พิชญ์กัญญาคลินิก

พิชญ์กัญญาคลินิก คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูติ-นรีเวช

อย่าเข้าใจผิดว่าการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมนั้นเกิดเฉพาะในคุณแม่ที่มีอายุมาก แต่ความจริงแล้ว หญิงตั้งครรภ์ทุกคนล้วนมีความเส...
10/07/2025

อย่าเข้าใจผิดว่าการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมนั้นเกิดเฉพาะในคุณแม่ที่มีอายุมาก แต่ความจริงแล้ว หญิงตั้งครรภ์ทุกคนล้วนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม เพราะสาเหตุของดาวน์ซินโดรมเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการกินยา การดูแลสุขภาพ หรือการปฏิบัติตัวอย่างไร

ดาวน์ซินโดรมคืออะไร?

ดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) เป็นภาวะที่เด็กมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง ทำให้มีโครโมโซมรวมเป็น 47 แทนที่จะเป็น 46 ส่งผลต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปัญญา และการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของแม่ หรือพ่อขณะตั้งครรภ์

ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ

แม้ทุกคนจะมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงของการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมจะ เพิ่มขึ้นตามอายุของแม่อย่างชัดเจน เช่น หญิงที่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุ 20–30 ปี มีโอกาสน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหญิงที่ตั้งครรภ์ในวัย 35 ปีขึ้นไป ซึ่งความเสี่ยงจะสูงขึ้นมากในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ควรรู้

นอกจากอายุแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงในการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม เช่น
• เคยมีลูกที่เป็นดาวน์ซินโดรมมาก่อน
• มีประวัติคนในครอบครัวเป็นดาวน์ซินโดรม
• เป็นพาหะของความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด (เช่น translocation)
• อายุของพ่อที่มากขึ้น แม้จะมีผลน้อยกว่าฝ่ายแม่แต่ก็อาจมีส่วน
• การตั้งครรภ์จากการรักษาภาวะมีบุตรยากในบางกรณี

ป้องกันไม่ได้ 100% แต่สามารถตรวจคัดกรองได้

เพราะดาวน์ซินโดรมเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม จึง ไม่สามารถป้องกันได้ด้วยการกินยา อาหารเสริม หรือการใช้ชีวิต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ช่วงต้นของการตั้งครรภ์ เช่น การตรวจเลือดของแม่ร่วมกับอัลตราซาวนด์ หรือการตรวจทางพันธุกรรมแบบไม่รุกล้ำ (NIPT)

หากผลคัดกรองพบว่าความเสี่ยงสูง ก็สามารถตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ครอบครัวสามารถตัดสินใจและเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม



สรุป
• หญิงตั้งครรภ์ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม แม้อายุยังน้อย
• ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 35 ปี
• ไม่มีวิธีป้องกัน 100% เพราะเป็นเรื่องของพันธุกรรม
• ควรรับการตรวจคัดกรองตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อวางแผนการดูแลและตัดสินใจอย่างรอบคอบ

รู้ก่อน วางแผนก่อน คือกุญแจสำคัญในการรับมือกับภาวะดาวน์ซินโดรมอย่างมีสติและเข้าใจ

หากคุณหรือคนในครอบครัวกำลังตั้งครรภ์ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางพันธุกรรม เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณที่สุดค่ะ

08/07/2025

🏥คลินิก🏥
ปิด : ศุกร์ 25 ก.ค. 68
เปิด : เสาร์ 26 ก.ค.68
🙏🙏🙏

💡 ทำไมตกขาวถึงมากขึ้น?ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน) และมีเลือดไปเลี้ยง...
03/07/2025

💡 ทำไมตกขาวถึงมากขึ้น?

ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน) และมีเลือดไปเลี้ยงบริเวณอุ้งเชิงกรานมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้ต่อมบริเวณปากมดลูกและช่องคลอดสร้างเมือกเพิ่มขึ้น
ตกขาวลักษณะนี้เรียกว่า “Leukorrhea”
เป็นของเหลวใสหรือขาวขุ่นบาง ๆ ไม่มีกลิ่นแรง และ ไม่ใช่สัญญาณของการติดเชื้อ

❓ ถ้าไม่มีตกขาวเพิ่มขึ้น ผิดปกติไหม?

👉🏻 ไม่ผิดปกติ

ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมีตกขาวมากขึ้น แต่บางคนอาจไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้
หากคุณไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น
🔻 คัน แสบ เจ็บ
🔻 มีกลิ่นเหม็น
🔻 มีเลือดออก
🔻 หรือมีน้ำไหลออกกะทันหันเหมือนน้ำคร่ำแตก
ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติของการตั้งครรภ์ค่ะ

🚨 ตอนไหนควรพบแพทย์?

หากตกขาวมีลักษณะดังนี้ ควรรีบปรึกษาคุณหมอ:
• มีสีเขียว เหลือง เทา
• มีกลิ่นคาวหรือกลิ่นแรง
• มีอาการคัน แสบ หรือปวด
• มีน้ำใส ๆ ไหลออกมาแบบทันทีทันใด (อาจเป็นน้ำคร่ำ)

📌

✅ ตกขาวเพิ่มในคนท้อง = ปกติ
✅ ไม่มีตกขาวเพิ่ม = ก็ยังถือว่าปกติ

💧น้ำคร่ำแตกแล้ว…เมื่อไหร่จะได้เจอลูก?คุณแม่หลายคนอาจสงสัยว่า…ถ้าน้ำคร่ำแตกแล้ว จะต้องรอนานแค่ไหนกว่าจะคลอดลูกได้?ความจริ...
30/06/2025

💧น้ำคร่ำแตกแล้ว…เมื่อไหร่จะได้เจอลูก?

คุณแม่หลายคนอาจสงสัยว่า…ถ้าน้ำคร่ำแตกแล้ว จะต้องรอนานแค่ไหนกว่าจะคลอดลูกได้?

ความจริงคือ “ระยะเวลาจากน้ำคร่ำแตกจนถึงคลอด” นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุครรภ์ เป็นท้องแรกหรือท้องหลัง เริ่มเจ็บท้องเองหรือยังต้องกระตุ้นคลอด รวมถึงมีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่

โดยทั่วไปแล้ว…
• ถ้าน้ำคร่ำแตกเมื่ออายุครรภ์ครบกำหนด (37 สัปดาห์ขึ้นไป) และคุณแม่เริ่มเจ็บท้องเองตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะคลอดภายใน 12–24 ชั่วโมง โดยเฉพาะคุณแม่ที่เคยคลอดมาก่อนอาจคลอดได้เร็วขึ้น
• ถ้าเป็นคุณแม่ท้องแรก อาจต้องใช้เวลานานกว่าหน่อย และบางรายอาจต้องได้รับ “ยากระตุ้นการคลอด” เพื่อช่วยให้มดลูกบีบตัว
• หากน้ำคร่ำแตกแล้วแต่ยังไม่เจ็บท้อง ภายใน 24 ชั่วโมง แพทย์มักจะแนะนำให้กระตุ้นการคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ในกรณีที่น้ำคร่ำแตกก่อนถึงกำหนดคลอด (ก่อน 37 สัปดาห์) เรียกว่า “ภาวะน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด” หรือ “Preterm PROM” การดูแลจะพิจารณาตามอายุครรภ์และสุขภาพของแม่กับลูก อาจพยายามยื้อเวลาเพื่อให้ปอดลูกแข็งแรงขึ้น แต่ถ้ามีสัญญาณติดเชื้อ ก็อาจต้องรีบคลอดเพื่อความปลอดภัยอยู่ดีครับ

อีกเรื่องที่ควรรู้คือ…

หากน้ำคร่ำแตกแล้ว นานเกิน 18 ชั่วโมง โดยที่ยังไม่คลอด แพทย์จะเรียกว่า “ภาวะน้ำคร่ำแตกนาน” ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทั้งในแม่และลูก เช่น การติดเชื้อในโพรงมดลูกหรือลูกติดเชื้อหลังคลอด แพทย์มักจะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะหรือเร่งคลอดตามความเหมาะสมไม่ค่อยอยากปล่อยไปนานๆเรื่อยๆครับ

🎬 แล้วในซีรีส์เกาหลีที่น้ำเดินแล้วเบ่งคลอดเลย…จริงหรือเว่อร์? 🇰🇷

ถ้าใครได้เห็น ซีรีส์เกาหลี จะเห็นฉากที่ตัวละครหมายเลข 222 ร้อง “น้ำเดินแล้ว!” แล้วอีกไม่กี่นาทีต่อมาก็เบ่งคลอดลูกเลยทันที ดูเหมือนจะเร็วเกินจริงใช่ไหม?

คำอธิบายคือ… ในความเป็นจริงของเรื่องกรณีนี้ ผู้หญิงมักเริ่มเจ็บท้องหรือมีอาการบีบตัวของมดลูกมาก่อนนานแล้ว เพียงแต่น้ำคร่ำมาแตกในช่วง “ท้ายสุด” ของกระบวนการเจ็บท้อง ซึ่งเป็นระยะที่ปากมดลูกเปิดเกือบเต็มที่แล้ว (ประมาณ 8–10 เซนติเมตร) และเข้าสู่ช่วงเบ่งคลอดพอดี

ดังนั้นพอ “น้ำเดิน” จึงเป็นแค่จุดสังเกตที่สื่อในหนังใช้แทนว่า “ใกล้คลอดมากแล้ว” ไม่ได้หมายความว่าเพิ่งเริ่มเจ็บท้องตอนนั้น และไม่ได้คลอดทันทีเพราะน้ำแตกอย่างเดียว

🩺 สรุปสั้น ๆ

น้ำคร่ำแตก ไม่ได้แปลว่าคลอดทันที แต่เป็นสัญญาณหนึ่งว่าร่างกายใกล้เข้าสู่ระยะคลอด ซึ่งบางคนอาจใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะได้เจอลูก

แต่ถ้าเห็นในซีรีส์คลอดเร็ว…อาจเพราะ “เขาเจ็บท้องมานานแล้ว น้ำเพิ่งมาแตกตอนกำลังจะคลอดพอดี” ค่ะ

🚶‍♀️ คนท้องควรเดินวันละกี่ก้าว?หลายคนสงสัยว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ควรเดินวันละกี่ก้าวถึงจะพอดีและดีต่อสุขภาพ?📌 คำแนะนำทั่วไปคื...
27/06/2025

🚶‍♀️ คนท้องควรเดินวันละกี่ก้าว?

หลายคนสงสัยว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ควรเดินวันละกี่ก้าวถึงจะพอดีและดีต่อสุขภาพ?

📌 คำแนะนำทั่วไปคือ
เดินประมาณ 6,000 – 10,000 ก้าวต่อวัน
(ประมาณ 5–8 กิโลเมตร หรือ 3–5 ไมล์)

การเดินในระดับนี้จะช่วยเรื่อง:
✅ การไหลเวียนเลือด
✅ ลดอาการบวม
✅ ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
✅ ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
✅ เตรียมความพร้อมของร่างกายสำหรับการคลอด



🩺 เดินมากแค่ไหนดี?
• ถ้าคุณแม่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก่อนตั้งครรภ์ แนะนำเริ่มต้นที่ 5,000–7,000 ก้าวต่อวัน แล้วค่อย ๆ เพิ่ม
• ถ้าเคยออกกำลังกายหรือเดินเป็นประจำ สามารถทำได้ถึง 9,000–10,000 ก้าวต่อวัน โดยไม่หักโหม

แต่ละคนมีความเหมาะสมต่างกัน ฟังร่างกายตัวเองเสมอ ถ้าเหนื่อยหรือมีอาการผิดปกติให้พักทันที



⚠️ เดินมากเกินไปอาจไม่เหมาะ หากคุณแม่มีภาวะต่อไปนี้

❌ ครรภ์เป็นพิษ
❌ รกเกาะต่ำ
❌ ปากมดลูกสั้นหรือมีความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด
❌ มีอาการปวดท้อง เลือดออก หรือหดรัดตัว

หากมีความเสี่ยงเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกายหรือเพิ่มกิจกรรม



💬 สรุป

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเดินให้ได้วันละ 6,000–10,000 ก้าว เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงทั้งของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

✈️🤰 ตั้งครรภ์แล้วต้องบิน? เลือกที่นั่งให้ตอบโจทย์!การเดินทางด้วยเครื่องบินขณะตั้งครรภ์สามารถทำได้อย่างปลอดภัยและสบาย ถ้า...
14/06/2025

✈️🤰 ตั้งครรภ์แล้วต้องบิน? เลือกที่นั่งให้ตอบโจทย์!

การเดินทางด้วยเครื่องบินขณะตั้งครรภ์สามารถทำได้อย่างปลอดภัยและสบาย ถ้าเลือกที่นั่งให้เหมาะสม มาดูเคล็ดลับดีๆ กันค่ะ

ถ้ากระทรวงคลังของครอบครัวเปย์ไม่อั้น … ไป First ไป Business ได้

แต่ถ้าสำนักงบประมาณบอกว่าต้องรัดเข็มขัด วันนี้เรามาดูกันว่าที่นั่งไหนที่ใช่สำหรับคนท้องกัน ???

หลายคนกำลังอินกับที่นั่ง 11A ใช่ไหมคะ ??? แต่ต้องรู้ว่าที่นั่งนี้ที่ติดกับประตูทางออกฉุกเฉิน #ไม่ใช่ที่นั่งของคนท้อง !!!😆

•••••••

🌟 ที่นั่งแนะนำสำหรับคนท้อง:🥰😍

✅ ที่นั่งริมทางเดิน (ใกล้ด้านหน้าเครื่องหรือบริเวณปีก) – เข้าออกสะดวก เข้าห้องน้ำง่าย และมีพื้นที่ยืดเส้นยืดสาย คนท้องเข้าห้องน้ำบ่อย และถูกแนะนำให้ลุกขึ้นบ่อยเพื่อป้องกันลิ่มเลือดอุดตันครับ ที่นั่งริมทางเดินจึงเป็นที่นั่งที่อยากให้รีบจอง

✅ ที่นั่งแถวหน้าสุด (bulkhead) – พื้นที่วางขากว้างขึ้น (แต่ไม่มีพื้นที่เก็บของใต้ที่นั่ง!) และที่ต้องลุ้นคือที่นั่งนี้บางครั้งก็คือเป้าหมายของ ผปค ที่มีเด็กเล็กที่อาจร้องไห้ตอนเครื่องขึ้นลง หรือน้องบางคนก็ร้องยาวๆเป็น music background ตลอดการเดินทางก็เป็นได้

❌ และแน่นอนว่าให้หลีกเลี่ยงแถวทางออกฉุกเฉิน – สายการบินมักไม่อนุญาตให้คุณแม่ตั้งครรภ์นั่ง เสียเงินเพิ่มจองได้แล้วคุณอาจถูกร้องขอให้เปลี่ยนที่นั่งได้ เพราะขัดระเบียบการบิน

✅ บริเวณปีกเครื่องบิน – สั่นไหวน้อยกว่าในช่วงที่เกิดความไม่เสถียรของเครื่อง เสียงดังกว่าแต่สั่นน้อยกว่า

💡 ทิปเพิ่มเติมสำหรับคุณแม่:
💧 ดื่มน้ำให้เพียงพอ
🧦 ใส่ถุงน่องกันเส้นเลือดขอดหรือถุงเท้ารัดเพื่อป้องกันอาการบวม
🚶‍♀️ ขยับตัวหรือเดินทุก 1–2 ชั่วโมง
📄 พกใบรับรองแพทย์ Fit to Fly ไปด้วยเสมอค่ะ

ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการเดินทางคือ ไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 14–28 สัปดาห์) เพราะร่างกายมักจะรู้สึกดีที่สุดในช่วงนี้ ไม่แพ้ท้องหนัก ไม่อึดอัดเวลานั่งหรือนอนนาน และโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันต่างๆน้อยกว่าช่วงท้องอ่อนกับท้องแก่ ✈️🛩🛫

ณ คลินิกฝากครรภ์โรงพยาบาลวันนี้หมอ: ตรวจเสร็จแล้ว หมอนัดอีกที 4 สัปดาห์นะคนท้อง: ค่ะ (ยิ้ม)หมอ: มีอะไรสงสัยจะถามหมอไหมวั...
10/06/2025

ณ คลินิกฝากครรภ์โรงพยาบาลวันนี้

หมอ: ตรวจเสร็จแล้ว หมอนัดอีกที 4 สัปดาห์นะ
คนท้อง: ค่ะ (ยิ้ม)

หมอ: มีอะไรสงสัยจะถามหมอไหมวันนี้ ???
คนท้อง: คนท้องกินหมูกระทะได้ไหมค่ะหมอ (ยิ้มกว้างกว่าเดิม) ^^

หมอ: มาตามอ่านที่เพจของหมอเย็นนี้นะ เพราะหมอคิดเอาว่าอาจมีคนท้องหลายคนสงสัยเหมือนกัน ^^

และนี่คือคำตอบค่ะ 🧸🎀🎈

•••••••

หมูกระทะ VS คนท้อง: ศึกนี้กินได้ แต่ต้องมียุทธศาสตร์

เมื่อหมูกระทะส่งกลิ่นหอมมาถึงบ้าน คนท้องอย่างเราก็เริ่มลังเล… กินดีไหม? ลูกจะเติบโตมาเป็นสายเนื้อย่างรึเปล่า? คำตอบคือ กินได้! แต่ต้องกินอย่างมีกลยุทธ์ราวกับวางแผนการรบ เพราะศัตรูตัวจริงไม่ใช่เนื้อหมู แต่คือ “เชื้อโรค” ที่มองไม่เห็น!

หมูกระทะดูเผินๆ อาจเหมือนงานเลี้ยงมิตรภาพ แต่สำหรับคนท้อง นี่คือสนามรบระหว่างระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนลง กับเชื้อร้ายจากของดิบทั้งหลายที่พร้อมโจมตีลูกในท้องแบบไม่ให้ตั้งตัว

••••••••

3 ศัตรูหลักที่ต้องระวัง

1. Listeria monocytogenes – เจ้าเชื้อนี้ชอบซ่อนในเนื้อดิบหรืออาหารแช่เย็นนานๆ กินเข้าไปอาจทำให้แท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือเบบี๋ติดเชื้อตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก
2. Salmonella spp. – มากับไข่ไม่สุก ตับหมูแอบกึ่งดิบ และไส้กรอกดูใสซื่อ กินแล้วท้องเสียแบบยกบ้าน แถมเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดอีก
3. Toxoplasma gondii – มาพร้อมผักสดที่ล้างไม่ดี หรือเนื้อสุกไม่ทั่ว กินเข้าไปแล้วลูกในครรภ์อาจมีความเสี่ยงต่อสมองพิการ ตาบอด หรือแย่สุดคือเสียชีวิตในครรภ์

แผนยุทธศาสตร์หมูกระทะฉบับแม่ท้อง

• เนื้อสัตว์ทุกชนิดต้องผ่าน “พิธีชำระล้างด้วยไฟ” หรือเรียกง่ายๆ ว่า ปิ้งให้สุกยันด้านใน

• ไข่ต้องสุก ไม่ใช่ครึ่งสุกครึ่งดิบแบบความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน

• น้ำจิ้มต้องสะอาด อย่าปล่อยให้เปิดฝารอเชื้อโรคเดินเข้ามาเอง

• แยกตะเกียบดิบกับตะเกียบสุกให้เด็ดขาด อย่าปล่อยให้ข้ามเส้นศีลธรรม

• ผักต้องล้างอย่างน้อย 2 รอบ เหมือนล้างใจตัวเองหลังเผลอกินของมันอีกแล้ว

สรุป: คนท้องกินหมูกระทะได้ ไม่ผิด ไม่ผิดศีแต่จะผิดตรงที่กินแบบไม่ระวัง ภูมิคนท้องต่ำลงความระวังเราจึงต้องเพิ่มขึ้นค่ะ 😋😋😊😊

08/06/2025

🏥 คลินิก 🏥
ปิด !! :
จ.16+อัง.17 มิ.ย.68
เปิด : พุธ 18 มิ.ย.68

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว: ประจำเดือนจะกลับมาเมื่อไร?หลังคลอด ผู้หญิงแต่ละคนจะมีช่วงเวลาการกลับมาของประจำเดือนที่แ...
30/05/2025

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว: ประจำเดือนจะกลับมาเมื่อไร?

หลังคลอด ผู้หญิงแต่ละคนจะมีช่วงเวลาการกลับมาของประจำเดือนที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในกรณีที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว การให้นมบ่อยครั้งทั้งกลางวันและกลางคืนจะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนโปรแลกตินในร่างกายสูง ซึ่งช่วยยับยั้งการตกไข่และทำให้ประจำเดือนไม่มา

ในผู้หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว ประจำเดือนมักจะกลับมาประมาณ 6 ถึง 12 เดือนหลังคลอด อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีประจำเดือนกลับมาเร็วกว่า หรือช้ากว่านี้ โดยมีบางรายที่ไม่มีประจำเดือนนานกว่าหนึ่งปี

มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้ประจำเดือนกลับมาเร็วขึ้น เช่น การเริ่มเสริมนมผงหรือน้ำ การลดจำนวนครั้งของการให้นมในช่วงกลางคืน หรือการให้นมตามตารางเวลาแทนการให้นมตามความต้องการของทารก

แม้ว่าประจำเดือนจะยังไม่กลับมา แต่ร่างกายก็อาจมีการตกไข่ก่อนโดยไม่รู้ตัวได้ ดังนั้นช่วงเวลาที่ประจำเดือนกลับมาในแต่ละคนจึงแตกต่างกันและไม่สามารถคาดเดาได้แน่นอนค่ะ

การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ได้ช่วยแค่คุณแม่เท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องลูกน้อยในครรภ์อีกด้วยเหตุผลที่ควรฉีด...
24/05/2025

การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ได้ช่วยแค่คุณแม่เท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย

เหตุผลที่ควรฉีด:
• ปกป้องคุณแม่ท้อง: ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่ขณะตั้งครรภ์
• ปกป้องลูกน้อย: แม่ถ่ายทอดภูมิคุ้มกันผ่านรก ให้ลูกมีภูมิช่วง 6 เดือนแรก
• ปกป้องครอบครัว: ลดโอกาสแพร่เชื้อในบ้าน

ฉีดวัคซีนได้ทุกช่วงของการตั้งครรภ์ แต่ช่วงที่แนะนำมากที่สุดคือ ไตรมาสที่ 2 หรือ 3 เพื่อให้ลูกได้รับภูมิคุ้มกันเต็มที่ และแนะนำให้ฉีดบ่วงหน้าก่อนจะคลอดไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์นะคะ

วัคซีนเพียงเข็มเดียว ปกป้องได้สองชีวิต

วัคซีนไข้หวัดใหญ่นี้ได้รับการยอมรับทั่วไปจากองค์กรการแพทย์สากลว่าปลอดภัยสำหรับคนท้องค่ะ

รู้จัก “แผลบิกินี่” หรือแผลผ่าตัด Pfannenstiel — แผลยอดนิยมในการผ่าตัดสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาหลายคนที่เคยคลอดลูกด้วยการ...
21/05/2025

รู้จัก “แผลบิกินี่” หรือแผลผ่าตัด Pfannenstiel — แผลยอดนิยมในการผ่าตัดสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา

หลายคนที่เคยคลอดลูกด้วยการผ่าคลอด หรือเคยเข้ารับการผ่าตัดเกี่ยวกับมดลูกหรือรังไข่อาจเคยได้ยินคำว่า “แผลบิกินี่” ซึ่งฟังดูเบาและสวยงาม แต่จริง ๆ แล้วแผลนี้มีชื่อทางการว่า Pfannenstiel incision และเป็นแผลที่นิยมใช้มากที่สุดในการผ่าตัดในสตรี

แผล Pfannenstiel คืออะไร?
แผลนี้เป็น แผลแนวนอน ที่กรีดอยู่บริเวณ เหนือกระดูกหัวหน่าวประมาณ 2–5 เซนติเมตร มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 10–15 เซนติเมตร อยู่ในแนวที่สามารถ ซ่อนในกางเกงชั้นในหรือชุดว่ายน้ำได้ จึงเป็นที่มาของชื่อเล่นว่า “แผลบิกินี่”

แผลนี้ใช้ในกรณีใดบ้าง?
• การผ่าคลอด (C-section)
• การผ่าตัดมดลูก (hysterectomy)
• การผ่าตัดรังไข่หรือท่อนำไข่
• การผ่าตัดปีกมดลูก หรือเนื้องอกในอุ้งเชิงกราน

ข้อดีของแผล Pfannenstiel
• แผลอยู่ต่ำและซ่อนง่าย ใต้ร่มผ้า ไม่เห็นแผลชัดเมื่อใส่บิกินี่หรือกางเกงชั้นใน
• ให้ผลด้านความสวยงามดีเยี่ยม แผลเรียบกว่าและมักหายสนิทโดยไม่มีรอยนูน
• แผลแข็งแรงและฟื้นตัวดี
• มีโอกาสเกิด พังผืดและไส้เลื่อนน้อยกว่า เมื่อเทียบกับแผลแนวตั้ง
• ในบางกรณีหากแพทย์ใช้เทคนิคใหม่ ๆ ที่ไม่แยกกล้ามเนื้อหน้าท้องออกจากกัน อาจช่วย ลดอาการเจ็บและเสียเลือดน้อยลง

อย่างไรก็ตาม แผลบิกินี่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน
• อาจไม่เหมาะในกรณีฉุกเฉิน ที่ต้องการเปิดช่องท้องอย่างรวดเร็ว เพราะต้องเปิดผ่านหลายชั้นของผนังหน้าท้อง
• มีข้อจำกัดในเรื่องของการ เปิดช่องท้องส่วนบน เพราะแผลอยู่ต่ำและไม่สามารถขยายขึ้นไปได้มากนัก
• ในบางกรณีอาจเกิดอาการ เจ็บเรื้อรังจากการบาดเจ็บของเส้นประสาท โดยเฉพาะหากมีการกรีดใกล้จุดที่เส้นประสาท iliohypogastric และ ilioinguinal ผ่าน
• หากจำเป็นต้องผ่าซ้ำบริเวณเดิมหรือเคยมีแผลเป็นมาก่อน อาจทำให้แผลมีความเสี่ยงต่ออาการปวดเรื้อรังมากขึ้น

แล้วทำไมแพทย์บางครั้งจึงเลือกใช้แผลแนวตรง?
แม้ว่าแผล Pfannenstiel จะเป็นตัวเลือกยอดนิยม แต่ในบางสถานการณ์ แผลแนวตรง (vertical midline incision) อาจเหมาะสมกว่า เช่น
• เมื่อต้องการ เปิดช่องท้องอย่างเร่งด่วน เช่นในกรณีฉุกเฉินที่แม่หรือทารกมีภาวะอันตราย
• หากการผ่าตัดมีแนวโน้มว่าจะต้อง ขยายแผลขึ้นไปด้านบน เพื่อให้สามารถมองเห็นและจัดการกับอวัยวะในช่องท้องส่วนบนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
• ในผู้ป่วยบางรายที่มีโรคประจำตัวหรือเคยผ่าตัดมาก่อนในตำแหน่งอื่น แพทย์อาจเลือกแผลแนวตั้งเพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงอวัยวะที่ดีกว่า

สรุป
การเลือกแผลผ่าตัด ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความจำเป็นในการผ่าตัด ความปลอดภัยของผู้ป่วย และประสบการณ์ของทีมแพทย์ด้วย การเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละแผลจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพูดคุยและวางแผนร่วมกับแพทย์ได้อย่างมั่นใจและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น

14/05/2025

🏥 คลินิก 🏥
ปิด: ศ. 23 & เสาร์ 24 พ.ค. 2568
*เปิด : จ. 26 พ.ค. 68*
🙏🙏🙏

ที่อยู่

Chom Thong

เวลาทำการ

จันทร์ 17:00 - 20:00
อังคาร 17:00 - 20:00
พุธ 17:00 - 20:00
ศุกร์ 17:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 12:00

เบอร์โทรศัพท์

+66834726944

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ พิชญ์กัญญาคลินิกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์