวโน้มในการทำให้ค่า brachial-ankle PWV และ carotid-femoral PWV นั้นลดลง #แสดงถึงยืดบ่อยๆ #ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นมากขึ้น #นุ่มขึ้น

👉โดยภาพรวมนั้น ผมยังมองว่า การยืดนั้นดี เพราะหากเรามองในทาง mechanism การยืดนั้นสามารถเพิ่มทั้ง Nitric oxide และเพิ่มGrowth factors ที่ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่เพิ่มขึ้นได้อีก และยังช่วยจัดการน้ำตาลได้ด้วย เช่น การยืดเหยียดเบาๆหลังจากสัก1ชม. จากการทานอาหารมื้อใหญ่ๆ ก็อาจจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดในคนที่มีปัญหาเช่นเบาหวานได้เป็นต้น ผมถึงแนะนำว่ามันคือกิจกรรมง่ายๆที่โดยเฉพาะคนสูงวัย ที่ไม่ได้ไปไหน อยุ่บ้านควรหัดๆทำๆไว้ อย่างน้อยมันคือการออกกำลังกายรูปแบบนึง ที่ถ้าทำเป็นจริงๆ มันเข้มข้นมากๆได้เลย

👉ในคอมเม้นมี 5ท่ายืดแนะนำให้ลอง จัดไปคับวันหยุดครับผม เช้านี้เอาสักหน่อยไม่ได้ไปไหน ท่าละ 1-2นาที พอละ

https://www.facebook.com/share/p/1CZJsu1JPE/
13/11/2025

https://www.facebook.com/share/p/1CZJsu1JPE/

# หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อหนีบเส้น?

# # ปวดก้น ร้าวลงขา แยกยังไงให้ถูก ก่อนรีบรักษาผิดทาง

“หมอคะ หนูปวดก้นข้างหนึ่ง ร้าวลงขาไปถึงน่อง เดินนาน ๆ แล้วเจ็บแปล๊บ ๆ บางคนบอกว่าหมอนรองกระดูกทับเส้น…แต่บางคนบอกว่าเป็นกล้ามเนื้อก้นหนีบเส้น มันต่างกันยังไงคะหมอ?”

เป็นคำถามยอดฮิตที่หมอได้ยินแทบทุกวันครับ

เพราะทั้งสองโรคมี “อาการคล้ายกันมาก” โดยเฉพาะเรื่อง “ปวดร้าวจากก้นลงขา”

แต่สาเหตุจริง ๆ ต่างกันโดยสิ้นเชิง — ถ้าเข้าใจผิด อาจรักษาผิดทางจนปวดเรื้อรังได้เลย
---

# # เส้นไซแอติกคือเส้นประสาทใหญ่ที่สุดในร่างกาย

มันออกจาก “กระดูกสันหลังส่วนเอว (L4–L5–S1)” วิ่งผ่าน “ก้น” ลงไปถึง “น่องและเท้า”

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นหมอนรองกระดูกกด หรือกล้ามเนื้อก้นหนีบ

อาการที่เกิดขึ้นจะ “ร้าวตามแนวเส้นประสาทไซแอติก” เหมือนกัน

แต่จุดที่ถูกกดทับ “อยู่คนละที่” ครับ

🧠 โรคที่ 1 : หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Lumbar Disc Herniation)
---

# # ไปกดเส้นประสาทที่ออกจากช่องกระดูกสันหลัง

มักพบที่ระดับ L4–L5 หรือ L5–S1

สาเหตุที่พบบ่อย

ยกของหนักในท่าก้มหลัง

นั่งนานเกินไป

- อุบัติเหตุ หรือมีการเสื่อมของหมอนรองกระดูกตามอายุ
- อาการของหมอนรองกระดูกทับเส้น
- ปวดหลังส่วนล่าง ร้าวลงขา (ด้านหลังหรือตามแนวข้างขา)
---

# # # ชา ปวดแปล๊บ เหมือนไฟช็อต

- ในรายที่กดมาก อาจ “ขาอ่อนแรง ยกเท้าไม่ขึ้น” (drop foot)
- บางรายมีชาที่เท้าหรือนิ้วเท้า
- การตรวจวินิจฉัย
- แพทย์จะตรวจโดยการยกขา (Straight leg raising test)
- ถ้ายกขาแล้วปวดร้าวลงขา แปลว่าเส้นประสาทถูกดึงจากการกดทับ
---

# # # จะเห็นหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมากดเส้นประสาทอย่างชัดเจน

🦵 โรคที่ 2 : กล้ามเนื้อก้นหนีบเส้นประสาท (Piriformis Syndrome)

กล้ามเนื้อ “Piriformis” อยู่ลึกในก้น ทำหน้าที่หมุนขาออกและทรงตัว

เส้นประสาทไซแอติกพาดผ่าน “ใต้กล้ามเนื้อนี้” (บางคนผ่าน “กลางกล้ามเนื้อ”)

ถ้ากล้ามเนื้อนี้ “ตึงหรือเกร็งมากเกินไป”
---

# # เกิดอาการปวดร้าวจากก้นลงขาเหมือนกัน แต่ต้นเหตุอยู่ที่ “กล้ามเนื้อ” ไม่ใช่ “หมอนรองกระดูก”

อาการของกล้ามเนื้อหนีบเส้น (Piriformis Syndrome)

ปวดก้นลึก ๆ ข้างเดียว

ปวดร้าวจากก้นไปขาด้านหลัง โดยเฉพาะเวลานั่งนาน หรือขับรถนาน ๆ

เวลา “ลุกจากเก้าอี้” จะเจ็บมาก

ถ้านอนแล้วให้กดก้นบริเวณลึก ๆ จะเจ็บชัด
---

# # # ไม่ค่อยมีอาการชาหรืออ่อนแรงของขา

- การตรวจวินิจฉัย
- แพทย์จะใช้การตรวจร่างกายช่วย เช่น
- กดจุดลึก ๆ ที่ก้น หากเจ็บตรงกลางก้น แปลว่ากล้ามเนื้อ piriformis ตึง
- ทดสอบท่าบิดขา (FAIR test) ถ้าปวดร้าวขณะหมุนขาเข้าด้านใน มักเป็นจากกล้ามเนื้อนี้
- MRI หรือ Ultrasound ช่วยแยกจากโรคหมอนรองกระดูกได้
- 🩺 สรุปจุดต่างที่สำคัญ
---

ถ้าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น:

- ปวดเริ่มจาก “หลังส่วนล่าง” แล้ว “ร้าวลงขา”
- มี “ชา หรืออ่อนแรง” บางจุด
- ปวดมากเวลา “นั่งก้มหลัง” หรือ “ไอ จาม”
---

ถ้าเป็นกล้ามเนื้อก้นหนีบเส้น:

ปวด “ก้นลึก ๆ ข้างเดียว”

ร้าวลงขาเฉพาะเวลา “นั่งนาน หรือขับรถ”

- ไม่มีอาการชา อ่อนแรง
- ปวดกดเจ็บตรงก้นชัดเจน
- ตรวจ MRI หลังส่วนเอว “ปกติ”
- 💊 แนวทางการรักษาแต่ละแบบ

👉 หมอนรองกระดูกทับเส้น

พักและปรับพฤติกรรม – หลีกเลี่ยงนั่งนาน ยกของหนัก

- กายภาพบำบัด – ฝึกยืดกล้ามเนื้อหลัง เสริมกล้ามเนื้อแกนกลาง (core muscle)
- ยาแก้ปวดลดอักเสบ – NSAIDs และยาคลายกล้ามเนื้อ
- ฉีดยาลดอักเสบ (Epidural steroid) – ช่วยลดบวมของเส้นประสาท
- ผ่าตัด (Microdiscectomy) – ใช้ในกรณีที่กดทับมาก มีอาการอ่อนแรง หรือปวดเรื้อรังเกิน 3 เดือน
- 👉 กล้ามเนื้อก้นหนีบเส้น (Piriformis Syndrome)
---

# # ประคบอุ่น – นวดคลายกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี

# # # หลีกเลี่ยงการนั่งนาน หรือใส่กระเป๋าสตางค์หนา ๆ ในกระเป๋าหลัง

1. ฉีดยาคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุด (Ultrasound-guided injection) – ในกรณีที่กล้ามเนื้อหนีบเส้นมาก
2. ออกกำลังแบบเสริมก้น (Glute exercise) – ช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
3. 🧩 แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองเป็นแบบไหน?
4. หมอมีหลักจำง่าย ๆ ให้ 3 ข้อครับ
5. ปวดก้นอย่างเดียว ไม่ปวดหลัง → มักเป็นกล้ามเนื้อหนีบเส้น

# # # ปวดหลังด้วย ร้าวลงขา → มักเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น

1. ถ้ามีอาการชา–อ่อนแรง–เท้ากระดกไม่ขึ้น → ควรรีบตรวจ MRI ทันที เพราะอาจมีเส้นประสาทถูกกดแรง
2. 🕐 ถ้ารักษาผิดทางจะเป็นอย่างไร?
3. ถ้าเป็นหมอนรองกระดูก แต่ไปนวดแรง ๆ ที่ก้น → เสี่ยงให้หมอนรองปลิ้นเพิ่ม
4. ถ้าเป็นกล้ามเนื้อก้นหนีบเส้น แต่ไปผ่าตัดหลัง → จะไม่ดีขึ้นเพราะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ
5. ดังนั้น การวินิจฉัยให้ถูกตั้งแต่แรกสำคัญมาก
---

# # 🌿 หมออยากบอกว่า...

อาการ “ปวดร้าวจากก้นลงขา” ไม่ได้แปลว่าต้องผ่าตัดเสมอไป

1. ในหลายเคสที่หมอดู พบว่าเป็นเพียง กล้ามเนื้อก้นตึงกดเส้นประสาท
2. ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการกายภาพและฉีดยาเฉพาะจุดโดยไม่ต้องผ่าเลยครับ
3. สิ่งสำคัญคือ เข้าใจร่างกายตัวเอง และตรวจให้ถูกจุดตั้งแต่แรก
---

# # ✅ สรุปสั้น ๆ

- หมอนรองกระดูกทับเส้น → ปวดหลัง ร้าวลงขา มีชา อ่อนแรง
- กล้ามเนื้อก้นหนีบเส้น (Piriformis syndrome) → ปวดก้นลึก ร้าวลงขา แต่ไม่ชา ไม่อ่อนแรง

ทั้งสองโรค “รักษาได้ดี” หากตรวจแยกให้ถูกทาง

“บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
---

# # ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

📱 Line ID: โทร 081-5303666”

#หมอนรองกระดูกทับเส้น #ปวดร้าวลงขา #ปวดก้น #ปวดหลังเรื้อรัง #เส้นประสาทไซแอติก #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ปวดหลังไม่จำเป็นต้องผ่าตัด
---
---
---

ธ สถิตในดวงใจตราบชั่วนิรันดร์๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘  สำนักพระราชวังประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนน...
26/10/2025

ธ สถิตในดวงใจตราบชั่วนิรันดร์
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ สำนักพระราชวังประกาศ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต
เมื่อเวลา ๒๑.๒๑ น. ด้วยพระอาการสงบ
สิริพระชนมพรรษาปีที่ ๙๓

เสด็จสู่สวรรคาลัย

อีกเทคนิคเพื่อลดอาการปวดและทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างสมดุลขึ้น♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️ในกลุ่มอาการ Upper cross syn...
17/10/2025

อีกเทคนิคเพื่อลดอาการปวด
และทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างสมดุลขึ้น

♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️

ในกลุ่มอาการ Upper cross syndrome
คือการออกกำลังกายเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อในส่วน ทีมมีอาการอ่อนแรง

💪💪💪💪💪💪💪💪💪💪💪💪💪💪💪

ได้แก่ กล้ามเนื้อหลัง ส่วนสะบัก ส่วนกลาง และส่วนล่าง
และกล้ามเนื้อคอตามภาพ

สามารถฝึกเกร็งค้างไว้ ครั้งละ 3-5 วินาที ท่าละ 10 ครั้ง 2-3 เซต

เพิ่มความยาก ด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อนานขึ้น
หรือการใช้ แรงต้าน อย่างอย่างยางยืด สปริง หรือถึงทรายในการช่วย ให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น

🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰🥰

https://www.facebook.com/share/1FTGjCQfcQ/
17/10/2025

https://www.facebook.com/share/1FTGjCQfcQ/

⭐ อัลตราซาวด์บำบัด (Ultrasonic Therapy) เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในแผนกกายภาพบำบัด 🏥 ตามความหมายเชิงกลไกแล้ว อัลตราซาวด์ไม่ถือเป็นไฟฟ้าบำบัดอย่างเคร่งครัด แม้ว่าจะถูกผลิตขึ้นด้วยกระแสไฟฟ้าก็ตาม แต่เป็นการใช้ การสั่นสะเทือนเชิงกล (Mechanical Vibration) ที่มีความถี่สูงมาก คลื่นเสียงเหล่านี้อยู่เหนือช่วงที่หูมนุษย์ได้ยิน (เกิน 20,000 Hz) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่ออ่อนและบรรเทาอาการปวด และบางครั้งถูกกล่าวถึงว่าเป็น "การนวดขนาดจิ๋ว" (Micro-massage) 💆‍♂️

หลักการทางฟิสิกส์และการกำเนิดคลื่นเสียงความถี่สูง
การบำบัดด้วยอัลตราซาวด์มักใช้ความถี่ในช่วง 0.5 ถึง 5 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) 🎶 อย่างไรก็ตาม ความถี่ที่ใช้กันทั่วไปในทางกายภาพบำบัดคือ 1 MHz และ 3 MHz การเลือกความถี่เหล่านี้มีความสำคัญโดยตรงต่อความลึกของการรักษา:
• ความถี่ 1 MHz: ทะลุทะลวงได้ลึกกว่า โดยมีระยะทางครึ่งค่า (Half-value distance) ในเนื้อเยื่ออ่อนอยู่ที่ประมาณ 4 เซนติเมตร 🔬 ความถี่นี้จึงใช้สำหรับรักษาโครงสร้างที่อยู่ลึก
• ความถี่ 3 MHz: ถูกดูดซึมในเนื้อเยื่อตื้น โดยมีระยะทางครึ่งค่าอยู่ที่ประมาณ 2 เซนติเมตร 📏 จึงเหมาะสำหรับเนื้อเยื่อที่อยู่ตื้น

คลื่นอัลตราซาวด์จะถูกสร้างขึ้นภายในหัวทรานสดิวเซอร์ (Treatment Head) ผ่าน ปรากฏการณ์เพียโซอิเล็กทริก (Piezoelectric Effect) ⚡ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงกับผลึกที่ติดตั้งอยู่ภายใน (เช่น ควอตซ์, แบเรียมไททาเนต หรือลีดเซอร์โคเนต) การเปลี่ยนรูปของผลึกนี้ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเชิงกลที่ผลิตคลื่นอัลตราซาวด์ออกมา

การส่งผ่านคลื่นและตัวกลาง (Coupling Media)

อัลตราซาวด์บำบัดมีข้อจำกัดทางฟิสิกส์ที่สำคัญคือ คลื่นอัลตราซาวด์ไม่สามารถส่งผ่านอากาศได้เลย (ส่งผ่านเป็นศูนย์) ❌ หากมีช่องว่างอากาศระหว่างหัวบำบัดกับผิวหนัง คลื่นจะถูกสะท้อนกลับเข้าไปในหัวทรานสดิวเซอร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิด คลื่นนิ่ง (Standing Wave) และสร้างความเสียหายต่อผลึกภายในได้ ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องใช้ สารตัวนำ (Coupling Media) เช่น เจล เจลตัวนำที่มีประสิทธิภาพสูงในการส่งผ่านคลื่นคือ Aquasonic gel (72.6%) และ Glycerol (67%) 💧
นอกจากนี้ เมื่อคลื่นเสียงเดินทางผ่านตัวกลาง จะเกิดการ ลดทอน (Attenuation) ความเข้มของคลื่นลง 📉 สาเหตุหลักของการลดทอนคือ:
1. การดูดซึม (Absorption): คลื่นถูกดูดซึมโดยเนื้อเยื่อและเปลี่ยนเป็นความร้อน 🔥
2. การกระเจิง (Scatter): คลื่นถูกสะท้อนออกจากเส้นทางเดิมเมื่อพบรอยต่อ (Interface) เช่น ฟองอากาศหรืออนุภาค 🌫️

ผลทางสรีรวิทยา: กลไกความร้อนและการสั่นสะเทือน

ผลการรักษาของอัลตราซาวด์แบ่งได้เป็นสองกลไกหลัก:
1. ผลทางความร้อน (Thermal Effects) 🔥
ความร้อนจะเกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อดูดซึมคลื่นและเปลี่ยนพลังงานเป็นความร้อน
• เนื้อเยื่อที่ดูดซึมดี: ปริมาณความร้อนขึ้นอยู่กับการดูดซึมของเนื้อเยื่อ โดย โปรตีน ดูดซึมคลื่นอัลตราซาวด์ได้ดีและสร้างความร้อนได้มากกว่า 🧬
• ความเสี่ยงต่อเนื้อเยื่อกระดูก: การสะท้อนของคลื่นอัลตราซาวด์ที่รอยต่อระหว่าง เยื่อหุ้มกระดูก (Periosteum) กับกระดูก จะทำให้เกิดการรวมตัวของความร้อนเฉพาะจุด (Concentration of Heating Effect) ซึ่งอาจนำไปสู่ความเจ็บปวดที่เยื่อหุ้มกระดูกได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการผ่านหัวทรานสดิวเซอร์ไปบนจุดกระดูกที่อยู่ตื้นๆ (Subcutaneous Bony Points) 🦴
• การใช้ประโยชน์: ความร้อนที่เพิ่มขึ้นสามารถเร่งกระบวนการหายของบาดแผล และ เพิ่มความยืดหยุ่นของคอลลาเจน (Extensibility of Collagen) ทำให้การยืดพังผืดหรือเนื้อเยื่อแผลเป็นทำได้ง่ายขึ้น 🔧

2. ผลที่ไม่ใช่ความร้อน (Non-thermal/Mechanical Effects) 🌊
ผลเหล่านี้เกี่ยวข้องกับแรงที่คลื่นอัลตราซาวด์สร้างขึ้นภายในเนื้อเยื่อ ซึ่งรวมถึง:
• คาวิเตชัน (Cavitation): คือการแกว่งตัวของฟองก๊าซหรือไอระเหยภายในเนื้อเยื่อ
o คาวิเตชันเสถียร (Stable Cavitation): ฟองอากาศแกว่งไปมาอย่างเป็นระเบียบ นำไปสู่ ไมโครสตรีมมิ่ง (Microstreaming) ซึ่งเป็นกระแสของของเหลวที่ไหลไปในทิศทางเดียวตามแนวขอบเซลล์ ผลนี้จะ ส่งผลต่อการซึมผ่านของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Permeability) และทิศทางการเคลื่อนที่ของโมเลกุลเข้าสู่เซลล์ 🌀
o คาวิเตชันไม่เสถียร (Unstable Cavitation): ฟองอากาศยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อ เนื่องจากทำให้เกิดความร้อนเฉพาะที่สูงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายนี้ ควบคุมความเข้มให้อยู่ในระดับต่ำ (ต่ำกว่า 3 W/cm²) และที่สำคัญคือต้อง เคลื่อนหัวบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดคลื่นนิ่ง (Standing Waves) ⚠️
• การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ: คลื่นอัลตราซาวด์สามารถเร่งกระบวนการซ่อมแซมได้หลายวิธี เช่น ช่วยในการขจัดของเสียจากบาดแผล (Traumatic Exudates) และกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย นอกจากนี้ยังทำให้เนื้อเยื่อแผลเป็นอ่อนนุ่มลง (Pliable) ทำให้การยืดแผลเป็นที่มีการหดรัดทำได้ง่ายขึ้น 💪

พารามิเตอร์และเทคนิคการรักษา

รูปแบบการทำงาน (Mode) และความเข้ม (Intensity)
อัลตราซาวด์สามารถใช้ได้ใน โหมดต่อเนื่อง (Continuous Mode) ซึ่งให้ผลความร้อนมากกว่า และ โหมดพัลส์ (Pulsed Mode) ซึ่งมีการแทรกช่วงพัก (Periods of Silence) ทำให้เกิดความร้อนน้อยลง
• โหมดต่อเนื่อง: ใช้สำหรับภาวะที่ต้องการผลความร้อนสูง เช่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง, ข้อต่อติดขัด, หรืออาการปวด 💥
• โหมดพัลส์: ใช้สำหรับภาวะที่เน้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่ออ่อน เช่น เอ็นอักเสบ (Tendinitis) เนื่องจากผลที่ไม่ใช่ความร้อนจะมีอิทธิพลเด่น 🌱
• ความเข้ม (Intensity): วัดเป็น วัตต์ต่อตารางเซนติเมตร (W/cm²) ความเข้มสูงสุดที่ใช้ในการรักษาแล้วยังให้ความรู้สึกอุ่นที่รับรู้ได้ไม่มาก (Mildly Perceptible Warmth) มักจะอยู่ประมาณ 2 W/cm² 🔥

เทคนิคการประยุกต์ใช้

ไม่ว่าจะใช้เทคนิคใด การรักษาต้องดำเนินการโดย เคลื่อนหัวทรานสดิวเซอร์อย่างต่อเนื่อง บนผิวหนังเพื่อให้แรงกดสม่ำเสมอ และป้องกันการเกิดจุดร้อน (Hot Spots) ⚖️
1. วิธีสัมผัสโดยตรง (Direct Contact Method): ใช้สำหรับพื้นผิวที่ค่อนข้างเรียบ โดยใช้เจลตัวนำ 💧
2. วิธีอ่างน้ำ (Water Bath Method): ใช้เมื่อพื้นผิวที่จะรักษาไม่สม่ำเสมอ (Irregular Shape) หรือมีอาการกดเจ็บมาก (Tenderness) เช่น มือ ข้อเท้า หรือเท้า โดยหัวบำบัดจะถูกวางไว้ในน้ำห่างจากผิวหนังประมาณ 1 ซม. 🌊
3. วิธีถุงน้ำ (Water Bag Method): ใช้สำหรับพื้นผิวที่มีรูปร่างผิดปกติที่ใส่ในอ่างน้ำไม่ได้ โดยใช้ถุงพลาสติกหรือยางที่เติมน้ำและใช้เจลตัวนำทั้งสองด้าน 🛁
โซโนฟอเรซิส (Phonophoresis)
เป็นเทคนิคพิเศษที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์เป็นกลไกขับเคลื่อน (Driving Force) เพื่อช่วยให้ยา (Drug) เช่น ยาต้านการอักเสบกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Hydrocortisone) ซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง 🔬 กลไกนี้อาศัยผลทางความร้อนที่ช่วยเพิ่มการซึมผ่านของเนื้อเยื่อ (Tissue Permeability) และแรงดันอะคูสติก (Acoustic Pressure) ที่ขับเคลื่อนยา 💊
ข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ (Contraindications) ⚠️
เนื่องจากอัลตราซาวด์สามารถก่อให้เกิดผลกระทบเชิงกลและเชิงความร้อนในระดับเซลล์ได้ จึงมีข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ที่เข้มงวด:

ข้อห้ามใช้ที่สำคัญที่สุด ได้แก่:
• เนื้องอก (Tumors): ห้ามทำการรักษาบริเวณเนื้องอก เนื่องจากคลื่นอาจกระตุ้นการเติบโตหรือการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง (Metastasize) 🚫
• การตั้งครรภ์: ห้ามใช้บริเวณมดลูก หน้าท้อง หรือหลัง เนื่องจากการอินโซเนชัน (Insonation) อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทารกในครรภ์ 🤰
• ภาวะหลอดเลือดผิดปกติ: เช่น ลิ่มเลือดอักเสบในหลอดเลือดดำ (Thrombophlebitis) เนื่องจากคลื่นอาจทำให้ลิ่มเลือดแตกตัวและกลายเป็นสารอุดกั้น (Emboli) 💉
• การติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute Sepsis): ต้องระมัดระวัง เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อ 🦠
• บริเวณเนื้อเยื่อประสาทที่สัมผัส: หากเนื้อเยื่อประสาทถูกเปิดออก เช่น หลังการผ่าตัดกระดูกสันหลัง (Laminectomy) ควรหลีกเลี่ยงการใช้อัลตราซาวด์ ⚡
• บริเวณดวงตาและอวัยวะสืบพันธุ์ (Go**ds): เนื้อเยื่อเหล่านี้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของคลื่นเสียง 👁️
• ผู้ป่วยที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemakers): ควรหลีกเลี่ยงการรักษาบริเวณหน้าอก เนื่องจากอาจรบกวนการทำงานของเครื่อง 💓
• เนื้อเยื่อที่ได้รับการฉายรังสี (Radiotherapy): ไม่ควรใช้กับบริเวณที่ได้รับการฉายรังสีมาแล้วไม่เกินหกเดือน เนื่องจากเนื้อเยื่ออยู่ในภาวะอ่อนแอ (Devitalizing Effect) 🛑
• บริเวณที่มีโลหะฝังตื้นหรือพลาสติก: การมีโลหะฝังลึกอาจไม่ก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิมากนัก แต่โลหะที่อยู่ตื้นๆ (เช่น หมุดยึดกระดูกใต้ผิวหนัง) และวัสดุพลาสติกที่ใช้ในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อ (เช่น โพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูงหรืออะคริลิก) ควรหลีกเลี่ยงหรือใช้ในปริมาณต่ำมาก ⚙️
• บริเวณที่สูญเสียความรู้สึก (Anesthetic Area): หากผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกร้อนหรือปวดได้ อาจนำไปสู่การเกิดแผลไหม้ได้โดยไม่รู้ตัว 🔥

ข้อควรระวังสำคัญ:
อันตรายจาก แผลไหม้ (Burns) ส่วนใหญ่เกิดจากหัวบำบัดหยุดนิ่ง หรือใช้โหมดต่อเนื่องที่ความเข้มสูง การเคลื่อนหัวบำบัดอย่างสม่ำเสมอ การใช้โหมดพัลส์ (Pulsed Beam) และการหลีกเลี่ยงปุ่มกระดูกที่นูนขึ้นจะช่วยขจัดอันตรายจากการไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔄

ขอขอบคุณบทความหลัก
Singh, Jagmohan. Textbook of Electrotherapy. Second Edition. New Delhi: Jaypee Brothers Medical Publishers (P) Ltd, 2012.

https://www.facebook.com/share/1S6XriBimr/
15/10/2025

https://www.facebook.com/share/1S6XriBimr/

ในปี 2015 โจนาธาน บักเคลิว ชายหนุ่มวัย 24 ปี เดินเข้าไปในคลินิกจัดกระดูก เพื่อรับบริการ "จัดกระดูกคอ" หลังมีอาการปวดคอเรื้อรัง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการปรับกระดูกเพียงครั้งเดียว... เขาก็ไม่เคยได้เดินออกจากคลินิกนั้นอีกเลย

ระหว่างการจัดกระดูกคอ โจนาธานเริ่มมีอาการผิดปกติอย่างฉับพลัน เขาวิงเวียน สับสน และไม่ตอบสนอง ซึ่งทั้งหมดเป็นสัญญาณอันตรายของโรคหลอดเลือดสมอง เขาถูกรีบนำส่งโรงพยาบาล North Fulton ในรัฐจอร์เจียทันที

ข้อมูลจากศาลระบุว่า โจนาธานเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตกบริเวณก้านสมอง ซึ่งเป็นภาวะหายาก และบางครั้งอาจเกิดจากการที่หลอดเลือดแดงบริเวณคอฉีกขาด จากการบิดหรือจัดคออย่างกะทันหัน

แต่สิ่งที่กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าและจุดพลิกผันของคดีนี้ คือ "ความผิดพลาดในการวินิจฉัย"

ทีมแพทย์ในห้องฉุกเฉินมองข้ามสัญญาณอันตราย และไม่สามารถระบุปัญหาที่แท้จริงได้ทันเวลา ทำให้การช่วยเหลือต้องล่าช้าออกไปนานเป็นชั่วโมง

ผลจากความล่าช้านั้น โจนาธานต้องกลายเป็นอัมพาตถาวร และอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Locked-in Syndrome ซึ่งหมายความว่า เขายังมีสติครบถ้วน รู้ทุกอย่าง แต่ขยับหรือพูดไม่ได้เลย... นอกจากดวงตาเท่านั้น

เรื่องนี้ได้จุดประกายคำถามครั้งใหญ่ถึงความเสี่ยงของการจัดกระดูกคอ และความสำคัญของการวินิจฉัยที่รวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน

ในปี 2022 โจนาธานและภรรยาชนะคดีประมาทเลินเล่อ และศาลตัดสินให้ได้รับค่าเสียหายสูงถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ก่อนเกิดเรื่องราวทั้งหมด โจนาธานคือชายหนุ่มที่กระฉับกระเฉง ชอบเล่นกีฬา และมีรอยยิ้มที่สดใสเปี่ยมด้วยความหวัง

แต่ตอนนี้ ในวัย 34 ปี ชีวิตของเขากลับต้องถูกตรึงอยู่กับรถเข็น กล้ามเนื้อที่ไม่อาจขยับได้ทีละน้อย เปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาไปช้า ๆ รอยยิ้มที่เคยสดใส จางหายไปพร้อมกับอิสรภาพที่เขาสูญเสีย

เมื่อร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวหรือเปล่งเสียงใด ๆ โลกของโจนาธานจึงหดเหลือเพียงสิ่งเล็ก ๆ ที่ยังรับรู้ได้ การได้มองดูตู้ปลาใหญ่ในห้องนั่งเล่น คือช่วงเวลาสงบไม่กี่นาทีในแต่ละวันของเขา ท่ามกลางชีวิตที่ถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่เพียงไม่กี่ตารางเมตร

แต่ภายใต้ความสงบเงียบนั้น... ยังมีความเจ็บปวดที่ไม่อาจมองเห็น

บางครั้ง เขาสื่อสารผ่านอุปกรณ์และการขยับดวงตาเล็กน้อย เพื่อบอกว่า... เขาไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว

ทางครอบครัวก็กล่าวทั้งน้ำตาว่า โจนาธานได้สูญเสีย "ทุกแง่มุมของชีวิต" ไปแล้วจริง ๆ
::
อ้างอิงจาก - Atlanta News First, Bell Law Firm

Upper Cross Syndrome คืออะไร ❓❓❓❓คือ การเคลื่อนไหวของข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลังส่วนคอ ส่วนอกและข้อไหล่ มีความผิดปกติลักษ...
14/10/2025

Upper Cross Syndrome คืออะไร ❓❓❓❓
คือ การเคลื่อนไหวของข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลังส่วนคอ ส่วนอกและข้อไหล่ มีความผิดปกติ
ลักษณะการทำงานที่ไม่สมดุลกันระหว่างกล้ามเนื้อรยางค์บนโดยรอบ ที่มีระบบทำงานในรูปแบบตรงข้ามกัน

😵😵😵😵😵😵😵😵😵😵😵😵😵😵😵😵
-> ทำให้กลุ่มกล้ามเนื้อฝั่งหนึ่งหดสั้นและอีกฝั่งยืดยาวออก จนเกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อในส่วนรยางค์บนร่างกาย

💻⌨️🖥️🖱️ 🖥️
ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากพฤติกรรมการทำงาน ที่ต้องอยู่ในท่าก้มต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมง โดยมีระยะเวลามากกว่า 5 ชั่วโมงขึ้นไป การอยู่ในอิริยาบถเดิมซ้ำๆ และท่าทางที่ไม่เหมาะสม และมีการเคลื่อนไหวน้อย

🤸⛹️🤾🚴🏌️🏊🏂🧘🏃🛀

🌟🌟วิธีแก้ไข 🌟🌟

ตรงไหนตึง ก็ยืด👍

ตรงไหน อ่อนแรง ก็ฝึกเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ💪

ทั้งนี้ ควรยืดให้กล้ามเนื้อ คลายตัวดีเสียก่อน ค่อย ฝึกเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อนะจ๊ะ

🫶🥰🫶🥰🫶🥰🫶🥰🫶🥰🫶🥰🫶🥰🫶

วันนี้ขอนำเสนอท่า ยืดกล้ามเนื้อสัก2ท่าจ้า

1. ยืดที่ความรู้สึกตึง ก็เพียงพอ ห้ามยืดจนเจ็บนะค่ะ

2.ยืดค้างไว้นาน ประมาณ 10 วินาที

3.ทำซ้ำท่าละ3-5ครั้งจ้า

*ที่สำคัญ ห้ามกลั้นหายใจขณะยืดนะจ๊ะ ไม่ต้องลุ้นขนาดนั้น เดียวจะหน้ามืดเอาได้จ้า ✌️

ใครเป็นบ้างเอ่ยปวดคอบ่าไหล่ เรื้อรังปวดหลัง ปวดเอวเรื้อรังเช็คดูนะค่ะ เป็นแบบในรึกันไม๊
14/10/2025

ใครเป็นบ้างเอ่ย

ปวดคอบ่าไหล่ เรื้อรัง

ปวดหลัง ปวดเอวเรื้อรัง

เช็คดูนะค่ะ เป็นแบบในรึกันไม๊

11/10/2025

11ตค68
หยุด1วัน
กรุณานัดหมายล่วงหน้า
🙏ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ

20/09/2025

21กันยายน68
หยุด1วันค่ะ

03/09/2025

2-8กันยายน68
คลินิกหยุดค่ะ
ติดต่อผ่านเพจ หรือLine: piyamasdaw

ที่อยู่

San Kamphaeng
50130

เวลาทำการ

จันทร์ 17:00 - 21:00
อังคาร 17:00 - 21:00
พุธ 17:00 - 21:00
ศุกร์ 17:00 - 21:00
เสาร์ 13:00 - 18:00
อาทิตย์ 13:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+66892663027

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ชมพูนุท คลินิกกายภาพบำบัด เชียงใหม่ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ชมพูนุท คลินิกกายภาพบำบัด เชียงใหม่:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram