Jaidee clinic ใจดีคลินิกเวชกรรม รักษาโรคทั่วไป โ?

30/09/2025

🧠 จะบอกให้คนที่มีภาวะวิตกกังวล หยุดกังวลก็ลำบากมาก เพราะสมองส่วน rACC ที่ทำงานน้อยลง ทำให้ทุกความเป็นไปได้ที่ก่อภัย ถูกเก็บนำมาคิดหมด จนสลัดออกจากหัวไม่ได้


เวลาคนเรามีเรื่องอะไรก็ตาม ที่รู้สึกเป็นภัยต่อตัวเองในซักทาง แต่ยังอยู่ไกลจากปัจจุบัน เช่น ผลสอบในเทอมนี้, ผลงานที่ทำออกไปในเมื่อเช้า, ผลตอบแทนจากกิจการตัวเอง ฯลฯ

ทั้งหมดจะถือว่า ‘ภัยคุกคาม’ (Threat) รูปแบบหนึ่ง


สมองส่วน amygdala จะรับรู้ถึงจุดนี้ แล้วเปิดโหมดกลัวทันที แต่เป็นความกลัวในรูปแบบที่ไม่รุนแรงถึงขั้นหวาดกลัว/แพนิก มันจะมาในรูปแบบกังวล

แต่คนทั่วไป จะมีสมอง 2 จุดคอยคุมเอาไว้ค่ะ
▪️ dlPFC/vmPFC: คอยควบคุมไม่ให้ amygdala ประมวลผลรุนแรงไป
▪️ rostral anterior cingulate cortex (rACC): คอยควบคุมให้ threat เหล่านี้ มาขัดจังหวะงานหรือกิจกรรมที่ทำตรงหน้า


ซึ่งส่วน rACC สำคัญมากๆ เลยค่ะ มันทำให้ไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมใดก็ตาม โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิมากๆ หัวจะโล่ง ไม่คิดถึง Threat ต่างๆ ที่กำลังมีอยู่ หรือคิดน้อยที่สุด และยังสามารถทำกิจกรรมต่อไปได้


แต่เรื่องนี้เกิดในคนที่เป็นสภาพวิตกกังวลได้ยากค่ะ
เพราะสมองส่วน rACC เป็นอีกจุดที่ฝ่อลง ทำงานน้อยลง


ผลคือ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เข้ามาในความคิด เรื่องที่ทำไปแล้วแล้วรอผลลัพธ์, เรื่องที่ยังไม่เกิดแต่อาจเกิดขึ้นได้ จะถูกส่งมาที่ amygdala หมดเลย

แถม rACC ยังไม่สามารถคัดกรองพวกนี้ออกไปได้เลย ทำให้กิจกรรมทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปหมด สมองหยุดคิดไม่ได้ คิดวนไปวนมา

และถ้าคนนั้นเป็นซึมเศร้าด้วย เนื้อหาที่ถูกดึงมาเป็น Threat ก็จะทำให้ยิ่งเศร้า ยิ่งดิ่ง วนไปวนมา


ยังไม่จบค่ะ ไม่ใช่แค่คิดวนไปวนออกมาไม่ได้เท่านั้น
มันยังเปิดโหมด stress response ค้างไว้ด้วย

amygdala ที่ยังตอบสนองต่อ threat ส่งสัญญาณไปบอกระบบประสาทอัตโนวัติ ในคนที่โดนรุนแรงมากพอ ก็จะพบว่าช่วงวิตกกังวล มีชีพจรเต้นถี่ขึ้น

หรือในคนที่รุนแรงมากๆ มันอาจส่งสัญญาณไปถึง ก้านสมองส่วน PAG ซึ่งเป็นตัวสร้างการตอบสนองแบบแพนิก ทำให้เกิดแพนิกได้


💡 ดังนั้นจะเห็นว่า คนที่วิตกกังวล หลายครั้งหยุดคิดไม่ได้จริง มืออาจจะทำงานไป แต่หัวคิดอย่างอื่นไป ถ้างานนั้นต้องใช้สมาธิและขั้นตอนที่ละเอียด มักจะพลาดได้ง่ายมาก

ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น รับรู้ตัวเองว่าเป็น
และเดินไปพบจิตแพทย์นะคะ ก่อนที่มันจะกระทบต่องานมากๆ ค่ะ

30/09/2025

โรคซึมเศร้าที่มักจะโดนคนอื่นทักเรื่องรูปร่างที่เปลี่ยนไป เป็น pain point อันดับต้นๆ เลยที่ยิ่งทำให้ไม่กล้าเข้าสังคม ผลักไสไปอยู่คนเดียว แล้วเหม่อคิดลบวนไปวนมาอยู่แบบนั้น


เนื่องจากผลกระทบอันใหญ่หลวงเรื่องหนึ่งเมื่อผ่านโรคซึมเศร้ามา คือน้ำหนักที่เปลี่ยนไปค่ะ ซึ่งเป็นไปทั้งสายผอมแห้งไปเลย และอ้วนขึ้นชัดเจน แล้วก็จะโดนสังคมถามไปมาอยู่นั่นแหละ (เป็นสไตล์การทักทายที่เราเกลียดมาก)

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น วันนี้จะมาเล่ากลไกให้ฟังค่ะ


จากบทความก่อนๆ มา สามารถสรุปได้สั้นๆ ว่า โรคซึมเศร้า มักจะมีการเปิดใช้งานระบบสู้กับ stress สูงกว่าปกติและนานกว่าปกติ ทั้งระบบ cortisol และ adrenaline ในขณะที่สภาพแวดล้อมในสมองจะเต็มไปด้วยการอักเสบที่เกิดจาก microglia ที่ถูกปลุกให้ขึ้นมาทำงานตลอดเวลา จนสมองหลายจุดฝ่อเสียหายไป

ซึ่งเซลล์ประสาทที่เสียหายไป ก็มักจะใช้สารสื่อประสาทชนิดที่ ระบบอิ่ม/หิวใช้งานด้วย เช่น serotonin ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ซึมเศร้าจะมีการหิว/การเบื่ออาหารผิดปกติไป

ซึ่งจะแบ่งเป็นสองสาย


ซึมเศร้าสายผอมซูบ


กลุ่มนี้จะมีกลไกที่ cortisol สูงลอยเด่นมากค่ะ ซึ่ง cortisol และตัวฮอร์โมนควบคุมของมัน (CRH) ต่างกดการหิวได้ทั้งคู่

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มีวงจร ‘ถนนสร้างแรงจูงใจ’ (Mesolimbic pathway - VTA-NAcc) หากฝ่อไป บางคนไม่ได้เกิดแค่ ‘สิ้นยินดี’ ในเชิงกิจกรรมเท่านั้น มันอาจส่งผลไปถึงการกินด้วยค่ะ

นั่นคือ ไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีความสุขใดๆ จากการกินเลย กินเข้าไป ก็เหมือนอาหารผ่านปากไปเฉยๆ คนไข้บางคนจะบอกว่า เหมือนเป็นหน้าที่ เหมือนปากเป็นท่ออะไรบางอย่างให้มันผ่านไป บางคนท้องร้อง แต่ไม่หิวเลย

สายนี้จะน้ำหนักซูบผอมเลยค่ะ และผอมแบบที่ muscle mass ก็ลดลงด้วย บางคนถึงขั้นเห็นกระดูกตามจุดต่างๆ ชัดเจนเลย


ซึมเศร้าสายน้ำหนักขึ้น


cortisol ที่สูงขึ้น แทนที่จะกดการหิว แต่กลายเป็นว่าเหล่าเม็ดเลือดขาว ที่โดน cortisol กดนานๆ เข้าสู่ระยะดื้อ แล้วปล่อยสารก่ออักเสบมากขึ้น

สารก่ออักเสบเข้ารบกวนการทำงานของเซนเซอร์ ‘ฮอร์โมน leptin’ ที่ hypothalamus ซึ่งฮอร์โมนนี้มีหน้าที่กระตุ้นการอิ่ม


ผลคือทำให้ปรากฏการณ์การดื้อ leptin (คล้ายๆ ที่พบในภาวะอ้วน) ผลคือทำให้ leptin หยุดการหิวไม่ได้ ทำให้หิวบ่อยขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เซลล์ประสาทที่คอยเบรกการหิวนั้นใช้สารสื่อประสาท serotonin พอดีเลยค่ะ โรคซึมเศร้า มักมีเซลล์ประสาทที่สร้าง serotonin นั้นฝ่อเสียหายไป ถ้าจุดที่เบรกการกินฝ่อไปด้วย ก็จะทำให้หิวได้มากขึ้นค่ะ


รวมทั้งสมองเรียนรู้การลดความเศร้าด้วยการกิน carb มากขึ้น เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า carb craving คือกิน carb แล้วกระตุ้นการหลั่งอินซูลินมากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้กรดอะมิโน tryptophan เข้าสู่เซลล์ประสาท นำไปสร้าง serotonin ได้ชั่วคราว ทำให้เหมือนกินแล้ว mood ดีขึ้น

แต่ถ้าไม่มีการควบคุมจุดนี้ สมองจะเรียนรู้แล้ว craving กิน carb ในปริมาณสูงมากติดต่อกัน ซึ่งจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นในที่สุด เพราะ carb เปลี่ยนไปเป็นไขมันที่ตับแล้วส่งไปเก็บที่เนื้อเยื่อไขมัน ยิ่งกว่านั้นในระยะยาว การกิน high carb ยิ่งเปลี่ยนแปลงสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ ยิ่งทำให้ซึมเศร้าแย่ลงในระยะยาว


บางครั้งอาจจะเป็นผลมาจากยาบางตัว เช่น ยาต้านเศร้ากลุ่ม TCA (Amitriptyline, Nortriptyline) บางคนกินแล้ว หิวมากขึ้นได้ เพราะตัวยามันสามารถยับยั้งตัวรับ histamine (H1 blocker) และ serotonin (5-HT1C) ซึ่งเดิมทีไว้กดการหิว ผลคือหิวมากขึ้น


ดังนั้นชาวซึมเศร้า เป็นสุดโต่งได้ทั้งสองทางเลยค่ะ
ใครจะเป็นแบบไหนนั้น ขึ้นกับการตอบสนองของร่างกายแต่ละจุด เพราะพวกเราไม่เหมือนกันค่ะ

นี่จึงเป็นอีกจุดหนึ่งค่ะที่เมื่อเข้ารับการรักษาด้วยยา จนดีขึ้นบ้าง พอทำอะไรได้บ้างแล้ว อยากให้รีบออกกำลังกายค่ะ มันไม่ใช่แค่แก้ซึมเศร้าเท่านั้น แต่มันช่วยปรับรูปร่างด้วยค่ะ สายน้ำหนักเกิน ก็ช่วยลดน้ำหนัก สายซูบผอมก็ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ

25/09/2025

โรคซึมเศร้ามันไม่ใช่แค่เศร้าจนสุขไม่ได้ แต่ระบบสร้างสุข มันพังเลย และพังถึง 3 จุด ดังนั้นถ้าทำอะไรให้ผู้ป่วยแล้ว เขาดูไม่สุขใจใดๆ เลย แม้กระทั่งสิ่งที่เขาชอบมาก นั่นเพราะสมองสร้างเขาให้เป็นแบบนั้น แต่เค้าน่าจะรับรู้ความหวังดีของคุณไปแล้วล่ะ


พูดแบบเจาะจงลงไปคือ เหมือนสมองมันไม่ยอมสร้างความสุขความยินดีเลย ไม่ว่าจะขนอะไรมาตั้งตรงหน้าก็ตาม จะรักจะชอบขนาดไหนก็ตาม มันก็ไม่เห็นจะสุขเลยขึ้นมาแม้แต่นิด เป็นติดต่อกันยาวนาน จนโลกตรงหน้าแมร่งเทาไปหมด

นี่คือหนึ่งในอาการหลักของโรคซึมเศร้าที่เรียกว่า Loss of interest หรือจะเรียกให้ดูตรงกว่านั้นคือ ‘สิ้นยินดี’ (Anhedonia)

สิ้นโอกาสที่จะยินดีเหมือนแต่ก่อน
แต่ยังรับรู้ความเจ็บปวดได้เหมือนเดิม


เหตุที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะตั้งใจทำให้มันไม่สุข ไม่ใช่เพราะเศร้าจนกลบสุข (หลายคนคิดแบบนี้) แต่เป็นเพราะ ‘วงจรสมอง’ ที่ใช้สร้างความสุขสร้างแรงจูงใจ มันเสียหายไปจาก ‘สงครามการอักเสบในสมอง’ (Neuroinflammation) ซึ่งมีถึง 3 จุดค่ะ


1️⃣ ถนนแห่งแรงจูงใจ ถูกตัดขาด
(Mesolimbic pathway - reward system)

หน้าที่: “มันสุข มันฟิน มันสนุก และฉันอยากทำอีก”


ในคนปกติ เมื่อทำสิ่งใดก็ตามที่ระบบประสาทรับรู้ ประเมินและเปรียบเทียบแล้วตัดสินว่า ‘ชื่นชอบ’ สัญญาณประสาทจะส่งตรงมาที่สมองส่วนที่เรียกว่า

Ventral tegmentum area (VTA)
อยู่ใจกลางของก้านสมองส่วน midbrain


จุดนี้ศูนย์เซลล์ประสาทนับล้านที่มีแขนงกระจายไปกระตุ้นสมองหลายส่วน จุดเด่นของที่นี่คือ เซลล์ประสาทที่นี่ ใช้สารสื่อประสาท ‘Dopamine’ เป็นตัวสื่อสารค่ะ

หนึ่งในปลายทางที่เซลล์ประสาทจาก VTA ไปกระตุ้นคือ ศูนย์สร้างแรงจูงใจ (Nucleus accumbens: NAcc) อยู่ส่วนลึกใต้สมองส่วนหน้า


เมื่อสัญญาณความชอบเปิดให้ VTA ทำงานแล้ว
VTA จะปล่อย dopamine ใส่ NAcc

แล้วเจ้า NAcc นี่แหละ แผ่การกระตุ้นให้ทั่วสมอง ทำให้เรารู้สึกพอใจ สุขใจ และอยากทำสิ่งนั้นอีก


⚠️ คั่นรายการนิดนึงค่ะ คุณเคยอ่านบทความต่างๆ แล้วเจอว่า โดปามีนทำให้สร้างแรงจูงใจรึเปล่าคะ จำไว้ค่ะ เขาหมายถึงโดปามีนที่จุดนี้เป็นหลัก ไม่ใช่โดปามีนที่ไหนก็ได้ (ขีดเส้นใต้ตัวโตๆ เลยค่ะ) เพราะโดปามีนที่อื่นก็มีบทบาทอย่างอื่นเลยค่ะ


ในโรคซึมเศร้า สงครามการอักเสบในสมอง ทำให้จุดเชื่อมต่อระหว่าง VTA กับ NAcc ฝ่อไปค่ะ คำว่าฝ่อคือ VTA ผู้ส่งก็ปลายประสาทแตกแขนง (Axonal branching) น้อยลง ผู้รับก็มีจุดรับสัญญาณ (Dendritic spine) น้อยลง

และเมื่อผู้ส่งมีโครงสร้างเสียหายไป จึงเป็นที่มาว่า มันเลยหลั่งสารสื่อประสาท dopamine ได้ลดลง (ดั่งที่ท่องกัน)

ผลคือ ไม่ว่าจะกิจกรรมอะไรก็ตามที่ชอบขนาดไหน ส่งสัญญาณมาที่วงจร mesolimbic นี้ สมองก็ไม่เกิดสุข เกิดแรงขับเคลื่อนใดๆ เพราะถนน ‘มันถูกตัดขาด’


2️⃣ ศูนย์ประเมินแรงจูงใจ ถูกตัดการเชื่อมต่อ
(medial Orbitofrontal cortex: mOFC)

หน้าที่: “สิ่งนั้นฉันชอบ แต่สิ่งนี้ฉันชอบมากกว่า ฉันจะทำอันหลังก่อน”


หลายครั้งที่สมองรับรู้หลากหลายกิจกรรม หลากหลายสิ่งกระตุ้น มันก็ชอบเหมือนกันหมด ถึงเวลาที่จะต้องจัดลำดับและเลือกทำแล้วล่ะ

นี่คือหน้าที่ของศูนย์ mOFC นี้ค่ะ คือประเมินว่าสิ่งไหนสร้างแรงจูงใจ สร้างความรู้สึกได้มากกว่ากัน (Reward evaluation) อยากจะรู้ว่าอยู่ตรงไหน ให้จับหน้าผากเหนือคิ้วนิดนึงค่ะ นั่นแหละค่ะ ลึกเข้าไปจุดนั้น ใกล้ๆ กับด้านหลังลูกตา นั่นแหละ mOFC

เมื่อ mOFC ประเมินได้แล้ว ก็จะส่งสัญญาณจำเพาะ ไปที่ศูนย์สร้างแรงจูงใจ (NAcc ในข้อ 1) แบบจำเพาะกับสิ่งกระตุ้นนั้น ปรับแต่งสัญญาณมากขึ้น/ลดลง ตามที่มันประเมินออกมา ทำให้เราแยกสิ่งต่างๆ ด้วยความรู้สึกชัดเจนขึ้น


ใช่ค่ะ ในโรคซึมเศร้านั้น การเชื่อมต่อระหว่าง mOFC ไปยัง NAcc ก็ฝ่อไปเช่นกัน ดังนั้นมันไม่ใช่แค่สร้างแรงจูงใจไม่ได้เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดกิจกรรมใดก็ตาม

“แม่งก็เหมือนๆ กันหมดคือเบื่อ ไม่น่าสนใจ ไม่อยากทำแล้ว”


3️⃣ ศูนย์ปิดความยินดีเพื่อหนีภัย เปิดทำงานค้างไว้
(Lateral habenula - anti-reward system)

หน้าที่: “นี่ไม่ใช่เวลาที่แกจะมายินดี แกกำลังเจอภัย แกต้องหนี”


ในคนปกติ เวลาที่มี stress หนักระดับหนึ่ง สมองส่วนประสานงานอารมณ์เชิงลบ เช่น amygdala จะส่งสัญญาณมาบอกจุดหนึ่งของสมอง ที่แทบไม่มีบทความไหนเขียนเลยคือ

Lateral habenula (LHb)
น้องสาวของต่อมไพเนียลแห่งตระกูล epithalamus

มันเป็นสมองส่วนเล็กๆ ที่อยู่บนไปทางด้านหลังของต่อมไพเนียลที่คอยสร้างฮอร์โมนเมลาโทนินให้เราง่วง แต่ LHb ทำงานต่างออกไปเลยค่ะ

เมื่อ LHb รับรู้ว่ามี stress เกิดขึ้นระดับหนึ่ง หน้าที่ของน้องคือ ส่งสัญญาณประสาทออกไปตามฝูงเซลล์ประสาทที่มีปลายทางคือ VTA ในข้อ 1 ที่เป็นจุดเริ่มต้นถนนแห่งแรงจูงใจ แล้วหลั่งสารสื่อประสาท GABA ออกไปยับยั้งการทำงานค่ะ

เพื่อเปิดโหมด ‘สิ้นสุขชั่วคราว’ ให้สมองทั้งหมดมาโฟกัสกับการสู้กับ stress หรือการหนี stress ไปอยู่จุดที่ปลอดภัยก่อน ระหว่างนี้ก็จะทำอะไรแล้วรู้สึกสุขน้อยลง อยากทำน้อยลงชั่วคราว แต่เมื่อปัญหาหมดไป LHb ก็จะหยุดทำงาน


ในโรคซึมเศร้า นั้น เหมือนน้อง LHb อาละวาดเกินเหตุจากสงครามแห่งการอักเสบในสมอง ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป หนีไปซะ

LHb เปิดใช้งานค้างไว้ ตลอดเวลา ยับยั้งถนนแห่งแรงจูงใจตลอดเวลา ทำให้ยิ่งสิ้นยินดีขึ้นไปอีก


หรือพูดโดยสรุปคือ มันไม่ใช่แค่ไม่สุขไม่ยินดีธรรมดา
1️⃣ แต่ระบบมันสร้างสุขจากกิจกรรมใดๆ ไม่ได้เลย (VTA-NAcc พัง)
2️⃣ และไม่ว่าอะไรก็เทาไปหมด ไม่เกิดสุข ไม่แตกต่างกัน (mOFC พัง)
3️⃣ แถมยังมีระบบกดความยินดี (LHb) เปิดใช้งานค้างไว้อีก

เหมือนสมองแม่งหลอนตลอดเวลาว่า กำลังมีภัยเกิดขึ้นทุกวินาที จนไม่อนุญาตให้เจ้าของร่างนั้นมันสุขเลย กดแล้วกดอีก


แล้วสมองแบบนี้ มันจะขับเคลื่อนทำกิจกรรมอะไรได้ไง ลองไปถามผู้ที่มีอาการนี้ดู บางทีเขาก็บรรยายไม่ถูก บางคนใช้คำว่า “ซอมบี้” เพราะมันก็เหมือนซอมบี้จริงๆ คือร่างกายแม่งต้องพยายามขยับไปทำ เพราะหน้าที่ แต่ไม่มีอารมณ์ร่วมหรืออยากอะไรเลยแม้แต่นิด

ใครรู้ตัวว่าเป็น รีบพบจิตแพทย์และเริ่มรักษาเถอะค่ะ
เรื่องนี้มันซับซ้อน อย่าว่าแต่คนอื่นจะเข้าใจเลย
ตัวคนเป็นก็ไม่เข้าใจตัวเองเลย

ดังนั้นรีบรักษาเพื่อกลับมาเป็นคนเดิม
คนเดิมที่เคยสุขได้บ้างแม้ในวันที่โลกโหดร้ายค่ะ

24/09/2025
24/09/2025

ความจำที่พังในโรคซึมเศร้า ค่อนข้างหนัก เพราะพังทั้งความจำระยะสั้น (Working memory) และความจำระยะยาว นึกมาใช้ก็ยาก ถ้าเจอผู้ป่วยที่จำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งสิ่งสำคัญ ก็ขอให้เข้าใจว่า เขาพยายามนึกแล้ว


ในภาพคือสมองส่วน Hippocampus, สมองน้อยๆ ที่ลักษณะคล้ายหนอน แต่ถ้ามองแบบภาพตัดขวางจะเหมือนม้าน้ำ (เป็นที่มาของชื่อ) ฝังตัวอยู่ในส่วนลึกของสมองกลีบขมับ ลองจับไปที่ขมับดูค่ะ นั่นแหละ อยู่ตรงนั้น

หน้าที่หลักของน้องคือ รับสัญญาณที่เป็นข้อมูลเชิงเหตุการณ์ + รายละเอียด (Episodic memory) เข้ารหัส แล้วส่งสัญญาณออกไปเป็นความถี่ที่จำเพาะ

มุ่งหน้าออกไปยัง ‘ถนนหลวง’ นามว่า Fornix เพื่อไปยังสมองส่วนอื่นๆ เกิดเป็นวงจรประสาทขนาดใหญ่เรียกว่า Papez circuit เพื่อกระตุ้นให้สมองส่วนเปลือก (Cerebral cortex) สร้างวงจรที่จำเพาะ ฝังตัวเป็นความจำระยะยาว


ยังไม่จบค่ะ น้องยังคอยรับคำสั่งจากสมองส่วนอื่นว่า ‘ตอนนี้อยากจะนึกถึงความทรงจำไหนนะ?’ แล้วไป ‘ขุด’ ความจำระยะยาวที่ฝังใน cortex ออกมาใช้ ซึ่งมักจะใช้ตอนนึกความจำที่อยู่นานหน่อย เช่น เมื่อวาน เดือนที่แล้ว บทเรียนที่อ่านไป/เรียนไป

ถ้าความจำนั้นเกี่ยวกับอารมณ์ ก็จะทำงานร่วมกับ Amygdala ทั้งฝังความจำ และดึงความจำ ก็จะมีอารมณ์เป็นส่วนประกอบใส่ลงไปด้วย


หน้าที่เยอะขนาดนี้ แต่ดันเป็นสมองส่วนที่เปราะบางที่สุด ไม่ต้องถึงขนาดเป็นซึมเศร้า แค่เครียดเรื้อรัง ก็เริ่มฝ่อแล้วค่ะ

ดังนั้นในคนที่เป็นโรคซึมเศร้า ที่มีการอักเสบในสมองจากเม็ดเลือดขาว microglia ยิ่งโดนหนัก ทั้งเซลล์ประสาทเดิมฝ่อ และของใหม่ก็สร้างน้อยลงด้วย

แถมถนนที่ส่งรหัสความจำออกจาก Hippocampus ที่ชื่อว่า Fornix ก็พังไปด้วย นำสัญญาณได้แย่ลง


ดังนั้นที่เป็น ลองสังเกตตัวเองดูก็ได้ค่ะ

1️⃣ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ โคตรยาก ที่ใส่คำว่า ‘โคตร’ ลงไป เพราะเน้นให้เห็นถึงความยากที่มากจริงๆ ถ้าคุณอยู่ในวัยเรียน หรือวัยทำงานช่วงเริ่มงานใหม่ แค่ข้อนี้ก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตมหาศาลแล้ว เพราะจะโดนผลกระทบจากรอบตัวตามมา เนื่องจากเรียนรู้ช้า ทำพลาดบ่อย (แล้วก็ใช่ รู้สึกผิดง่าย ซ้ำเติมไปอีก)

2️⃣ นึกอะไรก็ตามโคตรนาน บางคนจะรู้ถึงความผิดปกติเลยค่ะ เทียบกับเมื่อก่อนที่นึกได้ไวกว่านี้มากๆ บางทีเมื่อเช้าทำอะไรไป ยังนึกไม่ออกเลย หลายๆ ครั้งเหมือนขุดขึ้นมาไม่ได้ จนเข้าใจว่า ความทรงจำโดนลบออกไป

3️⃣ เรื่องที่น่ารำคาญก็คือ ความทรงจำเชิงลบ ไม่ว่าจะโดนอะไรร้ายๆ การทำพลาด ฯลฯ ดันขุดขึ้นมาง่ายมาก ขุดขึ้นมาพร้อมกับอารมณ์ตอนนั้น ความรู้สึกตอนนั้น ให้กลับมาชอกช้ำอีกครั้ง เพราะการเชื่อมต่อระหว่าง Hippocampus กับ Amygdala มันแน่นมากๆ ความทรงจำอะไรที่ก้ำกึ่ง บางครั้งก็จะตีความเป็นเชิงลบได้เลย (Negative bias)


อันที่จริง ไม่ใช่แค่ซีรี่ส์ของ Hippocampus เท่านั้น
แต่สมองส่วนที่เก็บความจำระยะสั้นมากๆ (Working memory)
ที่ชื่อ dorsolateral prefrontal cortex (dlPFC) ก็พังไปด้วย

ดังนั้นข้อมูลที่รับเข้ามา ไม่เพียงแต่ Hippocampus ไม่ค่อยเข้ารหัส แต่ตัวความทรงจำชั่วคราวก็ไม่ค่อยไปส่งไปเก็บด้วย เช่น จำตัวเลข หรือจำรายละเอียดบางอย่าง แล้วกลับมาทวนในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ก็ทำไม่ได้


ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลอาจจะไม่เข้าสมองมาเลยตั้งแต่แรก เพราะตอนนั้นกำลังเปิดใช้งานเครือข่าย Default mode network (DMN) กำลังเหม่อคิดลบๆ อยู่ (Rumination)


ทั้งหมดทั้งปวงเลยทำให้ชีวิตประจำวันรวมถึงการงาน
เข้าขั้นพังเลยทีเดียว และยิ่งพังก็ยิ่งสร้างแวดล้อมเชิงลบ
trigger ซ้ำไปซ้ำมา อย่างกู่ไม่กลับ


ก่อนจะไปถึงจุดนั้น รีบตรวจเช็คตัวเอง แล้วไปตรวจวินิจฉัยก่อนเถอะค่ะ หลายครั้งเราเรียนรู้ได้แย่กว่าปกติ เพราะสมองเรามันไม่อำนวยจริงๆ ค่ะ รักษาให้ดีขึ้น ให้พอใช้งานได้บ้าง เท่านี้ ประสิทธิภาพต่างๆ ก็เริ่มกลับมาแล้วค่ะ

23/09/2025
23/09/2025

หลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้า รู้แหละว่าเรามีอาการนั้นอาการนี้ แถมใครๆ ก็จะบอกให้เลิกเศร้าเลิกคิดลบ อันที่จริงแม้กระทั่งตัวเองบอกตัวเอง แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้

ไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ ไม่ใช่เรื่องพ่ายแพ้ ไม่ใช่เรื่องไม่สู้
แต่เซลล์ประสาทกำลังโดน microglia ในภาพปล่อยสารก่ออักเสบใส่อยู่


เซลล์ประสาทที่เคยแตกแขนงเชื่อมต่อกันอย่างเหนียวแน่น
กลายเป็นฝ่อสั้น แตกแขนงน้อยมาก หลายจุดในสมอง
ทำให้จุดนั้นสร้างสารสื่อประสาทส่งสัญญาณได้ลดลงมาก

แล้วแบบนี้จะไปชนะได้ยังไง เพราะว่าเราคิดจะชนะหรือแพ้
มันก็ต้องใช้อวัยวะที่ชื่อสมองที่กำลังพังนี้ทั้งสิ้น


ทำไมจู่ๆ microglia มาทำร้ายเซลล์ประสาท
และมันคือตัวอะไร?


เดิมที microglia เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ในสมองนานมากแล้วค่ะ คอยจับกินสิ่งแปลกปลอม, เคลียร์ของเสียในสมอง

แต่เนื่องจากมันสืบตระกูลมาจากระบบภูมิคุ้มกัน มันจึงมีนิสัยอย่างหนึ่งคือ หากมีการเปิดระบบ stress ขึ้นรุนแรงมากพอ มันจะปล่อยสารก่ออักเสบ เพื่อปรัลพื้นที่ ให้เหมาะแก่การระดมพลชาวเม็ดเลือดขาวเข้าสู่จุดนั้น เพื่อมาแก้ปัญหา

นั่นแหละคือจุดอ่อนค่ะ


คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักมีหลายปัจจัยเสี่ยงผสมกันไปมา ไม่ว่าจะเป็น

✔️ พันธุกรรมเสี่ยง: ที่ทำให้ระบบการสร้าง/บริหารสารสื่อประสาทผิดปกติ, ระบบการสร้างสารงอกปลายประสาท BDNF แอคทีฟน้อยกว่าปกติ

✔️ รอยแผลบนสาย DNA จากประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก (Epigenetics) เช่น โดนทำร้ายร่างกาย, โดนล่วงละเมิดทางเพศ, โดนทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง, โดนทอดทิ้ง สิ่งเหล่านี้ปิดผนึก/ปลดผนึกรหัสบางรหัสบนสาย DNA ให้รุนแรงขึ้น ทำให้เมื่อมี stress เกิดขึ้นในอนาคต จะเปิดใช้งานระบบสู้ stress นานและแรงกว่าปกติ

✔️ แบคทีเรียในลำไส้เสียสมดุล (Dysbiosis) เป็นผลมาจากการกินอาหารให้พลังงานเยอะ, กินอาหารที่มีเส้นใยน้อย, ไม่ออกกำลังกาย ทำให้แบคทีเรียตัวดีๆ ที่คอยผลิตสารที่คอยกระตุ้นระบบ brain-gut axis เสียไป

✔️ บุคลิกภาพเสี่ยง เช่น มองโลกในแง่ลบง่าย (Neuroticism), พฤติกรรมใฝ่ความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism)


สิ่งเหล่านี้สร้าง ‘สมองของเรา’ อยู่ในสภาพเสี่ยงที่โดนทำร้ายค่ะ และเมื่อใดก็ตามเราพบกับภาวะเครียดเรื้อรัง/เหตุการณ์รุนแรงมากพอ ระบบต่อต้าน stress ไม่ว่าจะเป็น cortisol, adrenaline/noradrenaline จะทำงานมากขึ้น สมองที่เสี่ยงรับการกระตุ้นไป จะเปิดผลเสียมากกว่าปกติ

ผลเสียที่ว่าคือ microglia ที่รับรู้ว่ามี stress รุนแรงเกิดขึ้น ก็แปลงร่างมาอยู่ในสภาพดุร้าย (Microglia M1 ในภาพ) พร้อมกับปล่อยสารก่ออักเสบ/สารดึงดูดพวกเดียวกัน ให้มารวมตัว

เกิดเป็นสงครามการอักเสบในสมอง (Neuroinflammation)


ซึ่งในสภาพสมองของคนทั่วไป อาจจะเกิดช่วงเวลาสั้นๆ แต่สมองของคนที่มีปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวไป จะเกิดนานกว่าปกติ

นานจนกระทั่งใยประสาทของเซลล์ประสาทหลายจุดในสมอง โดนทำร้ายจนสู้ไม่ไหว เริ่มฝ่อลง เชื่อมต่อกันน้อยลง

ก่อให้เกิดอาการต่างๆ ในโรคซึมเศร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น เศร้า/ดิ่ง, สิ้นยินดี, ปัญหาการนอน, สิ้นหวัง/ไร้ค่า, รู้สึกผิดง่าย, ตัดสินใจอะไรลำบากมาก, เชื่องช้า ฯลฯ ซึ่งขึ้นกับว่าสมองตรงโดนเป็นพิเศษ ซึ่งเพจเราได้อธิบายไปหมดทุกอาการแล้วค่ะ


นี่จึงเป็นที่มาว่า ช่วงที่โรค “กำลังกำเริบ” วิธีแก้ไขความเครียดที่ใช้กับคนทั่วไป มันเอามาใช้ได้ยากมากๆ (แต่ถ้าใครทำแล้วสำเร็จก็ยินดีด้วยค่ะ) อย่าเพิ่งไปคิดแก้ไขปัญหาเลย แค่เอาชีวิตรอดในแต่ละวันยังลำบากเลย จะเอาสมองส่วนไหนมาคิดแก้ปัญหา (และใช่ค่ะ สมองส่วนตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ อย่าง PFC พังไปด้วย)

เลยทำให้วิธีที่ดีที่สุดคือ เขารับการตรวจวินิจฉัยและเริ่มรักษาก่อน วิธีที่ยืนยันเสมอมาว่าได้ผลมากสุดคือ กินยาต้านเศร้า และ จิตบำบัด

และเมื่อกำลังวังชาดีขึ้น ถึงเวลาปฏิบัติส่วนอื่นๆ เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ควบคุมพฤติกรรมการกินเพื่อปรับสมดุลลำไส้, พูดคุยกับคนอื่นๆ (social intervention), ปรับ/จัดระเบียบการนอน, วางแผนชีวิตตัดพวก toxic (ทั้งแบบชัดๆ และแบบแฝง) ฯลฯ

ขอให้ทุกท่านหายดีในเร็ววันนะคะ

21/09/2025

เราจะได้ยินบ่อยๆ ว่า ซึมเศร้ามีหนึ่งในกลไกคือสารสื่อประสาท serotonin ในสมองต่ำ หลายคนถามมาบ่อยครั้งว่า แล้วมันคือตรงไหน

วันนี้เอาวงจรหนึ่งจุดที่ใช้ serotonin ในการส่งสัญญาณ มาให้ดูค่ะ

[ ล่าง ] ศูนย์ serotonin ก้านสมอง ชื่อเท่ๆ ว่า Dorsal Raphe nucleus (DRN) เป็น 1 ใน 3 ศูนย์การทำงานสร้างสติสัมปชัญญะ (Reticular formation)

จะมีเซลล์ประสาทกลุ่มหนึ่ง ส่งตรงไปยัง สมองส่วนชื่อ Hippocampus [ บน ] ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สร้างความจำระยะยาว, ดึงความจำมาใช้, และประสานการทำงานระหว่างความทรงจำกับอารมณ์

ซึ่งเซลล์ประสาทจาก DRN นี่แหละ จะหลั่ง serotonin ไปกระตุ้นเซลล์ประสาทส่วน Hippocampus เพื่อสนับสนุนการทำงาน, กระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ๆ


ในโรคซึมเศร้า เซลล์ประสาทจุดนี้เป็นหนึ่งจุดที่มันฝ่อค่ะ คำว่าฝ่อคือ ใยประสาทจาก DRN แตกแขนงน้อยลง เชื่อมต่อกับ Hippocampus น้อยลง

ผลคือ Hippocampus ขาดการกระตุ้น จึงเริ่มฝ่อตาม อัตราการเพิ่มจำนวนเซลล์ลดลง


จึงไม่แปลกที่คนซึมเศร้า มักจะนึกอะไรไม่ค่อยออก, จำสิ่งใหม่ๆ ก็ยาก, แต่ถ้าการดึงความทรงจำเชิงลบน่ะ เก่งมากขึ้นค่ะ

20/09/2025

ภาพชัดๆ ว่านอนหลับแล้ว มันจะพัดของเสียในสมองของคุณออกไปยังงาย
ดูไปตามหมายเลขเน่อออ


1. น้ำ CSF ตรงช่องเยื่อหุ้มเหลืองๆ (Subarachnoid space) วิ่งเข้าช่องว่างรอบๆ หลอดเลือดแดงที่มุดไปในเนื้อสมอง

2. น้ำ CSF วิ่งไปช่องรอบหลอดเลือดแดง (Para-arterial space) จนถึงจุดที่มีประตูให้น้ำผ่าน (AQP4)

3. น้ำถูกขนส่งเข้าเนื้อสมอง

4. ตอนไหลผ่านเนื้อสมอง พัดเอาก้อนของเสียดำๆ มุ่งหน้าสู่ฝั่งหลอดเลือดดำ

5. ของเสียและน้ำ ออกจากเนื้อสมองสู่ช่องว่างรอบหลอดเลือดดำ แล้ววิ่งออกไปจากกะโหลกไปตามช่องนี้ (Para-venous efflux)


สรุปมันใช้ช่องรอบหลอดเลือด ส่งน้ำจากฝั่งหลอดเลือดแดงไปยังหลอดเลือดดำ ระหว่างทางก็พัดของเสียออกไปค่าาา

ยิ่งนอนหลับดี กลไกนี้ยิ่งแรงน่อออออ

ของเสียคั่งแล้วยังไง?
อ่านต่อ https://www.facebook.com/share/p/161KUgMBLy/?mibextid=wwXIfr

17/09/2025

มีคนถามคำถามน่าสนใจว่า เรียกเพื่อนสนิทที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วเค้าไม่ตอบสนองเลย ต้องเรียกซ้ำ ๆ เค้ากำลังโกรธอยู่รึเปล่า

จริงๆ ต้องตอบว่าไม่ทราบค่ะ สถานการณ์จำเพาะขนาดนี้ แต่ถามว่า ‘ตัวโรค’ โดยตรงมันทำให้เกิดอะไรแบบนี้ได้หรือไม่

✅ ตอบ: ได้ค่ะ เพราะ



1️⃣ โรคซึมเศร้ามีเครือข่ายสมองส่วนที่เรียกว่า Salient network (SN) ทำงานผิดปกติไป ซึ่งมีหน้าที่ตรวจจับสิ่งกระตุ้นในแวดล้อม เปลี่ยนจากโหมดเหม่อ (DMN) เป็นโหมดโฟกัสกับสิ่งนั้น (CEN)

ซึ่งการที่เขาสวิตซ์มาไม่ได้ ณ ตอนนั้นก็มักจะเหม่อกับสิ่งคิดลบวนไปวนมาแหละค่ะ เพราะ amygdala ร่วมมือกับ hippocampus ขุดเรื่องเก่าๆ มาให้เขาชมวนไปวนมา



2️⃣ โรคซึมเศร้าบางคนจะมีอาการเชื่องช้า (Psychomotor retardation) คือไม่ได้อ่อนแรง ไม่ได้อัมพาต แต่จะเริ่มทำอะไรก็ช้า มีดีเลย์ บางทีก็ไม่ทำไปซะดื้อๆ นั่นเพราะระบบสมองที่เริ่มทำกิจกรรมใดๆ (Basal ganglia) มีปัญหา (แต่ไม่มากนะคะ), ร่วมกับสมองส่วน ACC ที่คอยประเมินแรงที่ใช้ในการทำกิจกรรมใดๆ มากเกินไปจริง แถมส่วนสร้างแรงจูงใจก็ทำงานไม่ดี เลยรู้สึกขยับได้ยากขึ้นค่ะ



💙 ถ้าเขาเป็นคนรักคนใกล้ตัว ก็พาเขาไปรักษานะคะ

16/09/2025

🧩 โรคไบโพลาร์ (Bipolar disorders) มีสมองส่วน ‘สวิตซ์’ ไปมาระหว่างโหมดอยู่กับตัวเอง (DMN) กับสนใจสิ่งรอบตัว (CEN) เสียสมดุล มีการ bias ไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นช่วงๆ


📖 ก่อนจะอ่านโรคนี้ ขั้นแรกนะคะ ขอนิยามก่อนเลย
เพราะคนเข้าใจผิดกันเยอะมากถึงมากที่สุด

❌ Bipolar ไม่ใช่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ สลับเป็นชั่วโมง ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ขั้วที่ว่าไม่ใช่ขั้วอารมณ์รุนแรงในเชิงก้าวร้าว (อาจจะมีหรือไม่ก็ได้ตามลักษณะส่วนบุคคล แต่ด้วยนิยามตัวโรค มันไม่ใช่)

คนที่มีลักษณะแบบนี้จะเป็นปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์เสียมากกว่า อาจมีปัญหาเชิงบุคคลิกภาพ เช่น บุคคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (Borderline personality) ซึ่งจะเป็นแค่บุคคลิกภาพ หรือความผิดปกติก็ได้ (Disorders)

✅ Bipolar คือมีสองขั้วที่ตรงข้าม สลับกับไปมาเป็นหลักวันหลักเดือนเลยค่ะ นั่นคือคนที่เป็น จะค้างอยู่ขั้วนั้นนานค่ะ ไม่มีการสวิงไปมา (ยกเว้นเจอ mixed type อีกที อันนี้คนละเรื่องในกรอบบทความนี้)

และที่สำคัญคือ ขั้วที่ว่า ไม่ใช่เชิงเหวี่ยง

😜 ขั้วคึก (Mania): คึกกว่าปกติ ร่าเริงผิดปกติ พลังงานล้น ไม่ค่อยนอนเลย นอนน้อย ไม่ง่วงด้วย มีพลังในการทำอะไรมากมาย ความคิดแล่น โครงการที่จะทำรันมาเป็นสิบๆ คุยไวมาก เพราะมีเรื่องอยากจะคุยเต็มไปหมด มั่นใจมากๆ บางรายจะกดซื้อของไวมากๆ จนควบคุมไม่ได้

😰 ขั้วเศร้า (Depression): จะคล้ายกับโรคซึมเศร้าเลยคือ เศร้า สิ้นยินดี สิ้นหวัง รู้สึกไร้ค่า สมาธิลดลงมาก พลังแทบไม่มี อ่อนเพลีย ฯลฯ


🔬 Bipolar กับ ซึมเศร้า จะมีความคล้ายคลึงในเรื่องสารตั้งต้นและตัวกระตุ้นให้เริ่มเป็น นั่นคือ
✔️ ‘รอยแผลบน DNA’ (Epigenetic scar) ที่เป็นผลมาจากประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก ทั้งเชิงกายภาพ/อารมณ์/ล่วงละเมิด/ทอดทิ้ง ทำให้ยีนที่ดูแลการเปิดโหมด stress ทำงานรุนแรงผิดปกติ, ยีนที่เปิดโหมดสร้างสารงอกปลายประสาท (BDNF) สร้างน้อยกว่าปกติ ทำให้สร้างกลไกที่เสี่ยงต่อการฝ่อของเซลล์ประสาท
✔️ เครียดเรื้อรัง - ทำให้ cortisol สูงลอย, ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง กระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวในสมองได้
✔️ มีโรคประจำตัวที่ทำให้เกิด stress ตลอดเวลา เช่น โรคที่ทำให้ปวดเรื้อรังในระดับที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต

ผลสุดท้ายจะได้ทำให้เม็ดเลือดขาวในสมอง (Microglia) ถูกปลุกจากการหลับใหล มาสร้างสารก่ออักเสบ ทำร้ายเซลล์ประสาท แล้วเกิดโรคตามมา


แต่จุดที่ Bipolar แตกต่างจากซึมเศร้าเลยคือ

✅ พันธุกรรมที่ไม่เหมือนกัน: ทำให้จุดเสี่ยงที่เกิดขึ้น คนละจุดกับซึมเศร้า คนที่มีประวัติครอบครัว พ่อแม่พี่น้องเป็น เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น เพราะมี DNA คล้ายกัน
✅ บุคคลิกภาพเสี่ยง: แนวๆ คิดลบง่าย (Neuroticism) จะเสี่ยงซึมเศร้า, แต่ถ้าแนวๆ อารมณ์คึกง่ายๆ สลับกับซึมไป (แต่ไม่มากนะ) เป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว (Cyclothymic temperament) จะเสี่ยงทาง Bipolar
✅ นาฬิกาชีวิตผิดปกติ: คือมีช่วงที่นอนผิดเวลา มี jet lag จะกระตุ้นของฝั่ง bipolar เยอะกว่า บางทีเป็นตัว event ที่ทำให้สวิตซ์ขั้ว

และที่สำคัญที่สุด ‘บริเวณของสมองที่โดน’ ไม่ค่อยเหมือนกัน


🧠 พอมีพันธุกรรมที่เสี่ยง + สารตั้งต้นอย่างประสบการณ์รุนแรง + ตัวกระตุ้นสุดท้ายแล้ว (ไม่ต้องมีครบก็ได้)

เม็ดเลือดขาว microglia จะเริ่มสร้างสารก่ออักเสบ ทำร้ายเซลล์ประสาทโดยตรง หรือทำร้ายเซลล์ที่คอยสร้างฉนวนไฟฟ้า (Oligodendrocyte) ทำให้สร้างสัญญาณไฟฟ้าได้น้อยลง

ซึ่งจุดที่โดน ที่ทำให้เกิด Bipolar disorders เลยคือ สมองโซนที่เป็นตัวใยประสาท (White matter) ในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการ ‘สวิตซ์ mode’ กับ จุดที่ควบคุมสภาพคึก/เศร้า

และจะมีกลไกการปรับวงจร (Reconfiguration) ต่างไปในแต่ละขั้วค่ะ


⚡ 1. การสวิตซ์โหมดระหว่าง DMN กับ CEN

คนเราจะมีเครือข่ายสมองที่ทำงานร่วมกัน เพื่อทำให้เกิดพฤติกรรมโน้มเอียงไปในทางสนใจภายในตัวเอง หรือสนใจสิ่งรอบข้าง เป็นหลัก

เครือข่าย Default mode network (DMN): จะสร้างอาการคล้ายๆ เหม่อ หรือคิดเรื่องที่อยู่ในหัวตัวเอง โดยมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอกน้อยมาก

ส่วนเครือข่าย Central executive function (CEN): จะสร้างความจดจ่ออยู่กับปัจจัยรอบข้าง สร้างปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบๆ มากขึ้น


ในไบโพลาร์ ตำแหน่งที่เป็น hub คอยสวิตซ์สองโหมดนี้ (Thalamus-striatum) มีการทำงาน bias เป็นช่วงๆ ค่ะ

ช่วงที่ประสานงานให้เชื่อมกับส่วนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Sensorimotor: SMN) มากขึ้น และส่วนเหม่อลอย (DMN) ลดลง จะสร้างพฤติกรรมขั้วคึกขึ้นมา คือแทบจะไม่สนเรื่องอดีต เรื่องลบตัวเองเลย สนแต่ความคิดที่ผุดขึ้นมา ซึ่งมักจะได้ไอเดียมาจากสิ่งรอบข้าง และสร้างปฏิสัมพันธ์กับแวดล้อมถี่ขึ้น

พอโหมดนี้ทำงานซักพักนึง จะเริ่มมีการปรับวงจรใหม่ ส่วนสวิตซ์เริ่มถ่ายอิทธิพลไปที่ส่วนเหม่อมากขึ้น + ส่วนเคลื่อนไหวลดลง สร้างการเหม่อคิดลบวนไปวนมา เหนี่ยวนำไปสู่ขั้วเศร้า

ในคนปกติโหมดการสวิตซ์จะเสถียรทำได้ตามต้องการ แต่ในคนที่เป็น Bipolar จะมี bias ไปในทางใดทางหนึ่งเด่นชัดมากในช่วงเวลาหนึ่งๆ ค่ะ


⚡ 2. ระบบควบคุมแต่ละขั้วผิดปกติไป

เช่น ศูนย์ serotonin (Dorsal Raphe nucleus: DRN) ที่คอยเบรกเครือข่าย DMN มักจะทำงานลดลง ทำให้เสริมขั้วเศร้าขึ้นมาในช่วงที่เข้า episode นั้น

สมองจุดที่ควบคุมวงจร reward system (VTA-NAcc) ทำงานผิดปกติไป ทำให้เกิดสองโหมดคือ โหมดทำงานน้อยไปเลย ทำให้ไม่มีแรงจูงใจทำอะไร เบื่อหมดทุกอย่าง (สิ้นยินดี - anhedonia) ซึ่งเจอในขั้วเศร้า กับโหมดทำงานหนักมาก แรงจูงใจเต็มไปหมด มาในเวลาไล่เรี่ยกันด้วย ทำให้แผนการต่างๆ เยอะมาก (Flight of idea)

[ จุดนี้ต้องระวังนิดนึง ถ้าใครอ่านของจิตเภท ตัววงจรนี้ก็เด่นขึ้นเช่นกัน แต่ในเชิงรายละเอียดย่อยๆ จะต่าง ที่สำคัญคือจิตเภทจะมีวงจรอื่น เช่น วิถี mesocortical ทำงานผิดปกติด้วย ]


🔄 ทั้งหมดทั้งปวง ทำให้สมองมี Bias ไปในขั้วใดขั้วหนึ่งค้างเป็นช่วงเวลานานระดับนึงค่ะ พอเวลาผ่านไปมีการปรับวงจรใหม่ (จากการอักเสบของโรค และจากการพยายามชดเชยเอง) ก็จะทะยานไปสู่อีกขั้ว

จริงๆ โมเดลของ Bipolar ยังไม่ค่อยลงรูปรอย ถ้าเทียบกับโรคซึมเศร้าค่ะ เพราะมันค่อนข้างเป็นพลวัตร มากกว่าโรคซึมเศร้า


💡 ในทางปฏิบัติที่เจอบ่อยคือ คนเป็น Bipolar แต่มีขั้วเศร้า และคิดว่าตัวเองเป็นซึมเศร้า มาพบจิตแพทย์ ซักประวัติไปมา อ้าว มีขั้ว mania นี่นา นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ หากสงสัยว่ามีภาวะความผิดปกติทางจิตเวช ให้มาพบจิตแพทย์เพื่อวินิจฉัยก่อนนะคะ

15/09/2025

🧠 สมองส่วน Amygdala - เจ้าแม่แห่งอารมณ์ ถือเป็นศูนย์กลางของโรคจิตเวชหลายโรค โดยเฉพาะซึมเศร้า, วิตกกังวล หรือบางคนควบคู่เลยเป็น ซึมเศร้าสายวิตกกังวล (Anxious depression)


🌀 สมองส่วน Amygdala ทำหน้าที่ประมวลสัญญาณที่ส่งมาจากหลายๆ ที่ และประสานงานให้เกิดความรู้สึกเชิงลบขึ้นมา เพื่อเป้าหมายหลักคือ กลัว / กังวล เพื่อหนีต่อภัยอันตราย

โดยน้องจะมี 2 ส่วน: ส่วนใหญ่ๆ (BLA) ไว้รับสัญญาณมาจากที่อื่น และส่วนก้อนเล็กๆ (Ce) ไว้ส่งสัญญาณออกไปยังส่วนอื่นๆ


⚡ แต่หลายๆ โรคน้อง Amygdala เชื่อมต่อกับส่วนอื่นอย่างผิดปกติ และทำงานมากเกินไป (Amygdala overactivation) เหมือนน้องกำลังตื่นตัวเกินเหตุ เพื่อให้ทั้งร่างหนีจากภัย

วงจรที่พบว่ามีการเชื่อมต่อมากขึ้นคือ


1️⃣ สมองส่วน dmPFC เชื่อมต่อกับ amygdala (BLA)

ปกติสมองส่วน dmPFC จะทำหน้าที่ นำข้อมูลแวดล้อมเชิงสังคมมาพิจารณาว่าตัวเองถูกมองยังไง (Self-referential processing), รับข้อมูลเชิงคุกคามมาประมวลผล

ผลคือเกิดการโน้มเอียงในการตีความเชิงลบ (negative bias) เจอข้อมูลอะไรก้ำกึ่ง จะกลายเป็นสิ่งคุกคาม สร้างความกังวล ตื่นตัว หลีกเลี่ยง (บางคนก็ avoidant ไปเลย) และมักจะส่งผลให้รู้สึกเศร้ามากขึ้นด้วย ทางสิ่งคุกคามนั้นหนีไม่ได้


2️⃣ สมองส่วน ACC เชื่อมต่อกับ amygdala (BLA)

สมองส่วน ACC มีทั้งส่วนตรวจจับความขัดแย้งระหว่าง ความคาดหวัง / สิ่งที่เกิดขึ้นจริง (dACC) และส่วนที่ประมวลความรู้สึกภายในโดยเฉพาะความทุกข์ (sgACC)

เมื่อส่วน sgACC ต่อกับ amygdala หนักขึ้นจึงเหมือนนรกทั้งเป็น ประมวลความทุกข์ทรมานส่งตรงให้ amygdala ขยายผลต่อกลายเป็น ความรู้สึกแย่ตลอดเวลา กังวลภัยในอนาคตตลอด


3️⃣ สมองส่วน Amygdala (Ce) เชื่อมต่อกับสมองส่วน BNST

BNST เป็นสมองส่วนที่ประสานกับสมองหลายจุด เพื่อให้เกิดการรับรู้ถึงภัย สร้างความกังวลความไม่สบายใจเพื่อให้เกิดการปรับตัวในระยะยาว ซึ่งมักทำงานหนักในปัญหาที่เกิดในระยะยาว

BNST ที่โดน amygdala มากไป จะสร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Anxiety-like memory’ ปลูกฝังเป็นความกังวลในระยะยาว เอาออกจากหัวไม่ได้ สิ่ง trigger มาปุ๊บ กังวลไปอีกยาว และถูกหยิบมาคิดอีกเรื่อยๆ


4️⃣ สมองส่วน Amygdala (Ce) เชื่อมต่อกับศูนย์ serotonin (DRN) ซึ่งเชื่อมต่อกับ LHb อีกที

DRN เป็นศูนย์เซลล์ประสาทที่ใช้ serotonin เป็นสารสื่อประสาท กระจายไปควบคุมส่วนอารมณ์ทั่วสมอง และยังส่งผลต่อศูนย์ต้านแรงจูงใจ (LHb)

ผลจากการเชื่อมต่อมากไปคือ Amygdala ส่งสัญญาณไปรบกวน (มักจะเชิงยับยั้ง) จนการสร้าง serotonin ของ DRN ไปกระตุ้นส่วนอื่นๆ แย่ลง LHb ทำงานหนักขึ้น ต้านแรงจูงใจ จนเป็นหนึ่งในกลไกสิ้นยินดีได้


ในแต่ละคนไม่ได้เป็นครบค่ะ เพียงแต่ว่าในสถานที่เหล่านี้ มักจะแชร์สองลักษณะอาการเลยคือ ซึมเศร้า กับ วิตกกังวล จึงไม่แปลกที่หลายคนมักเป็นควบสมองค่ะ

ดังนั้นการรักษาแบบเป็นองค์รวม รักษาทั้งสองโรคเลย จึงเป็นจำเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ที่อยู่

อาคารพาณิชย์ BIZPOINT 2
Chiang Mai
50100

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 19:30
อังคาร 09:00 - 19:30
พุธ 09:00 - 19:30
พฤหัสบดี 09:00 - 19:30
ศุกร์ 09:00 - 19:30
เสาร์ 09:00 - 12:00

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Jaidee clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Jaidee clinic:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram