
14/08/2025
🌀 เมื่อหมอบอกว่า เป็นโรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign Paroxysmal Positional Vertigo - BPPV)
📌 โรคนี้คืออะไร
โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (โรคเวียนศีรษะจากการเปลี่ยนท่าทาง) เกิดจากการที่ผลึกแคลเซียมที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการทรงตัวของหูชั้นใน หลุดออกจากตำแหน่งปกติ ไปอยู่ในอีกบริเวณหนึ่ง ซึ่งคือหลอดกึ่งวงกลมที่ใช้รับการทรงตัว
🤕 อาการเป็นอย่างไร
จะมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน เมื่อมีการเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ โดยส่วนใหญ่อาการหมุนจะน้อยกว่า 1 นาที อาจมีอาการเวียนศีรษะหรือโคลงเคลงในระหว่างวันได้ แต่อาการมักไม่รุนแรงและไม่มีอาการของระบบสมอง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชาครึ่งซีก พูดไม่ชัด กลืนลำบาก ร่วมด้วย
⚙️ ทำให้เกิดอาการได้อย่างไร
ผลึกแคลเซียมที่อยู่ผิดที่นี้ จะเคลื่อนที่ตามการขยับของศีรษะ ทำให้มีอาการเมื่อเปลี่ยนท่าทาง เช่น ก้ม เงย ล้มตัวลงนอน กลิ้งตัวบนที่นอน นอนสระผม นอนทำฟัน หรือการแหงนหน้าเพื่อหยอดตา
👥 คนอื่นเป็นกันบ้างไหม
มากกว่า 50% ของผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเป็นโรคนี้ และโรคนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน
❓ทำไมถึงเป็นกัน
อายุที่มากขึ้น การกระทบกระแทกของศีรษะ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลึกแคลเซี่ยมหลุด ปัจจัยอื่นที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยง เช่น เพศหญิง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคกระดูกพรุน ภาวะขาดวิตามินดี โรคไมเกรนหูชั้นใน โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน โรคประสาทการทรงตัวอักเสบ
🚫 เรียกอีกอย่างว่า โรคน้ำในหูไม่เท่ากันใช่หรือไม่
❌ไม่ใช่ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จะมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่มีระยะเวลายาวนานกว่ามาก มีการได้ยินลดลง มีเสียงรบกวนในหู และรู้สึกแน่น ๆ ในหูร่วมด้วย
🧠 เกิดจากความผิดปกติของสมองหรือไม่
❌ ไม่ใช่ โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน เป็นความผิดปกติที่หูชั้นใน
⚠️ เป็นอันตรายถึงชีวิตหรือทำให้มีการลุกลามหรือไม่
ตัวโรคไม่มีการลุกลามและไม่อันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีอาการ ควรระมัดระวังเพื่อไม่ให้ล้มหรือได้รับอุบัติเหตุเพิ่มเติม
🍽️ เคยเป็นแล้ว ห้ามทำอะไรหรือมีอาหารที่ห้ามรับประทานหรือไม่
ในช่วงที่สบายดี ไม่มีข้อห้ามใด ๆ สามารถก้ม เงย ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตประจำวัน ท่องเที่ยว รวมถึงขึ้นเครื่องบินได้ตามปกติ ในช่วงมีอาการ ให้ระมัดระวังท่าที่กระตุ้นอาการ เนื่องจากอาจทำให้เวียนศีรษะบ้านหมุนและเกิดอุบัติเหตุตามมา ควบคุมอาหารตามโรคประจำตัวอื่น ๆ ที่เป็น ทั้งในช่วงที่สบายดีและมีอาการ
🔄 หายเองได้หรือไม่ จะเป็นซ้ำหรือไม่
มีโอกาสหายเองได้ เมื่อผลึกแคลเซียมกลับเข้าที่แล้ว อาการจะหายได้เอง หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชาครึ่งซีก หรืออาการเป็นรุนแรง มีอาการต่อเนื่องไม่หาย ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยแยกโรคและรักษา โรคนี้มีโอกาสเป็นซ้ำได้ประมาณ 15% ต่อปี
🩺 วินิจฉัยอย่างไร
วินิจฉัยจากประวัติ การตรวจร่างกายระบบการทรงตัว และการตรวจด้วยท่าทางที่จำเพาะกับตัวโรค มีการหมุนศีรษะ ช่วงที่ได้รับการตรวจ อาจกระตุ้นให้มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนได้ทั้งนี้เพื่อให้ได้การวินิจฉัย โดยแพทย์จะดูอาการผู้ป่วยและการกระตุกของลูกตา
💊 การรักษา
การรักษาหลัก คือการแก้ที่ต้นเหตุ โดยทำกายภาพบำบัดเพื่อให้ผลึกแคลเซียมกลับเข้าที่ อาจมีการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการเวียนศีรษะร่วมด้วยในบางราย
💭 กลัวว่าจะเป็นซ้ำ
การกลัวหรือกังวลมากว่าจะเป็นซ้ำในช่วงที่สบายดีแล้ว จนไม่กล้าขยับศีรษะ ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติหรือเดินทางท่องเที่ยว ส่งผลต่อสภาวะจิตใจได้ ซึ่งอาจทำให้ต้องได้รับการรักษาภาวะทางด้านจิตใจตามมา
🏠 หากเป็นซ้ำที่บ้านควรทำอย่างไร
อาการมักเกิดขึ้นในช่วง 20 วินาทีแรก หลังจากมีการเปลี่ยนอิริยาบถ ให้ระมัดระวังการยืนและเดินในช่วง 20 วินาทีแรกนี้ เช่น หากรู้สึกว่า วันนี้ตื่นมาอาการแปลก ๆ ไป เมื่อลุกขึ้นจากท่านอน ให้นั่งบนเตียงนิ่ง ๆ 20 วินาทีก่อนค่อยยืนหรือเดินต่อ เพราะหากเกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนในท่านั่ง จะไม่อันตรายเท่าท่าเดิน หากเกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนครั้งใหม่ ให้ทำให้ศีรษะอยู่นิ่ง ๆ อาการจะหายไปได้ โดยส่วนใหญ่อาการจะไม่เกิน 1 นาที เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะซ้ำ จะยังมีอาการแบบเดิมซ้ำได้ จนกว่าผลึกแคลเซียมจะกลับเข้าที่ หากอาการส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาการเปลี่ยนไปจากครั้งที่เคยพบแพทย์ มีอาการอื่น ๆ ทางสมองร่วม ให้พบแพทย์ซ้ำ
หากท่านต้องการปรึกษาปัญหาเวียนศีรษะ สามารถติดต่อคลินิกเวียนศีรษะและการทรงตัว ชั้น 4 อาคารศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี หรือโสตศอนาสิกแพทย์ได้ครับ