Jenny : Physio and Osteopath

Jenny : Physio and Osteopath (I accept private cases only.)

I offer holistic physical therapy and osteopathy for chronic pain, athletes, pregnant and postpartum women—combining exercise, nutrition, and manual techniques to support recovery, hormone balance, and weight loss.

…ไม่จำเป็นต้องป่วย หรือปวดหนักๆ ก็มาปรับโครงสร้างจัดโครงสร้างกันได้ 🥰 ขอบคุณคนไข้(ที่รักษากันไปมาจนสนิทกัน อิอิ) ที่แวะม...
02/06/2025

…ไม่จำเป็นต้องป่วย หรือปวดหนักๆ ก็มาปรับโครงสร้างจัดโครงสร้างกันได้ 🥰 ขอบคุณคนไข้(ที่รักษากันไปมาจนสนิทกัน อิอิ) ที่แวะมาหากันค่า ปรับโครงสร้างก่อนเดินทางทัวร์ยุโรปยาวๆไป เดินทางปลอดภัยนะคะ 🙏🏻🥰

“ปวดเรื้อรัง” ไม่ได้กระทบแค่ร่างกาย…⁉️👉🏻 แต่ยังส่งผลต่อการนอน อารมณ์ พลังงาน สมาธิ และความสุขในชีวิตประจำวันหลายคนอยู่กั...
10/04/2025

“ปวดเรื้อรัง” ไม่ได้กระทบแค่ร่างกาย…⁉️

👉🏻 แต่ยังส่งผลต่อการนอน อารมณ์ พลังงาน สมาธิ และความสุขในชีวิตประจำวัน

หลายคนอยู่กับความเจ็บปวดมานาน เพราะคิดว่าไม่มีทางเลือกนอกจากกินยา หรือผ่าตัด

🩺 แต่จริง ๆ แล้ว เราสามารถดูแลอาการเหล่านี้ได้ด้วยแนวทางธรรมชาติ โดยการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด + ออสธีโอพาที

🫶🏻 ปรับการเคลื่อนไหวให้สมดุล
🫶🏻 คลายจุดตึงด้วย manual techniques
🫶🏻 ฟื้นฟูร่างกายจากภายในด้วยการออกกำลังกายและการกินที่เหมาะสม

เจ็บมานาน… ถึงเวลาให้ร่างกายได้กลับมาหายใจโล่งอีกครั้ง

(ปล. ตอนนี้รับเฉพาะเคสส่วนตัวเท่านั้นนะคะ)

กินอะไรดี⁉️ เมื่อเกล็ดเลือดต่ำ 🩸✨หากมีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำ อ่อนเพลีย หรือฟื้นตัวช้า อาหารบางชนิดสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเ...
31/03/2025

กินอะไรดี⁉️ เมื่อเกล็ดเลือดต่ำ 🩸✨

หากมีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำ อ่อนเพลีย หรือฟื้นตัวช้า อาหารบางชนิดสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือดและเสริมสุขภาพเลือดได้ เรามาดูกันนะคะว่ามีอะไรบ้าง 👇🏻

🥩 1. อาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด
✅ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่
✅ ตับ (แหล่งของธาตุเหล็กและวิตามินบี 12)
✅ ไข่แดง
✅ ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม บรอกโคลี

🥑 2. อาหารที่มีกรดโฟลิกสูง

กรดโฟลิกช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
✅ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเลนทิล
✅ ผักใบเขียว เช่น หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำดาว
✅ อะโวคาโด
✅ ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง

🐟 3. อาหารที่ให้วิตามินบี 12

วิตามินบี 12 ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด
✅ ปลาและอาหารทะเล เช่น แซลมอน ปลาทูน่า หอยนางรม
✅ นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต ชีส
✅ เนื้อสัตว์และไข่

🥦 4. อาหารที่มีวิตามินเค

วิตามินเคช่วยให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น
✅ ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักกาดหอม ผักปวยเล้ง
✅ บรอกโคลี กะหล่ำปลี

🍉 5. อาหารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด

✅ น้ำทับทิม
✅ ฟักทองและเมล็ดฟักทอง
✅ มะละกอและใบมะละกอ

🍊 6. เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กด้วยวิตามินซี

กินอาหารที่มี วิตามินซี คู่กับอาหารที่มีธาตุเหล็ก จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
✅ ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะเขือเทศ พริกหวาน

❌ อาหารที่เราควรหลีกเลี่ยง
-แอลกอฮอล์ (ยับยั้งการสร้างเม็ดเลือด)
-เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา (ลดการดูดซึมธาตุเหล็ก)

แต่หากเกล็ดเลือดต่ำมาก ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางรักษาที่เหมาะสมต่อไปนะคะ 🫶🏻☺️

#เกล็ดเลือดต่ำ #อาหารบำรุงเลือด #สุขภาพดีสร้างได้

👉🏻“นอนไม่พอ = ฟื้นฟูร่างกายไม่เต็มที่ เสี่ยงพังทั้งระบบ” ⁉️รู้ไหมคะ ช่วงที่เราหลับลึก (Deep Sleep) เป็นเวลาที่ร่างกายซ่อ...
30/03/2025

👉🏻“นอนไม่พอ = ฟื้นฟูร่างกายไม่เต็มที่ เสี่ยงพังทั้งระบบ” ⁉️

รู้ไหมคะ ช่วงที่เราหลับลึก (Deep Sleep) เป็นเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง ทั้งกล้ามเนื้อ สมอง และระบบภูมิคุ้มกัน แต่ถ้านอนไม่พอ หรือไม่หลับลึก ร่างกายจะฟื้นตัวได้ไม่ดี ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ดังนี้ค่ะ 👇🏻

🛑 กล้ามเนื้อซ่อมแซมช้า
-โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) หลั่งน้อยลง ทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อฟื้นตัวช้า เสี่ยงบาดเจ็บง่าย

🛑 ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
-ร่างกายสร้าง “ไซโตไคน์” ลดลง ทำให้ป่วยง่าย ติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น

🛑 สมองล้า-ความจำแย่ลง
-ระบบ Glymphatic System ทำงานไม่เต็มที่ ของเสียสะสมในสมอง เสี่ยงอัลไซเมอร์ สมาธิลดลง

🛑 ฮอร์โมนรวน น้ำหนักขึ้นง่าย
-คอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) สูงขึ้น ทำให้เครียดง่าย และกระตุ้นความอยากอาหาร เพิ่มโอกาสอ้วน

🛑 ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักขึ้น
-ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจไม่ได้พัก เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น

💡 หากเราอยากให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี เราต้องนอนให้พอและมีคุณภาพ

✅ นอน 7-9 ชั่วโมงทุกคืน
✅ หลีกเลี่ยงคาเฟอีนหลังบ่าย
✅ ลดแสงสีฟ้าก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง
✅ จัดห้องนอนให้เงียบ มืด และเย็นสบาย
✅ มีตารางนอนที่สม่ำเสมอทุกวัน

การนอนดี = การฟื้นฟูดี หากเราดูแลการนอนให้ดี ร่างกายเราก็จะแข็งแรงไปยาวๆนะคะ 💪💤

เคยสังเกตกันไหม⁉️ อาจจะมีอาหารที่เราทานอยู่ กระตุ้นอาการภูมิแพ้โดยไม่รู้ตัวได้ 🩺🥘เคยไหม? อยู่ดีๆ อาการภูมิแพ้ก็กำเริบขึ้...
20/03/2025

เคยสังเกตกันไหม⁉️ อาจจะมีอาหารที่เราทานอยู่ กระตุ้นอาการภูมิแพ้โดยไม่รู้ตัวได้ 🩺🥘

เคยไหม? อยู่ดีๆ อาการภูมิแพ้ก็กำเริบขึ้นมา ทั้งที่ไม่ได้สัมผัสฝุ่น ควัน หรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ อาจเป็นเพราะ อาหารบางชนิด ที่เรารับประทานไปกระตุ้นให้เกิดอาการโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วอาหารอะไรบ้างที่อาจทำให้อาการแพ้แย่ลง

1. อาหารที่ก่อภูมิแพ้โดยตรง

อาหารบางชนิดเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย แม้เราจะไม่เคยแพ้มาก่อน ก็อาจมีอาการแพ้แฝงได้ เช่น
✅ นมวัว และผลิตภัณฑ์จากนม (ชีส โยเกิร์ต)
✅ ไข่ โดยเฉพาะไข่ขาว
✅ ถั่วลิสง และถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ วอลนัท
✅ อาหารทะเล และหอย
✅ ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
✅ ข้าวสาลี และกลูเตน

2. อาหารที่กระตุ้นอาการแพ้ทางอ้อม

บางชนิดอาจไม่ใช่สารก่อภูมิแพ้โดยตรง แต่ทำให้ร่างกายหลั่งฮีสตามีนมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิแพ้กำเริบ เช่น
⚡ อาหารหมักดอง เนยแข็ง ไวน์ เบียร์
⚡ มะเขือเทศ อะโวคาโด สตรอว์เบอร์รี
⚡ อาหารแปรรูปที่มีสารกันบูด เช่น ผงชูรส ซัลไฟต์ ไนเตรต

3. อาหารที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

บางอย่างอาจไม่กระตุ้นอาการแพ้โดยตรง แต่ทำให้ร่างกายอักเสบและไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากขึ้น เช่น
❌ น้ำตาลสูง เช่น เครื่องดื่มหวาน ขนมเค้ก
❌ อาหารทอด ไขมันทรานส์
❌ แอลกอฮอล์ และคาเฟอีนในปริมาณมาก

ทำอย่างไรดี?

✔ สังเกตตัวเองหลังรับประทานอาหาร
✔ ลองงดอาหารที่สงสัยว่ากระตุ้นอาการ (Elimination diet)
✔ เลือกอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ผัก ผลไม้ โอเมก้า-3
✔ อ่านฉลากอาหารอย่างละเอียด

หากใครที่มีอาการภูมิแพ้ที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือมีอาการภูมิแพ้อยู่ ลองปรับอาหารดูก่อน อาจช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้นะคะ🫶🏻☺️

✋🏻 หยุดผมร่วง 👉🏻 ฟื้นฟูเส้นผมด้วยโภชนาการและการดูแลแบบองค์รวมผมร่วง เป็นปัญหาที่หลายคนเผชิญ และสาเหตุอาจมาจากทั้งโภชนากา...
19/03/2025

✋🏻 หยุดผมร่วง 👉🏻 ฟื้นฟูเส้นผมด้วยโภชนาการและการดูแลแบบองค์รวม

ผมร่วง เป็นปัญหาที่หลายคนเผชิญ และสาเหตุอาจมาจากทั้งโภชนาการ ฮอร์โมน ความเครียด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต การแก้ปัญหาแบบ Holistic & Nutritional คือการดูแลจากภายในสู่ภายนอก ดังนี้

1. บำรุงจากภายในด้วยโภชนาการที่เหมาะสม
- โปรตีน: โครงสร้างหลักของเส้นผม (พบใน ไข่ ปลา ถั่ว)
- ธาตุเหล็ก: ป้องกันผมร่วงจากภาวะโลหิตจาง (พบใน เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว)
- สังกะสี (Zinc): กระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม (พบใน อาหารทะเล เมล็ดฟักทอง)
- วิตามินบีรวม (B-complex): โดยเฉพาะ ไบโอติน (B7) ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง
- โอเมก้า-3 และวิตามินดี: ลดการอักเสบของหนังศีรษะ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
- สารต้านอนุมูลอิสระ: ปกป้องรากผมจากความเสียหาย (พบใน เบอร์รี่ ถั่ว ผักใบเขียว)

2. ปรับสมดุลฮอร์โมน ลดความเครียด
- ตรวจเช็กไทรอยด์หากมีอาการผมร่วงผิดปกติ
- ภาวะ PCOS อาจทำให้ผมบางในผู้หญิง
- ลดความเครียดด้วยการ ออกกำลังกาย โยคะ และนอนหลับให้เพียงพอ

3. ปรับพฤติกรรมและดูแลภายนอก
- หลีกเลี่ยงสารเคมีและความร้อนจากการทำผม
- นวดหนังศีรษะด้วย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันละหุ่ง หรือน้ำมันโรสแมรี่
- สระผมด้วยสมุนไพรไทย เช่น มะกรูด อัญชัน

4. ตรวจเช็กสุขภาพผม
👉🏻 หากผมร่วงมากเกินไป อาจเกิดจาก
- การขาดสารอาหาร เช่น เฟอร์ริตินต่ำ (Ferritin) หรือ วิตามินดีต่ำ
- โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น Alopecia Areata
- ปัญหาลำไส้ เช่น ภาวะลำไส้รั่วที่ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไม่ดี

✅ การดูแลผมร่วงให้ได้ผลต้องมองแบบองค์รวม ปรับโภชนาการ ดูแลฮอร์โมน ลดความเครียด และบำรุงจากภายนอก ลองปรับพฤติกรรมดูนะคะ 🧡☺️

#สุขภาพเส้นผม #บำรุงจากภายใน

🤱🏻 ฮอร์โมนในคุณแม่ให้นมบุตรมีผลต่อการสร้างกล้ามเนื้อหรือไม่ ⁉️👉🏻 หลังคลอด คุณแม่ที่ให้นมบุตรจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน...
14/03/2025

🤱🏻 ฮอร์โมนในคุณแม่ให้นมบุตรมีผลต่อการสร้างกล้ามเนื้อหรือไม่ ⁉️

👉🏻 หลังคลอด คุณแม่ที่ให้นมบุตรจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลายชนิด ซึ่งอาจส่งผลต่อกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ให้นมบุตร แต่มันมีผลมากน้อยแค่ไหน ❓ วันนี้เรามาหาคำตอบด้วยกันค่ะ❓

ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงให้นมบุตร ได้แก่

1.เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
👉🏻 ระดับของฮอร์โมนทั้งสองลดลงอย่างมากหลังคลอด
👉🏻 อาจส่งผลต่อมวลกล้ามเนื้อ เนื่องจากเอสโตรเจนมีบทบาทในการป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูของร่างกาย

2.โปรแลคติน (Prolactin)
👉🏻 เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการผลิตน้ำนม
👉🏻 มีหลักฐานว่าโปรแลคตินอาจส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น ซึ่งอาจมีผลต่อองค์ประกอบของร่างกาย แต่ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบต่อมวลกล้ามเนื้อ

3.ออกซิโทซิน (Oxytocin)
👉🏻 ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำนมและทำให้มดลูกหดตัว
👉🏻 แม้ว่าจะมีบทบาทในการลดความเครียดและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าออกซิโทซินช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ

4.คอร์ติซอล (Cortisol)
👉🏻 ฮอร์โมนความเครียดที่อาจสูงขึ้นในช่วงหลังคลอดและการเลี้ยงลูก
👉🏻 หากระดับสูงเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดการสลายกล้ามเนื้อมากขึ้น

🤷🏻‍♀️ แล้วคุณแม่ให้นมสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้มากน้อยแค่ไหน ⁉️

👉🏻 เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้ให้นมบุตร คุณแม่ให้นมอาจมีความท้าทายบางอย่างในการสร้างกล้ามเนื้อ เช่น

- พลังงานที่ร่างกายใช้ไปในการผลิตน้ำนม (ประมาณ 400-500 kcal/วัน)
- การพักผ่อนที่อาจไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อ
- การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่อาจส่งผลต่อระบบเผาผลาญ

✨แต่ข่าวดี ✨ คือ คุณแม่ให้นมบุตรยังสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้นะคะ

หากมีโภชนาการที่เหมาะสมและออกกำลังกายอย่างถูกต้อง ร่างกายสามารถตอบสนองต่อการฝึกแรงต้าน (Resistance Training) ได้ดี ไม่ว่าจะให้นมบุตรหรือไม่ก็ตาม

📍แนวทางออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ให้นมที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ

✅ กินโปรตีนให้เพียงพอ ▶️ โปรตีนเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างกล้ามเนื้อ คุณแม่ให้นมควรได้รับโปรตีนอย่างน้อย 1.5-2.0 กรัม/กิโลกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน

✅ เลือกการออกกำลังกายแบบแรงต้าน (Resistance Training) ▶️ ควรเริ่มต้นจากน้ำหนักเบา-ปานกลาง แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักเมื่อร่างกายปรับตัวได้

✅ ให้เวลากับการฟื้นตัว ▶️ การนอนหลับไม่เพียงพออาจลดประสิทธิภาพของการสร้างกล้ามเนื้อ พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ

✅ เติมพลังงานให้เหมาะสม ▶️ อย่าลืมว่าร่างกายต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการผลิตน้ำนม ดังนั้นควรรับประทานอาหารให้เพียงพอ

เห็นไหมคะ ว่า 👉🏻 คุณแม่ให้นมบุตรสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ไม่ต่างจากคนที่ไม่ได้ให้นมบุตร แต่ต้องให้ความสำคัญกับโภชนาการ การพักผ่อน และรูปแบบการฝึกที่เหมาะสม ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัย 📝 ที่ระบุชัดเจนว่าการให้นมบุตรทำให้สร้างกล้ามเนื้อได้มากหรือน้อยกว่าปกติ แต่การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการดูแลตัวเองจะช่วยให้คุณแม่แข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน

หากคุณแม่หลายๆท่าน กำลังวางแผนออกกำลังกาย อย่าลืมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยนะคะ 💪☺️🫶🏻

Dynamic Stretching คืออะไร ⁉️Dynamic stretching หรือ การยืดกล้ามเนื้อแบบไดนามิก เป็นการยืดเหยียดที่ใช้การเคลื่อนไหวต่อเน...
13/03/2025

Dynamic Stretching คืออะไร ⁉️

Dynamic stretching หรือ การยืดกล้ามเนื้อแบบไดนามิก เป็นการยืดเหยียดที่ใช้การเคลื่อนไหวต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อ ก่อนการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาค่ะ

ซึ่งข้อดีของ Dynamic Stretching มีดังนี้🫶🏻

1. เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนออกกำลังกาย
- ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและเพิ่มอุณหภูมิของกล้ามเนื้อ
- ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ เช่น อาการกล้ามเนื้อตึงหรือฉีกขาด

2. เพิ่มความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
- ช่วยให้ข้อต่อและเส้นเอ็นมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- ลดความฝืดของกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

3. พัฒนาสมรรถภาพทางกีฬาและความคล่องตัว
- ปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
- เหมาะสำหรับกีฬาที่ต้องการความเร็วและความคล่องตัว เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล และวิ่ง

4. ลดโอกาสเกิดอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
- การยืดกล้ามเนื้อแบบไดนามิกช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้าสู่การออกกำลังกายได้ดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงของตะคริวหรือการบาดเจ็บจากการใช้กล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว

5. เพิ่มประสิทธิภาพของการออกกำลังกาย
- ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
- เพิ่มพลังและความเร็วในการออกแรง

👉🏻ยกตัวอย่าง Dynamic Stretching ที่นิยมใช้กัน

✅ Leg Swings – แกว่งขาไปข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการวิ่ง
✅ Arm Circles – หมุนแขนเป็นวงกลมเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังหัวไหล่
✅ Lunges with Rotation – ท่าลันจ์พร้อมหมุนตัว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของสะโพกและลำตัว
✅ High Knees – ยกเข่าสูงเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อขาและสะโพก

Dynamic stretching เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเตรียมร่างกายก่อนออกกำลังกาย เพราะช่วยให้กล้ามเนื้อพร้อมใช้งาน ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใครสนใจ ก็ลองศึกษาเพิ่มเติม และนำไปปรับใช้กันนะคะ ☺️🫶🏻

👩🏻‍⚕️ทำไมเราถึงป่วยบ่อย⁉️หลายคนเคยสงสัยกันไหมคะ ว่าทำไมตัวเองถึงป่วยบ่อย ทั้งๆที่เรา ก็ดูแลตัวเองพอสมควร 👉🏻 อาการเหล่านี...
13/03/2025

👩🏻‍⚕️ทำไมเราถึงป่วยบ่อย⁉️

หลายคนเคยสงสัยกันไหมคะ ว่าทำไมตัวเองถึงป่วยบ่อย ทั้งๆที่เรา ก็ดูแลตัวเองพอสมควร 👉🏻 อาการเหล่านี้มักเกิดจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสุขภาพจิต ทีนี้เรามาดูกันค่ะ ว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง แล้วเราจะแก้ไขได้อย่างไร

❌สาเหตุที่ทำให้ป่วยบ่อย

1.ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
❎ขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น วิตามิน C, D, Zinc
❎พักผ่อนไม่เพียงพอ
❎ความเครียดเรื้อรัง

2.พักผ่อนไม่เพียงพอ
❎การนอนน้อยกว่า 6–7 ชั่วโมงต่อวันส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวได้ไม่ดี
❎การนอนดึกทำให้ฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมร่างกายลดลง

3.ความเครียดสะสม
❎ความเครียดสูงทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป ซึ่งกดภูมิคุ้มกัน
❎ส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่าย

4.ออกกำลังกายน้อยเกินไป หรือมากเกินไป
❎การขาดการออกกำลังกายทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตและภูมิคุ้มกันทำงานไม่ดี
❎ออกกำลังกายหนักเกินไป โดยไม่พักฟื้นเพียงพอ อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลง

5.โภชนาการไม่สมดุล
❎กินอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และไขมันทรานส์มากเกินไป
❎ดื่มน้ำน้อย ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและขับสารพิษทำงานได้ไม่เต็มที่

6.สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมเสี่ยง
❎อยู่ในที่แออัดหรืออากาศไม่ถ่ายเท
❎ล้างมือไม่บ่อย หรือสัมผัสใบหน้าบ่อย

👩🏻‍⚕️แล้ววิธีดูแลตนเองเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงมีอะไรบ้างมาดูกัน🏋🏻‍♀️

1. ปรับอาหารให้สมดุล
✨กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อเสริมวิตามินและแร่ธาตุ
✨เลี่ยงอาหารแปรรูป ลดน้ำตาล และไขมันทรานส์
✨เพิ่มโปรตีนคุณภาพ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ไข่ ถั่ว
✨ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ (วันละ 2-3 ลิตร)

2. นอนหลับให้เพียงพอและมีคุณภาพ
✨เข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา
✨ปิดหน้าจอมือถือก่อนนอนอย่างน้อย 30-60 นาที
✨สร้างบรรยากาศห้องนอนให้เงียบและมืด

3. บริหารความเครียด
✨ฝึกหายใจลึกๆ หรือทำสมาธิวันละ 5-10 นาที
✨ใช้เวลากับธรรมชาติ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ
✨หากรู้สึกเครียดมาก ควรพูดคุยกับคนใกล้ชิด

4. ออกกำลังกายให้เหมาะสม
✨ทำคาร์ดิโอเบาๆ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
✨ฝึกแรงต้าน เช่น เวทเทรนนิ่ง หรือโยคะ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
✨หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักเกินไปโดยไม่มีวันพัก

5. ป้องกันการติดเชื้อ
✨ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
✨หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
✨ดูแลสุขอนามัยในที่อยู่อาศัย

6. เสริมภูมิคุ้มกันด้วยวิตามินและแร่ธาตุ
✨วิตามิน C: พบในส้ม ฝรั่ง บร็อคโคลี
✨วิตามิน D: รับแสงแดดช่วงเช้า และกินปลาแซลมอน ไข่แดง
✨Zinc: มีในถั่ว ธัญพืช อาหารทะเล

👉🏻 การที่เราป่วยบ่อยๆอาจเป็นสัญญาณ ที่บอกเราว่าร่างกายของเรา ต้องการการดูแลที่ดีขึ้น หากเราปรับพฤติกรรมการกิน พักผ่อน ออกกำลังกาย และจัดการความเครียดได้ดี สุขภาพก็จะแข็งแรงขึ้น และลดโอกาสป่วยได้มากขึ้นนะคะ 🫶🏻👩🏻‍⚕️

👉🏻 ค่า Lactate สำคัญกับการฝึกซ้อมในนักกีฬายังไง ✨Lactate คืออะไร⁉️Lactate (หรือกรดแลคติก) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเผาผล...
10/03/2025

👉🏻 ค่า Lactate สำคัญกับการฝึกซ้อมในนักกีฬายังไง ✨

Lactate คืออะไร⁉️

Lactate (หรือกรดแลคติก) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเผาผลาญพลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic metabolism) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายต้องการพลังงานอย่างรวดเร็ว เช่น ในการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือความเข้มข้นสูง

Lactate Threshold (LT) คืออะไร⁉️

📝 Lactate Threshold หรือ “จุดที่ร่างกายเริ่มสะสมแลคเตตอย่างรวดเร็ว” เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการพัฒนาสมรรถภาพของนักกีฬา โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 50-80% ของ VO2 max ขึ้นอยู่กับระดับความฟิตของแต่ละบุคคล

- หากออกกำลังกายต่ำกว่า LT ร่างกายสามารถกำจัดแลคเตตได้ทัน
- หากออกกำลังกายสูงกว่า LT แลคเตตจะสะสมในเลือด ส่งผลให้เกิดความล้า

✨ความสำคัญของค่า Lactate ในการฝึกซ้อมกีฬา✨

1.พัฒนาความทนทาน (Endurance Training)
- นักกีฬาความอดทน เช่น นักวิ่ง นักปั่นจักรยาน มักฝึกที่ Zone 2-3 (ต่ำกว่า LT) เพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้พลังงานแบบแอโรบิกและลดการสะสมแลคเตต

2.ฝึกเพื่อเพิ่ม LT (Threshold Training)
- นักกีฬาสามารถเลื่อน LT ให้สูงขึ้นได้โดยฝึกที่ระดับ ใกล้ LT (Zone 3-4) เช่น Tempo Run หรือ Sweet Spot Training
- ช่วยให้สามารถออกกำลังกายที่ความเข้มข้นสูงขึ้นได้นานขึ้น

3.การฝึกแบบ Interval Training เพื่อเพิ่ม Lactate Clearance
- การฝึก Interval หรือ HIIT ที่มีช่วงพักที่เหมาะสมช่วยให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะจัดการแลคเตตได้ดีขึ้น
- เช่น ฝึก 3-5 นาทีที่ Zone 4-5 แล้วพักสั้น ๆ จะช่วยพัฒนาทั้งระบบแอโรบิกและความสามารถในการกำจัดแลคเตต

4.การฝึกที่เกิน LT (Anaerobic Capacity Training)
- การออกกำลังกายหนักมาก เช่น Sprint หรือการฝึกที่ Zone 5-6 จะเพิ่มความสามารถในการใช้พลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

วิธีตรวจวัดค่า Lactate🩸

- ใช้เครื่องวัดแลคเตตจากตัวอย่างเลือดขณะออกกำลังกาย
- ใช้การคำนวณจากอัตราการเต้นของหัวใจ หรือการใช้ FTP (Functional Threshold Power) ในกีฬาปั่นจักรยาน

📑 ค่า Lactate เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้นักกีฬาวางแผนการฝึกซ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจ LT และการพัฒนาความสามารถของร่างกายในการจัดการแลคเตตจะช่วยให้สามารถออกกำลังกายที่ความเข้มข้นสูงขึ้นได้นานขึ้น ลดอาการล้า และเพิ่มสมรรถภาพโดยรวมได้ค่ะ 🫶🏻☺️

👉🏻ปัญหาเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ: วิธีดูแลตัวเองและการทำกายภาพบำบัด👩🏻‍⚕️🩺👩🏻‍⚕️ภาวะเข่าเสื่อมคืออะไร⁉️โรคข้อเข่าเสื่อม (Oste...
10/03/2025

👉🏻ปัญหาเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ: วิธีดูแลตัวเองและการทำกายภาพบำบัด👩🏻‍⚕️🩺

👩🏻‍⚕️ภาวะเข่าเสื่อมคืออะไร⁉️

โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นภาวะที่กระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าค่อยๆ สึกหรอ ทำให้เกิดอาการปวด ข้อฝืด และเคลื่อนไหวลำบาก พบได้บ่อยในผู้สูงอายุเนื่องจากการใช้งานข้อเข่ามาเป็นเวลานาน

📋 สาเหตุของข้อเข่าเสื่อม

1.อายุที่มากขึ้น – กระดูกอ่อนเสื่อมตามธรรมชาติ
2.น้ำหนักตัวมาก – เพิ่มแรงกดบนข้อเข่า
3.การใช้งานข้อเข่าหนัก – เช่น การนั่งพับเพียบ คุกเข่า หรือขึ้นลงบันไดบ่อยๆ
4.กล้ามเนื้อรอบเข่าอ่อนแรง – ทำให้ข้อเข่ารับน้ำหนักมากขึ้น
5.กรรมพันธุ์ – บางคนมีแนวโน้มเป็นโรคนี้จากพันธุกรรม

อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม

❌ ปวดเข่า โดยเฉพาะเวลายืน เดิน หรือขึ้นลงบันได
❌ ข้อเข่าฝืดตอนเช้าหรือนั่งนานๆ
❌ ข้อเข่าบวม มีเสียงดังกรอบแกรบเมื่อเคลื่อนไหว
❌ ข้อเข่าผิดรูป หรือขาโก่ง

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นข้อเข่าเสื่อม🫶🏻

1.ควบคุมน้ำหนัก – ลดแรงกดบนข้อเข่า
2.หลีกเลี่ยงท่าที่ทำร้ายข้อเข่า เช่น การนั่งยองๆ หรือนั่งพับเพียบ
3.ใส่รองเท้าที่รองรับแรงกระแทกได้ดี
4.ประคบร้อน-เย็น – เพื่อลดอาการปวดและบวม
5.รับประทานอาหารบำรุงข้อเข่า เช่น ปลาแซลมอน ผักใบเขียว ถั่ว และคอลลาเจนจากธรรมชาติ

👩🏻‍⚕️ การทำกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม

กายภาพบำบัดช่วยลดอาการปวด เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบเข่า และทำให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

ตัวอย่างการทำกายภาพบำบัด
🩺 เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound Therapy) – ช่วยลดอักเสบและเพิ่มการไหลเวียนเลือด
🩺 TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) – ใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นเพื่อลดปวด
🩺 การดัดข้อต่อและยืดกล้ามเนื้อ (Manual Therapy) – เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อ
🩺 การออกกำลังกายบำบัด – ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า

👉🏻 การออกกำลังกายสำหรับผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อม

การออกกำลังกายช่วยชะลอความเสื่อมของข้อเข่า โดยเน้นที่การเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดแรงกระแทกต่อข้อ

ตัวอย่างท่าบริหารสำหรับผู้มีข้อเข่าเสื่อม🏋🏻‍♀️

✅ ท่าเกร็งต้นขา (Quadriceps Set)
- นั่งหรือนอนเหยียดขา เกร็งต้นขาและกดเข่าลงกับพื้น ค้างไว้ 5-10 วินาที ทำ 10-15 ครั้ง

✅ ท่ายกขาตรง (Straight Leg Raise)
- นอนราบ ยกขาขึ้นตรงๆ ค้างไว้ 5-10 วินาที ทำ 10 ครั้ง

✅ ท่าลุก-นั่งจากเก้าอี้ (Sit to Stand)
- ฝึกกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพก นั่งลงและลุกขึ้นช้าๆ โดยใช้กำลังจากขา

✅ การปั่นจักรยานอยู่กับที่ – ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อเข่า

✅ การเดินในน้ำ – ลดแรงกระแทกและช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่สามารถดูแลและชะลอความเสื่อมได้โดยการควบคุมน้ำหนัก เลือกใช้ท่าทางที่เหมาะสม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การทำกายภาพบำบัดยังช่วยบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว ทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้นค่ะ ☺️🫶🏻

กายภาพบำบัดสำหรับการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor) หลังคลอด 🤰📝 หลังคลอด กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floo...
09/03/2025

กายภาพบำบัดสำหรับการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor) หลังคลอด 🤰

📝 หลังคลอด กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Muscles) มักจะอ่อนแรงหรือสูญเสียความแข็งแรงจากการยืดขยายระหว่างตั้งครรภ์และคลอดบุตร ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น

✅ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Urinary Incontinence)
✅ มดลูกหรืออวัยวะภายในหย่อน (Pelvic Organ Prolapse)
✅ ปวดบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือหลังส่วนล่าง
✅ ลดความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อขณะมีเพศสัมพันธ์

ดังนั้น การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ร่างกายกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหลังคลอด

👉🏻 การออกกำลังกาย Kegel

เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงขึ้น โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
1️⃣ หายใจเข้าลึกๆ แล้วขมิบกล้ามเนื้อเหมือนกำลังกลั้นปัสสาวะ
2️⃣ ค้างไว้ 5-10 วินาที จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลาย
3️⃣ ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ต่อรอบ วันละ 3 รอบ

เคล็ดลับ
- อย่ากลั้นหายใจขณะทำ Kegel นะคะ
- ฝึกขมิบในท่านั่ง ยืน และนอนเพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีในทุกท่าทาง

👉🏻 การฝึกหายใจแบบ Diaphragmatic Breathing

ช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) และอุ้งเชิงกรานทำงานสัมพันธ์กัน
✅ นอนหงาย วางมือที่หน้าท้อง
✅ หายใจเข้าลึกๆ ให้หน้าท้องพองขึ้น
✅ หายใจออกช้าๆ พร้อมขมิบอุ้งเชิงกรานเบาๆ

👉🏻 การออกกำลังกายแบบ Functional Training

เน้นการฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานร่วมกับกล้ามเนื้อส่วนอื่น เช่น
✅ Bridge Exercise – ฝึกกล้ามเนื้อสะโพกและอุ้งเชิงกราน
✅ Squat with Pelvic Floor Activation – ฝึกขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานขณะย่อตัว

👉🏻 การใช้ Biofeedback หรือ Electrical Stimulation

สำหรับคุณแม่ที่ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ดี สามารถใช้เครื่องมือช่วย เช่น
✔️ Biofeedback – ช่วยให้เห็นการทำงานของกล้ามเนื้อผ่านหน้าจอ
✔️ Electrical Stimulation – กระตุ้นกล้ามเนื้อให้ทำงานโดยใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ

👉🏻 การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

✅ หลีกเลี่ยงการยกของหนักในช่วงแรก
✅ หลีกเลี่ยงการเบ่งแรงเกินไปขณะขับถ่าย
✅ ฝึกขยับร่างกายอย่างเหมาะสม เช่น ลุกขึ้นจากเตียงโดยใช้แรงจากสะโพกและขาแทนหลัง

👉🏻เมื่อไหร่ควรไปพบนักกายภาพบำบัด⁉️

หากคุณแม่มีอาการต่อไปนี้ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากนักกายภาพบำบัด

❌ กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่หลัง 6 สัปดาห์
❌ รู้สึกว่ามีแรงกดหรือหย่อนบริเวณอุ้งเชิงกราน
❌ ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
❌ ปวดอุ้งเชิงกรานหรือหลังส่วนล่างเรื้อรัง

การฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหลังคลอดเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ การทำกายภาพบำบัดจะช่วยให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง ลดอาการไม่พึงประสงค์ และช่วยให้คุณแม่กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจค่ะ ☺️🫶🏻

ที่อยู่

มหิดล
Chiang Mai
50100

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66918512418

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Jenny : Physio and Osteopathผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram