07/08/2025
เห็นมีข่าวทหารเริ่มเป็นมาลาเรีย ผมจะขอเล่าเรื่องราวของ โรคมาลาเรีย ให้ฟังนะครับ
จุดเริ่มต้นของโรคนี้ เริ่มจากเชื้อโรคที่ตัวมันเล็กมากๆ เล็กจนไม่เห็นด้วยตาเปล่า เชื้อนี้ก็คือ พลาสโมเดียม (Plasmodium) ซึ่งเป็นปรสิตเซลล์เดียว หรือที่เราเรียกว่า‘โปรโตซัว’นั่นเองครับ
โปรโตซัวตัวนี้มีหลายสายพันธุ์ แต่ตัวที่ร้ายกาจและสร้างปัญหาให้กับแถบบ้านเรามากที่สุด คือ พลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม (Plasmodium falciparum) และ พลาสโมเดียม ไวแวกซ์ (Plasmodium vivax) เชื้อพวกนี้มีการเจริญเติบโตแปลงร่างได้หลายระยะ แต่ละระยะก็จะมีชื่อเรียกเฉพาะของมัน
การเดินทางของมาลาเรีย: จากยุงสู่คน
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่ ยุงก้นปล่องตัวเมีย ไม่ใช่ยุงธรรมดาที่กัดเราทั่วไปนะครับ แต่เป็นยุงได้รับเชื้อมาลาเรียมาก่อน ยุงตัวนี้เปรียบเสมือนพาหนะที่จะนำผู้ร้ายเข้ามาในร่างกายของเรา
พอยุงก้นปล่องตัวเมียที่ติดเชื้อกัดเรา มันจะปล่อยผู้ร้ายตัวจิ๋ว หรือที่เรียกว่า สปอโรซอยต์ (Sporozoite) เข้าไปในกระแสเลือดของเราโดยตรง สปอโรซอยต์เหล่านี้จะเดินทางอย่างรวดเร็วไปยังเป้าหมายแรก นั่นก็คือ “ตับ” ครับ
ภารกิจแรกของผู้ร้าย: ยึดครองตับ
พอสปอโรซอยต์ไปถึงตับ มันก็จะเข้าไปซ่อนตัวและขยายพันธุ์อย่างเงียบๆ ภายในเซลล์ตับ ช่วงนี้ผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการใดๆ เลยครับ เปรียบเหมือนผู้ร้ายกำลังซ่องสุมกำลังพลอยู่ภายในบ้านอย่างลับๆ ใช้เวลาประมาณ 7-10 วันในการขยายพันธุ์ พอได้กำลังพลมากพอแล้ว ผู้ร้ายที่ขยายพันธุ์แล้วซึ่งเราเรียกว่า มีโรซอยต์ (Merozoite) ก็จะออกจากตับและเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้ง เพื่อเดินทางไปสู่เป้าหมายต่อไป
การจู่โจมครั้งใหญ่: โจมตีเม็ดเลือดแดง
นี่คือช่วงที่โรคจะแสดงอาการออกมาให้เราเห็นอย่างชัดเจนครับ
เมื่อมีโรซอยต์เข้าสู่กระแสเลือด มันจะมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่สำคัญที่สุด นั่นคือ เม็ดเลือดแดง ของเรา มีโรซอยต์จะบุกเข้าไปในเม็ดเลือดแดงและขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกออกและปล่อยมีโรซอยต์ตัวใหม่ๆ ออกมาเพื่อบุกเม็ดเลือดแดงอื่นๆ ต่อไป
การที่เม็ดเลือดแดงจำนวนมากถูกทำลายและแตกออกพร้อมๆ กันนี้เอง ทำให้เกิดอาการสำคัญของโรคมาลาเรีย คือ ไข้สูง หนาวสั่น และเหงื่อออก ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นรอบๆ ทุกๆ 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อมาลาเรีย
ทำไมถึงไข้สูง หนาวสั่น? เพราะเมื่อเม็ดเลือดแดงแตก ร่างกายจะหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบออกมา ทำให้มีไข้และหนาวสั่นคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่
ทำไมถึงซีด? เพราะเมื่อเม็ดเลือดแดงถูกทำลายไปเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายมีภาวะโลหิตจาง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการซีด อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่าย
ความอันตรายที่แตกต่างกัน
มาลาเรียที่เกิดจากเชื้อ P. falciparum ถือว่าอันตรายที่สุด เพราะเชื้อชนิดนี้ชอบทำลายเม็ดเลือดแดงทุกช่วงอายุ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เม็ดเลือดแดงที่ติดเชื้อจะเหนียวและเกาะติดกัน ทำให้ไปอุดตันตามเส้นเลือดเล็กๆ ในอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น สมอง ไต หรือปอด มาลาเรียขึ้นสมอง จึงเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดและอาจทำให้เสียชีวิตได้
ส่วนมาลาเรียจากเชื้อ P. vivax ถึงแม้จะอันตรายน้อยกว่า แต่ก็มีลักษณะพิเศษคือเชื้อบางส่วนสามารถไปซ่อนตัวอยู่ในตับได้นานเป็นเดือนเป็นปี และเมื่อมีโอกาสที่ร่างกายอ่อนแอลง เชื้อก็จะกลับมาโจมตีเม็ดเลือดแดงอีกครั้ง ทำให้เกิด ไข้มาลาเรียกำเริบ ได้ครับ
เหตุผลหลักที่ทหารตามแนวชายแดนมีความเสี่ยงติดเชื้อมาลาเรียสูงมาจาก 3 ปัจจัย คือ:
ทำเลที่ตั้ง: พื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ จันทบุรี และตราด ซึ่งมีพรมแดนติดกับกัมพูชา เป็นป่าเขา มีแหล่งน้ำ เหมาะแก่การแพร่พันธุ์ของ ยุงก้นปล่อง ซึ่งเป็นพาหะของโรค
ลักษณะงาน: ทหารต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เปิดโล่งช่วงพลบค่ำและรุ่งสาง ซึ่งเป็นเวลาที่ยุงออกหากิน ทำให้ถูกยุงกัดได้ง่าย
ที่พักอาศัย: ที่พักอาจเป็นค่ายชั่วคราวและมีสิ่งป้องกันยุงไม่เพียงพอ เช่น ไม่มีมุ้งกันยุง ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อขณะพักผ่อน
การหลีกเลี่ยงในการเป็นมาลาเรียที่ดีที่สุดก็คือ “การป้องกันไม่ให้ยุงกัด” นั่นเองครับ