ซินแส ลิ้มแชเล้ง

ซินแส ลิ้มแชเล้ง เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับฮวงจุ้ย รับดูดวงจีนและ ปรับฮวงจุ้ย

1. ศึกษาวิชาดวงจีน ฮวงจุ้ย ที่ ชมรมภูมิโหราศาสตร์ รุ่น 37 ปี 2547 (อาจารย์ เกรียงไกร บุญธกานนท์)

2. ศึกษาวิชาดวงจีน ฮวงจุ้ย ขั้นสูง และ ประยุกต์ ที่ สมาคมโหราศาสตร๋นานาชาติ ปี 2563 (อาจารย์ นันทนา เอกปัญญากุล)

3. ศึกษาวิชา ฮวงจุ้ยพื้นฐาน มูลนิธิเต๋าธรรมสยาม ปี 2566 ( อาจารย์ วีรภัทร ลี)

4. กำลังศึกษาวิชา อี้จิงระดับ 1 มูลนิธิเต๋าธรรมสยาม ปี 2567 ( อาจารย์ วีรภัทร ลี)

03/09/2025

การแอบภาคี 暗合 (อำฮะ)

โดยปกติแล้วผู้ที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์จีน ( ปาจื้อ ) จะรู้จัก ชง เฮ้ง ผั่ว ไห่ กันดีอยู่แล้ว วันนี้ผมจะมาเสริมคำว่า แอบภาคี ซึ่งหลายๆท่านอาจรู้จักแล้ว แต่บางท่านอาจมีความไม่เข้าใจว่าภาคีได้อย่างไร
การภาคี คือการที่สองฝ่ายอาจเหมือนหรือต่างธาตุกันงดูดเข้าหากัน แล้วเกิดธาตุที่อาจเหมือนหรือแตกต่างจากธาตุทั้งสอง การภาคีจะมีทั้งราศีบน และราศีล่าง ราศีบน เรียก ภาคีทั้ง5 และ ราศีล่าง เรียก ภาคีทั้ง6
โดยคู่ภาคีราศีบน ซึ่งมีอยู่ 5 คู่จึงเรียกว่า ภาคีทั้ง 5 ได้แก่

甲 + 己 แปรไปเป็นธาตุดิน
乙 + 庚 แปรไปเป้นธาตุทอง
丙 + 辛 แปรไปเป็นธาตุน้ำ
丁 + 王 แปรไปเป็นธาตุไม้
戊 + 癸 แปรไปเป็นธาตุไฟ

และคู่ภาคีราศีล่าง ซึ่งมีอยู่ 6 คู่จึงเรียกว่า ภาคีทั้ง 6 ได้แก่

子 + 丑. แปรไปเป็นธาตุดิน
寅 + 亥. แปรไปเป็นธาตุไม้
卯 + 戌. แปรไปเป็นธาตุไฟ
辰 + 酉. แปรไปเป็นธาตุทอง
巳 + 申. แปรไปเป็นธาตุน้ำ
午 + 未. แปรไปเป็นธาตุดินหรือไฟ

ทีนี้เรามาดู การแอบภาคี ในการภาคี ไม่ว่า ภาคีทั้ง5 หรือ ภาคีทั้ง6 เมื่อภาคีเสร็จแล้วจะเกิดธาตุออกมาที่อาจเหมือนหรือแตกต่างจากคู่ภาคี และการแปรธาตุไปนั้นจะแปรไปสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดู พลังฐานเดือน หรือพลังแวดล้อมของชะตา ส่วนการแอบภาคีนั้น จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสดงออกมาถ้าสำเร็จก็แสดงว่าเหตุการณ์กระทบจะดีไม่ดีมีพลังทำให้สำเร็จ แต่ถ้าไม่สำเร็จก็จะมีผลกระทบอาจเกิดก่อนแล้วจบลง หรืออาจเกิดหลังจากเหตุการหลักเริ่มอ่อนกำลังก็ได้ และการแสดงออกมาในตำแหน่งของคู่ภาคีก็จะบ่งบอกถึงเหตุการที่การแอบภาคีแสดงออกมา เช่น ฐานวัน แอบภาคี ฐานเดือน ก็อาจมีการกระทำลับๆที่ไม่เปิดเผยเกี่ยวกับคู่ครองของเรา ยิ่งถ้าธาตุที่แอบภาคีออกมาเป็นธาตุให้โทษกับชะตา ยิ่งเป็นสิ่งไม่ดี เช่น การนอกใจ หรือการมีคู่ซ้อน แต่ถ้าเป็นธาตุสำคัญต่อชะตา การตีความก็อาจแปรไปได้ว่า คู่ครองแอบช่วยเหลือเรื่องการงานซึ่งต้องดูว่า ธาตุที่เกิดขึ้นหลังแอบภาคี มีตัวส่งกำลังไปที่ราศีบนหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จะเกิดเหตุการเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น แต่ถ้ามีตัวส่งกำลังไปราศีบน ก็จะเกิดขึ้นยาวนาน

การแอบภาคีนั้น มีอยู่ 6 คู่

1. 寅午 คู่นี้มองเผินๆ ก็เป็นคู่ครึ่งไตรภาคีอยู่แล้วดังนั้นการเกิด แอบภาคี จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจเสียเท่าไร การแอบภาคีเกิดขึ้นเนื่องจากธาตุไม้ 寅 มีราศีแฝง คือ 甲丙戊 และ ธาตุไฟ 午 มีราศีแฝงคือ 丁己 ในราศีแฝงของสองราศีล่างนี้ ธาตุไม้ 甲 ใน 寅 และธาตุดิน 己 ใน 午 จะดึงดูดกันจนเกิดการภาคี และ ออกมาเป็นธาตุดิน ซึ่งคู่ 寅午 ก็คือ ครึ่งไตรภาคีธาตุไฟ ดังนั้น ความหมายจึงแตกต่างกันระหว่างแอบภาคี กับภาคีและไตรภาคี การภาคีและไตรภาคีมักจะเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆที่มองเห็นได้ชัดหรือคาดหมายได้ แต่ แอบภาคีเป็นความคิดลึกๆ หรือการแอบกระทำการที่ไม่เปิดเผย

การวิเคราะห์แอบภาคี ยังวิเคราะห์ได้อีกแบบนึงโดยใช้หลักการพลัง 12 เชียงแซมาวิเคราะห์ นั่นก็คือ ราศีล่างธาตุไม้ 寅 เป็น พลังลิ่มกัวของราศีบนธาตุไม้ 甲 และ ราศีล่างธาตุไฟ 午 เป็นพลังลิ่มกัวของราศีบนธาตุดิน 己 จึงดึงดูดกันเพราะพลังเชียงแซระดับเดียวกันจึงจับกัน

2. 巳酉 คู่นี้ก็เช่นเดียวกับคู่ที่ 1 คือครึ่งไตรภาคีธาตุทอง การแอบภาคีเกิดขึ้นจากราศีล่างธาตุไฟ 巳 มีราศีแฝงคือ 戊庚丙 และธาตุทอง 酉 มีราศีแฝงคือ 辛 โดย ธาตุทอง 辛 ใน 酉 ภาคีกับ 丙 ใน 巳 แอบภาคีแปรไปเป็นธาตุน้ำ ซึ่งก็แตกต่างกันกับการเกิดครึ่งไตรภาคี 巳酉 ได้ธาตุทอง

วิเคราะห์โดยใช้หลักพลังเชียงแซ ราศีบนธาตุทอง 辛 เป็น ลิ่มกัวของราศีล่างธาตุทอง 酉 และ ราศีบนธาตุไฟ 丙 เป็นลิ่มกัวของราศีล่างธาตุไฟ 巳 จึงดึงดูดกันเพราะพลังเชียงแซระดับเดียวกันจับกัน

3. 子巳 ราศีล่างธาตุน้ำ 子 มีราศีแฝง 癸 ราศีล่างธาตุไฟ 巳 มีราศีแฝงคือ 戊庚丙 โดยราศีบนธาตุน้ำ 癸 ในราศีล่างธาตุน้ำ 子 ภาคีกับราศีบนธาตุดิน 戊 ในราศีล่างธาตุไฟ 巳 แอบภาคีแปรไปเป็นธาตุไฟ

วิเคราะห์โดยใช้หลักพลังเชียงแซ ราศีบนธาตุน้ำ 癸 เป็น ลิ่มกัวของราศีล่างธาตุทอง 子 และ ราศีบนธาตุไฟ 丙 เป็นลิ่มกัวของราศีล่างธาตุไฟ 巳 จึงดึงดูดกันเพราะพลังเชียงแซระดับเดียวกันจับกัน

4. 卯申 ราศีล่างธาตุไม้ 卯 มีราศีแฝง 乙 ราศีล่างธาตุทอง 申 มีราศีแฝงคือ 庚壬戊 โดยราศีบนธาตุไม้ 乙 ในราศีล่างธาตุไม้ 卯 ภาคีกับราศีบนธาตุทอง 庚 ในราศีล่างธาตุทอง 申 แอบภาคีแปรไปเป็นธาตุทอง

วิเคราะห์โดยใช้หลักพลังเชียงแซ ราศีบนธาตุไม้ 乙 เป็น ลิ่มกัวของราศีล่างธาตุไม้ 卯 และ ราศีบนธาตุทอง 庚 เป็นลิ่มกัวของราศีล่างธาตุทอง 申 จึงดึงดูดกันเพราะพลังเชียงแซระดับเดียวกันจับกัน

5. 亥午 ราศีล่างธาตุไฟ 午 มีราศีแฝง 丁己 ราศีล่างธาตุน้ำ 亥 มีราศีแฝงคือ 壬甲 โดยราศีบนธาตุไม้ 甲 ในราศีล่างธาตุน้ำ 亥 ภาคีกับราศีบนธาตุดิน 己 ในราศีล่างธาตุไฟ 午 แอบภาคีแปรไปเป็นธาตุดิน

วิเคราะห์โดยใช้หลักพลังเชียงแซ ราศีบนธาตุดิน 己 เป็น ลิ่มกัวของ ราศีล่างธาตุไฟ 午 และ ราศีบนธาตุไม้ 甲 เป็นลิ่มกัวของ ราศีล่างธาตุน้ำ 亥 จึงดึงดูดกันเพราะพลังเชียงแซระดับเดียวกันจับกัน

6. 寅丑 เป็นการแอบภาคีที่พิเศษมากๆ ราศีล่างธาตุไม้ 寅 มีราศีแฝง คือ 甲丙戊 และ ราศีล่าง 丑 มีราศีแฝง 己 辛癸โดยราศีแฝงของทุกตัวจับกันเป็นการแอบภาคีที่แน่นมาก แต่ถ้ามาดูสองธาตุที่แอบกัน อันนึงธาตุไม้ อันนึงธาตุดิน มันมีความหมายว่าต่อหน้าทะเลาะกัน ทำร้ายกัน แต่ลึกๆภายในรักกันมาก เป็นการแอบภาคีที่น่าสงสารมาก

หมายเหตุ

การวิเคราะห์พลังลิ่มกัว 临官 ของราศีบนนั้น ลิ่มกัว เรียกอีกอย่างว่า 禄 (ลก) ซึ่งเปรียบเหมือนแกนพลังของธาตุนั้นๆ เช่น
- พลังธาตุไม้ 甲 แกนพลังหรือ 禄 อยู่ที่ 寅 ดังนั้น ไม้ 甲 มีรากอยู่ที่ 寅 เมื่อสองราศีนี้เจอกัน พลังไม้ก็จะแข็งแรงพิฆาตดินได้ดี ดูดซับน้ำได้มาก
- พลังธาตุไม้ 乙 แกนพลังหรือ 禄 อยู่ที่ 卯 ดังนั้น ไม้ มีรากที่ดังนั้น ไม้ 乙 มีรากอยู่ที่ 卯 เมื่อสองราศีนี้เจอกัน พลังไม้ก็จะแข็งแกร่ง แผ่ขยายไปรวดเร็ว (ไม้อิกคือไม้เลื้อย) กินพื้นที่กว้างขวาง (พิฆาตดิน) โดยทองพิฆาตก็ยิ่งแพร่ออกไป ยิ่งตัดยิ่งโต ( ไม้เลื้อยรกรุงรังเจอตัดแต่งจะมีคุณค่า)

ซินแสลิ้มแชเล้ง

30/07/2025

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับประตูตามหลักการของฮวงจุ้ย (จาก 360.doc)

1.ประตูหันหน้าไปทางต้นไม้ใหญ่
การวางประตูหน้าบ้านให้หันไปทางต้นไม้ใหญ่ถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่ง เพราะต้นไม้นั้นมีพลังหยินที่แข็งแกร่งซึ่งปิดกั้นพลังหยางไม่ให้เข้ามาได้ประตูหน้าบ้านเปรียบเสมือน "ทางเข้า" สู่รัศมีของบ้าน และต้นไม้ใหญ่ที่ปิดกั้นพลังหยางอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่ออาชีพการงานและสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเลือกบ้านที่หันหน้าไปทางต้นไม้ใหญ่

2. ประตูหลักหันหน้าไปทางลิฟต์
บ้านที่อยู่อาศัยคือสถานที่รวบรวมและหล่อเลี้ยงพลังชี่ ซึ่งลิฟต์จะทำงานทุกวัน เมื่อลิฟต์เปิดและปิด ลมจะถูกดูดเข้าและออก ซึ่งจะส่งผลต่อพลังชวี่ของบ้านที่อยู่อาศัยฝั่งตรงข้ามอย่างแน่นอน ตามหลักฮวงจุ้ย สิ่งใดก็ตามที่มองเห็นได้สามารถสร้างพลังงานเชิงลบได้ ซึ่งทางเข้าลิฟต์นั้นเปรียบเสมือนปากที่อ้ากว้างของสัตว์ร้าย และการวางประตูหน้าไว้ตรงข้ามกับประตูหน้าจะก่อให้เกิด "พลังงานเชิงลบที่ทำให้อ้าปากค้าง" การวางต้นปาล์มหางปลา หรือต้นปาล์มไผ่ ไว้ที่ทางแยกระหว่างทางเข้าและลิฟต์จะช่วยขจัดพลังงานเชิงลบได้หากประตูหน้าและลิฟต์อยู่คนละฝั่งของทางเดิน จะส่งผลทำให้ผลกระทบต่อบ้านน้อยลง นอกจากนี้ หากลิฟต์อยู่ในทำเลที่เจริญรุ่งเรือง(ดาวประจำยุค) การวางลิฟต์ไว้ตรงข้ามกับประตูหน้าก็ถือเป็นสิริมงคลเช่นกัน

3. ประตูหันหน้าไปทางทางเดิน
หากประตูหน้าบ้านหันหน้าไปทางทางเดินยาว รูปทรงของทางเดินจะคล้ายกับดาบแทงทะลุหัวใจ ลวดลายนี้ในฮวงจุ้ยเรียกว่า "ดาบแทงทะลุ" หากความลึกของบ้านสั้นกว่าความยาวของทางเดิน ถือเป็นลางร้ายร้ายแรง สามารถติดตั้งฉากกั้นบริเวณทางเข้าบ้านเพื่อสร้างความสวยงาม ป้องกันปลายอันแหลมคมของทางเดิน และเสริมความเป็นสิริมงคลได้

4. ประตูหน้าหันหน้าไปทางปล่องไฟ
อย่างที่เราทราบกันดีว่า การระบายอากาศจากปล่องไฟนั้นสกปรกและสิ้นเปลือง ในทางฮวงจุ้ย บ้านที่หันหน้าไปทางปล่องไฟ รวมไปถึงเมรุเผาศพ อากาศประเภทนี้ถือเป็นอากาศที่ไร้ชีวิต โชคร้าย และพลังงานด้านลบ หากประตูหน้าบ้านของคุณหันหน้าเข้าหาปล่องไฟ ทำให้พลังงานด้านลบไหลเข้ามาในบ้านอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายถึงโชคร้ายอย่างแน่นอน หากคุณไม่สามารถหยุดการระบายอากาศจากปล่องไฟได้ คุณก็ทำได้เพียงย้ายออกเท่านั้น

5. ประตูที่หันหน้าเข้าหาประตู
เป็นเรื่องปกติที่ประตูหน้าบ้านจะหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งในความเห็นของเราดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม ในหลักฮวงจุ้ย เรียกสิ่งนี้ว่า "ประตูชนกัน" โดยมีคำกล่าวที่ว่า "ประตูสองบานหันหน้าเข้าหากันหมายถึงการทะเลาะวิวาท" และความขัดแย้งในครอบครัว ซึ่งหมายความว่าผู้อยู่อาศัยมีแนวโน้มที่จะมีปากเสียงกับสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่าผลกระทบนี้จะเล็กน้อย แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ หากประตูหน้าบ้านที่หันหน้าเข้าหากันอยู่บนทางเดินตรงยาว และหากประตูหันไปทางทิศตะวันออก เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ หรือตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ชายในครอบครัวจะเสี่ยงต่อปัญหา หากประตูหันไปทางทิศตะวันตก ใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ หรือตะวันตกเฉียงใต้ ผู้หญิงในครอบครัวจะเสี่ยงต่อปัญหา

6. ประตูหลักหันหน้าเข้าหาประตูห้อง
เมื่อประตูหน้าบ้าน ประตู และหน้าต่างอื่นๆ อยู่ในแนวเส้นตรง ในทางฮวงจุ้ยเรียกว่า "ฉวนถังซา" ในกรณีนี้ ลมที่พัดผ่านประตูหน้าบ้านจะไหลออกทางประตูและหน้าต่างอื่นๆ โดยตรง ทำให้การไหลเวียนของอากาศช้าลงและสะสมพลังงานภายในบ้าน ซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญเสียทางการเงิน อุบัติเหตุทางรถยนต์ การทะเลาะวิวาท การหย่าร้าง และผลกระทบด้านลบอื่นๆ
ในหลักฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัย เน้นที่ “การซ่อนลมและรวบรวมน้ำ” การไหลเวียนของอากาศที่ไหลช้าๆ และคดเคี้ยวผ่านบ้านหลังจากเข้าประตูหน้าบ้านถือเป็นมงคล ดังนั้น โครงสร้างของ “โถงทางแยก” (楊堂煞) จึงต้องเป็นกลาง สามารถใช้ฉากกั้น ตู้ไวน์ ตู้รองเท้า หรือเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ เพื่อกั้นประตูและหน้าต่างตามแนวนี้เพื่อกันลมได้

7. ประตูหลักและประตูห้องอยู่ในแนวเส้นตรง
ตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อว่าหากประตูหน้าบ้านและประตูภายในบ้านอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน ถือเป็นลางร้ายที่ร้ายแรงและถือเป็นรูปแบบฮวงจุ้ยที่โชคร้ายอย่างยิ่งการจัดวางแบบนี้ทำให้คนภายนอกมองเห็นสมาชิกในครอบครัวได้ง่าย และประตูทั้งภายในและภายนอกก็ตัดกัน ทำให้ไม่เกิดการสะสมทรัพย์สมบัติ มีหลายวิธีในการขจัดวิญญาณร้ายนี้ เช่น การออกแบบระเบียงทางเข้าบ้าน หรือการวางฉากกั้นหรือต้นไม้สูงเพื่อขับไล่วิญญาณร้าย

8. ประตูหน้าหันหน้าไปทางบันได
บันไดมีสองแบบ คือ ขึ้นและลงหากประตูหน้าบ้านหันหน้าไปทางบันไดขึ้น จะนำพาความมั่งคั่งมาสู่บ้าน และความมั่งคั่งจากเบื้องบนจะไหลเข้าสู่บ้านตามบันได ในทำนองเดียวกัน หากประตูหน้าหันหน้าไปทางบันไดลง ทรัพย์สมบัติจะไหลลงตามบันได ทำให้เกิดความสูญเสียทางการเงิน งานที่ทำไม่ได้ผล และค่าครองชีพที่ไม่เพียงพอ หากมีใครยืมเงินจากคุณ จงระวังอย่าให้คืน เพื่อบรรเทาปัญหานี้ ให้แขวนกระจกเว้าไว้เหนือวงกบประตูเพื่อเก็บทรัพย์สมบัติที่หายไป

9. ประตูหน้าหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง
การวางประตูหน้าบ้านให้หันหน้าเข้าหาหน้าต่าง หรือก็คือตั้งให้หน้าต่างทั้งสองบานอยู่ในแนวเส้นตรง ส่งผลเสียต่อโชคลาภทางการเงินของคุณมากที่สุด เมื่อประตูหน้าบ้านอยู่ในทิศที่เป็นมงคล ลมที่พัดเข้ามาจะเป็นมงคล ก่อให้เกิดรัศมีแห่งความเป็นมงคลภายในห้อง อย่างไรก็ตาม หน้าต่างที่อยู่ ตรงข้ามกันจะพัดเอาลมมงคลนี้ออกไป ป้องกันไม่ให้ลมมารวมกันภายในบ้าน ส่งผลกระทบต่อโชคลาภของบ้าน เงินทองนั้นเชื่อมโยงกับประตูหน้าบ้านของคุณอย่างใกล้ชิดที่สุด ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างประตูและหน้าต่างอาจนำไปสู่ความสูญเสียทางการเงินได้ง่าย ประตูหน้าบ้านและหน้าต่างจะตั้งตรง ทำให้ลมที่เข้ามาในบ้านจากประตูและหน้าต่างจะพัดเข้ามาตรงๆ ทำให้บ้านเสี่ยงต่อการสูญเสียทางการเงิน
วิธีแก้ไขสถานการณ์นี้คือคุณสามารถเปิดม่านบ่อยๆ หรือปลูกต้นไม้ไว้หน้าต่าง แต่ไม่ควรเลือกต้นไม้ที่มีหนาม เช่น ต้นกระบองเพชร

10. ประตูหันหน้าเข้าผนัง
การพบเจอสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เราเรียกการพบเจอสิ่งที่ไม่น่าพอใจว่า “ชนกำแพง” ถ้าเห็นกำแพงหรือเสาใหญ่ๆ ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน คุณคงไม่มีความสุขใช่ไหม? จริงๆ แล้วมีวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้รู้สึกมีความสุขขึ้นได้ นั่นคือการแขวนรูปภาพต้อนรับไว้บนผนังหรือเสา เช่น รูปภาพดนตรีหรือภาพทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิ

11. ประตูหันหน้าเข้าหากระจก
กระจกนั้นไม่ได้เป็นมงคลหรือเป็นลางร้ายแต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่วางกระจกเป็นหลัก หากติดตั้งกระจกไว้ที่ประตูแล้วหันหน้าเข้าหากระจกทันทีที่เข้าบ้าน ถือเป็นฮวงจุ้ยที่โชคร้ายอย่างยิ่ง เพราะกระจกจะสะท้อนความมั่งคั่งและพลังบวกที่เข้ามาในบ้านจากประตู อีกทั้งยังส่งผลต่อการไหลเวียนของอากาศ นำพาโชคร้ายมาสู่ผู้อาศัย

12. ประตูหน้าหันหน้าไปทางห้องน้ำ
ประตูหน้าบ้านมักจะเป็นประตูแรกที่จะเข้าสู่ห้องนั่งเล่น หากห้องน้ำอยู่ตรงหน้าคุณ อาจมีกลิ่นเหม็น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงิน ปัญหาชีวิตคู่ และการเจ็บป่วยได้ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ควรปิดประตูห้องน้ำให้สนิท สะอาด และเป็นระเบียบอยู่เสมอ เปิดหน้าต่างบ่อยๆ เพื่อระบายอากาศและกำจัดกลิ่น

13. ประตูหน้าหันหน้าไปทางประตูห้องครัว
การวางประตูหน้าบ้านให้หันไปทางประตูครัวถือเป็นลางไม่ดีตามหลักฮวงจุ้ย ประตูหน้าบ้านเปรียบเสมือนอากาศ ส่วนห้องครัวเปรียบเสมือนไฟ ซึ่งอาจโหมกระหน่ำเปลวไฟและส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนในบ้าน ยิ่งไปกว่านั้น ห้องครัวยังถือเป็นขุมทรัพย์ของบ้านตามหลักฮวงจุ้ย ดังสุภาษิตโบราณที่ว่า ทรัพย์สมบัติไม่ควรถูกเปิดเผย ดังนั้น เมื่อแขกมาเยือนเห็น "ขุมทรัพย์" ของบ้านเมื่อก้าวเข้าประตูหน้าบ้าน จึงไม่โชคดีนัก

วิธีแก้ไข: วางต้นไม้สูงที่มีใบเขียวในทางเดินระหว่างประตูสองบาน หรือแขวนต้นไม้ไว้ที่ประตูห้องครัวเพื่อใช้เป็นที่กั้น หรือติดตั้งประตูกั้นในทางเดิน โดยควรใช้ครึ่งบนของประตูเป็นกระจกและครึ่งล่างเป็นแผ่นไม้เจาะรู

14. ประตูสองบานเปิดตรงข้ามกัน
หากห้องมีประตูสองบาน ทิศทางของประตูทั้งสองบานจะต้องตรงกันไม่ว่าจะเปิดหรือปิด ซึ่งสามารถกำหนดได้จากมือจับประตู ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับห้องที่มีประตูสองบานคือ บานหนึ่งเปิดไปทางซ้าย และอีกบานเปิดไปทางขวา ซึ่งเป็นสัญญาณของการขาดทุน

15. ประตูหลักหันหน้าไปทางมุม
หากประตูหน้าบ้านของคุณหันไปทางมุมบ้านของคนอื่นและอยู่ในระยะ 15 เมตร จะทำให้เกิด อสูรมุม ผู้อยู่อาศัยที่หันหน้าเข้าหาประตูหน้าบ้านจะได้รับผลกระทบจากรัศมีที่แตกแยกและมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคประสาทอ่อน นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความมั่งคั่งแล้ว พวกเขายังอาจเผชิญกับภัยพิบัติได้อีกด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด "อสูรมุม" (หมายถึง "หายนะแห่งโลหิต") นี้ ให้วางต้นไม้ใบเขียวขจีขนาดใหญ่ไว้ที่มุมบ้าน หรือจะวางกระถางต้นไม้ก็ได้

16. มีถนนตรงอยู่หน้าประตู
หากประตูหน้าบ้านหันหน้าไปทางถนนโดยตรง ซึ่งมักเรียกกันว่า "ถนนเร่ง" วิธีแก้ปัญหาก็ง่ายมาก เพียงสร้างธรณีประตูสูงสามนิ้วหกเซนติเมตร ฝังเหรียญทองแดงห้าเหรียญไว้ข้างใต้ หากไม่สามารถสร้างธรณีประตูได้ ให้ปลูกพุ่มไม้ดอกไม้ทรงกลมรอบประตู เพื่อสร้างพื้นผิวโค้งมนเพื่อลดแรงกระแทกโดยตรง

ผมได้ทำเทคนิคการดู น้ำจากนรก หรือ ฮวงเฉวียนซา ไว้ให้สำหรับผู้ที่ศึกษาขึ้นสูงในเรื่องฮวงจุ้ยแล้ว จะนำไปใช้ได้และเข้าใจมาก...
27/07/2025

ผมได้ทำเทคนิคการดู น้ำจากนรก หรือ ฮวงเฉวียนซา ไว้ให้สำหรับผู้ที่ศึกษาขึ้นสูงในเรื่องฮวงจุ้ยแล้ว จะนำไปใช้ได้และเข้าใจมากขึ้นในการดู ว่าได้มาอย่างไร และดูอย่างไร แต่การใช้นั้นมีวิธีนำไปใช้แล้วแต่สำนักนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการดูทางน้ำออกน้ำเข้า ครับ

หวงเฉวียนซา หรือ อึ่งจั่วสัวะ
คือวิธีการดูทางน้ำออก ซึ่งมีหลายชนิดของ หวงเฉวียน ในวันนี้ผมขอโพส วิธีการดู 2 แบบ คือ
1. ปาซาหวงเฉวียน
2. เหยาซาหวงเฉวียน
ซึ่งวิธีการใช้ค่อนข้างละเอียดและนำไปใช้ได้หลายอย่าง แต่ปาซาฮวงเฉวียนนั้นใช้ดูทางน้ำออก ส่วนเหยาซาเกี่ยวกับเนินเขา

ซินแส ลิ้มแชเล้ง

05/07/2025

6. 暗金的杀 อสูรทองคำ
ดูจากราศีล่างแท่งปี เจอราศีล่างแท่งวัน
ถ้ามี 子午卯酉 อสูรทองคำจะอยู่ที่ 巳
ถ้ามี 寅申巳亥 อสูรทองคำจะอยู่ที่ 酉
ถ้ามี 辰戌丑未 อสูรทองคำจะอยู่ที่ 丑
อสูรนี้มีอยู่ 3 ชื่อ คือ “吟呻 อิ้งเซิน”、“破碎 ผั่วซุ่ย”、“白衣 ไป่อี”, ซึ่งหมายถึง ถูกทำโทษ บาดเจ็บ และเลือดไหล (ร่างกายทรุดโทรม) ใส่ชุดไว้ทุกข์ร้องไห้ เป็นต้น หากดวงชะตามีกำลัง เจ้าชะตาจะเป็นคนใจกว้าง มีบุคคลิกที่เด็ดขาดและชัดเจน ถ้าในดวงชะตาตกตำแหน่งเดียวกับตำแหน่ง ซี้ 死 หากไม่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กหรือได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องเป็นโรคเรื้อนหรืออัมพาต อสูรนี้ยังมีชื่อเรียกว่า “太白凶星 ดาวให้ร้ายไทไป๋” และ “斧劈星ดาวขวานผ่าซาก” ซึ่งหมายถึงความยากจนและการสูญเสียเงินทองด้วย หากอสูรตัวนี้อยู่ในวังเดียวกันกับ “官符 ยันต์อำมาตย์” (亡神 เทพแห่งความตาย) ซึ่งหมายความว่าจะถูกฟ้องร้อง หากอยู่ในวังเดียวกันกับ 劫煞 (เกียบสัวะ) อสูรแย่งชิง จะเกิดการตายกะทันหัน หากอยู่ในวังเดียวกันกับ “白虎 เสือขาว” และ “羊刃 เยี่ยหยิ้ม” หมายความว่าจะมีเลือดไหลและเกิดการพิการ

7. 元辰 ง้วนซิ้ง
วิธีการหา
ชายเอี้ยงหญิงอิม ชายอิมหญิงเอี้ยง
子年 พบ 未, 子年 พบ 巳
丑年 พบ 申, 丑年 พบ 午
寅年 พบ 酉, 寅年 พบ 未
卯年 พบ 戌, 卯年 พบ 申
辰年 พบ 亥, 辰年 พบ 酉
巳年 พบ 子, 巳年 พบ 戌
午年 พบ 丑, 午年 พบ 亥
未年 พบ 寅, 未年 พบ 子
申年 พบ 卯, 申年 พบ 丑
酉年 พบ 辰, 酉年 พบ 寅
戌年 พบ 巳, 戌年 พบ 卯
亥年 พบ 午。 亥年 พบ 辰
มีชื่ออื่นๆว่า “毛头星 ดาวเส้นผม” และ “大耗 การสูญเสียครั้งใหญ่” ง้วนซิ้ง หมายถึง ตรงกันข้ามและเข้ากันไม่ได้ ถ้าพบเจอในปีจรและเป็นช่วงอับโชค เปรียบเสมือนวัตถุล่องลอยในสายลม สั่นไหว พลิกคว่ำ ไม่มีความแน่นอน หากไม่เกิดปัญหาภายใน ก็ต้องมีปัญหาภายนอก หากดวงชะตามาพบกับ”ง้วนซิ้ง”ช่วงเวลาที่เข้ามาชะตากรรมจะไม่แน่นอนอาจจะทำให้มีรูปร่างหน้าตาที่ผิดเพี้ยน (หัวโล้น จมูกโด่ง ปากใหญ่ ตาดุดัน สะโพกสูง มือและเท้าแข็งทื่อ มีโทนเสียงต่ำ)
หากง้วนซิ้งตกในตำแหน่ง เชียงแซ ตี่อ้วง บุคคลนั้นจะเป็นคนใจกว้าง แต่กลับแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ออก หรืออาจมีบุคลิกภาพคาดเดาไม่ได้
หากง้วนซิ้งตกในตำแหน่ง ซี้ เจ๊าะ บุคคลิกจะดูโทรมและพูดจาหยาบคาย ไม่สำนึกไม่มีความละอาย เป็นคนยากจน และสิ้นหวัง พร้อมที่จะตกต่ำ
หากง้วนซิ้งอยู่ในแท่งวันจะทำร้ายคู่ครอง
หากพบง้วนซิ้งและยันต์อำมาตย์พร้อมกัน ชีวิตจะเกิดความล้มเหลวโดยไม่มีเหตุผล
หากพบง้วนซิ้งและเกียบสัวะปรากฏตัวพร้อมกัน ถ้าเป็นผู้ชายไม่สามารถใส่ใจรายละเอียดเมื่อทำสิ่งต่างๆ และจะตกอยู่ในอันตรายและความอับอาย จะพบความยากจนและไร้ยางอาย หากเป็นผู้หญิงจะพูดจาหยาบคาย นิสัยสับสน ชอบนอกใจ และไม่ปฏิบัติตามมารยาท จะพบภัยพิบัติมากมายในชีวิต จะคลอดเด็กที่เป็นคนดื้อรั้นและไม่กตัญญู
แม้ว่าง้วนซื้งจะเป็นดวงดาวที่ชั่วร้าย แต่กลับเป็นมงคลเมื่อพบกับภาคีราศีล่าง (六合) ตัวอย่างเช่น ชายอิมเกิดปี 己丑 (อิมเอี้ยงให้ดูที่ราศีบนว่าเป็นอิมหรือเอี้ยง หากเป็นอิม ถ้าเป็นชายเรียกชายอิม เป็นหญิงเรียกหญิงอิม ถ้าเป็นเอี้ยงเรียกชายเอี้ยง และหญิงเอี้ยง ในที่นี้เกิดในปีกี่ทิ่ว 己丑 จึงเป็นชายอิม ) ง้วนซิ้ง คือ 午 (โหง่ว) ในดวงมี 未 (บี่) ง้วนซิ้งจะเจริญรุ่งเรืองเมื่อพบกับภาคี"

8. อสูรตะขอบิดแขวนคอ 勾绞 (เกาก้า)
ราศีล่างแท่งวัน เป็น 子 แท่งปี แท่งเดือน และเวลาเจอ 卯
ราศีล่างแท่งวัน เป็น 午 แท่งปี แท่งเดือน และเวลาเจอ 酉
ราศีล่างแท่งวัน เป็น 卯 แท่งปี แท่งเดือน และเวลาเจอ 子
ราศีล่างแท่งวัน เป็น 酉 แท่งปี แท่งเดือน และเวลาเจอ 午
เกาก้า หมายถึง "การพาดพิง พันธะ" ก็คือการไม่สามารถทำต่อไปได้ หรือถูกขัดขวาง เรียกอีกอย่างว่า "การฆ่าด้วยกรงเล็บและฟัน" ซึ่งหมายถึงการเฮ้งกันของราศีล่าง 90 องศา
บทเพลงโบราณกล่าวไว้ว่า:
“爪牙杀去命三辰,
การฆ่าด้วยกรงเล็บและฟันจะอยู่ถัดไป 3 อักษร
大忌金神羊刃临;
ไม่ดีมากถ้าเจอ กิมซิ้ง เยี่ยยิ้ม ลิ่มกัว
夹杀克身无福救,
จะทำร้ายที่ร่างกายไม่สามารถรับพร
必遭蛇虎伤其身。
จะได้รับอันตรายจากงู (巳)และเสือ(寅) “
ถ้าในดวงมีเกาก้า และมีกิมซิ้ง(金神 ) หรือแปะโฮ้ว( 白虎 )ด้วย เจ้าชะตาจะได้รับบาดเจ็บจากพวกอันธพาล รวมไปถึง งู เสือ วัว ม้า สุนัข และสัตว์อื่นๆ
ผู้ที่มี เกาก้าในดวงชะตาของพวกเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลม และเป็นผู้ควบคุมกฎหมายอาญา หรือพวกเขาเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจเหนือชีวิตและความตาย
หากในดวงมีชงปะทะ พวกเขาจะตายก่อนเวลาอันควร
คนทั่วไปถ้าเจอเกาก้า จะเกิดเหตุขึ้นโดยฉับพลัน หากมาในปีจร ก็จะทำให้เกิดการโต้แย้ง คดีความ และอาจเกิดการจำคุก
หากพบมีเก้าก้าเพียงตัวเดียว ภัยพิบัติก็จะเบา และหากมีเกาก้าสองตัว ภัยพิบัติก็จะหนัก และหากในดวงชะตาไม่มีเกาก้าอยู่แล้ว ภัยพิบัติจะเบาลงไปอีก แต่ถ้าหากมีเกาก้าในดวงชะตาด้วย ภัยพิบัติจะหนักขึ้นไป .

9. อสูรภัยพิบัติ 灾杀

ถ้าแท่งปีเป็น
申子辰 พบ 午
亥卯未 พบ 酉;
寅午戌 พบ 子;
巳酉丑 พบ 卯 。

ก็คือคำว่า “白虎杀 อสูรเสือขาว" หมายถึง ความดุร้ายและก้าวร้าว และชงปะทะกับ( 将星 )ดาวขุนพล อสูรตนนี้หมายถึง การนองเลือด ความตายกะทันหันในไฟ น้ำท่วม ถูกตีจนตายด้วยไม้ ตกตีกตาย โรคระบาด (ไวรัสระบาด) และจะแย่มากหากเป็นกับร่างกาย
หากดาวอสูรพิบัติเป็นเจียกัว 正官 หรือ 正印 เจียอิ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอำนาจทางทหาร

10. 孤辰 โกวซิ้ง (ดาวโดดเดี่ยว)
11. 寡宿 กัวสัวะ( ดาวพ่อหม้าย แม่หม้าย)
เป็นดาวโดดเดี่ยวและดาวหม้ายเป็นดาวอิ่งและเป็นหมอ 墓 ของดาวโชคลาภ และ เจ๊าะ 绝 ของดาวโชคลาภ ดวงชะตาคนใดมีอสูรสองตัวนี้ ชะตาชีวิตจะพบกับความโดดเดี่ยว และไม่เป็นมิตร และไม่ดีต่อญาติทั้งหกของเจ้าชะตา
หากพบโกวซิ้ง 孤辰 กัวสัวะ寡宿 พร้อมกับอี้หม่า 驿马 จะเป็นคนที่ต้องพเนจรในต่างแดน
หากพบพร้อมกับคงบ้วง空亡 เมื่อยังเด็กจะไม่สามารถเอาชนะใครได้
หากพบพร้อมกับ ประตูแห่งความตาย 丧门 และ คนแขวนคอ 吊客 พ่อแม่ของเจ้าชะตาจะเสียชีวิตทีละคน และเขาจะเผชิญกับความสูญ
หากคุณอยู่ในตระกูลขุนนาง คุณจะต้องแต่งงานเข้าตระกูลของภรรยา หากคุณอยู่ในตระกูลที่ต่ำต้อย คุณจะต้องล่องลอยไปตลอดชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คนหยางควรหลีกเลี่ยงดาวโดดเดี่ยว 孤辰
ส่วนคนหยินควรหลีกเลี่ยงดาวหม้าย 寡宿

เบญจภูติดูดทรัพย์หลายๆท่านอาจจะรู้จัก เบญจภูติ หรือโหง่วอึ้ง ในทางที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร หรืออาจจะบอกได้ว่า คนส่วนใหญ่จะร...
04/07/2025

เบญจภูติดูดทรัพย์

หลายๆท่านอาจจะรู้จัก เบญจภูติ หรือโหง่วอึ้ง ในทางที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร หรืออาจจะบอกได้ว่า คนส่วนใหญ่จะรู้สึกกลัวว่าเบญจภูติคือสิ่งที่ทำให้เกิดเสียทรัพย์ หรืออุบัติเหตุร้ายแรง ในวิชาดาวเหิน 9 ยุค ซึ่งวันนี้ผมนำบทความเกี่ยวกับเบญจภูติในอีกมิตินึงคือ เบญจภูติที่สามารถนำพาเงินทอง หรืออำนาจมาให้เราได้ เช่นถ้าเรานั่งในตำแหน่งเบญจภูติ หมายถึงเราคืออำนาจบารมีมีความเข้มงวดและเคร่งครัด ดังนั้น เบญจภูติหาใช่สิ่งที่ไม่ดีทีเดียว กล่าวคือ สิ่งที่ดีก็มีเรื่องไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็มีเริ่องดี ยกตัวอย่างเช่น ดวงชะตาชายที่ดิถีเข็งแรงและแต่ดาวโชคลาภก็แข็งแรงเช่นกัน ถือเป็นคนที่มีการเงินดี ในเวลาที่โชคลาภแข็งแรงกว่า โชคลาภกลับเริ่มให้โทษ เช่นบูชาเงิน ใช้เงินซื้อความรู้สึกคน หรืออาจเป็นเรื่องเจ้าชู้มีรักมาก หรืออีกเรื่องคือ อำนาจบารมี ถ้ามีอย่างพอเหมาะ หรือไม่มากไป ก็จะเป็นคนที่รู้จักวางตนในตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเหมาะสม แต่ถ้ามากไป หรือน้อยไป อำนาจก็ทำร้ายตนเอง คือมีความเผด็จการ เห็นแก่ตัว จนผลเสียคือ หมดอำนาจ ตำแหน่ง เบญจภูติก็เปรียบได้กับอำนาจ บารมี ถ้าเราเป็นคนมีคุณธรรม มีเมตตาธรรม เบญจภูติก็ทำร้ายเราไม่ได้ แต่ถ้าเราขาดซึ่งจริยธรรม คุณธรรม หรือเมตตาธรรม เราก็ตกอยู่ในอำนาจของมัน ใดๆเหล่านี้ก็คือ ธรรมะ ของศาสนาพุทธนั่นเอง พูดมาเสียยาว เข้าเรื่องเลยครับ

เบญจภูติ หรือ ห้าผีคือดาวดวงที่ 5 ในบรรดาดาวกระบวย หรือเรียกว่า เป่ยเต่า ซึ่งเป็นดาวชุดเดียวกันกับที่ใช้เหินดาว 9 ยุค ในตำแหน่งดาว 5 เป็นธาตุดินที่มีความร้อนสูง อยู่ในตำแหน่งกลาง ทุกธาตุเมื่อสูญสลายจะวิ่งเข้ามาสู่จุดกลางแล้วจึงเริ่มเกิดใหม่ ดังนั้น ดาว 5 เปรียบดังคลังของทุกธาตุ และเป็นจุดเริ่มของทุกสิ่ง ซึ่งดาวทั้ง 9 ดวงนี้มีนำมาใช้ในการจัดวางบ้านเพื่อให้รับพลังจากดวงดาวนี้ได้อย่างเหมาะสม เพราะดวงดาวนี้ในศาสตร์จีนโบราณ คือตัวกำหนดทิศทางของการเดินทาง คือฤดูกาล คือจุดบอกเวลา

ในตำนานพื้นบ้านจีนเกี่ยวกับคาถาผีทั้งห้านำโชคมีอยู่ 2 แบบคือ
ในแบบแรก หมายถึงแม่ทัพฝ่ายหยินทั้งห้าคือ
1. 曹十
2. 张四
3. 李九
4. 汪仁
5. 朱光

ในแบบที่ 2 หมายถึงห้าเทพ ได้แก่ เทพทั้งห้าคือ

1. 张元伯 ผีแห่งความมั่งคั่งทางตะวันออก
2. 刘元达 ผีแห่งความมั่งคั่งทางตะวันตก
3. 赵公明 ผีแห่งความมั่งคั่งทางใต้
4. 钟士贵 ผีแห่งความมั่งคั่งทางเหนือ
5. 史文业 ผีแห่งความมั่งคั่งตรงกลาง

เบญจภูติดูดทรัพย์ หมายถึง พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเรียกเบญจภูตินำทรัพย์มาให้ โดยทำการโอนทรัพย์สมบัติของผู้อื่นนำมาสู่โชคลาภของผู้ทำพิธี คาถาเบญจภูติดูดทรัพย์จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนลัทธิเต๋าในประเทศจีน ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อคาถานี้ มีการเล่ากันว่าผีทั้งห้าตนสามารถขโมยทรัพย์สินของผู้คนได้โดยไม่ต้องเปิดประตูหรือทุบกำแพงของผู้คน ซินแสที่เก่งทางด้านนี้จะเก็บค่าใช้จ่ายในการจัดหรือทำพิธีกรรมในราคาที่สูงมาก และเครื่องรางที่เกี่ยวข้องก็มีราคาสูงมากๆเช่นกัน

มีวิธีการแบ่งออกเป็น 2 วิธี
1. วิธีการในสำนักฮวงจุ้ย โดยมีวิธีการดังนี้

- ตำแหน่ง ทิศพิงคือ เรียกมังกรภูเขา ( 山 )
- ตำแหน่ง ทิศหันคือ เรียกมังกรน้ำ ( 向 )
ทิศต่างๆที่จะเป็นทิศมังกรภูเขาและมังกรน้ำในแต่ละบ้านนั้นนั้นจะมีกั้วของตนเองซึ่งมีทั้งหมด 64 กั้ว จากนั้นจึงเลือกกั้วของตนเอง ตามหลักของดวงชะตาในวิธีการโหราศาสตร์จีนแบบ 8 ตัว 4 แถว โดยใช้หลักการของหยินและหยางและสามเส้นของกั้ว ซึ่งก็รวมทิศทางพิงภูเขาทั้ง 24 ลูกด้วย หลักการนี้ให้ ใช้ตำแหน่ง 廉贞 เหลียนเจิ้นเป็นมังกรภูเขา (เหลียนเจิ้นคือดาวดวงที่ 5 ในบรรดาดาว 9 ดวงของดาวกระบวย [ เป่ยเต่า] ซึ่งดาวดวงนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ดาวเบญจภูติ ) และ ใช้ตำแหน่ง 巨门 จูเหมินเป็นมังกรน้ำโดยให้บ้านหยาง เปิดประตู หน้าต่าง หรือ ช่องระบายอากาศอื่นๆ ที่ตำแหน่ง มังกรภูเขา และที่ตำแหน่งมังกรน้ำก็คือตำแหน่งจูเหมิน และ เหลียนเจิ้น ก็จะสามารถใช้พลังธรรมชาติที่เรียกว่า เบญจภูติดูดทรัพย์ มาให้

2. วิธีการทางเวทมนตร์ มีเพียงซินแสลัทธิเต๋าที่มีความรู้ล้ำลึกเท่านั้นที่สามารถทำได้ พวกเขาทั้งหมดมีชื่อเสียงในด้านความเจริญรุ่งเรืองด้านความมั่งคั่งและโชคลาภ


บทมนตร์เบญจภูติดูดทรัพย์

奉鬼王敕令运财。
东方青面鬼速来,南方红面鬼速来,
西方白面鬼速来,北方黑面鬼速来,中央黄面鬼速来,
来到坛听令运财,有财速来无财去。
日日夜夜运财来,时时刻刻运财来,运东南西北中财。
吾有五鬼王敕令, 速速降临运财来,鬼兵火急如律令,鬼将火急如律令。

การนำพลังดาวทีั้ง 9 ดวงมาใช้จึงต้องมีความเข้าใจในหลักการดวงดาวทั้ง 9 ดวง ให้ลึกซึ่้ง ( ต้องออกตัวเลยผมเองก็เข้าใจเพียงผิวเผินมากๆ ) ดังนั้นการนำพลังดาวเหล่านี้มาใช้งานจึงจำเป็นต้องศึกษาให้มาก โดยยึดหลักที่ผมได้กล่าวไปคือ คุณธรรม เมตตาธรรม จริยธรรม ไม่ละโมบจนเกินไป ไม่ตะกละจนเกินงาม มิฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะบดบังความถูกต้องจนอาจพลิกจากดีเป็นร้ายได้

ซินแส ลิ้มแชเล้ง

Cr. ส่วนหนึ่งเป็นบทความจากเวปไป่ตู้

03/07/2025

ให้อภัยแล้วก็ต้องรู้จักอยู่
ใครไม่ดีกับเราก็ถอยออกมา
ถ้าเราให้อภัยบ่อยๆ กับเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆซากๆ
มองอีกมุมอาจไม่ใช่ความผิดของเขา
แต่เป็นความผิดของเราเอง
ที่ไม่รู้จักรัก และปกป้องตัวเอง
ยอมให้ใครบางคนเบียดเบียนเราได้เรื่อยๆ
อภัยคือความเมตตา แต่การรู้จักอยู่คือปัญญา
สองสิ่งนี้ต้องมาคู่กันเสมอ
ขาดอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด

บันทึกความคิด จดไว้ให้เธออ่าน
พศิน อินทรวงค์

***ติดต่อ พศิน อินทรวงค์***
(ทักDirect Messageเฟสบุ๊ค)
วิทยากร/บรรยาย/หนังสือ/บทความ
https://www.facebook.com/talktopasin2013
***ติดตามช่องยูทูป***
พศิน อินทรวงค์ - Pasin Intarawong
https://www.youtube.com/channel/UCccGJ9suemcJiF6WQqxUuGQ

03/07/2025
สวัสดีครับ วันนี้ผมนำวิธีการเอียงประตู หรือสิ่งของตามหลักฮวงจุ้ย โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์มาผสมผสาน  เรามักเจอซินแสปัจจุบันน...
02/07/2025

สวัสดีครับ
วันนี้ผมนำวิธีการเอียงประตู หรือสิ่งของตามหลักฮวงจุ้ย โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์มาผสมผสาน
เรามักเจอซินแสปัจจุบันนี้ ให้เรา ปรับเอียงประตู บวกหรือลบ แต่เราจะทำอย่างไร ถึงเอียงได้ตามองศาที่เค้าบอก วันนี้ผมพยายามนำเสนอวิธีการที่พอจะเข้าใจง่าย เพื่อให้เพื่อนๆ พี่ๆทุกท่าน ลองศึกษาดูถ้าไม่เข้าใจจุดใดสอบถามผมได้นะครับ ผมจะมีค่าตัวเลขอยู่ในตารางที่แปรผันไปตามองศานะครับ โดยให้ทุกท่านนำจำนวนองศาที่ต้องการจะปรับ ไปเทียบกับตาราง หลังจากนั้น วัดความยาวของสิ่งที่เราต้องการเปลี่ยนองศา เช่น ประตู ก็ให้วัดความกว้างของประตูนำมาคูณกับ ค่าในตารางที่เทียบกับองศาที่เปลี่ยน ไป เราก็จะรู้ว่า ประตูใหม่จะห่างจากประตูเก่าเท่าใด โดยให้จุดหมุนอยู่ซ้ายหรือขวาก็ได้ครับ หรือจะให้อยู่ตรงกลางก็ได้นะครับ

คำอธิบายของเทพอสูรเทียบกับแท่งปี (神煞)  จากบทความของ (九紫飞星) (1/11)1. 驿马 (อี้หม่า) ม้าสวรรค์ อี้หม่าคือพลังของธาตุทั้งห้าท...
28/06/2025

คำอธิบายของเทพอสูรเทียบกับแท่งปี (神煞) จากบทความของ (九紫飞星) (1/11)

1. 驿马 (อี้หม่า) ม้าสวรรค์
อี้หม่าคือพลังของธาตุทั้งห้าที่เคลื่อนไหวและพร้อมที่จะใช้ โดยมีหยินและหยางที่สอดประสานกัน ความแข็งกร้าวและความยืดหยุ่น และแสดงโดยอุปมาโดยธรรมชาติของม้า ผู้ที่มีอี้หม่าในดวงและมีกำลัง(อยู่ในตำแหน่งตี่อ้วง) ผู้นั้นก็จะเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี มีความยืดหยุ่น ตามเทรนด์และแฟชั่น และมีชื่อเสียงมากมายในชีวิต แต่หากว่าอี้หม่าในดวงอยู่ในตำแหน่งตายหรือเน่า(ซี้ เจ๊าะ) เขาจะมีจุดเริ่มต้น แต่ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด และเขาจะประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในชีวิตรวมทั้งชีวิตล่องลอยไปเรื่อยๆ

2. 攀鞍 (ผังอัว) ปีนอานม้า
เป็นตัวต่อจากอี้หม่า ซึ่งมีความหมายคล้ายกับยี่หม่า หากพบในดวงชะตาไม่ว่าจะเป็นช่วงสั้นหรือช่วงยาว เจ้าชะตาจะก้าวขึ้นสู่ความโดดเด่นในเวลาอันรวดเร็ว

3. 亡神 คงซิ้ง เทพเจ้าแห่งความตาย
เทพเจ้าแห่งความตายนั้นเรียกอีกอย่างว่า “官符(กัวฮู้) ยันต์อำมาตย์" หรือที่เรียกว่า “七杀 (ฉิกสัวะ) อสูรทั้ง 7” คนตายหมายถึงการสูญสิ้น ธาตุทั้งห้า (ไตรภาคี) การได้รับพลังงานเพียงน้อยนิดเรียกว่า ความตาย เพลงโบราณได้กล่าวไว้ว่า

“亡神七杀祸非轻,
เทพเจ้าแห่งความตายและฉิกสัวะนั้นเป็นภัยพิบัติไม่ใช่สิ่งดี
用尽机关一不成。
มีการใช้กลอุบายทั้งหมดแต่ไม่สำเร็จ
克子刑妻无祖业,
ทำร้ายลูกๆ ลงโทษภรรยา ไร้มรดก
仕人犹恐有虚句。
ดังนั้นจึงกลัวคำว่า ว่างเปล่า"

เทพเจ้าแห่งความตายปรากฏใน ลัคนา 命宫 และ วังกายา 身宫 หมายถึงจะเกิดความยากจนในชีวิตและสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปในทางที่ดี
- ถ้าปรากฏในราศีล่างแท่งวัน จะทำร้ายภรรยา
- ถ้าปรากฏในแท่งเวลาจะทำร้ายลูกๆ
เทพเจ้าแห่งความตายกับ “劫煞 (เกียบสัวะ) อสูรแย่งชิง" พวกเขาส่วนใหญ่เก่งในการใช้ความคิดเมื่อมีในดวงชะตาคือ
- ถ้าอยู่ในวังเดียวกันกับดวงดาวนำโชค พวกเขาสามารถเก็บความลับและชอบความเงียบสงบ
- ถ้าพวกเขาอยู่ในวังเดียวกันกับดวงดาวชั่วร้าย พวกเขาจะชอบจินตนาการและมีอารมณ์เพ้อฝันไป
เนื่องจากเทพเจ้าแห่งความตายเป็นดวงดาวแห่งความว่างเปล่าและความตื้นเขิน เมื่อพบเจอในดวงชะตา หรือปีจร ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงโชคปลอมๆและผลกำไรปลอมๆ อาจเกิดอาการปวดหัว โรคประสาทอ่อนแรง นอนไม่หลับ ความผิดปกติทางจิต ภวังค์ และคดีความ เทพเจ้าแห่งความตายและอสูรแย่งชิง ถูกมองว่าอยู่ด้วยกันเป็น “破军 ผั่วโข่ว เจ้าชะตามือถือสากปากถือศีล

4. 劫煞 (เกียบสัวะ) อสูรแย่งชิง
เกียบสัวะ คือการปล้นจากภายนอก มันคือจุดสิ้นสุดของธาตุทั้งห้า เช่น ไตรภาคีธาตุทอง 巳酉丑 จี๋ อิ๋ว ทิ่ว และตำแหน่ง เจ๊าะ 绝ของ เอี้ยง 寅 คือ เกียบสัวะ เพลงโบราณกล่าวไว้ว่า
“劫煞为灾不可当,
เกียบสัวะคือหายนะที่ไม่อาจต้านทานได้
徒然奔走各利场
วิ่งวุ่นไปโดยเปล่าประโยชน์
须防祖业消亡尽
ระวังธุรกิจครอบครัวจะพัง
妻子如何得久长。
ทำลายลูกและภรรยาจะอยู่ได้อย่างไร"
เกียบสัวะยังถูกเรียกว่า "เจ้าปีศาจ"
คนที่มีเกียบสัวะในชะตาส่วนใหญ่เป็นคนมุ่งมั่น
- ถ้าหากอยู่ในวังเดียวกันกับดวงดาวนำโชค พวกเขาจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก
- ถ้าหากอยู่ในวังเดียวกับดาวร้ายก็จะมีบุคลิกเย็นชา หู จมูก และลำคอจะเจ็บป่วยได้ง่าย ดวงชะตา โชคลาภ และช่วงชีวิตจะสูญเสียเงินทอง เช่น ถูกโกงเงิน ถูกปล้น ถูกแบล็กเมล์ เป็นต้น

5. 六厄 ( หลักแอะ ) 6 ภัยพิภัติ
หลักแอะ คือ ไตรภาคีของห้าธาตุ ตำแหน่ง 死 ตาย เป็นตำแหน่งที่อยู่ก่อน 驿马 อี้หม่า ชื่ออีกอย่าง คือ 马栏 รั้วกั้นม้า และเป็นธาตุที่อยู่หลัง เกียบสัวะ ไป 2 ตำแหน่ง หลักแอะ คือ ธาตุที่ตายไปแล้วและไม่กลับมาเกิดใหม่ เป็นธาตุที่ไม่ดี หมายถึงการประสบความยากลำบาก หากมีในดวงชะตา เจ้าชะตาจะใช้ชีวิตยากลำบากและไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ถ้าในชะตามี长生 เชียงแซ หรือมี 贵气 กุ่ยนั้ง ถือเป็นการช่วยเหลือ

ซินแสลิ้มแชเล้ง

จาก www.360doc.com

ขอเกริ่นนำ บทความเรื่องการเปลี่ยนปีจีนจากหลิบชุงไปเป็นตังโจ่ยมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ดังนี้           วิชาโหราศาสตร์จีนในช...
16/06/2025

ขอเกริ่นนำ บทความเรื่องการเปลี่ยนปีจีนจากหลิบชุงไปเป็นตังโจ่ยมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ดังนี้

วิชาโหราศาสตร์จีนในช่วง 50-60 ปีที่ผ่านมามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องการใช้ปีใหม่ในช่วง 立春 หลิบชุง หรือ 冬至 ตังโจ่ย โดยหลักการดั่งเดิมนั้นใช้ หลิบชุงเป็นตัวเปลี่ยนปี ซึ่งจะอยู่ประมาณวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ แต่ในปีพ.ศ 2506 ท่าน อู่จุนหมิ่น ได้เสนอทฤษฏีการใช้ ตังโจ่ย เป็นการเปลี่ยนปี ซึ่งอยู่ประมาณ เดือน 20 ธันวาคม โดยอ้างว่า ราศีล่างตัวแรก เกิดขึ้นที่ช่วงตังโจ่ย ซึ่งเรื่องนี้ ในช่วงเวลานั้นยังไม่ได้เข้าสู่ประเทศไทย จนปัจจุบันนี้ ได้มีหลายสำนักในประเทศไทย ใช้การทำนายดวงชะตาตามหลักการ 4 แถว 8 ตัว 八字四桂 เริ่มใช้การเปลี่ยนปีในช่วง ตังโจ่ย
ซึ่งจะมีข้อโต้แย้งมากมาย ทางสำนักลิ้มแชเล้งจะยึดหลักดั่งเดิมคือการเปลี่ยนปีอยู่ที่ 4 กุมภาพันธ์ นั่นก็คือ หลิบชุง และไม่ข้อตัดสินว่าสำนักใดใช้ตังโจ่ย หรือคือช่วงเวลา 20 ธันวาคม เป็นการใช้ที่ถูกต้องหรือผิด เพราะถือว่าแต่ละสำนักมีวิชาคนละแขนงและแตกต่างกันไปตามหลักการของสำนักนั้นๆ
เมื่อหลายๆท่านที่ส่งข้อความสอบถามมาเกี่ยวกับความแตกต่างกันทางผมจึงมิได้ออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ดั่งที่กล่าวข้างต้น แต่เมื่อเจอบทความนึงใน ห้องสมุดจีน ที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนปีใหม่ของจีน ว่าตังโจ่ยคือสิ่งที่ถูกต้อง ผมจึงนำมาแปล และโพสให้ท่านอ่านเพื่อส่งเสริมวิธีการของตนเอง โดยมิได้มีเจตนาก้าวล่วงวิธีการของสำนักใดๆ

ปล. ตังโจ่ยคือ เหมายัน
หลิบชุงคือ ต้นฤดูใบไม้ผลิ


บทความเรื่องการเปลี่ยนแปลงปีใหม่จีนจากหลิบชุงไปเป็นตังโจ่ยมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

ในปี 1963 นายจุนหมิ่น แซ่อู่ นักโหราศาสตร์อาวุโสในไต้หวันได้ตีพิมพ์ “ทฤษฎีใหม่ของโหราศาสตร์”โดยเสนอทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงเสาหลักปีไปเป็นในช่วงเหมายัน นาย หลิว และนายเยว่ ก็สนับสนุนทฤษฎีนี้เช่นกัน เป็นเวลานับพันปีแล้วที่วิชาโหราศาสตร์จีนใช้หลักถือว่าการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ และการเปลี่ยนเสาหลักปีในตอนเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิจึงได้กลายเป็นกฎเกณฑ์ในการเปลี่ยนปี อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน บางคนเชื่อว่าแผนภาพแม่น้ำ (河图 เหอถู) และ ( 洛书 ลั่วซู) ต่างก็กำหนดให้วันเหมายัน (冬至) ในเดือน 子 ธันวาคม พลังหยางเกิดที่ทิศเหนือ ดังนั้นนักโหราศาสตร์เหล่านี้ จึงเสนอให้เปลี่ยนเสาหลักปีไปเป็นช่วงเหมายัน (ธันวาคมช่วงวันที่ 20 ) สำหรับทฤษฎีการเปลี่ยนเสาหลักปีเป็นเหมายันนั้น ควรเชื่อหรือไม่หรือเราลองมาวิเคราะห์กันดู
การเกิดหยินและหยางในจักรวาลนั้นเป็นไปตามกฎธรรมชาติที่ว่าเมื่อถึงจุดสุดสุดสิ่งต่างๆ ก็จะกลับกลายเป็นตรงข้ามกัน นั่นคือ หยางสร้างหยินและหยินสร้างหยาง หยางเกิดขึ้นในช่วงเหมายันในเดือนธันวาคม เมื่อหยางเกิดขึ้นแล้ว หยางจะเคลื่อนที่ในจักรวาลจนถึง ( 夏至 ) ครีษมายันในเดือนมิถุนายน เมื่อหยางถึงจุดสูงสุดแล้วจึงลดลงเพื่อสร้างหยิน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนหยินและหยาง หยินจะถึงจุดสูงสุดในช่วงเหมายัน (冬至) ในเดือน 子 ธันวาคม จากนั้นจึงลดลงเพื่อสร้างหยางอีกครั้ง ณ จุดนี้ จักรวาลก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ เมื่อหายใจเข้าก็จะหายใจออก แล้วก็เริ่มหายใจเข้าและออกครั้งต่อไป จะเห็นได้ว่าเหมายัน และ ครีษมายันเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงและการแลกเปลี่ยนหยินและหยางซึ่งกันและกันในจักรวาล
อย่างไรก็ตาม เวลาที่พลังหยางของเหมายันเกิดขึ้นบนจักรวาลนั้นไม่เหมือนกับช่วงต้นปีในจีนโบราณ คำถามที่ว่าจะใช้ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิหรือเหมายันเป็นจุดเริ่มต้นของปีนั้นแท้จริงแล้วเป็นประเด็นของปฏิทิน ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่ามีปฏิทินโบราณอยู่ 6 เล่ม คือ 黄帝 ( อึ้งตี่ )、颛顼 ( จวกฮวก ) 、夏 ( แฮ่ ) 、殷 ( ฮึง )、周 ( จิว ) และ 鲁 ( ลู่ )ซึ่งเรียกรวมกันว่า 'ปฏิทินโบราณ 6 เล่ม' ยกเว้นปฏิทิน 殷 และ 颛顼 ปฏิทินอีก 4 เล่มล้วนสร้างขึ้นโดยผู้คนในราชวงศ์ฮั่นตะวันออก สิ่งที่เหมือนกันคือปฏิทินทั้งหมดถือว่าจุดเชื่อมต่อเป็นจุดเริ่มต้นของเดือนและเที่ยงคืนเป็นจุดเริ่มต้นของวัน ความแตกต่างคือ ยกเว้นปฏิทิน 颛顼 ซึ่งถือว่าจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเป็นจุดเริ่มต้นของปี ปฏิทินอีก 5 เล่มทั้งหมดถือว่าเหมายันเป็นจุดเริ่มต้นของปี 颛顼 เป็นหลานชายของ 黄帝i และเป็นหนึ่งในผู้นำของชาวฮวาเซี่ยะดังนั้นปฏิทินของเขาจึงถือว่าจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเป็นจุดเริ่มต้นของปีและเที่ยงคืนเป็นจุดเริ่มต้น ของวันที่ไม่แยกแยะระหว่างจื้อก่อนเที่ยงคืนหรือ จื้อหลังเที่ยงคืน นี่คือวัฒนธรรมดั้งเดิมของ ฮวาเซี่ยะ ในขณะที่วัฒนธรรมอื่นๆ นั้นแตกต่างกันไป
จากข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า “จุดเริ่มต้นของหยางในช่วงเหมายัน” หมายถึงช่วงเวลาที่พลังหยางของจักรวาลถือกำเนิด ในขณะที่จุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิหรือเหมายันซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปีนั้นเป็นประเด็นทางปฏิทินที่กำหนดขึ้นโดยเทียม และทั้งสองสิ่งนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน
ทำไมเค้าถึงไม่กำหนดให้ต้นปีเป็นเหมายันแต่เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ คำถามนี้ชวนให้คิด หลังจากการค้นคว้าอย่างหนักในที่สุดก็เข้าใจเหตุผล ในสมัยโบราณ จักรพรรดิเหลืองสั่งให้สร้างราศีบนและราศีล่าง เพื่อเป็นตัวแทนของหยินและหยางและธาตุทั้งห้าในจักรวาล พลังหยางที่แข็งแกร่งที่สุดแสดงโดยธาตุไฟเปี้ย 丙 ในบรรดาราศีบนทั้ง 10 และ ราศีล่างทั้ง 12 พลังหยางของธาตุไฟเปี้ย 丙 จะหมดลง( 12 เชียงแซเข้าตำแหน่ง เจ๊าะ 绝 )ในเดือน 亥 พฤศจิกายน จากนั้นจึงเข้าสู่ เดือนธันวาคม พลัง 胎 คือการตั้งครรภ์ หลังจากนั้นพลังหยางจะงอกและได้รับการหล่อเลี้ยงในเดือน 丑 มกราคม พลัง 养 คือการสะสมพลัง และการสะสมนี้ได้รับการหล่อเลี้ยงจากดิน เช่นเดียวกับทารกในครรภ์ของมารดา ในเดือน 子 และ 丑 พลังหยางจะเติบโต โดยได้รับการหล่อเลี้ยงในดินซึ่งไม่อาจมองเห็นรูปร่างของมัน เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง พลังชี่หยางจึงแตกตัวออกจากดินและลอยอยู่บนพื้นดิน และพลังชี่หยางก็มี "รูปร่าง" ที่มองเห็นได้ เปรียบได้เหมือนกับการเล่นว่าวหลังจากฤดูใบไม้ผลิมาถึงพลังชี่หยางลอยอยู่บนพื้นดิน จึงจะสามารถยกว่าวขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ ในฤดูหนาว ราศีแฝงในราศีล่าง 子 และ 丑 ที่พลังชี่หยางเกิดขึ้นจะไม่มีไฟเปี้ยมีเพียงราศีแฝงพลังหยินเท่านั้น พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ 寅 ที่ราศีแฝงเริ่มมีพลังหยาง ซึ่งจริงๆแล้ว ไฟเปี้ย เกิดจากราศีล่าง 寅 นั้นเองแสดงให้เห็นว่าหลังจากฤดูใบไม้ผลิมาถึงเท่านั้นที่พลังชี่หยางจะมี "รูปร่าง" และเคลื่อนไหวได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับเมื่อทารกในครรภ์ได้รับการปฏิสนธิและเลี้ยงดูในครรภ์มารดา
แล้วคุณเห็น "รูปร่าง" ของมันหรือไม่? หลังจากทารกในครรภ์เกิดมาเท่านั้น เราจึงจะเห็นรูปร่างของมันและทารกในครรภ์จะกลายเป็น "บุคคล" อย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่า 颛顼 ถือว่าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นจุดเริ่มต้นของปี ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าบรรพบุรุษชาวจีนที่ชาญฉลาดมีความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของ ที่ลึกซึ้งเรื่อง 陽氣 (หยางชวี่) กว่า
ดังนั้นการตัดสินใจของ 颛顼 ( จวนซวี่ ) ที่จะกำหนดให้ต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นจุดเริ่มต้นของปีขัดแย้งกับ (河图 เหอถู) และ ( 洛书 ลั่วซู) หรือไม่
(河图 เหอถู) สะท้อนกฎสากลของการเคลื่อนไหวของจักรวาล ในขณะที่ ( 洛书 ลั่วซู) สะท้อนกฎพิเศษของการเคลื่อนไหวของจักรวาล นั่นคือ กฎที่มีลักษณะเฉพาะของสิ่งหนึ่งสิ่งใด เท่าที่เกี่ยวกับจักรวาลทั้งหมด พลังงานหยางเกิดในเหมายันในเดือน 子 และพลังงานหยินเกิดในครีษมายันในเดือนมิถุนายน 午 ซึ่งสามารถเห็นได้โดยสัญชาตญาณใน "เหอถู" เท่าที่เกี่ยวกับโลก "ลั่วซู" สะท้อนภาพลักษณ์ของโลก ใน "ลั่วชู่" พลังหยินถือกำเนิดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับทิศทั้งสิบสองของแผ่นดินจีน นั่นคือ สถานที่ที่พลังหยินธาตุน้ำหยิ่ม 壬 (ไฟคือหยาง น้ำคือหยิน) ถือกำเนิดขึ้น หลังจากได้รับการปฏิสนธิและเลี้ยงดูในเดือน 午 และเดือน 未 พลังหยินจะทะลุผ่านพื้นดินในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงในเดือนสิงหาคม 申 และลอยอยู่บนพื้นดิน เดือน12 มกราคมตามจันทรคติเป็นช่วงเวลาที่หนาวเย็นที่สุดในประเทศจีน และสถานที่ที่หนาวเย็นที่สุดอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์ที่แสดงในลั่วซู ว่าพลังหยินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเดือน 丑 นั้นมีพลังมากที่สุด (ดาวเหินที่ 8 ) เมื่อฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นขึ้น พลังหยางจะทะลุผ่านพื้นดิน และลมอุ่นที่เต็มไปด้วยพลังหยางจะพัดผ่านพื้นดิน จะเห็นได้ว่าการกำหนดให้ต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นจุดเริ่มต้นของปี ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับกฎจักรวาลที่สะท้อนอยู่ใน เหอถู เท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับลักษณะทางธรรมชาติของดินแดนจีนที่สะท้อนอยู่ใน ลั่วซู มากขึ้นอีกด้วย ทั้งยังสอดคล้องกับ เหอถู และ ลั่วซู มากขึ้นด้วย
ในยุค 颛顼 จวกฮวก หรือประมาณ 4,600 ปีก่อน บรรพบุรุษชาวจีนทำอาชีพเกษตรกรรมเพื่อตั้งรกราก หลังจากฤดูใบไม้ผลิมาถึง พลังหยางก็ลอยอยู่บนพื้นดิน และทุกสิ่งทุกอย่างก็ฟื้นคืนชีพ ผู้คนเริ่มทำงานในฤดูหว่านเมล็ดพืชในฤดูใบไม้ผลิและฤดูเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ในฤดูหนาวที่หนาวเย็น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหี่ยวเฉา และผู้คนก็พักผ่อนและฟื้นตัว หลังจากฤดูใบไม้ผลิมาถึงอีกครั้ง ผู้คนก็เริ่มหว่านเมล็ดพืชในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ธรรมชาติแสดงให้เห็นวัฏจักรการฟื้นคืนชีพของสิ่งต่างๆ ทั้งหมดอย่างชัดเจนและเริ่มต้นตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้น จวกฮวก จึงตัดสินใจใช้ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นจุดเริ่มต้นของปีโดยพิจารณาจากปัจจัยโดยรวม เช่น ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า สภาพภูมิอากาศของแผ่นดินจีน กฎธรรมชาติของการเจริญเติบโตของสิ่งต่างๆ และแนวทางการผลิตและนิสัยการใช้ชีวิตของผู้คน ซึ่งถือเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์และปฏิบัติได้จริง
คนโบราณแสดงปีอย่างไร? คนโบราณสังเกตว่าดาวพฤหัสโคจรรอบท้องฟ้าหนึ่งครั้งทุก 12 ปี จึงแบ่งท้องฟ้าใกล้แนวสุริยวิถีออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆ กัน เรียกว่า 12 ครั้ง โดย 12 ครั้งหมายถึงจุดที่ดาวพฤหัสหยุดหมุนในแต่ละปี นี่คือปฏิทินของดาวพฤหัส ต่อมามีการค้นพบว่าเวลาจริงที่ดาวพฤหัสโคจรรอบท้องฟ้าหนึ่งครั้งไม่ใช่ 12 ปีพอดี แต่เป็น 11.8822 ปี การใช้สิ่งนี้ในการบันทึกปีไม่สามารถสะท้อนปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่แท้จริงในแต่ละปีได้อย่างแม่นยำ จึงถูกละทิ้งและแทนที่ด้วยปฏิทินไทสุ่ย นั่นคือ ปฏิทิน甲子 60 ปี "ไทสุ่ย" เป็นดาวเคราะห์ที่คนโบราณตั้งสมมติฐานไว้ สันนิษฐานว่าโคจรรอบท้องฟ้าหนึ่งครั้งทุก 12 ปี และสอดคล้องกับทิศทางการหมุนของด้ามจับของกลุ่มดาวหมีใหญ่ (ดาวพฤหัสโคจรในทิศทางตรงข้ามกับด้ามจับ) นั่นคือ โคจรตามเข็มนาฬิกาตามลำดับของ子 丑 寅 และ 卯 เพื่อจัดเรียงปี ด้วยวิธีนี้ ปฏิทินปีไท่สุ่ย太岁纪年และ ปฏิทินเดือนดาวกระบวย 斗柄纪月 จึงถูกมารวมกันตามทิศทางและเวลาของปี
แม้แต่ "ไท่ซุย" ก็เป็นดาวเคราะห์เสมือนจริง แล้วเสา 60 ปีเจียจื่อที่จัดเรียงกับไท่ซุย 子 丑 寅 และ 卯 และ ราศีบน เกี่ยวอะไรกับ “การเกิดหยางในเหมายัน (冬至一阳生)“ การเสนอให้เปลี่ยนเสาปีในเหมายัน นี่มันไร้สาระหรือเปล่า? เพียงเท่านี้ก็สามารถล้มล้างทฤษฎีทั้ง 11 ข้อของนาย อู่จุนหมิน เกี่ยวกับการเปลี่ยนเสาปีในครีษมายันได้ นายอู่ยังกล่าวอีกว่า 三元东、西命卦,其计算法亦必须以冬至为始终点,始免差错 (วิธีการคำนวณของซานหยวนตะวันออก และ หมิงกั้วตะวันตก จะต้องใช้ครีษมายันเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด) คุณไม่รู้หรือว่าวิธีการทำนายต่างๆ มีระบบทฤษฎีของตัวเอง แล้วจะสับสนได้อย่างไร แค่เพราะชาวยุโรปใส่ชื่อจริงและนามสกุลไว้ท้าย คนจีนก็ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมและเปลี่ยนชื่อจริงด้วยหรือ ถ้าจะต้องเปลี่ยนเสาปีในเหมายันโดยอาศัยแค่หลักการ (冬至一阳生)“หนึ่งหยางเกิดในเหมายัน” แล้วล่ะก็ สามารถเปลี่ยนเสาปีในเหมายันเป็น (夏至一阴生)“หนึ่งหยินเกิดในครีษมายัน” ได้หรือไม่
ในความเป็นจริงในการหมุนรอบดวงอาทิตย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของโลก วันใดวันหนึ่งก็สามารถเป็นวันแรกของปีใหม่ได้ และเสาหลักวันสามารถถูกแทนที่ด้วยเสาหลักปีได้ ไม่ใช่แค่จุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิและเหมายันฤดูหนาวเท่านั้น? จุดเริ่มต้นของฤดูร้อน จุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วง จุดเริ่มต้นของฤดูหนาว ฯลฯ ในฐานะจุดเริ่มต้นของปี สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถสะท้อนถึงธรรมชาติของวัฏจักรของการสลับกันของสี่ฤดูกาลได้หรือ? แต่เนื่องจากจักรพรรดิองค์แรกของจีน จวนฮวก กำหนดว่าจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิคือจุดเริ่มต้นของปี และผู้ก่อตั้งศาสตร์แห่งตัวเลข 命理创 ท่านหลีฮือตง 李虚中ได้สร้างอาคารศาสตร์แห่งตัวเลขโดยมีจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเป็นเสาหลักปี เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะแทนที่เสาหลักปีด้วยวันอื่น เมื่อเห็นเช่นนี้ ต้องมีผู้คนอย่างนายหลิวและนายเย่ที่ถามว่า “จริงหรือที่สิ่งต่างๆ ของบรรพบุรุษจะต้องถูกต้อง เราไม่สามารถตั้งคำถามหรือเปลี่ยนแปลงพวกมันได้ วิธีการอนุรักษ์นิยมแบบนี้เป็นที่ยอมรับไม่ได้! มันละเมิดกฎที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการพัฒนาสังคมของมนุษย์” เดี๋ยวก่อน ฉันบอกว่ามันทำไม่ได้ และมีเหตุผลลึกซึ้งที่ไม่สามารถพูดกับคุณได้
แม้ว่าการใช้ด้ามดาวกระบวยบันทึกเดือนในสมัยโบราณจะถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในช่วงชุนชิวและฤดูใบไม้ร่วง แต่ในสมัยนั้น มีเพียงราศีล่าง เช่น 子 丑 寅 และ 卯 เท่านั้นที่ใช้บันทึกเดือน และไม่ได้ใช้ราศีบน“จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ การใช้ราศีล่างในการบันทึกเดือนค่อนข้างช้า และดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากหลี่ฮือตง ในราชวงศ์ถัง” (门岿著, “สาระสำคัญของวรรณกรรมจีนแห่งราชวงศ์ทั้งหมด” ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เซว่หยวน ฉบับปี 1996) การใช้ราศีล่างในการบันทึกเดือนเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของหลี่ ซู่จง แท่งเดือนของท่านหลีฮือตง ที่เขียนเป็นกลอนเพื่อบันทึกราศีล่าง เช่น “甲已之年丙作首 ในปีกะ เปี้ยเป็นอันแรก” รวบรวมขึ้นโดยอิงจากจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเพื่อกำหนดคอลัมน์ปี ในส่วนของคอลัมน์วัน ยุคของการใช้ราศีล่างในการบันทึกวันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่ออึ่งตี่ สั่งให้ต้าเนาสร้างกะจื้อ เมื่อ หลี่ฮือตง สร้างศาสตร์แห่งตัวเลขสามคอลัมน์ของปี เดือน และวัน เขาใช้ชุดคำคล้องจอง “甲已之年丙作首 เพื่อเชื่อมโยงปฏิทินกะจื้อหกสิบปีโบราณ ปฏิทิน และเดือนปฏิทินกับจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเป็นเส้นหลัก ก่อให้เกิดเนื้อและเลือดที่ผสานกันอย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง หากคุณใช้เหมายันหรือวันอื่นใดเพื่อแทนที่เสาปี การผสมผสานอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังของเสาสามเสาของปี เดือน และวันจะถูกทำลาย และคุณจะไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งตัวเลขของหลีฮือตง เพื่อทำนายดวงชะตาได้อีกต่อไป และจะไม่สามารถทำนายดวงชะตาได้ ขอให้ฉันยกตัวอย่างเพื่ออธิบายเรื่องนี้
หากบุคคลเกิดในวันที่ 20 ของเดือนฤดูหนาวในปี 2002 (วันที่ 19 ของเหมายัน) ในยามมะเส็ง 巳 เสาหลักทั้งสี่ของเขาควรเป็น 壬午 壬子 乙丑 辛巳 หากเสาปีเปลี่ยนแปลงตามเหมายัน เสาปีของเสาหลักทั้งสี่ของเขาควรเป็น 癸未 ควรยอมรับราศีบนใด สำหรับเสาเดือนของเดือน 子 หรือไม่ สามารถรับราศีบน 丙 ได้หรือไม่ได้ เนื่องจากบทกวีของ 丁壬壬寅顺水流””ไฟเต็งน้ำหยิ่ม น้ำหยิ่มไม้เอี้ยง ไปตามกระแสน้ำไหลหลาก " ถูกเรียบเรียงตามการเปลี่ยนแปลงของเสาปีในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เสาปี 癸未 ที่เปลี่ยนเสาปีในเหมายันจึงไม่รวมอยู่ในระบบโปรแกรมของบทกวีของ หลีฮือตง เกี่ยวกับการยอมรับราศีบนสำหรับเสาเดือน ดังนั้นราศีล่างเดือนของมันจึงไม่สามารถยอมรับ ไฟเปี้ยได้ ควรยอมรับราศีบนใด ขึ้นอยู่กับบุคคลที่เปลี่ยนเสาปีในเหมายัน เขาจำเป็นต้องออกแบบระบบโปรแกรมสำหรับการยอมรับราศีบนสำหรับเสาปีที่เปลี่ยนแปลงในเหมายัน เพื่อที่เขาจะสามารถยอมรับราศีบนสำหรับเดือน 子 นี้ได้ สิ่งเดียวกันนี้ก็เป็นจริงสำหรับเสาวันเช่นกัน เนื่องจากเสาวันได้รับการส่งต่อเมื่ออึ่งตี่สั่งให้ต้าเนาสร้างกะจื้อ เมื่อหลานชายของอึ่งตี่ จวกฮวก กำหนดว่าจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเป็นจุดเริ่มต้นของปี เขาก็รวมเสาวันไว้ในนั้นโดยธรรมชาติ เมื่อหลีฮือตง สร้างศาสตร์แห่งตัวเลขสามเสาของปี เดือน และวัน เขาใช้ 甲已之年丙作首 เพื่อเชื่อมโยงปี เดือน และวันกับจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเพื่อกำหนดเสาปี ดังนั้น เสาวัน 乙丑 ในวันที่ 20 ของเดือนฤดูหนาวปี 2002 จึงเป็นเสาปีของ 壬午 และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเสาปีของ 癸未 ผู้ที่เปลี่ยนเสาปีในเหมายันจะต้องจัดเรียงเสาวันทั้งหมดใหม่ตามเสาปีที่เปลี่ยนเหมายันด้วย ส่วนเสาชั่วโมงนั้นเป็นวิธีเสาชั่วโมงที่ จือผิง รวบรวมขึ้นโดยอิงตามระบบโปรแกรมของศาสตร์แห่งตัวเลขสามเสาปี เดือน และวันของ หลีฮือตง เช่น "甲已还加甲" ซึ่งเป็นการขยายศาสตร์แห่งตัวเลขของหลีฮือตงดังนั้นผู้ที่เปลี่ยนเสาปีในครีษมายันจะต้องรวบรวมระบบโปรแกรมของเสาชั่วโมงนากันตามเสาปีเปลี่ยนครีษมายันเพื่อกำหนดเสาชั่วโมงด้วย กล่าวโดยย่อ ผู้ที่ใช้เหมายันในการเปลี่ยนเสาปีจะต้องออกแบบระบบโปรแกรมอื่นเพื่อเปลี่ยนเสาปีตามเหมายันเพื่อกำหนดเสาสี่เสาของการทำนายดวงชะตา นี่เหมือนกับว่าระบบคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันไม่สามารถเข้ากันได้และต้องดัดแปลงระบบเดิมเพื่อให้เข้ากันได้
ดังนั้นการตีความชะตากรรมของบุคคลโดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของเสาหลักปีในช่วงเหมายันจึงผิดโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม (เป็นความบังเอิญโดยบังเอิญ) ข้าพเจ้าขอชี้แจงความเข้าใจผิดนี้ในที่นี้
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าขอพูดถึง “แนวทางใหม่ในการจัดงานมหาวิทยาลัยโลก” ของนายหลิวและนายเย่
นายหลิวและนายเย่ได้หยิบยกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ การเกิดของหยางหนึ่งอันในครีษมายันและหยินหนึ่งอันในครีษมายัน และหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพร้อมกับคำถามเกี่ยวกับลำดับของโชคลาภอันยิ่งใหญ่ของผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นความเข้าใจผิดอย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับพื้นฐานของลำดับของโชคลาภอันยิ่งใหญ่ของผู้ชายและผู้หญิง ลำดับของโชคลาภอันยิ่งใหญ่ของผู้ชายและผู้หญิงนั้นขึ้นอยู่กับกฎของทิศทางการเคลื่อนที่ของพลังงานหยินและหยางของจักรวาล โดยหยางเคลื่อนที่ตามเข็มนาฬิกาและหยินเคลื่อนที่ทวนเข็มนาฬิกา ในแผนภูมิแม่น้ำ ลั่วซูและแผนภูมิไท่เก็ก พลังงานหยินและหยางจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงข้ามกันในตำแหน่งที่ตรงกันข้ามเสมอ โดยหยางเคลื่อนที่ตามเข็มนาฬิกาและหยินเคลื่อนที่ทวนเข็มนาฬิกา ในขณะที่มนุษย์กำลังสร้างพลังงานหยินและหยางของจักรวาล มนุษย์ก็ถูกควบคุมโดยกฎนี้เช่นกัน ผู้ชายคือหยางและผู้หญิงคือหยิน และพวกเขาต่างก็ปฏิบัติตามกฎของการเคลื่อนไหวของหยินและหยาง และเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับการเคลื่อนไหวของผู้ชายในทิศทางตามเข็มนาฬิกาและผู้หญิงในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งสอดคล้องกับกฎธรรมชาติของจักรวาลอย่างสมบูรณ์ แต่คุณหลิวและคุณเย่คิดว่านี่เป็น "เรื่องที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์" แล้วการปฏิเสธลำดับของโชคลาภอันยิ่งใหญ่ของผู้ชายและผู้หญิงและละเมิดกฎธรรมชาติของทิศทางการเคลื่อนไหวของพลังงานหยินและหยางของจักรวาลนั้นเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ ส่วนเหตุใดโชคชะตาของผู้ชายและผู้หญิงจึงถูกจัดเรียงตามหยินและหยางของปีนั้น เป็นผลงานการวิจัยของหลีฮือจง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่จะยืนยันได้ ผู้เขียนจึงไม่มีสิทธิแสดงความคิดเห็น
นายหลิวและนายเย่ยังกล่าวอีกว่า “ในอภิปรัชญา 奇门遁甲 ฉีเหมินตุนเจีย ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเวลามากกว่า ใช้ครีษมายัน 夏至 และ 冬至 เหมายันในการเปลี่ยนหน่วยหยินและหยาง” เสาหลักทั้งสี่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเวลาหรือ? พื้นฐานทางทฤษฎีสำหรับฉีเหมินตุนเจียในการจัดตั้งหน่วยหยินและหยางก็คือ เหมายันเป็นการเกิดของหยาง และครีษมายันเป็นการเกิดของหยิน แน่นอนว่าเหมายันและครีษมายันควรใช้ในการเปลี่ยนหน่วยหยินและหยาง เพียงเพราะฉีเหมินตุนเจียมีหน่วยหยินและหยาง เสาหลักแห่งโชคชะตาทั้งสี่ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหมายันและครีษมายันควรจัดเรียงตามเหมายันหรือครีษมายันหรือไม่? เพียงเพราะชาวยุโรปใช้มีดและส้อม พวกเราชาวจีนควรจะทิ้งตะเกียบแล้วใช้มีดและส้อมแทนหรือไม่?
ฉันอยากแนะนำผู้ที่คิดค้นศาสตร์แห่งตัวเลขด้วย "จิตวิญญาณปฏิวัติ" ว่าอย่าสับสนระหว่างเทคนิคการทำนายต่างๆ ของระบบทฤษฎีต่างๆ พวกเขาจะต้องชี้แจงพื้นฐานทางทฤษฎีของเสาหลักแห่งโชคชะตาทั้งสี่เสียก่อน แล้วจึงล้มล้างมันทิ้งหากคิดว่าไม่สอดคล้องกับกฎธรรมชาติของจักรวาล จากนั้นจึงคิดค้นศาสตร์แห่งตัวเลขตามกฎธรรมชาติของจักรวาลได้ เล่าจื่อบอกกับเราเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้วว่า “人法地,地法天,天法道,道法自然 (มนุษย์เดินบนพื้นดิน พื้นดินหมุนไปตามท้องฟ้า ท้องฟ้าเป็นไปตามเต๋า และเต๋าเดินตามธรรมชาติ)” กฎธรรมชาติเป็นหลักการสูงสุดของความจริงของจักรวาล และแน่นอนว่าเป็นหลักการสูงสุดของศาสตร์แห่งตัวเลขด้วย

เขียนโดย 鏡秋堂 สำนักจิงชิว
แหล่งของข้อมูล www.360doc.com
แปลและเรียบเรียงโดย ลิ้มแชเล้ง

แก้ไข 17 มิย 2568
ปรับแก้คำแปลผิดพลาด จากความสับสนของคำว่า เห-มายัน และครีษมายัน และเพิ่มภาพ เหอถู และ ลั่วซู
เห-มายัน คือ 冬至 ช่วงเวลา 21-22 ธันวาคม
ครีษมายัน คือ 夏至 ช่วงเวลา 21-22 มิถุนายน

ที่อยู่

354/2 ชั้น 2
Dusit
10300

เบอร์โทรศัพท์

+66924547899

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ซินแส ลิ้มแชเล้งผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ซินแส ลิ้มแชเล้ง:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram