A. แนะนำตัว
B. การควบคุมอาการทางจิต จากยาจิตเวช 5 ปี สู่วิธีสะกดจิตบำบัด 4 สัปดาห์
C. การสะกดจิตบำบัดกับ ThaiHypnoMP3
=================
A. แนะนำตัว
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่ ThaiHypnoMP3
บริการสะกดจิตบำบัดออนไลน์ส่งให้ฟังทางไฟล์ mp3 ค่ะ
ดิฉัน วารี อ่อนชมจันทร์ หรือ ติวเตอร์ฝน ค่ะ
ปัจจุบันฝนเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษ รับแปลเอกสารโดยเฉพาะงานวิจัย และเป็นนักวิจัยอิสระด้านการแพทย์ทางเลือกค่ะ ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยร่วมโครงการวิจัยกับ สปสช.หรือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือก ผ่านการเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธินายแพทย์ธารา อ่อนชมจันทร์ โดยมีอาจารย์ดารณี อ่อนชมจันทร์ ซึ่งก็คือ แม่ของฝน เป็นผู้สานต่อปณิธานของพ่อ ที่จะส่งเสริมให้คนไทยมีทางเลือกในการดูแลสุขภาพ สามารถพึ่งตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินให้โรงพยาบาล และโรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องเสียเงินให้ต่างประเทศ ไม่ต้องขาดแคลนยา ไม่ต้องขาดแคลนหมอ ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐ เพียงอย่างเดียวค่ะ
และเนื่องจากว่า ฝนเกิดและโตมาในโรงพยาบาลตั้งแต่เด็ก เพราะมีพ่อเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล พ่อฝนก็มีความสนใจในการบูรณาการนำศาสตร์การแพทย์หลายๆแขนงมาใช้ในโรงพยาบาลค่ะ
ที่นั่น ฝนได้รู้จักกับตัวอนุมูลอิสระ ที่พ่อเอาไปสอนชาวบ้าน ก่อนคำว่าชีวจิตจะแพร่หลายในเมืองไทย และไม่ว่าจะเป็น ลมปราณ พลังจักรวาล ธรรมชาติบำบัด ดุลยภาพบำบัด ฝังเข็ม สมุนไพร นวดแผนไทย และการใช้พิธีกรรมของหมอพื้นบ้าน ฝนได้เรียนรู้พื้นฐานเหล่านี้ผ่านครอบครัวในโรงพยาบาลที่ฝนอยู่ค่ะ
ยิ่งเมื่อวันหนึ่ง คุณพ่อป่วยด้วยโรคเนื้องอกในสมอง ฝนก็ได้เห็นคุณแม่ ที่พยายามนำศาสตร์การแพทย์ที่หลากหลายมาใช้รักษาพ่อ แต่ในสมัยที่ยังไม่ถึงปี 2000 นั้น ทางโรงพยาบาลที่พ่อไปรักษา ก็ยังไม่ได้เปิดกว้างรับการแพทย์ทางเลือกมาใช้มากนักค่ะ อาการของพ่อก็ทรุดลง สมองที่สั่งให้ทานอาหารเริ่มไม่ทำงาน หมอก็สั่งเจาะคอพ่อ ให้เป็นรูที่คอ เพื่อสอดสายยางส่งอาหารลงไปในกระเพาะ ผลก็คือ พ่อไม่สามารถพูดกับเราได้อีกต่อไปแล้ว สมองที่ควบคุมการเขียนหนังสือก็ทำงานไม่ได้ แต่ละวันพ่อต้องอยู่บนเตียงหรือรถเข็นด้วยใบหน้าที่บูดเบี้ยว ไม่รับรู้อะไร
ซึ่งมันทำให้ฝน ที่เป็นคนดูแลอยู่ ต้องทรมาน พอๆกับพ่อของฝนเอง เพราะฝนไม่สามารถพูดคุย กับคนที่ฝนรักที่สุดในชีวิตได้ แล้วในที่สุด พ่อฝน ก็เสียชีวิตไปเมื่อปี 2543 ตอนฝนเรียนจบชั้นประถม พ่ออายุ 43 ปี งานศพนั้นเป็นงานศพที่ฝนรู้สึกโล่งใจที่สุด เพราะพ่อที่สักแต่มีชีวิตอยู่บนเตียงแต่ทำอะไรไม่ได้เลยนั้น ไม่ต้องฝืนอยู่กับกายให้ทรมานอีกต่อไปแล้ว และสิ่งที่ฝนได้กลับมาคือ ฝนต้องเข้มแข็งขึ้น จากที่เคยเป็นเด็กที่อ่อนแอขี้แยมากๆ ฝนก็ออกจากบ้านไปอยู่โรงเรียนประจำ ฝึกร่างกาย ฝึกระเบียบวินัยแบบทหารทุกเช้า แล้วก็เลิกร้องไห้ไปเลยค่ะ
ความจริงแล้วฝนเป็นคนไม่ค่อยพูดนะคะ แต่ฝนรู้สึกว่า การสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ ก็เป็นการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้น เมื่อฝนเรียนจบมัธยมต้น ฝนจึงเลือกเรียนสายศิลป์-ภาษา ในชั้นมัธยมปลาย แล้วได้ทุนฟรีไปเรียนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ค่ะ
การได้เรียนคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้ฝนได้ฝึกพูด ได้ฝึกใช้งานศิลปะในการสื่อสาร ฝนสนใจการใช้ดนตรีบำบัด เพราะพ่อของฝนชอบร้องเพลง และมีเพลงมาให้ฝนฟังเสมอ ฝนชอบแต่งเพลง หรือเอาเพลงมาแปลง แต่ฝนยังไม่มีความสามารถในการทำดนตรีค่ะ
เมื่อเรียนจบนิเทศศาสตร์แล้ว ฝนก็ตั้งใจอุทิศตัวเป็นกำลังให้กับมูลนิธินายแพทย์ธารา อ่อนชมจันทร์ ที่แม่ดูแลอยู่ค่ะ ตอนนั้น แม่ถูกเรียกตัวมาทำงานในกระทรวงสาธารณสุข แต่เมื่อฝนกลับมาทำงานร่วมกับแม่ ฝนพบว่าเรามีวิธีคิดที่ต่างกันสุดขั้ว ระหว่างครีเอทีฟจากคณะที่สอนให้เข้าวงการบันเทิง กับผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพวิถีไท ที่คอยผลักดันนโยบายรัฐสู่การปฏิบัติทั่วประเทศ
โดยเฉพาะเมื่อเฟซบุ๊กเพิ่งเป็นที่รู้จักในประเทศไทย การประชาสัมพันธ์ทางเฟซบุ๊กถูกแม่ตรวจสอบ และจำกัดอิสรภาพทุกกระเบียดนิ้ว เพราะแม่ต้องใช้ระบบการทำงานแบบทางการกับฝน ซึ่งฝนไม่ได้ฝึกมาจากที่ไหน อีกทั้งตอนนั้นยังไม่มีหน่วยงานรัฐที่ไหนใช้เฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์ ทำให้แม่ไม่เชื่อว่าฝนกำลังทำงานอยู่ในโลกของความจริง การทำงานร่วมกับแม่ในตอนนั้นจึงทำให้ฝนหมดความมั่นใจและมีความเครียดมาก ประกอบกับการต้องเกาะกระแสสภาพการเมืองในปี 2553 ที่กำลังเข้มข้นบนเฟซบุ๊ก
ในที่สุด ฝนก็มีอาการทางจิตเป็นโรค "จิตเภท" หรือ Schizophrenia เหมือนคุณ John Nash ในหนังเรื่อง A Beautiful Mind และโรค "อารมณ์สองขั้ว" หรือ Bipolar Disorder ซึ่งรุนแรงจนใช้ชีวิตปกติไม่ได้ และแม่ก็ต้องหยุดพักงานมาดูแลฝน ในตอนนั้นฝนไม่สามารถทำงานปกติได้เลย เพราะโรคจิตเภททำให้ฝนเข้าใจผิดกับทุกอย่างรอบตัว หวาดระแวง คุยกับโทรทัศน์ และโรคอารมณ์สองขั้วก็ทำให้ฝนวีนแตก อาละวาด ตกกลางคืนก็คึกคักจนนอนไม่หลับ พอหมดแรงกลางวันก็หลับมากเกินไปเพราะอาการซึมเศร้า แล้วยังมีความรู้สึกรับผิดชอบในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่ต้องแก้ปัญหา โดยเฉพาะการโยงวาทกรรมทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตตัวเอง ทำให้ยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก และแม้แต่จะเขียนหนังสือก็ทำไม่ได้เพราะผลข้างเคียงของยาจิตเวชทำให้มือสั่นอย่างรุนแรงค่ะ
B. การควบคุมอาการทางจิต จากยาจิตเวช 5 ปี สู่วิธีสะกดจิตบำบัด 4 สัปดาห์
ใน 5 ปีแรกของการเป็น Schizophrenia และ Bipolar ฝนจะมีอาการกำเริบปีละครั้ง ครั้งละ 2-4 เดือน ติดต่อกัน และทางจิตแพทย์ก็จะปรับยาให้ตามอาการ จากการสอบถามทั้งฝน และผู้ที่ดูแลคือแม่ เราไปพบจิตแพทย์ 2 เดือนต่อครั้ง ยาสำหรับอาการ Bipolar คือ Lithium ฝนได้กิน 2-3 ปี ก็สามารถควบคุมอารมณ์จนหยุดยา Lithium ได้ ส่วนอาการอื่นๆ เป็นของ Schizophrenia หมอปรับไปปรับมาในช่วง 5 ปี ก็มีการกำเริบมาตลอด ล่าสุดหมอบอกว่าลงตัวที่ยาลดความหวาดระแวงและอาการหูแว่ว ชื่อ Olanzapine จนมาถึงปี 2558 เป็นปีที่ 6 ฝนได้รู้จักกับลูกศิษย์ของ ดร.เบิร์ธ ณภัทรดิศ มณีโรจน์อัคร ที่จบปริญญาเอกด้านการรักษาโรคด้วยพลังจิตจากอเมริกา และเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ก็เลยได้มาทดลองรับการรักษาด้วยวิธีสะกดจิตบำบัด 4 ครั้ง พร้อมกันนั้นก็ตัดสินใจเข้าร่วมคอร์สนักสะกดจิตบำบัด หลักสูตร Clinical Hypnotherapy และ NLP ของ อาจารย์เบิร์ธด้วยค่ะ ฝนใช้เวลาเรียนประมาณ 6-7 เดือน เมื่อปี 2558 ระหว่างเดือนพฤษภา ถึงพฤศจิกายน 2558 ค่ะ
ในการสะกดจิตบำบัดแต่ละครั้ง อาจารย์เบิร์ธจะให้ฝนอัดเสียงเก็บไว้
เอาไปฟังก่อนนอนทุกวัน ก่อนที่จะมารับการสะกดจิตครั้งต่อไปค่ะ
หลังจากได้รับการสะกดจิตบำบัดแล้ว จากการเก็บสถิติของฝนเอง พบว่า
อาการประสาทหลอนทางหู หรือ หูแว่ว ที่รบกวนฝน ลดลงมาก (ค่ะ)
จากที่เคยมีเกือบทุกวันตอนเย็น เหลือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
ทำให้จิตแพทย์ลดยาลงเหลือแค่วันละ 1 เม็ดในที่สุด (ค่ะ)
และเมื่อฝนเรียนจบ ได้ไปแคมป์ ที่ลูกศิษย์อาจารย์เบิร์ธ มารวมตัวกัน ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หน้าตาฝนสดชื่นขึ้น มีรอยยิ้มในดวงตา จากคนที่ถูกยาจิตเวชกดประสาทจนหน้าแข็งเหมือนหุ่นยนต์ ก็เปลี่ยนเป็นใบหน้ามนุษย์ที่มีชีวิตชีวา ตาเป็นประกาย และแสดงอารมณ์ได้ดีขึ้นค่ะ ซึ่งฝนก็รู้ตัวว่าเป็นผลจากการสะกดจิตบำบัดแน่นอน เพราะได้ฟังข้อมูลเกี่ยวกับความเมตตาเป็นประจำค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในปีต่อมา คือปี 2559 ฝนได้งานเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษออนไลน์ ซึ่งต้องคุยทั้งวัน แล้วก็กลับบ้านดึกกว่าปกติ อาการหูแว่วในปีนั้น ฝนเคยควบคุมได้เหลือสัปดาห์ละครั้ง พอทำงานติดต่อกันไป 3 เดือน ฝนเริ่มควบคุมอาการหูแว่วไม่ได้ จนหมอต้องเพิ่มยาให้เป็นวันละ 2 เม็ด และฝนก็ต้องออกจากงานไปค่ะ
ฝนกลับไปทำงานที่มูลนิธิกับแม่อีกครั้ง และสมัครเรียนปริญญาโทสาขาภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยราชภัฏใกล้บ้าน ได้ทำกิจกรรมกับคนรุ่นเดียวกัน และมีเพื่อนคุยที่ดี ทำให้อาการหูแว่วลดลงมาก แต่ปรากฏว่า ฝนตื่นเต้นกับการเรียนจนมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรังค่ะ ฝนจึงขอให้จิตแพทย์สั่งยานอนหลับให้ และเพิ่มปริมาณในครั้งต่อมาด้วย ปรากฏว่าอาการหูแว่ว หายขาด และต่อมาก็สามารถขอให้หมอลดยา Olanzapine ลงอีก กลายเป็นว่าสำหรับกรณีของฝน ยานอนหลับ Lorazepam เป็นตัวป้องกันอาการหูแว่วของฝน ได้ดีกว่ายาจิตเวชตัวหลักไปแล้วค่ะ
ความจริงเรื่องที่เล่ามาถึงช่วงนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการสะกดจิตบำบัดหรอกนะคะ แต่ฝนอยากจะเตือนว่า ใครที่มีอาการทางจิต และพบจิตแพทย์อยู่ ให้เคารพการวินิจฉัยของเขาด้วยการกินยาตามสั่งด้วยค่ะ และถ้าได้มาใช้บริการสะกดจิตบำบัด ก็ขอให้เอาไปแจ้งจิตแพทย์ และบอกผลการสะกดจิตอย่างตรงไปตรงมา เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้รับการสะกดจิตจะสามารถหายจากอาการทางจิตได้ ฝนไม่แนะนำให้ยึดเอาคลิปสะกดจิตบำบัดเป็นศูนย์กลางของการรักษาค่ะ ขอให้เป็นตัวสนับสนุนเท่านั้นค่ะ
ส่วนปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้ฝนหายจากอาการหูแว่วได้ ก็คือการฝึกสมาธิค่ะ สำหรับใครที่มีอาการประสาทหลอน ฝนจะผสานคำสั่งในการสะกดจิตให้จิตใต้สำนึกมีสมาธิในระดับหนึ่งด้วย เนื่องจากภาพหลอนหรือหูแว่ว (ตามประสบการณ์ของฝนนะคะ) ล้วนแต่เป็นรูปธรรมของสิ่งที่จิตเรา มีกิเลส ต้องการที่จะรับรู้ทั้งนั้นเลยค่ะ หมายความว่า ถ้าจิตไม่มีกิเลส ไม่อยากรับรู้อะไรจริงๆแล้ว แม้ประสาทจะเปิดรับภาพหลอน แต่ก็จะไม่มีภาพหลอนปรากฏหรือสะท้อนออกมาจากจิตเราค่ะ
การฝึกตัดกิเลสที่จะกลายมาเป็นภาพหลอนนี้ จิตต้องนิ่งอยู่เสมอ และมีความว่างเปล่า ในส่วนที่ควรจะว่างเปล่าด้วย ฝนเองได้ฝึกมาด้วยตัวเองจากการลองผิดลองถูกมา 5 ปี ก่อนจะมาเจอการสะกดจิตบำบัด ดังนั้นฝนกล้าบอกได้ว่า ฝนเคยเจอความผิดพลาดในเรื่องประสาทหลอนมาแทบทุกรูปแบบแล้ว สามารถให้คำปรึกษาเรื่องประสาทหลอนได้ค่ะ
และการปฏิบัติวิปัสสนานั้น ถือเป็นทางเลือกที่ดีนะคะ แต่พระอาจารย์ที่จะมาชี้นำ และเข้ากับจริตของเราแต่ละคนได้จริงๆนั้นหายากค่ะ ยอมรับว่า ณ วันนี้ ฝนเองก็ยังไม่มีโอกาสได้รับการชี้นำจากพระอาจารย์ท่านไหนเลยค่ะ เพราะท่านแรกที่เคยสวดมนต์ชนะอาการของฝนได้ในปี 54 ปัจจุบันเป็นโรคเบาหวานต้องเข้าโรงพยาบาลและไม่สอนใครอีก ส่วนท่านที่ อาจารย์เบิร์ธ และลูกศิษย์แนะนำนั้นต้องจองคิวเกือบครึ่งปี พอถึงคิวของฝนแล้วกลายเป็นว่าท่านออกไปพม่าไม่มีกำหนดกลับ ฝนก็เลยตั้งใจว่าจะปฏิบัติด้วยตัวเองและเรียนรู้ด้วยตัวเอง จนกว่าจะมีบุญวาสนาได้พบกับพระอาจารย์ท่านต่อไปค่ะ และการช่วยคนด้วยความสามารถด้านสะกดจิตบำบัดที่ฝนได้มา ก็เป็นการสั่งสมบุญอย่างหนึ่ง เพื่อให้ฝนได้มีวาสนาพบเจอกับอาจารย์ทางธรรม และสามารถเอาชนะอาการประสาทหลอนทั้งปวง รวมถึงมีพลังในการบำบัดผู้อื่นต่อไปด้วยค่ะ
C. การสะกดจิตบำบัดกับ ThaiHypnoMP3
พอมาถึงตรงนี้บางท่านอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ แล้วการสะกดจิตเนี่ย เป็นวิธีการที่น่ากลัวรึเปล่า ฝนจะขอตอบว่า นักสะกดจิตบำบัดส่วนใหญ่ไม่ได้มีความสามารถในการควบคุมจิตใจหรือร่างกายของผู้ถูกสะกดจิตมากขนาดนั้นค่ะ ไม่ใช่อยู่ๆจะมาทำเข้าภวังค์แล้วสั่งให้ไปเดินลุยไฟเท้าเปล่าได้ การสะกดจิตบำบัดจะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ถูกสะกดจิตด้วย นั่นก็คือ นอนฟัง และผ่อนคลายร่างกายให้ได้มากที่สุดค่ะ เพราะยิ่งผ่อนคลาย จิตสำนึกจะยิ่งทำงานน้อยลง และเปิดให้จิตใต้สำนึกออกมารับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น การมีความคิดต่อต้านระหว่างถูกสะกดจิต ก็จะทำให้ประสิทธิผลของการสะกดจิตลดลงด้วยค่ะ แต่ถ้าหากอดคิดไม่ได้ หรือไม่เชื่อ แต่ยังอยากลองว่าจะได้ผลหรือไม่ ก็แนะนำให้ฟังซ้ำๆ มากๆ จนรู้สึกชิน แล้วสมองก็จะชา เลิกต่อต้าน และเริ่มเชื่อขึ้นมาเองค่ะ และขอให้วางใจได้ว่า ฝนจะไม่ใส่ข้อมูลอะไรที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตและกายของผู้รับบริการเด็ดขาดค่ะ
ความจริงแล้ว การสะกดจิตบำบัดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรจะให้ผู้สะกดจิตกับผู้ถูกสะกดจิตมาอยู่ในสถานที่เดียวกันค่ะ แต่เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีความอันตราย และติวเตอร์ฝนก็เป็นผู้หญิง การอยู่ในห้องสะกดจิตสองต่อสองกับผู้รับบริการ มีความเสี่ยงที่จะถูกล่วงละเมิดได้ค่ะ
นอกจากนี้ ติวเตอร์ฝนยังเล็งเห็นว่า ยังมีคนอีกมากที่อยากลองใช้บริการสะกดจิตบำบัด แต่ไม่กล้าออกเดินทางมาพบนักสะกดจิต และออฟฟิศของติวเตอร์ฝนเองก็อยู่ถึงจังหวัดเชียงรายค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากผู้รับบริการท่านใดสนใจการสะกดจิตระลึกชาติ ซึ่งติวเตอร์ฝนได้ฝึกเก็บเคสแล้วสรุปว่ามีคนที่ฝนสามารถทำให้เห็นภาพได้อยู่ 50% ก็จำเป็นต้องเดินทางมารับการสะกดจิตตัวต่อตัวเพราะจะต้องมีการพูดคุยโต้ตอบและสังเกตอาการทางร่างกายเพื่อความปลอดภัยและแก้ไขปัญหาได้ทันเวลาค่ะ
ดังนั้นนะคะ วิธีการรับการสะกดจิตบำบัดกับ ThaiHypnoMP3 จะเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการที่ต้องการรักษาผ่านช่องทางต่างๆ ก่อนที่ติวเตอร์ฝนจะนำไปวิเคราะห์และจัดทำคลิปสะกดจิตบำบัดเป็นไฟล์เสียงนามสกุล mp3 สำหรับท่านโดยเฉพาะของแต่ละคนไปค่ะ
หากไม่ทราบว่าต้องส่งข้อมูลเกี่ยวกับอะไรบ้าง ให้ดูแนวทางจากแบบฟอร์มที่มีให้ประกอบค่ะ
ข้อมูลลูกค้า ไม่จำเป็นต้องใส่ชื่อจริงก็ได้นะคะ
ข้อมูลที่จำเป็นก็คือชื่อเล่น และอาการที่ต้องการรักษา
สามารถส่งมาทางอีเมล tutor.Vonne@gmail.com
สิ่งที่สามารถเพิ่มเติมในข้อมูลได้ ก็คือประสบการณ์ในอดีต
และปัจจัยแวดล้อม ที่อาจมีผลต่ออาการที่ต้องการรักษา
ถ้านึกไม่ออก ก็ดูแบบฟอร์มเป็นแนวทางได้ค่ะ
นอกจากนี้ ท่านลูกค้าควรระบุความต้องการในการติดต่อกลับด้วยนะคะ ว่าจะให้มีการสัมภาษณ์สดทาง Video Call หรือโทรศัพท์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการวินิจฉัยอาการที่ต้องการรักษา หรือจะคุยกันเป็นตัวหนังสือผ่าน LINE หรือ Email โต้ตอบกัน ก่อนทำการตกลงโอนเงินค่าจัดทำ mp3 ก็ได้ค่ะ
เมื่อโอนเงินแล้ว ทางติวเตอร์ฝน ก็จะได้จัดทำคลิปสะกดจิตบำบัด ในความยาวครั้งละประมาณ 15 ถึง 30 นาที ส่งให้ลูกค้าเป็นไฟล์ mp3 ทางอีเมลค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาวะที่ดีทั้งกายและใจค่ะ
ผู้ป่วยทางจิตเวชควรหาโอกาสปฏิบัติธรรม และอย่าลืมทานยาด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ให้ความสนใจติดตามค่ะ สวัสดีค่ะ