Jaidee clinic ใจดีคลินิกเวชกรรม รักษาโรคทั่วไป โ?

11/07/2025

กินยา + ปรับพฤติกรรม คือทางออกระยะยาว
ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

ในช่วงดิ่งสุด แทบจะทำอะไรตามนี้ไม่ได้เลย
ที่ทำได้มีเพียงกินยาและประคองชีวิต

พอดิ่งเริ่มดีขึ้น นี่คือโอกาสทองในการรีบทำทุกข้อค่ะ

07/07/2025

"กับดัก" ที่กักกัน

~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•

"โกรธ" คือ การใช้ความผิดของคนอื่น ลงโทษตัวเอง

"กลุ้ม" คือ ใช้ความผิดตัวเอง ลงโทษตัวเอง

"เสียใจภายหลัง" คือ เอาเรื่องที่ผ่านไปแล้วที่แก้ไขไม่ได้ มาทรมานตัวเอง

"กังวล" คือ ใช้ภัยที่จินตนาการขึ้นมาเอง มาหลอกให้ตัวเองกลัว

"โดดเดี่ยว" คือ กักบริเวณตัวเอง ด้วยคุกที่คิดขึ้นเอง

"การรู้สึกว่ามีปมด้อย" คือ ใช้สิ่งที่คนอื่นเหนือกว่า ทำร้ายตัวเอง...

ป.อ. ปยุตโต

~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•~•
เครดิตภาพ : https://fineartamerica.com/profiles/adrian-borda/shop/framed+prints

07/07/2025

✏️ สรุปยาต้านเศร้า 13 กลุ่ม ครบจบในบทความ
เน้นให้เห็นว่ายาไปทำงานยังไงในสมอง

⚠️ โปรดอ่านก่อน: บทความนี้ เพียงอธิบาย ‘กลไกการออกฤทธิ์’ ว่ายาที่กินเข้าไป มันไปรักษาซึมเศร้าได้ยังไง, ส่วนการเลือกใช้ยานั้น ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างจิตแพทย์ เป็นคนประเมินจำเพาะต่อบุคคลไปค่ะ เพราะแต่ละตัวเด่นไม่เหมือนกัน


[ ความรู้เบื้องต้น ]

💔 โรคซึมเศร้า (Major depressive disorders) เป็น ‘โรค’ ที่มีรอยโรค กระจายตามสมองหลายจุด เซลล์ประสาทมีการฝ่อ เชื่อมต่อน้อยลง และหลั่งสารสื่อประสาทลดลง ไม่ใช่แค่ ‘สภาพจิตใจเปลี่ยนแปลง’ เท่านั้น แต่มันคือโรคทางสมองที่ทำให้สภาพจิตใจเปลี่ยนแปลง

💙 จุดเริ่มต้นโรคเกิดจาก การสัมผัส ‘หลายปัจจัยเสี่ยง’ จนถึงจุดที่กำเนิดโรคขึ้นมา แล้วกระจายไปทั่วสมอง ปัจจัยเสี่ยงนั้นได้แก่

▪️พันธุกรรม: มีโปรตีนที่ใช้ในการทำงานของสารสื่อประสาทผิดปกติไป
▪️เครียดรุนแรงในวัยเด็ก: สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของยีน (Epigenetics) ทำให้ไวต่อผลเชิงลบ
▪️เครียดเรื้อรัง: ทำให้มี cortisol สูงลอย เกิดผลเสียแค่เซลล์ประสาท
▪️เหตุการณ์รุนแรง: ทำให้ cortisol และ adrenaline สูงขึ้น ส่งการเปลี่ยนแปลงต่อเซลล์ประสาท
▪️แบคทีเรียในลำไส้ผิดปกติ (Dysbiosis): ขาดสารสื่อประสาทที่แบคทีเรียสร้าง มา ‘กระตุ้นระบบประสาทลำไส้ (ENA)’ ที่ใช้สื่อสารกับสมอง
▪️โรคเรื้อรังบางชนิด เชน นอนกรน

🧡ผลลัพธ์จึงทำให้
→ เซลล์ประสาททยอยฝ่อตัวลง เชื่อมต่อลดลง หลั่งสารสื่อลดลง
→ สารสื่อที่ต่ำ จึงขาดแรงกระตุ้นการสร้างสาร BDNF ที่ใช้งอกเซลล์ประสาท
→ อาการต่างๆ จึงปรากฎออกมาตามจุดของสมองที่ผิดปกติ

▪️เศร้า ดิ่ง: dlPFC, amygdala, OFC, sgACC, …
▪️ไร้สุขในการทำกิจกรรม: Reward system, antireward system
▪️ไร้สมาธิ ลืมง่าย: Hippocampus
▪️เคลื่อนไหวช้า: Basal ganglia, Raphe nu.
*กลไกอาการอื่นๆ อ่านได้ที่เพจเรา

🧠สมองแต่ละจุดที่ผิดปกติ มีการใช้สารสื่อประสาทที่แตกต่างกัน แต่จะวนไปวนมาไม่กี่ตัวนั่นคือ

▪️Serotonin (5-HT, S)
▪️Norepinephrine (NE)
▪️Dopamine (DA)

โดยสารสื่อประสาทเหล่านี้ นอกจากจะทำหน้าที่ตามปกติแล้ว ยังกระตุ้นให้เซลล์ประสาทสร้าง BDNF, NGF ด้วย ซึ่งเป็นเป้าหมายของการรักษา

💚การรักษาจึงต้องกินยา + ปรับสุขภาพจิต ปรับพฤติกรรม
สร้างเกราะป้องกัน ในระยะยาว และตลอดไป


————————————

[ สรุปกลไกยาแก้ซึมเศร้า ]


1️⃣ กลุ่มเพิ่ม serotonin - SSRI
(Selective Serotonin Reuptake Inhibitors)
เช่น Fluoxetine, Sertraline, Escitalopram

💊 ชื่อการค้า: Prozac, Zoloft, Lexapro

🗝️ กลไก:

▪️ บล็อกการดูดกลับ serotonin ที่ปลายประสาท
→ ปลายประสาทหลั่งไปแล้ว serotonin ค้างอยู่นานขึ้น
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา





2️⃣ กลุ่มเพิ่มทั้ง Serotonin และ Norepinephrine (SNRI)
(Serotonin-Norepinephrine Reuptake Inhibitors)
เช่น Venlafaxine, Duloxetine

💊 ชื่อการค้า: Effexor, Cymbalta

🗝️ กลไก:

▪️ บล็อกการดูดกลับทั้ง S และ NE ที่ปลายประสาท
→ ปลายประสาทหลั่งไปแล้ว S กับ NE ค้างอยู่นานขึ้น
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา





3️⃣ กลุ่มเพิ่มทั้ง Norepinephrine และ Dopamine (NDRI)
(Norepinephrine-Dopamine Reuptake Inhibitors)
เช่น Bupropion

💊 ชื่อการค้า: Wellbutrin

🗝️ กลไก:

▪️ บล็อกการดูดกลับทั้ง NE และ DA ที่ปลายประสาท
→ ปลายประสาทหลั่งไปแล้ว NE กับ DA ค้างอยู่นานขึ้น
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา





4️⃣ กลุ่ม TCA
(Tricyclic Antidepressants)
เช่น Amitriptyline, Nortriptyline

💊 ชื่อการค้า: Elavil, Pamelor

🗝️ กลไก

▪️ บล็อกการดูดกลับทั้ง S และ NE ที่ปลายประสาทแบบไม่จำเพาะ
→ ปลายประสาทหลั่งไปแล้ว S กับ NE ค้างอยู่นานขึ้น
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา

⚠️ ต่างกับข้อ 2 ตรงที่ TCA มีความจำเพาะต่ำ ทั้งนั้นมันไปยุ่งกับสารสื่ออื่นอีกมากมาย มาในรูปผลข้างเคียงที่เพิ่มขึ้น





5️⃣ กลุ่มยับยั้งการทำลายสารสื่อ - MAOI
(Monoamine Oxidase Inhibitors)
เช่น Phenelzine, Tranylcypromine

💊 ชื่อการค้า: Nardil, Parnate

🗝️ กลไก:

▪️ ยับยั้งเอนไซม์ชื่อ MAO
→ ลดการทำลายสารสื่อ S, NE และ DA
→ เซลล์ประสาทมีสารสื่อ สะสมมากขึ้น หลั่งได้มากขึ้น
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา





6️⃣ กลุ่มยับยั้งการเบรกตัวเองของ S และ NE - NaSSA
(Noradrenergic and Specific Serotonergic Antidepressants)
เช่น Mirtazapine

💊 ชื่อการค้า: Remeron

*ตัวนี้อ่านแล้วอาจจะงงในทีแรกนะคะ*
ปกติแล้วเวลาเซลล์ประสาทหลั่งสารสื่อไป
→ สารสื่อจะกระตุ้นเซลล์ถัดไป
และย้อนกลับมา ‘ชะลอ’ การหลั่ง
→ สารสื่อจึงไม่หลั่งเยอะเกิน

🗝️ กลไก:

▪️ บล็อกตัวรับ alpha-2 และ 5HT2/5HT3
ซึ่งเป็นตัวรับสารสื่อ ที่ใช้ชะลอการหลั่งของ NE และ S
→ คราวนี้จึงไม่มีใครย้อนมาเบรกปลายประสาท
→ ปล่อย NE และ S ออกได้มากขึ้น
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา





7️⃣ กลุ่มเพิ่ม serotonin และ ยับยั้ง serotonin ‘บางจุด’ - SARI
(Serotonin Antagonist and Reuptake Inhibitors)
เช่น Trazodone

💊 ชื่อการค้า: Desyrel

🗝️ กลไก: คล้ายกลุ่ม 1 (SSRI) คือ

1. บล็อกการดูดกลับ serotonin ที่ปลายประสาท
→ ปลายประสาทหลั่งไปแล้ว serotonin ค้างอยู่นานขึ้น
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา

2. มีการยับยั้งการออกฤทธิ์ของ S บางจุด
คือจุดที่มีตัวรับชนิดย่อยชื่อ 5HT2A ผลคือ
→ ลดวิตกกังวล, นอนได้มากขึ้น





8️⃣ กลุ่มออกฤทธิ์คล้าย Melatonin
เช่น Agomelatine

💊 ชื่อการค้า: Valdoxan

🗝️ กลไก:

1. กระตุ้นตัวรับ Melatonin (MT1, MT2)
→ ปรับสมดุลนาฬิกาชีวิตทั้งเรือนหลัก (SCN) และเรือนย่อย

2. บล็อกตัวรับ 5-HT2C receptor
ซึ่งเป็นตัวรับสารสื่อ ที่ใช้ชะลอการหลั่งของ NE และ DA
→ คราวนี้จึงไม่มีใครย้อนมาเบรกปลายประสาท
→ ปล่อย NE และ DA ออกได้มากขึ้น

▪️ผลจากนาฬิกาชีวิตดี + NE/DA สูงขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา





9️⃣ กลุ่มเพิ่ม norepinephrine - NRI
(Norepinephrine Reuptake Inhibitors)
เช่น Reboxetine

💊 ชื่อการค้า: Edronax

🗝️ กลไก:

▪️ บล็อกการดูดกลับ NE โดยตรง
→ ปลายประสาทหลั่งไปแล้ว NE ค้างอยู่นานขึ้น
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา





🔟 กลุ่มเพิ่ม serotonin และปรับการออกฤทธิ์ - SPARI
(Serotonin Partial Agonist and Reuptake Inhibitors)
เช่น Vilazodone

💊 ชื่อการค้า: Viibryd

🗝️ กลไก:

1. บล็อกการดูดกลับ S ที่ปลายประสาท
2. กระตุ้น receptor 5-HT1A

ผลทั้งคู่คือ:
→ ปลายประสาทหลั่งไปแล้ว S ค้างอยู่นานขึ้น
และยายังไปทำหน้าที่เหมือน S อีก (กระตุ้น 5-HT1A)
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา





1️⃣1️⃣ กลุ่มเพิ่ม serotonin และปรับการออกฤทธิ์หลายจุด - SMS
(Serotonin Modulators and Stimulators)
เช่น Vortioxetine

💊 ชื่อการค้า: Trintellix

🗝️ กลไก: ‘เป็ด’ มากๆ

1. บล็อกการดูดกลับ S ที่ปลายประสาท
2. กระตุ้น receptor 5-HT1A
ผลทั้งคู่คือ:
→ ปลายประสาทหลั่งไปแล้ว S ค้างอยู่นานขึ้น
และยายังไปทำหน้าที่เหมือน S อีก (กระตุ้น 5-HT1A)
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา

3. กระตุ้นตัวรับ 5-HT1B บ้าง
แต่ต้านตัวรับ 5-HT1D, 5-HT3, 5-HT7
→ เพิ่มการคิด (Cognitive function), ลดผลข้างเคียงต่างๆ





1️⃣2️⃣ กลุ่ม Neurosteroid
(GABAergic Modulators)
เช่น Brexanolone

💊 ชื่อการค้า: Zulresso

🗝️ กลไก:
▪️ รูปยาคล้ายสารชื่อ allopregnanolone
ซึ่งเป็นสเตียรอยด์ที่สมองใช้กัน
→ กระตุ้นตัวรับ GABA-A
→ ออกฤทธิ์เหมือนสารสื่อ GABA คือกดประสาท
→ อาการเศร้าดีขึ้น โดยอาการนี้ต้องเกิดมาจาก
ภาวะถอนฮอร์โมน progesterone เช่นหลังคลอด

⚠️ ยาใหมนี้จึงใช้ในภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
เพราะกลไกคือฮอร์โมน progesterone ร่วงลง
→ สาร allopregnanolone ลดลง
→ GABA ทำงานรุนแรงขึ้น → ทั้งเศร้า ทั้งกังวล





1️⃣3️⃣ กลุ่มปลดเบรก glutamate
(Glutamatergic Modulators)
เช่น Esketamine

💊 ชื่อการค้า: Spravato

🗝️ กลไก:
▪️ ยับยั้งตัวรับสารสื่อ glutamate ชื่อ NMDA
ซึ่งปกติตัวนี้ไว้เพิ่มการหลั่ง GABA
→ สารสื่อ GABA หลั่งลดลง
→ เซลล์ประสาทที่หลั่ง glutamate แบบไม่โดนเบรก
→ กระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปได้มากขึ้น (ด้วยตัวรับ AMPA)
→ สร้างสาร BDNF มากขึ้น มาฟื้นเซลล์ประสาทกลับคืนมา

⚠️ แปลกกว่าชาวบ้านทั้งหมดคือ ออกฤทธิ์เพิ่ม BDNF โดยตรง


————————————

🔮 สรุป:

🧠 ยาแก้ซึมเศร้าแบ่งตามกลไกหลักๆ ได้ 4 แบบ:
1. เพิ่ม serotonin อย่างเดียว:
SSRI, SARI, SPARI, SMS
2. เพิ่ม serotonin + norepinephrine:
SNRI, TCA, NaSSA
3. เพิ่ม norepinephrine + dopamine: NDRI, NRI
4. เพิ่มทั้ง 3 ตัว: MAOI
5. ออกฤทธิ์เหมือน Melatonin: Agomelatine
6. ออกฤทธิ์เหมือน Neurosteroid: Brexanolone
7. เพิ่ม Glutamate: Esketamine

🧠 ทุกกลุ่มจะลงเอยที่เพิ่มการงอกของเซลล์ประสาท
แต่เล่นที่สารสื่อคนละประเภทกัน ดังนั้น
✔️ ตำแหน่งของสมองที่ดีขึ้นตามลำดับ จะไม่เหมือนกัน เช่น SNRI จุด Basal ganglia จะดีขึ้นไว การทำอะไรเชื่องช้า จะดีขึ้นเด่น
✔️ ผลข้างเคียงจะไม่เหมือนกันเลย
✔️ รายละเอียดเชิงกายภาพของยาไม่เหมือนกัน

💊 ยังมียาที่มักใช้รักษาร่วมอีกมากมาย เช่น ยาช่วยหลับ (BZD: Lorazepam, …), ยากลุ่มต้านจิตเภท - แต่ใช้เพื่อต้านเศร้านะ (Quetiapine)


————————————

💡 ดังนั้นจะเห็นว่า ยาต้านเศร้าต้องรอเซลล์ประสาทฟื้นฟู
จึงต้องใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2–6 สัปดาห์ถึงจะเห็นผล

⚠️ ห้ามหยุดยา หรือ ปรับยาเอง

✅ เคล็ดลับดูแลตัวเองร่วมด้วย:
▪️ กลับมาออกกำลังกายให้ได้ เพิ่มความแรงได้ยิ่งดี
▪️ ถ้ากลับมานอนหลับได้ ให้เซ็ตเป็นความสำคัญแรกๆ การนอนได้ปกติ 6-8 ชม. และคุณภาพดี เร่งการฟื้นได้มาก
▪️ งดแอลกอฮอล์ เพราะเพิ่มการเป็นซ้ำได้มาก
▪️ นัดจิตบำบัด และบริหารจิตสม่ำเสมอ
▪️ ตรวจติดตามแพทย์เสมอ มีอะไรคุยกับแพทย์ก่อน
▪️ Detect จุดอันตราย จุด trigger ให้ได้ เลี่ยงจนกว่าจะพร้อม (ถ้าเลี่ยงได้), มี toxic person (ในมุมเรา) ถอยห่างก่อน ตัดได้ตัด จะเกรงใจใคร เกรงใจน้องสมองของเราก่อนจ้าเธอ

01/07/2025

❌ ต้นตอของโรคซึมเศร้า ไม่ใช่สารเคมีไม่สมดุล

✅ แต่เป็นเซลล์ประสาทเสียหาย, ลดการแตกแขนง, ลดการเชื่อมต่อ


แล้วพอเซลล์ประสาทมันเสียหายลดการทำงานลง
▶️ มันเลยสร้างสารสื่อประสาทลดลง
▶️ ความหนาแน่นของการเชื่อมต่อลดลง ทำให้ดูภาพตรวจ fMRI แล้วฝ่อลง


ซึ่งถ้าถามว่าต้นตอแต่แรกที่เซลล์ประสาทเสียหายเกิดจากอะไร คำตอบคือ มาจากปัจจัยเสี่ยงซึมเศร้าทำให้
☑️ เครียดเรื้อรัง cortisol สูงลอยจนเกิดพิษ
☑️ เครียดเรื้อรัง adrenaline กระตุ้นการอักเสบ
☑️ microglia กระตุ้นรุนแรง จนปล่อยการอักเสบ
☑️ ทั้งหมดรบกวนการสร้างสาร BDNF
☑️ มีพันธุกรรมและพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เครียดได้นาน และสารสื่อประสาทขนส่งไม่ดี


ซึ่งสาร BDNF เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ประสาทงอก เป็นพระเอกหลักที่จะทำให้อาการซึมเศร้าดีขึ้น สามารถเพิ่มขึ้นได้โดย

✅✅ กินยาต้านเศร้าต่อเนื่อง 2–4 สัปดาห์ขึ้นไป จะเริ่มเห็นผลการงอก

✅ ออกกำลังกายให้ฮอร์โมน lactate และ irisin มากระตุ้นการสร้าง

✅ การนอนเพียงพอช่วยได้ ในช่วงแรกอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วย


ดังนั้น “ซึมเศร้า ไม่ใช่แค่สารเคมีเสียสมดุล”

30/06/2025

#ขอบคุณตัวเองในทุกๆวัน

^^••^^••^^••^^••^^••^^••^^••^^••

ในช่วงท้ายของวัน ก่อนจะเข้านอน
หลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า
เราพูดอะไรกับตัวเองกันบ้างคะ?

บางครั้งปัญหาต่างๆ ความยุ่งยากที่ต้องจัดการ
ทำให้เราอดจะบ่นกับตัวเองไม่ได้ว่า
.ทำไมเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย.ทำไมเขาไม่ช่วยอะไรบ้าง.มันจะเป็นอย่างนี้อีกนานแค่ไหน.ทำไมคนนั้นอย่างงี้ คนนี้อย่างงั้น

โอ๊ย... เหนื่อย! เบื่อ!!
฿%x #+&v@!\< !!!

ในท่ามกลางความยุ่ง ยาก ลำบาก ของเรื่องราวต่างๆ
ซึ่งเราก็ยังอยู่ ยังผ่านมาได้อีกวันนั้น...
เชื่อว่ามีหลายแง่มุมนะคะ ที่เราสามารถจะ "ขอบคุณตัวเอง" ได้
. ที่ตั้งใจทำงานเต็มที่
. ที่เลี้ยงลูกอย่างดีที่สุด
. ที่อดทนต่อความลำบาก ที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
. ที่รู้จักรอ
. ที่ไม่คิดไปเอง
. ที่ไม่พลั้งปาก เพราะมีสติไวเท่าความโกรธ
. ที่แม้จะขี้เกียจ แต่ก็ออกกำลังกาย
. ที่ไม่ถือสา คนที่เราก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว
. ที่ไม่ถือโทษ ผูกโกรธคนที่เรารัก

และ อื่นๆ อีกมากมาย ... นี่แค่ยกตัวอย่างเองนะคะ


หากเราสามารถขอบคุณตัวเองได้

เราก็จะรู้สึกว่า แม้วันนี้เหนื่อย แต่จริงๆแล้ว มันก็ไม่ได้แย่จนเกินไป

พรุ่งนี้ เราก็จะอยากทำสิ่งดีๆต่อไป ... และมากขึ้นอีก จะได้ขอบคุณตัวเองได้บ่อยๆ (^^)

ความรู้สึกเคารพ ชื่นชมตัวเองก็จะเกิดขึ้น
โดยไม่ต้องโหยหา หรือเฝ้ารอ
การยอมรับ หรือ การมองเห็น จากคนอื่น

เราก็จะรู้สึกเป็นสุข อิ่ม และ เต็ม มากขึ้นค่ะ ^__^

^^••^^••^^••^^••^^••^^••^^••^^••

เครดิตเรื่อง : หมอมีฟ้า ( Rerun )
เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/HwnQJLQzLYs7GaBJ9

27/06/2025

😰🥺 “จู่ๆ น้ำตามันก็ไหลมาเอง, แค่เรียกแล้วแมวไม่มา ก็ร้องไห้ บางทีก็หงุดหงิดกับเรื่องงงๆ บางทีก็วิตกกังวลวนไปวนมา ใกล้จะเป็นเมนส์ แบบนี้ทุกทีเลย”


วันนี้จะมาสรุป 5 กลไกที่ร่วมกันทำให้เกิดภาวะอารมณ์แปรปรวนก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome: PMS) ที่เป็นของคู่มิตรผู้หญิงเสมอมาค่ะ


PMS คืออะไร❓


คือกลุ่มอาการเปลี่ยนแปลงก่อนมีประจำเดือน 3–14 วัน และมักจะดีขึ้น 1–2 วันแรกที่ประจำเดือนเริ่มมา มีทั้งอาการทางกาย (เต้านมคัดตึง, ท้องอืด, สิวเห่อ ฯลฯ) และอาการทางจิต (เศร้า, ดิ่ง, หงุดหงิดง่าย ฯลฯ)

ใช่ค่ะ ไอ้ที่อยู่ๆ ก็เศร้าขึ้นมาไม่สมเหตุสมผล, หงุดหงิดแปลกๆ สารพัดอาการ พอเมนส์มา โอเคดีขึ้น

ซึ่งความรุนแรงผันแปรมากในแต่ละคน คนที่เป็นก็เป็นจังเลย คนที่ไม่ค่อยเป็นก็ไม่ค่อยเป็น บางครั้งเลยไม่เข้าใจคนที่เป็นก็มี อาการทั้งหมด โดยเฉพาะทางจิต ไม่ได้ตั้งใจ มันเหมือนคนเมา บางคนมีเครียดเรื้อรัง หรือโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว จะยิ่งหนักขึ้น


สาเหตุมาจากหลากหลายกลไกร่วมกัน ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นตัว trigger ชัดๆ แต่สรุปได้ดังนี้

(*คำย่อ: E = Estrogen, P = Progesterone)

1️⃣ พันธุกรรม – ทำให้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนมาก ดรอปปุ๊บมาเลย

2️⃣ ช่วงก่อนมีประจำเดือนจะมีฮอร์โมน E และ P ลดลง – เดิมฮอร์โมนสองตัวนี้ช่วยรักษาการทำงานอวัยวะทั้งร่าง รวมถึงสร้างสารสื่อฯ ในสมอง

3️⃣ มีการเพิ่มขึ้นของสารก่ออักเสบ – เพิ่มพวกอาการเจ็บมากขึ้น เช่น แน่นท้อง ปวดหัว ฯลฯ

4️⃣ สารสื่อประสาท serotonin ในสมองลดลง – คนที่เป็น PMS รุนแรงจะลดลงไวมาก

5️⃣ สาร Allopregnanolone เพิ่มอาการวิตกกังวลมากขึ้น – เพราะเดิมทีสารนี้จะคอยเปิดใช้งานสารสื่อฯ GABA ฤทธิ์คลายกังวล


💎 สรุป: คนที่มีอาการ PMS โดยเฉพาะที่รุนแรง มักเกิดจากมีพันธุกรรมเสี่ยงนำ ตามมาด้วยมีฮอร์โมนดรอปลงในช่วงก่อนมีประจำเดือน ทำให้สารสื่อประสาท serotonin และสาร allopregnanolone ลดลง ร่วมกับมีการอักเสบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เลยทำให้เกิดอาการต่างๆ ค่ะ


💉 รักษายังไงดี?

✅ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปรับ mood เพิ่ม endorphin
✅ เปลี่ยนคาร์บเป็นแบบเชิงซ้อน, เลี่ยงสุรา
✅ รักษาสุขภาพจิต
✅ อาการรุนแรงพบแพทย์: รับยาต้านเศร้า, ฮอร์โมน

PMS ของคู่กับสาวๆ
อย่าปล่อยให้เป็นหนักนะคะ มันส่งผลต่อเราทุกเดือนเลย 🫶

27/06/2025

#โรคย้ำคิดย้ำทำ_ตอนที่_1
(Obsessive Compulsive Disorder)

||**||**||**||**||**||**||**||**||**||**||**||**

หากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Aviator คงสังเกตเห็นนิสัยล้างมือซ้ำ ๆ ของตัวพระเอกลีโอนาโด
หรืออย่างซีรี่ย์เรื่อง Monk ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ดีเพราะพระเอกของเรื่องจะมีอาการของโรคย้ำคิดย้ำแทบจะทุกแบบดังที่จะพูดต่อไปด้านล่างนี้

#อาการเป็นอย่างไร

โรคย้ำคิดย้ำทำนี้อาการตรงไปตรงมาตามชื่อโรคเลยก็คือ มีอาการ “ย้ำคิด” หรือ “ย้ำทำ” ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะมีทั้งอาการย้ำคิดและย้ำทำ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีแต่อาการย้ำคิดอย่างเดียวโดยไม่มีอาการย้ำทำ

#อาการย้ำคิด (Obsession) คือการคิดเรื่องหนึ่งซ้ำ ๆ เป็นความคิดที่แทรกเข้ามาเอง เจ้าตัวหยุดคิดไม่ได้ แม้จะรู้ว่าความคิดนั้นไม่มีเหตุผลหรือออกจะไร้สาระก็ตาม

ส่วน #อาการย้ำทำ (Compulsion) คือการทำอะไรบางอย่างซ้ำ ๆ อันเป็นผลมาจากอาการย้ำคิด เช่น หากย้ำคิดว่ามือไม่สะอาดก็เลยล้างมือซ้ำ ๆ หรือย้ำคิดว่าล็อคประตูหรือยัง ก็แสดงออกด้วยการไปเช็คประตูซ้ำ ๆ เป็นต้น

#รูปแบบของอาการย้ำคิดย้ำทำที่พบบ่อย ๆ ในผู้ใหญ่

*** ในผู้ป่วยหนึ่งคนอาจมีอาการได้มากกว่าหนึ่งรูปแบบ ดังเช่นพระเอกในเรื่อง Monk เองก็มีหลายอาการ (ดังนั้นอย่าแปลกใจที่เปอร์เซ็นต์ที่เขียนไว้มันบวกกันแล้วเกิน 100% นะครับ) ***

การเช็คซ้ำ (Checking) พบได้ประมาณ 60% ของผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำ อาการก็คือจะเช็คอะไรบางอย่างซ้ำ ๆ เช่น เช็คกลอนประตู หน้าต่าง ปลั๊กไฟ ก๊อกน้ำ เป็นต้น ผู้ป่วยบางคนก็ต้องเช็คดูว่าปิดก๊อกน้ำสนิทรึยัง เรียกว่าต้องเดินไป ๆ มาหลาย ๆ รอบ บางคนกว่าจะออกบ้านได้ใช้เวลาดูเป็นชั่วโมง ๆ จนไปทำงานสายบ่อย ๆ ก็มี

การล้าง (Washing) พบได้ประมาณ 50 % ที่พบบ่อยที่สุดคือล้างมือ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะย้ำคิดในเรื่องของความสะอาดหรือเชื้อโรค รู้สึกว่ามือไม่สะอาด จนต้องล้างซ้ำ ๆ ผู้ป่วยหลายคนล้างมือวันละยี่สิบสามสิบรอบจนมือเปื่อยมีแผล ผู้ป่วยบางคนอาจไม่ใช่แค่ล้างมือแต่อาบน้ำวันละสี่ห้ารอบ เสื้อผ้าถ้าถูกคนอื่นแตะจะต้องถอดแล้วเอาไปซักทันทีเลยก็มี

การนับ (Counting) พบได้ประมาณ 30-40 % ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอาการคือ เวลาเจออะไรหรือทำอะไรแล้วจะต้องนับจำนวน เช่นเจอกองปากกาวางบนโต๊ะ ก็ต้องค่อย ๆ นับว่ามีกี่แท่ง แล้วการนับต้องนับให้ครบด้วย บางคนก็ต้องนับซ้ำไปมาหลาย ๆ รอบ หรือหากใครดูเรื่อง Monk ก็จะเห็นว่าพระเอกเวลาเดินผ่านเสาไฟจะเอามือแตะแล้วนับเสาไฟไปด้วยทุกต้นที่เดินผ่าน รวมถึงแปรงฟันก็ต้องถู 45 ครั้งพอดีไม่ขาดไม่เกิน เป็นต้น

ความสมดุล (Symmetry) หรือความมีระเบียบ พบได้ประมาณ 30 % ผู้ป่วยจะมีอาการคือทำอะไรก็ต้องให้ได้สมดุล เป็นระเบียบ หรือให้ได้เท่ากัน เช่นผู้ป่วยคนหนึ่ง เวลาวางมือถือบนโต๊ะ ต้องวางให้พอดีกลางโต๊ะแป๊ะ เบี้ยวไปสักนิดไม่ได้จนต้องวางซ้ำไปซ้ำมาเล็งแล้วเล็งอีกว่าตรงรึยัง หรือถ้าหากใครดูเรื่อง Monk เราก็จะเห็นว่าพระเอกเวลาแขวนร่มจะต้องเขียนร่มทุกอันหันไปทางเดียวกันและเอียงพอ ๆ กัน เป็นต้น

อื่น ๆ สี่รูปแบบข้างบนคืออาการที่พบได้บ่อยในโรคย้ำคิดย้ำทำ ส่วนอาการอื่น ๆ ได้แก่ ย้ำคิดอย่างเดียว ยกตัวอย่างอาการย้ำคิดโดยไม่มีย้ำทำได้แก่ ผู้ป่วยคนหนึ่งเวลาเดินผ่านศาลพระภูมิจะมีความคิดอยากทำลาย บางคนจะมีความคิดไม่ดีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (เช่นอยากเหยียบพระ / อยากด่าพระ ) ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้อยากจะคิดเลย ในเด็กที่พบเช่น บางคำมีความย้ำคิดว่า ไปด่าหรือพูดหยาบกับพ่อแม่ หรือบางคนก็คิดเรื่องเพศเป็นต้น อาการย้ำพูดก็พบได้บ้าง บางคนจะทำอะไรต้องพูดบรรยายประกอบการกระทำไปด้วย เช่นยกน้ำดื่ม ก็ต้องพูดประกอบไปด้วยว่า “เรากำลังยกน้ำด้วยมือขวา อ้าปาก วางแก้วลง ปล่อยมือ”


#โรคนี้พบบ่อยแค่ไหน
โรคย้ำคิดย้ำทำไม่ใช่โรคแปลกประหลาดหายาก ... ตรงกันข้าม กลับพบได้บ่อยถึง 2-3 % ในประชากรทั่วไป ซึ่งไม่ใช่น้อยเลยนะครับ เอาว่าใครมีเฟรนด์เกินร้อย ... ก็เป็นไปได้ว่าเพื่อนเรา 1-2 คนอาจจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำก็เป็นได้ เพียงแต่จากประสบการณ์ของผมพบว่าคนไทยส่วนใหญ่จะไม่มารับการรักษา ยกเว้นแต่ต้องเป็นมาก
ระดับสุดๆ เท่านั้น

โดย โรคย้ำคิดย้ำทำนี้ อาการมักจะเริ่มเป็นก่อนอายุ 25 ปี ส่วนใหญ่มีอาการตั้งแต่ตอนวัยรุ่น บางส่วนมีอาการช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น ๆ

อ่านถึงตอนนี้ ... ใครรู้สึกว่าตัวเอง หรือคนรู้จักเรามีอาการแบบนี้บ้างครับ 🙂

*************************************

เครดิตเรื่อง : หมอคลองหลวง
เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/wUMw9kBcfgi6FGpv6

18/06/2025

☀️ วิตามิน D กับ โรคซึมเศร้า - ใครสนใจเรื่องนี้อยู่ควรอ่าน


วิตามิน D ที่อยู่ในระดับ “เกือบต่ำ” หรือ “ต่ำจริง”
📉 สัมพันธ์กับโรคซึมเศร้า อย่างมีนัยสำคัญ

เพราะมีบทบาททั้งในเรื่อง เพิ่มสารสื่อประสาท + การต้านการอักเสบในสมอง ซึ่งตรงกับกลไกการเกิดโรคซึมเศร้าพอดี



🧠 วิตามิน D ส่งผลดีต่อสมองอย่างไร?

1️⃣ เพิ่มสารสื่อประสาท Serotonin
✔️ กระตุ้นการสร้าง serotonin จาก tryptophan
✔️ ยับยั้งประตู (SERT) → serotonin อยู่ในสมองนานขึ้น
✔️ ยับยั้งตัวทำลาย (MAO-A) → ลดการทำลาย serotonin

⚙️ ผล: serotonin สูงพอจะกระตุ้น BDNF
→ ช่วยการงอกแขนงเซลล์ประสาท กู้สมองที่เสียหาย



2️⃣ ลดการอักเสบในสมอง
✔️ กดการทำงานของ NF-κB ซึ่งเป็น ‘กุญแจ’ เปิดการสร้างสารก่ออักเสบ
✔️ ลดการเปลี่ยน TRP → QUIN ซึ่ง QUIN เร่งให้เกิดพิษจากกลูตาเมต
✔️ ลดเม็ดเลือดขาว Th1/Th17 (สายอักเสบ)
✔️ เพิ่มเม็ดเลือดขาว Th2/Treg (สายต้านอักเสบ)

⚙️ ผล: ลดการอักเสบ ลดการทำร้ายเซลล์ประสาท



🔄 ปัญหาคือวิตามิน D มันเรื่องมาก

ต้องผ่าน 3 ขั้นตอนก่อนใช้งานได้จริง:
1️⃣ ผิวหนัง: ต้องรับแดดจัดที่มี UVB (10–15 น.) >20% ผิว, 5–10 นาที
2️⃣ ตับ → แปลงเป็น 25(OH)D3
3️⃣ ไต → แปลงเป็น Calcitriol (ใช้งานได้)

❗️แต่คนยุคนี้โดนแดดน้อย + ทากันแดด → ขาดวิตามิน D ได้ง่าย



แล้วควรให้วิตามิน D รักษาโรคซึมเศร้ามั้ย? เพราะการที่เราบอกว่า โรคนี้เกิดจากสารนี้ขาด มันไม่ได้การันตีว่าการเติมสารนี้เข้าไปจะแก้โรคนี้ โดยเฉพาะถ้าโรคนี้มีหลายกลไก และมีหลายปัจจัย

📚 มาดูกันค่ะว่า เหล่าข้อมูลวิจัยแบบวิเคราะห์ภาพรวม
(Meta-analysis) พูดไว้ว่าอย่างไร?

🧪 Mikola et al. (2022)
วิตามิน D ช่วยลดอาการซึมเศร้า “เล็กน้อย”

🧪 Musazadeh et al. (2022)
ยืนยันว่า วิตามิน D ต่ำ → ซึมเศร้าเพิ่ม,
และ supplement ช่วยลดอาการได้จริง

⚠️ แต่หลักฐานยังมี ความหลากหลายสูง (Heterogeneity) และ บางงานมี bias สูง โดสที่ใช้ส่วนใหญ่ สูงกว่า 800 IU/day (มากกว่าที่ต้องการต่อวัน)



แล้วสรุปว่าไงดี?

⛔️ วิตามิน D ไม่ใช่ยาหลักของโรคซึมเศร้า
✅ ยาหลักยังเป็น ยาต้านเศร้า (Antidepressant)
➕ อาจใช้วิตามิน D เสริม (Add-on) ได้ในผู้ที่ขาด
❓การกินเพื่อ “ป้องกันซึมเศร้า” ยังอยู่ระหว่างศึกษา



สรุปนะคะ

1️⃣ วิตามิน D เพิ่ม serotonin + ลดการอักเสบ ตรงกับกลไกโรคซึมเศร้า
2️⃣ อาจมีบทบาทเป็นตัวเสริมการรักษา(ในคนที่ระดับต่ำ)
3️⃣ การให้ขึ้นกับดุลพินิจจิตแพทย์

18/06/2025

🧠 Hippocampus – สมองจิ๋วทรงพลัง ผู้แบกความทรงจำไว้ทั้งชีวิต

น้องฮิปโป (Hippocampus) คือนักสร้างความจำระยะยาว + งัดข้อมูลเก่าออกมาใช้ได้ทันใจ

แต่…น้องคนนี้ บอบบางขั้นสุด 😢


🚨 โดนอะไรนิดหน่อย…พังก่อนเพื่อน

▪️ ขาดเลือดนิดเดียว
⭢ เซลล์ hippocampus ตา-ยก่อนใคร

▪️ ขาดออกซิเจน ⭢ เซลล์ต-ายแบบรวดเร็ว


😤 เครียดเรื้อรังเหรอ? ได้เลย…
▪️ ความเครียด = Cortisol สูงลอย
▪️ Cortisol กดการสร้างเซลล์ประสาทใหม่
+ ของเดิมแตกแขนงน้อยลง
▪️ ยิ่งเครียดนาน น้องยิ่งฝ่อ


😔 โรคซึมเศร้าไม่ใช่แค่เศร้าใจ แต่น้องฮิปโปก็เศร้าด้วย
▪️ Cortisol พุ่ง ⭢ เซลล์ประสาทเสียสมดุล
▪️ Microglia (เม็ดเลือดขาวในสมอง) ปล่อยสารอักเสบ
▪️ สุดท้าย = สมองฝ่อจริง ไม่ใช่คำเปรียบเปรย


🌙 นอนน้อยแค่ไหน น้องก็รู้!
▪️ นอนน้อย = สมองไม่เคลียร์ขยะ
▪️ การสร้างความจำใหม่ลดลง
▪️ การแตกแขนงทำได้ลดลง ⭢ งัดความจำไม่ขึ้น


📉 ผลที่ตามมา =
จำอะไรไม่ได้ → วางของลืม
คิดอะไรช้าลง → เรียนยากขึ้น
เรียนไม่เข้าใจ → อ่านแล้วลืม
จะเก่งแค่ไหน ถ้าน้องฮิปโปไม่ไหว ก็จอดค่ะ


ดูแลน้องฮิปโปให้แข็งแรงไว้ ไม่เสียใจทีหลังนะ!

✅ นอนพอ (6–9 ชม.)
✅ นอนให้มีคุณภาพ (ห้องมืด, ไร้เสียงรบกวน)
✅ ถ้ามีอาการนอนกรนหรือหยุดหายใจ ต้องรักษา
✅ เครียดเรื้อรัง = รีบหาวิธีระบายออก
✅ ซึมเศร้า = พบแพทย์ อย่าฝืนลำพัง


🎯 เพราะ ทุกความสำเร็จในชีวิต เริ่มจากความจำดี
รักษาน้องฮิปโปให้พร้อมอยู่กับคุณไปอีกนานค่ะ

12/06/2025

Trauma คืออะไร
ทำไมใคร ๆ ถึงบอกว่า “ต้องเคลียร์”
คำว่า “Trauma” หรือ บาดแผลทางจิตใจ ไม่ใช่คำที่ใช้แทนประสบการณ์แย่ ๆ อย่างผิวเผิน หากแต่หมายถึง ผลกระทบระยะยาว ต่อระบบประสาท จิตใจ และตัวตนของบุคคล จากเหตุการณ์หรือสภาวะที่รุนแรงกว่าที่ระบบภายในจะรับมือไหว
Trauma is not what happens to you, but what happens inside you as a result of what happens to you.
– Dr. Gabor Maté
❖ Trauma ไม่ใช่เหตุการณ์ แต่คือสิ่งที่ยังตกค้าง
บาดแผลทางใจไม่จำเป็นต้องมาจากเหตุการณ์รุนแรงอย่างสงคราม การถูกล่วงละเมิด หรือภัยพิบัติเท่านั้น หากแต่ อาจเกิดจากการถูกทอดทิ้งทางอารมณ์อย่างต่อเนื่อง การเติบโตในครอบครัวที่ขาดความเข้าใจ หรือแม้แต่การถูกตัดสินซ้ำ ๆ จนทำให้เด็กคนหนึ่งเรียนรู้ว่า ความรู้สึกของเขาไม่มีความหมาย
Trauma จึงไม่ใช่สิ่งที่เราจะ “วัดความรุนแรง” ได้ด้วยสายตา
เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่า “เกิดอะไรขึ้น”
แต่คือ “ระบบประสาทของเราตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไร”
❖ ผลกระทบของ Trauma ลึกกว่าอารมณ์
Trauma คือการที่ระบบประสาทเข้าสู่ภาวะ “ตึงตลอดเวลา” โดยที่เจ้าของร่างกายอาจไม่รู้ตัว พฤติกรรมที่เกิดขึ้นหลัง Trauma จึงไม่ได้เป็นเรื่องของ “นิสัย” เสมอไป หากแต่เป็น “กลไกปกป้องตนเอง”
การเก็บตัว = ปกป้องตัวเองจากการถูกปฏิเสธ

การควบคุมทุกอย่าง = หยิบอำนาจกลับมา จากโลกที่เคยพรากมันไป

ความอ่อนไหวเกินเหตุ = ระบบเตือนภัยที่ยังไม่เคยถูกปิด
และที่น่ากังวลคือ Trauma ไม่ได้ส่งผลแค่กับ “ความรู้สึก”
แต่มันเปลี่ยนวิธีที่เรารับรู้โลก ความสัมพันธ์ และแม้แต่การมองตัวเอง
บางคนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ดี แต่รู้สึกไม่ปลอดภัย
บางคนได้รับความรัก แต่ไม่รู้สึกว่าตนมีคุณค่า
บางคนเกลียดการอยู่คนเดียว ทั้งที่ไม่เคยรู้ว่าเหงาแค่ไหนตอนเป็นเด็ก
❖ Trauma เกิดขึ้นได้อย่างไร?
นักจิตวิทยาแบ่ง Trauma อย่างกว้าง ๆ ออกเป็น 2 ประเภท:
Big T Trauma – เหตุการณ์รุนแรงและชัดเจน เช่น การถูกล่วงละเมิด ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ
Little t Trauma – ประสบการณ์ที่ดูเล็กน้อยในสายตาคนอื่น แต่สะสมเรื่อย ๆ จนกลายเป็นปม เช่น การถูกเปรียบเทียบ ถูกเพิกเฉย หรือการเติบโตมาในบ้านที่ไม่มีความปลอดภัยทางอารมณ์
สิ่งที่เหมือนกันคือ ระบบประสาทไม่สามารถ “ประมวล” เหตุการณ์นั้นได้จนจบ มันจึงวนอยู่ในร่างกายและจิตใจ ไม่ได้ผ่านไป แต่แช่แข็งไว้
ในทางชีววิทยา Trauma ก่อให้เกิดการ “dysregulation” ของระบบประสาท
ซึ่งหมายถึงร่างกายและใจไม่สามารถกลับสู่สมดุลได้แม้เหตุการณ์จะจบลงไปแล้ว
❖ แล้วทำไมต้อง “เคลียร์” ?
เพราะ Trauma จะไม่หายไปด้วยการ “บอกตัวเองให้ลืม”
หากเราไม่เปิดพื้นที่ให้ความรู้สึกได้เคลื่อนไหว
ไม่ให้เรื่องราวได้ถูกรับฟังอย่างปลอดภัย
ไม่ให้ร่างกายได้คืนจังหวะที่เหมาะสม
Trauma จะยังวนอยู่ใน “การตอบสนองอัตโนมัติ” ต่อชีวิต
Trauma ที่ไม่เคลียร์ มักแสดงออกในรูปของ:

🔥ความสัมพันธ์ที่ซ้ำแบบเดิม

🔥อารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้

🔥ความรู้สึกไร้พลังในชีวิต

🔥ความคิดตำหนิตัวเองตลอดเวลา
การเคลียร์ Trauma จึงไม่ใช่การลบอดีต
แต่คือการช่วยให้สมองและร่างกาย “ยอมรับว่าเหตุการณ์จบลงแล้ว”
คือการค่อย ๆ ฟื้นการรับรู้ว่า “ตอนนี้ฉันปลอดภัยแล้ว”
❖ การเยียวยา Trauma เป็นไปได้ และหลากหลาย
เครื่องมือในการเยียวยา Trauma มีหลายแนวทาง เช่น
✨Somatic Experiencing – ทำงานกับระบบประสาทผ่านร่างกาย

✨EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing) – ประมวลผลความทรงจำด้วยการเคลื่อนไหวตา

✨Internal Family Systems (IFS) – สำรวจ “พาร์ต” ภายในตัวเราอย่างเข้าใจ

✨Trauma-informed therapy – บำบัดแบบเข้าใจบริบทบาดแผล

✨Safe relationships – ความสัมพันธ์ที่ปลอดภัย คือเครื่องมือเยียวยาที่ทรงพลังที่สุด
❖ สุดท้ายแล้ว
การมี Trauma ไม่ใช่เรื่องผิด
การรู้สึกอะไร “เกินเหตุ” ก็ไม่ใช่ข้อบกพร่อง
สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานว่าเราคือมนุษย์
คือสิ่งมีชีวิตที่เคยเจ็บ และยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
และถ้าคุณกำลังอยู่ในระหว่างการฟื้นตัว
ขอให้รู้ไว้ว่า... มันอาจไม่ง่าย แต่มันเป็นไปได้

12/06/2025

#เหตุผลที่เราควรไปพบจิตแพทย์_ตอนที่1

#มีอาการที่ก่อความเดือดร้อน

|•••|•••|•••|•••|•••|•••|•••|•••|•••|

ปัจจุบันนี้คนไทยมีความรู้มากขึ้น เข้าใจว่าจิตแพทย์ไม่ได้รักษาแต่โรคจิต(psychotic disorder)เท่านั้น
หากนอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า ก็ไปหาได้

แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยว่า แล้วฉันต้องมีอาการ ”แค่ไหน” กันล่ะจึงจะไปพบจิตแพทย์

เราจะจัดว่าอาการนั้นๆเป็นภาวะที่ผิดปกติหรือเป็นโรค
ก็ต่อเมื่อเข้าเกณฑ์การวินิจฉัยค่ะ ซึ่งข้อสำคัญที่ต้องมีก็คือ

>>> อาการหรือพฤติกรรมเหล่านี้ มีความสำคัญทางการแพทย์ โดยปรากฏข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้

1. รู้สึกทุกข์ทรมานอย่างมากเกินกว่าที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
2. กิจกรรมด้านสังคม หรือการงาน(การศึกษา) บกพร่องลงอย่างสำคัญ

04/06/2025

ส่วนหนึ่งที่จำอะไรได้แย่ลงในภาวะเครียดเรื้อรัง/ซึมเศร้า
มันหายยาก เพราะไม่ใช่แค่ hippocampus พัง แต่ถนนมันก็พัง


ในภาวะปกติ ข้อมูลความที่เราจะจำเข้าสมองมา ถ้าเป็นความจำแนวเหตุการณ์/เนื้อหาการเรียน (Declarative memory/Episodic memory)

ข้อมูลจะถูกส่งมาที่ Hippocampus เพื่อสร้างวงจรชั่วคราว เหมือนเป็นความจำระยะสั้นมากๆ

จากนั้น Hippocampus จะต้องส่งสัญญาณกระจายไปทั่วสมอง
เรียกวงจรนี้ว่า Papez circuit


การที่ Hippocampus จะทำแบบนั้นได้
จะต้องให้สัญญาณเดินทางผ่านถนนที่ใหญ่มาก
ใจกลางสมอง

🛣️ ถนนมีชื่อว่า
‘ Fornix ‘


ในคนที่มีภาวะเครียดเรื้อรัง/โรคซึมเศร้า จะมี
✔️ Cortisol สูงลอย
✔️ เซลล์ microglia M1 ทำงานมากขึ้น
✔️ เกิดการอักเสบอ่อนๆ ในสมอง


เซลล์ที่ได้รับผลกระทบไปด้วยคือ
เซลล์ oligodendrocyte ซึ่งทำหน้าที่
สร้างปลอกฉนวน (เยื่อไมอิลิน) ให้ถนน fornix


ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นคือ ถนน fornix ขาดปลอกฉนวน
⮕ สัญญาณไฟฟ้ารั่วง่าย
⮕ สัญญาณไฟฟ้าเดินช้าลงมาก
⮕ บางครั้งอ่อนจนหายไปเอง

ผลคือ ข้อมูลความจำจาก hippocampus
ผ่านถนนนี้ไปได้ยากมาก

จึงเป็นที่มาว่า ทำไมเราจึงจำอะไรยากขึ้นมาก
และกว่าจะหายก็ต้องใช้เวลามาก เพราะเป็นหลายจุดค่ะ


และเนื่องจาก Fornix และ Hippocampus มันทำงานด้านอื่นด้วย โดยเฉพาะนึกความจำและประสานกับอารมณ์ มันเลยทำให้มีอาการหลากหลาย
❤️‍🩹 จำอะไรยาก เรียนรู้ยาก ดังที่ได้กล่าวไป
❤️‍🩹 นึกความจำยากขึ้น
❤️‍🩹 นึกความจำสุขๆ ก็ไม่รู้สึกสุข, แต่นึกว่าจำเศร้า เศร้ากว่าปกติ
❤️‍🩹 บางทีนึกแล้วไม่สุข ก็ไม่อยากนึก ไม่อยากทำอะไร เสริมอาการสิ้นยินดีให้แย่มาขึ้น


สรุป: ความเครียดเรื้อรัง/โรคซึมเศร้า
ทำให้ถนนที่ส่งความจำออกจาก hippocampus
มันวิ่งได้ช้า เหมือนถนนลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ
บางทีก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เลยฝังความจำยากค่ะ


ทำยังไงดี?
✅ ถ้าเป็นซึมเศร้าแล้ว กินยาต่อเนื่องค่ะ
✅ ออกกำลังกายระดับปานกลางขึ้นไป เพิ่ม BDNF ช่วยกู้ความผิดปกติกลับมาได้
✅ จิตบำบัดช่วยได้ค่ะ ช่วยฝึกวิธีรับมือกับความเครียด
✅ นอนให้ครบ 6 ชม เป็นอย่างน้อย หากมีปัญหาการนอนต้องรีบแก้
✅ คุมการกิน เพิ่มไฟเบอร์ ปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ให้มันช่วยสร้างต้านอักเสบ
✅ อาหารบางชนิดมีหลักฐานบ้างว่าช่วยได้ ส่วนใหญ่เป็นสายต้านอนุมูล เช่น omega-3
✅ ดนตรีช่วยได้ แต่ต้องเลือกเพลง
✅ รับแสงแดดช่วง 10-15 เพื่อสร้าง vitamin D

ที่อยู่

อาคารพาณิชย์ BIZPOINT 2
Chiang Mai
50100

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 19:30
อังคาร 09:00 - 19:30
พุธ 09:00 - 19:30
พฤหัสบดี 09:00 - 19:30
ศุกร์ 09:00 - 19:30
เสาร์ 09:00 - 12:00

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Jaidee clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Jaidee clinic:

แชร์