หายป่วย

  • Home
  • หายป่วย

หายป่วย การแบ่งปันเรื่องโรคภัย ให้ความรู้อาการของโรคนั้นๆ ด้วยวิธีรักษา แพทย์ทางเลือกใหม่ "อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ช่วยบำบัดผู้ป่วยจากอาการโรคต่างๆ

  Heart #หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย เพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ และนำ...
06/07/2025

Heart
#หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย เพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ และนำของเสียกลับมา มันตั้งอยู่ในช่องอก ระหว่างปอดทั้งสองข้าง และมีขนาดประมาณกำปั้น
หน้าที่หลักของหัวใจ:
#สูบฉีดเลือด:
หัวใจทำหน้าที่เป็นปั๊ม ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายผ่านระบบไหลเวียนโลหิต
#ลำเลียงสารอาหารและออกซิเจน:
เลือดที่ถูกสูบฉีดจะนำออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ต่างๆ ไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย
#กำจัดของเสีย:
เลือดจะนำคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียอื่นๆ ออกจากร่างกาย
#ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ:
หัวใจยังมีระบบไฟฟ้าที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
โครงสร้างของหัวใจ:
#ห้องหัวใจ:
หัวใจมี 4 ห้อง คือ ห้องบนขวา (right atrium), ห้องล่างขวา (right ventricle), ห้องบนซ้าย (left atrium), และห้องล่างซ้าย (left ventricle)
#ลิ้นหัวใจ:
ลิ้นหัวใจทำหน้าที่ควบคุมการไหลของเลือดในทิศทางที่ถูกต้อง
#ผนังหัวใจ:
หัวใจมีผนังกล้ามเนื้อหลายชั้น
#เยื่อหุ้มหัวใจ:
เยื่อหุ้มหัวใจเป็นเยื่อบางๆ ที่ห่อหุ้มหัวใจไว้อีกชั้น
#ความสำคัญของหัวใจ:
หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต หากหัวใจมีปัญหา อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้

 #ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ชนิด   (Influenza) #ลักษณะโรคเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน โดยมีลักษณะทาง...
27/06/2025

#ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ชนิด (Influenza)
#ลักษณะโรค
เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน โดยมีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ มีไข้สูงแบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่งในกลุ่มโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ เนื่องจากเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) มาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางเกือบทุกทวีป ทำให้มีผู้ป่วยและเสียชีวิตนับล้านคน
#สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งมี 3 ชนิด (type) คือ A, B และ C ไวรัสชนิด A เป็นชนิดที่ทำให้เกิดการระบาดอย่างกว้างขวางทั่วโลก ไวรัสชนิด B ทำให้เกิดการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค ส่วนชนิด C มักเป็นการติดเชื้อที่แสดงอาการอย่างอ่อนหรือไม่แสดงอาการ และไม่ทำให้เกิดการระบาด
เชื้อไวรัสชนิด A แบ่งเป็นชนิดย่อย (subtype) ตามความแตกต่างของโปรตีนของไวรัสที่เรียกว่า hemagglutinin (H) และ neuraminidase (N) ชนิดย่อยของไวรัส A ที่พบว่าเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในคนที่พบในปัจจุบันได้แก่ A(H1N1), A(H1N2), A(H3N2), A(H5N1) และ A(H9N2) ส่วนไวรัสชนิด B ไม่มีแบ่งเป็นชนิดย่อย
เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มียีโนมเป็น RNA แยกเป็น 7-8 ชิ้น ทำให้ยีโนมมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมได้ค่อนข้างบ่อย เรียกว่า genetic variation การเปลี่ยนแปลงยีโนมทำให้แอนติเจนซึ่งเป็นผลผลิตของยีนส์เปลี่ยนแปลงไปด้วย คือมี antigenic variation ซึ่งมี 2 แบบคือ
drift เป็นการเปลี่ยนแปลงแอนติเจนเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเกิด RNA point mutation ทำให้ amino acid เพียงหนึ่งหรือมากกว่านั้นเปลี่ยนไป แต่ไม่มากพอที่จะทำให้ H หรือ N เปลี่ยนไป antigenic drift ทำให้เกิดการระบาดในวงไม่กว้างนัก
shift เกิดขึ้นจากขบวนการ gene reassortant คือการที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A 2 สายพันธุ์เกิดการติดเชื้อในเซลล์หนึ่งเซลล์ มีการนำยีโนมจากไวรัสสายพันธุ์หนึ่งไปใส่ในอนุภาคของไวรัสอีกสายพันธุ์หนึ่งในเซลล์เดียวกัน ทำให้เกิดอนุภาคของไวรัสชนิดใหม่ ซึ่งแอนติเจนเปลี่ยนไปจนทำให้ H หรือ N เปลี่ยนไปจนเกิดชนิดย่อย (subtype) ใหม่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ (pandemic) มาแล้วในอดีต
#ปัจจุบันสามารถพบ hemagglutinin (H) ที่แตกต่างกันถึง 15 ชนิด และ neuraminidase (N) 9 ชนิดของไวรัสชนิด A แต่มีเพียง H1N1 และ H3N2 ที่พบติดเชื้อในคนบ่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของแอนติเจนที่เกิดได้บ่อยทำให้มีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ๆเกิดขึ้นต่างสถานที่และต่างระยะเวลา ดังนั้นจึงต้องมีระบบการเรียกชื่อเพื่อป้องกันความสับสน คณะผู้เชี่ยวชาญได้กำหนดให้เรียกชื่อเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามหลักสากลทั่วโลกดังนี้ ชนิดไวรัส/ชื่อเมืองหรือประเทศที่พบเชื้อ/ลำดับสายพันธุ์ที่พบในปีนั้น/ปี ค.ศ.ที่แยกเชื้อได้/ชนิดย่อยของ H และ N เช่น A/Sydney/5/97(H3N2), A/Victoria/3/75/(H3N2)
การศึกษาด้านนิเวศวิทยาบ่งชี้ว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีกำเนิดมาจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ของสัตว์ตระกูลนก (avian influenza virus) สัตว์นกน้ำ (aquatic bird) เป็นแหล่งรังโรค (reservoir) เชื้อไวรัสสามารถแบ่งตัวได้ในลำไส้ของสัตว์ประเภทเป็ดป่า (wild duck) โดยไม่ทำให้สัตว์เกิดอาการ สัตว์เหล่านี้ขับถ่ายเชื้อไวรัสจำนวนมากออกมาพร้อมอุจจาระ ในแต่ละปีจะมีลูกนกเป็ดน้ำจำนวนมากเกิดขึ้นทั่วโลกลูกนกเหล่านี้ได้รับเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำ เมื่อลูกนกเป็ดน้ำโตขึ้นก็จะย้ายถิ่นและแพร่กระ จายเชื้อไวรัสไปอย่างกว้างขวาง
#การระบาดของ avian influenza บนเกาะฮ่องกงในปี พ.ศ.2540 ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส H5N1 บ่งชี้ว่าเชื้อแพร่กระจายจากนกที่อยู่ตามชายฝั่ง (shorebird) ไปสู่เป็ดโดยการปนเปื้อนของอุจจาระ จากนั้นแพร่ไปสู่ไก่และปักหลักอยู่ในตลาดขังสัตว์ปีกมีชีวิต (live bird market) นกที่อยู่ตามชายฝั่งและเป็ดไม่เป็นโรคเพราะเป็นแหล่งเก็บเชื้อโดยธรรมชาติ ส่วนไก่เป็นโรคติดเชื้อรุนแรงและตายมาก คนติดเชื้อมาจากไก่ทางอุจจาระที่ปนเปื้อน (f***l oral) เชื้อไวรัสที่ผ่านสัตว์มาหลายเผ่าพันธุ์จะมีฤทธิ์ก่อโรคได้สูงในไก่และคน การผสมกัน (reassortment) ระหว่างไวรัสต่างเผ่าพันธุ์ (species) เกิดขึ้นได้ง่ายอาจทำให้เพิ่มชนิดย่อยใหม่ที่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในคนได้ มีการศึกษาว่าการใช้อุจจาระเป็ดไปเลี้ยงปลาจะนำไปสู่การแพร่เชื้อไวรัส avian influenza ไปสู่หมู เชื้ออาจแพร่ไปในอาหารและซากนกที่นำไปเลี้ยงหมู
#วิธีการติดต่อ
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ติดต่อทางการหายใจ โดยจะได้รับเชื้อที่ออกมาปนเปื้อนอยู่ในอากาศเมื่อผู้ป่วยไอ จาม หรือพูด ในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น โรงเรียน โรงงาน การแพร่เชื้อจะเกิดได้มาก นอกจากนี้การแพร่เชื้ออาจเกิดโดยการสัมผัสฝอยละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย (droplet transmission) จากมือที่สัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ แล้วใช้มือสัมผัสที่จมูกและปาก
ระยะฟักตัว
ประมาณ 1-3 วัน
#ระยะติดต่อ
ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการและจะแพร่เชื้อต่อไปอีก 3-5 วันหลังมีอาการในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กอาจแพร่เชื้อได้นานกว่า 7 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แต่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อในช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน

23/05/2025
 #โรคตาแดง (pink eye หรือ conjunctivitis) เป็นการอักเสบหรือติดเชื้อของเยื่อบุตาซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบางใสที่คลุมอยู่ด้านในข...
01/04/2025

#โรคตาแดง (pink eye หรือ conjunctivitis) เป็นการอักเสบหรือติดเชื้อของเยื่อบุตาซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบางใสที่คลุมอยู่ด้านในของเปลือกตาและบนตาขาว โรคตาแดงเป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อย และมักระบาดในช่วงฤดูฝน
#โรคแทรกซ้อน
มีอาการเคืองตามาก ลืมตาไม่ค่อยได้จะมีอาการกระจกตาอักเสบแทรกซ้อน และจะดีขึ้นได้ประมาณ 3 สัปดาห์ หรือบางรายเป็น 1-2 เดือน ทำให้ตาพร่า มัวเป็นเวลานาน

#การรักษา
เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัส จึงยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสนี้โดยตรงต้องรักษาตามลักษณะอาการของโรค คือ ถ้ามีขี้ตาให้หยอดยาปฏิชีวนะสาร มีไข้ เจ็บคอ ให้ใช้ยาแก้อักเสบร่วมกับยาลดไข้ และยาลดปวดซึ่งคนไข้จะต้องดูแลสุขภาพของตนเองโดยการพักผ่อนให้เพียงพอโดยเฉพาะการใช้สายตาในช่วงที่มีอาการตาแดงอย่างรุนแรงไม่ควรทำงานดึก ควรพักผ่อนให้เพียงพอไม่จำเป็นต้องปิดตาไว้ตลอดยกเว้นมีกระจกตาอักเสบเคืองตามากจึงปิดตาเป็นครั้งคราวได้ ไม่ควรให้เชื้อไวรัสแพร่กระจาย โดยการงดการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกันทุกครั้งที่สัมผัสตา ควรล้างมือให้สะอาด ผู้ป่วยไม่ควรลงเล่นน้ำในสระ เพราะจะเป็นการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในน้ำได้
#การป้องกัน
1. ล้างมือให้สะอาดอยู่สม่ำเสมอ
2. ไม่คลุกคลี ใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
3. ถ้ามีฝุ่นละออง หรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
4. อย่าปล่อยให้มีแมลงหวี่ หรือแมลงวันตอมตา
5. หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่ายกาย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอนปลอกหมอน ให้สะอาดอยู่เสมอ
#โรคตาแดง #โรคแทรกซ้อน #การรักษา #การป้องกัน

8  #สมุนไพรแก้เบาหวาน  #สาเหตุการเกิดโรคเบาหวาน1. มะเขือพวง สมุนไพรแก้เบาหวาน ในครัวถูกนำไปเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายเมน...
22/03/2025

8 #สมุนไพรแก้เบาหวาน #สาเหตุการเกิดโรคเบาหวาน
1. มะเขือพวง สมุนไพรแก้เบาหวาน ในครัว
ถูกนำไปเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายเมนู ไม่ว่าจะ แกงเขียวหวาน พะแนง หรือแม้แต่ในน้ำพริกซึ่งสรรพคุณของมะเขือพวงก็ไม่ธรรมดาเลยเพราะมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยมและยังช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

มะเขือพวง สมุนไพรแก้เบาหวาน
2. ขิง
ขิงคือสมุนไพรชั้นดีที่ได้จากธรรมชาติและเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คงทราบถึงสรรพคุณของเขาดีเป็นอย่างดี และขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดจึงเหมาะกับผู้ที่กำลังป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน

พร้อมด้วยมีผลการทดลองเปิดเผยว่าหนูที่ใช้ในการทดลองได้รับสารสกัดจากขิงทุก ๆ วัน ตลอดระยะ 5 สัปดาห์ ผลที่ได้คือระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลง แถมยังส่งผลทำให้ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้นอีกด้วย

3. ขมิ้น
สมุนไพรสีเหลืองทองชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบในร่างกายได้เป็นอย่างดี และยังช่วยชะลอการเกิดโรคเบาหวานได้อีกด้วย

เพราะในขมิ้นนั้นมี Curcumin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ฉะนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อเบาหวาน ถ้าหากได้บำรุงด้วย Curcumin เป็นประจำจะทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้นั่นเอง

4. บอระเพ็ด
สำหรับสมุนไพรชนิดนี้ ถือเป็น สมุนไพรแก้เบาหวาน ที่มีรสชาติขมเอามาก ๆ หลายคนถึงไม่ค่อยชอบรับประทานเท่าไหร่ แต่ทราบกันหรือไม่ว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรที่อยู่ในตำรับยาไทยเลยนะ มีสรรพคุณช่วยให้การเจริญอาหาร ลดอาการปวดหัว และยังมีส่วนช่วยในการบำรุงหัวใจอีกด้วย ที่สำคัญไปกว่านั้นบอระเพ็ดมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แถมไม่มีผลข้างเคียงที่อันตรายอะไรอีกด้วย แต่สมุนไพรชนิดนี้จะค่อนข้างทานยากหน่อย แต่อย่างลืมว่าหวานเป็นลม ขมเป็นยากันด้วยนะ

บอระเพ็ด สมุนไพรแก้เบาหวาน
5. มะระขี้นก
มะระขี้นกเป็นสมุนไพรที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรงที่ปัจจุบันมีแบบเม็ดจำหน่ายแล้ว จึงเป็นผักที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานมากที่สุด เพราะในมะระขี้นกนั้นจะมีสาร Charantin ที่นอกจากจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดก็ยังต้านอาการของโรคเบาหวาน ช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลินจากตับอ่อนนอกจากช่วยในเรื่องการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้ ถ้าหากใครที่กินมะระขี้นกเป็นประจำก็สามารถชะลอการผิดปกติของไต ช่วยชะลอการเกิดโรคตา อย่างต้อกระจกในผู้ป่วยเบาหวาน

6. ตำลึง
เป็นสมุนไพรที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี แค่รับประทาน 50กรัม ติดต่อกันเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยไปเน้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ

7. ชาเขียว (แท้)
ในชาเขียวมีสาร Polyphenol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ชาเขียวเลยจะเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานมาก เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยส่งเสริมการทำงานของอินซูลินและยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย

8. กระเจี๊ยบเขียว
ผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมีไฟเบอร์สูงแถมยังเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ยังเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ทำหน้าที่ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายนั่นเอง

สุดท้ายนี้หลังจากที่ได้ 8 สมุนไพรแก้เบาหวาน ไปแล้วก็ลองเลือกเป็นเมนูที่ช่วยในการลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวานด้วยนะคะ

8 #สาเหตุการเกิดโรคเบาหวาน
การแสดงออกในการรับประทานอาหารในหมู่ของชาวตะวันตก เช่น แฮมเบอร์เกอร์ ไส้กรอก เค้ก พิซซ่า และของหวานต่าง ๆ ที่ทั้งกลอนเข้างานและระหว่างทำงานอาหารพวกนี้จัดว่ามีไขมันที่สูงเช่นนั้นแน่นอนว่าโรคเบาหวานมันชอบนักแหละ

1.มีชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ
ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอนแทบจะไม่ได้หยุดพักหายใจให้ท่วมปอดวันๆ มีแต่เรื่องงานในหัวเร่งรีบทำนู่นนี่นั่นไปเสียทุกอย่างทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดโรคเบาหวานเลยถามหา

2.ละเลยในการรับประทานอาหาร
ก็ประมาณว่างเสียเวลาในการทำงานไม่ต้องกินก็ได้รอบนี้ เอาไว้รวบยอดตอนกลางคืนเลยแล้วกัน ทำงานจนลืมกินข้าวปลากินอาหารไม่ตรงเวลานกเบาหวานก็มาหาแน่

3.น้ำที่ได้ไม่เพียงพอ
วันหนึ่งดื่มน้ำไม่ถึง 8 แก้วแก้วเดียวแทบจะไม่ได้ดื่มแบบนี้ตัวชอบของโรคเบาหวานเลยนะ

4.นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะตลอดทั้งวัน
แน่ใจว่าไม่ยอมลุกไปไหนฝากเพื่อนซื้อข้าวมาให้บ้างแหละ ไวน์หวานคนอื่นบ้างแหละ ไม่คิดทำอะไรด้วยตัวเองแบบนี้เบาหวานสิงร่างคุณได้ง่ายมาก

5.ดื่มกาแฟทีหลายแก้ว
บางคนยิ่งมีอายุที่มากขึ้นก็มองว่าการได้รับปริมาณในการรับประทานดื่มก็ต้องมากตาม ลงไปแข็งน้ำอัดลมเครื่องดื่มมึนเมาและตามมาด้วยการสูบบุหรี่นัก คุณคิดว่าจะหลีกเลี่ยงเบาหวานไปได้ไหมล่ะ

6.มีผู้ก่อตั้งหรือพันธุกรรม
ข้อนี้คุณไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หากว่า พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ทวด เป็นผู้ก่อตั้งโอกาสได้รับเชื้อเบาหวานก็มากตาม

7.ติดกินกรุบกรอบ
ระหว่างเรียนหรือทำงาน ต้องมีบ้างแหละ ถุง สองถุง แต่ดูดี ๆ นะ คุณอาจเป็นผู้โชคดีได้ระบบรางวัลที่อยู่ข้างในถุงด้วย นั่นก็คือ เบาหวาน

8.น้ำหนักเกินกิโล
เมื่อมีน้ำหนักมากกว่ามาตรฐานหรือเป็นโรคอ้วนก็มีโอกาสเสี่ยงสูงมากในการเป็นโรคเบาหวาน

#สมุนไพรแก้เบาหวาน #สาเหตุการเกิดโรคเบาหวาน

 #มะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติเกิดเป็นก้อนเนื้อที่ม...
21/03/2025

#มะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติเกิดเป็นก้อนเนื้อที่มีการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง หรือกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ ผ่านทางระบบเลือด หรือระบบทางเดินน้ำเหลือง โรคมะเร็งมีหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดของโรค และชนิดของเซลล์มะเร็ง
#วิธีการรักษามะเร็ง ที่รู้จักกันทั่วไปและเป็นวิธีการหลัก ๆมี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด รังสีรักษา (ฉายรังสี,ฉายแสง) และยาเคมีบำบัด ส่วนที่มีการใช้แพร่หลายอย่างมากในปัจจุบัน คือ ยามุ่งเป้าและภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งจะมีข้อบ่งชี้ที่เฉพาะ การผ่าตัด
#มะเร็ง #วิธีการรักษามะเร็ง

#โรคมะเร็ง รักษาได้แบบไหน
#การผ่าตัด (Surgery)
การผ่าตัดเป็นวิธีการรักษามะเร็งเฉพาะที่ การรักษามะเร็งระยะแรกส่วนใหญ่มักต้องมีการผ่าตัด เช่น มะเร็งศีรษะและคอ เต้านม ปอด มะเร็งในช่องท้อง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น ด้วยปัจจุบันการผ่าตัดมีความก้าวหน้ามาก หลายอวัยวะสามารถผ่าตัดโดยไม่ทำให้เสียรูปทรง และหลีกเลี่ยงการสูญเสียอวัยวะนั้นไป เช่น มะเร็งเต้านม มีการผ่าตัดเฉพาะก้อน (Lumpectomy) ไม่ต้องตัดนมทั้งเต้า (Mastectomy), มะเร็งกระดูกของกระดูกต้นขา แพทย์สามารถผ่าตัดเก็บรักษาขาได้ (Limbsparing Surgery) โดยไม่ต้องตัดขา (Amputation)



นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดแบบส่งผลกระทบน้อย ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) เช่น การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งทำได้ทั้งการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ การผ่าตัดผ่านกล้องโดยใช้หุ่นยนต์ช่วย (Robotic Assisted Laparoscopic Surgery) เพื่อรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก

#รังสีรักษา (Radiotherapy)
การรักษาด้วยรังสีบำบัด หรือเรียกตามความเข้าใจทั่วไปว่า การฉายแสง เป็นการรักษามะเร็งเฉพาะตำแหน่ง โดยการฉายแสงเป็นการรักษามะเร็งโดยใช้รังสีขนาดสูงตามตำแหน่งที่แพทย์ต้องการควบคุมมะเร็ง การฉายแสงนี้รังสีจะผ่านผิวหนังไปยังตำแหน่งที่ต้องการทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งแพทย์รังสีรักษาจะเป็นผู้วางแผนการให้ปริมาณรังสีให้มีผลต่ออวัยวะข้างเคียงน้อยที่สุด เพราะสามารถกำหนดความลึกและบริเวณที่ต้องการได้ บางกรณีแพทย์อาจใช้รังสีรักษาชนิดสอดใส่ ฝั่งแร่ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดรังสีไปในตำแหน่งใกล้กับก้อนมะเร็งโดยตรง (Brachytherapy) ได้ เช่น ในมะเร็งปากมดลูก ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีรังสีรักษาพัฒนาไปมาก สามารถลดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะข้างเคียง ลดระยะเวลาการฉาย ความแม่นยำเฉพาะจุด ด้วยการฉายแบบ 3D 4D เป็นต้น
#การผ่าตัด (Surgery) #รังสีรักษา (Radiotherapy)

 #โรคงูสวัด (Herpes Zoster/Shingles)งูสวัด (Herpes zoster/Shingles) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส VZV ที่ซ่อนอยู่ในป...
16/03/2025

#โรคงูสวัด (Herpes Zoster/Shingles)
งูสวัด (Herpes zoster/Shingles) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส VZV ที่ซ่อนอยู่ในปมประสาทในผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน โดยเมื่อหายจากโรคอีสุกอีใส ไวรัส VZV จะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทรับความรู้สึก ตราบเมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายลดต่ำ ไวรัส VZV ที่ก่อโรคจะกำเริบโดยแสดงออกซึ่งอาการของโรคงูสวัดที่ทำให้มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน มีผื่นแดงขึ้นเรียงกันเป็นกลุ่มตามแนวเส้นประสาท มีตุ่มน้ำใสขึ้น และอาจมีไข้ร่วม งูสวัดที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น งูสวัดขึ้นตา อาการปวดตามแนวเส้นประสาทหลังการติดเชื้อ (PHN) หรือมีความผิดปกติทางระบบประสาท ผู้ที่มีอาการต้องสงสัยด้วยโรคงูสวัดควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและรับยาต้านไวรัสโดยเร็ว

#โรคงูสวัด เกิดจากอะไร?
งูสวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella zoster virus: VZV) ที่เมื่อติดเชื้อครั้งแรกจะทำให้เป็นโรคอีสุกอีใส แต่เมื่อหายดีแล้ว เชื้อไวรัส VZV จะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ได้นานหลายปีจนเมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ เชื้อไวรัส VZV ที่แฝงตัวอยู่จะค่อย ๆ กำเริบโดยการแบ่งตัว เพิ่มจำนวน และแพร่กระจายไปตามปมประสาทรับความรู้สึกและรอบปลายประสาทผิวหนังจนทำให้เส้นประสาทอักเสบ ปวดตามแนวเส้นประสาท เกิดรอยโรคลักษณะผื่นแดงที่ผิวหนัง ตามด้วยตุ่มน้ำใสขึ้นเรียงกันเป็นกลุ่ม พาดยาวตามแนวปมประสาทรับความรู้สึก ทำให้มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน เจ็บแปลบตามร่างกาย ปวดหัว และอาจมีไข้ร่วม ผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคงูสวัดด้วยกันทั้งสิ้น

#ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคงูสวัด คือใคร?
• ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
• ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ
• ผู้ที่ทานยากดภูมิคุ้มกัน
• ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
• ผู้ที่เป็นมะเร็ง
• ผู้ป่วยติดเตียง
• ผู้ที่มีความเครียด
• ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
• ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง
• ผู้ที่เคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
• ผู้ที่รับยาเคมีบำบัด
• ผู้ที่ใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน
• ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคแพ้ภูมิตนเอง หรือโรคเอสแอลอี (SLE) โรคหัวใจ โรคไต

อาการงูสวัด เป็นอย่างไร?
อาการงูสวัดแบ่งอาการออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

#งูสวัดระยะเริ่มมีอาการ (Preeruptive phase)
เป็นระยะที่เชื้อไวรัส VZV ที่แฝงตัวอยู่ แพร่กระจายไปตามปมประสาทรับความรู้สึก (Sensory ganglion) และรอบปลายประสาทผิวหนังจนทำให้เส้นประสาทอักเสบ ปลายประสาทอักเสบ มีอาการชา เจ็บแปลบ ปวดแสบปวดร้อนข้างใดข้างหนึ่ง (unilateral) ของผิวหนังตามแนวเส้นประสาท ร่วมกับมีอาการคัน ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ในบางรายอาจมีไข้ อ่อนเพลีย ท้องเสียหรือมีภาวะตาสู้แสงไม่ได้ งูสวัดระยะเริ่มมีอาการมีระยะเวลาประมาณ 1-3 วัน แต่จะยังไม่มีรอยโรคขึ้นที่ผิวหนัง
งูสวัดระยะออกผื่น (Acute eruption phase)
เป็นระยะที่มีรอยโรคขึ้นเป็นผื่นแดงที่ผิวหนังตามแนวปมประสาทรับความรู้สึก ตามด้วยตุ่มน้ำใส (Vesicle) ขึ้นพาดเรียงกันเป็นกลุ่มยาวตามแนวปมประสาทที่บริเวณด้านซ้ายหรือด้านขวาของสีข้างลำตัว แผ่นหลัง หรือขา ด้านในด้านหนึ่งของใบหน้า ดวงตา หรือลำคอ โดยผื่นงูสวัดจะไม่กระจายตัวทั่วไปเหมือนผื่นโรคอีสุกอีใสและจะขึ้นเต็มที่ภายใน 3-5 วัน ผู้ที่เป็นงูสวัดระยะออกผื่นจะมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บแปลบที่ผิวหนังแม้ถูกสัมผัสเพียงเล็กน้อย หรือแม้เพียงสัมผัสโดนเสื้อผ้า ต่อมาผื่นจะแตกออกกลายเป็นแผล ค่อย ๆ แห้ง ตกสะเก็ด และหลุดออกจากผิวหนังภายใน 10-15 วัน ทั้งนี้ ผื่นงูสวัดในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายเป็นปกติ มักขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ เช่น ผู้ที่เป็นมะเร็ง โรคเอดส์ หรือผู้ที่รับยาเคมีบำบัด ผื่นงูสวัดอาจมีความรุนแรงกว่าและอาจขึ้นแบบพันรอบตัว
#งูสวัดระยะฟื้นหายจากโรค (Chronic phase)
เป็นระยะหลังจากที่โรคงูสวัดสงบลง ผื่นงูสวัดจะค่อย ๆ ยุบตัวลง รอยโรคที่ผิวหนังตามแนวปมประสาทจะค่อย ๆ จางหาย แต่จะยังคงมีอาการบางอย่างหลงเหลืออยู่ เช่น อาการปวดแสบปวดร้อน ปวดเหมือนมีเข็มทิ่มตำ หรือเจ็บแปล๊บ ๆ ตามแนวเส้นประสาทตั้งแต่ระดับปานกลางถึงรุนแรง อาจมีอาการปวดตลอดเวลา หรือปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ บางรายอาจปวดไปอีกนานหลายปี
#งูสวัดหลบใน (Zoster Sine Herpete: ZSH)
ผู้ที่เป็นงูสวัดบางรายอาจมีอาการงูสวัดหลบใน โดยจะมีอาการชา คัน ปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาทรับความรู้สึกแต่กลับไม่มีผื่นขึ้น ผู้ที่สงสัยว่ามีอาการงูสวัดหลบใน ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโรคเพิ่มเติม
#โรคงูสวัด #ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคงูสวัด #งูสวัดระยะเริ่มมีอาการ #งูสวัดระยะฟื้นหายจากโรค #งูสวัดหลบใน

14/03/2025
 #สุดยอด10 “วิธีแก้ไอ” แบบเร่งด่วน ได้ผลเร็วที่สุด1. ดื่มน้ำแก้คันคอ โดยเฉพาะน้ำอุ่น หรือน้ำที่อุณหภูมิห้องในปริมาณมาก จ...
14/03/2025

#สุดยอด10 “วิธีแก้ไอ” แบบเร่งด่วน ได้ผลเร็วที่สุด
1. ดื่มน้ำแก้คันคอ โดยเฉพาะน้ำอุ่น หรือน้ำที่อุณหภูมิห้องในปริมาณมาก จัดเป็นหนึ่งวิธีแก้ไอที่ได้ผลอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังช่วยลดการระคายเคืองคอได้อีกด้วย สำหรับถ้าสะดวกหรือมีเวลา การดื่มน้ำมะนาวอุ่น ๆ ผสมน้ำผึ้งร่วมก็ได้ผลดียิ่งขึ้น

2. อมยาอมสูตรแก้ไอ เป็นวิธีแก้ระคายเคืองคอแบบเร่งด่วน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มคอและลดอาการไอที่เกิดขึ้นได้โดยเฉพาะ ดังนั้น หาซื้อติดกระเป๋าไว้ก็น่าจะดีไม่น้อยเลยค่ะ

3. กินยาแก้ไอ หากใครที่ไม่สะดวกใช้วิธีอมยาอมแก้ไอ เพราะใช้เวลานาน ก็อาจเลือกเป็นยาน้ำแก้ไอ หรือเป็นยาเม็ดแก้ไอก็ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทาน เพราะยาแก้ไอบางชนิดจะทำให้เกิดอาการติดได้นะคะ

4. หลีกเลี่ยงจากมลภาวะ หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ อาการคันคอไอ บางทีอาจเกิดมาจากสิ่งเหล่านี้มากระตุ้นก็ได้ค่ะ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่มีมลภาวะแบบนี้ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยงค่ะ หรือถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็พยายามใส่หน้ากากอนามัยไว้นะคะ

5. กินซุปร้อน ๆ จะช่วยละลายเสมหะ และลดน้ำมูกไหลลงคอได้ ซึ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไอค่ะ
6. งดกินอาหารรสจัด หรือของทอด เพราะพวกนี้จะกระตุ้นการระคายเคืองคอ ทำให้ไอมากขึ้น ถ้าต้องร่วมโต๊ะกินข้าวกับคนมาก ๆ แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้นะคะ

7. เพิ่มความชื้นในอากาศ อาการที่แห้งไปจะกระตุ้นทำให้เกิดอาการไอได้ในบางท่าน วิธีง่าย ๆ คือให้ลองหาน้ำเปล่าซักแก้วมาวางไว้ใกล้ ๆ ตัว เพื่อช่วยเพิ่มความชื้น หรืออาจเลือกใช้เครื่องช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศมาวางไว้ที่บ้านก็ได้ค่ะ

8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายเกิดการฟื้นฟูตนเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งวิธีช่วยลดอาการไอวิธีนี้ได้ผลเป็นอย่างมากในกลุ่มของผู้ป่วยที่มีอาการไอสืบเนื่องมาจากอาการ Long Covid

9. การนอนหลับในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่หนาวเย็นจนเกินไป จะทำให้อาการไอลดน้อยลงได้เช่นกัน

10. ทำความสะอาดบ้านและเปลี่ยนเครื่องนอน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นและไรฝุ่นที่อาจทำให้เกิดอาการไอขึ้นได้
#สุดยอด10 #วิธีแก้ไอ #กินยาแก้ไอ

 #รวมสมุนไพรตัวช่วยบรรเทาอาการไอ  #แบบไทยๆ1. สมุนไพร  #บรรเทาอาการไอสมุนไพรเคลือบเยื่อบุทางเดินหายใจ ลดอาการระคายเคือง เ...
13/03/2025

#รวมสมุนไพรตัวช่วยบรรเทาอาการไอ #แบบไทยๆ
1. สมุนไพร #บรรเทาอาการไอ
สมุนไพรเคลือบเยื่อบุทางเดินหายใจ ลดอาการระคายเคือง เช่น
น้ำผึ้ง : ช่วยกำจัดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการไอ โดยเฉพาะคนที่ไอเรื้อรัง

มะนาว : ช่วยลดการอักเสบ ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ทำให้เจ็บคอ

มะขามป้อม : ช่วยละลายเสมหะ แก้หวัด

สมุนไพรที่กดศูนย์ไอในสมอง เช่น ฝิ่น


2. สมุนไพร #ขับเสมหะ
สมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย
#เหง้าขิง : เป็นยาขับลม แก้อาเจียน แก้ไอ ขับเสมหะ และขับเหงื่อ

#ผลดีปลี : ช่วยแก้อาการไอ หรือลดอาการไอมีอาการระคายคอจากเสมหะ

#ดอกกานพลู : บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ

#สมอพิเภก : ยาแก้เสมหะ ทำให้ชุ่มคอ

#รากชะเอม : ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ

สมุนไพรที่มีกรดอินทรีย์ซึ่งมีรสเปรี้ยว ได้แก่
เนื้อฝักมะขามแก่ : มีสาร tartaric acid ช่วยละลายเสมหะ

#น้ำมะนาว : มีสารสำคัญคือ citric acid ช่วยลดการอักเสบ ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ทำให้เจ็บคอ

#ผลมะขามป้อม : ช่วยละลายเสมหะ แก้หวัด

สมุนไพรอื่น ๆ ที่แสดงฤทธิ์ในการบรรเทาอาการไอได้ดี และมีกลไกการออกฤทธิ์อื่น ๆ ได้แก่
#ผลมะแว้งเครือ : บรรเทาอาการไอแก้เจ็บคอ

#ผลมะแว้งต้น : บรรเทาอาการไอแก้เจ็บคอ

#ใบเสนียด : แก้ไอ ขับเสมหะ

#เมล็ดเพกา : รสขม เป็นยาอมแก้ไอ ขับเสมหะ แก้ร้อนใน



#ข้อควรระวัง : การใช้สมุนไพรแก้ไอที่มีรสเปรี้ยว อาจจะทำให้ถ่ายเหลวได้ง่ายในคนไข้บางราย

นอกจากการใช้สมุนไพรในการ บรรเทาอาการไอ แล้ว ก็อย่าลืมดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น

การจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองคอ บรรเทาอาการคอแห้ง ทำให้ชุ่มคอ
การใช้ยาอม หรือ ใช้สเปรย์พ่นคอ เพื่อทำให้ชุ่มคอ ลดการอักเสบในลำคอ
หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดการกระตุ้นการไอ เช่น ควันบุหรี่ ของทอด เป็นต้น
งดกินอาหารทอดและอาหารมัน
#บรรเทาอาการไอ #ขับเสมหะ #ข้อควรระวัง #แบบไทยๆ

 #5 สมุนไพร ช่วยลดความดันโลหิตสูง1.กระเทียมสรรพคุณต่างๆ มากมายของกระเทียม หนึ่งในนั้นคือช่วยรักษาโรคความดันโลหิตโดยวิธีก...
10/03/2025

#5 สมุนไพร ช่วยลดความดันโลหิตสูง
1.กระเทียม
สรรพคุณต่างๆ มากมายของกระเทียม หนึ่งในนั้นคือช่วยรักษาโรคความดันโลหิตโดยวิธีการรับประทานให้ซอยกระเทียมสดประมาณครึ่งช้อนชา รับประทานพร้อมอาหารวันละ 2-3 ครั้ง หรือจะรับประทานสดหลังมื้ออาหารก็ได้ แต่ไม่ควรรับประทานตอนท้องว่าง เพราะกระเทียมมีฤทธิ์ร้อนอาจทำให้แสบกระเพาะได้

2.บัวบก

อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินเค, แคลเซียม, แมกนีเซียม ฯลฯ โดยบัวบกมีสรรพคุณต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแก้อ่อนเพลีย แก้ร้อนใน บำรุงสายตา ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยรักษาโรคเบาหวาน อีกทั้งยังช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง วิธีการคือนำต้นสด 1-2 กำ ต้มกับน้ำ ดื่มแทนน้ำชา หรือรับประทานสดร่วมกับมื้ออาหาร

3.กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ โดยวิธีการรับประทานให้ใช้กลีบแห้งต้มน้ำ เป็นชากระเจี๊ยบดื่ม นอกจากนี้แล้ว กระเจี๊ยบแดงยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดไข้ ช่วยแก้อาการร้อนใน ฯลฯ

4.มะรุม

มะรุม อุดมไปด้วย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ฯลฯ โดย “ใบ” และมีสรรพคุณสามารถช่วยลดความดัน รักษาโรคความดันโลหิตสูงได้ นอกจากนี้ ส่วนต่างๆ ของมะรุม อาทิ “ดอก” ยังมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ขับพยาธิในลำไส้, “ฝัก” มีสรรพคุณลดไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกาย, “เมล็ด” แก้อาการปวดตามข้อ บรรเทาอาการหวัด ช่วยให้การขับถ่าย, “เปลือก” ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันโรคมะเร็ง และ “ราก” ใช้บรรเทาอาการบวม บำรุงหัวใจ และรักษาโรคไขข้อได้ ฯลฯ เป็นต้น

5.ขึ้นฉ่าย

ขึ้นฉ่ายอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินเค เบตาแคโรทีน เป็นต้น ซึ่งขึ้นฉ่ายมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต และควบคุมระดับความดันโลหิตได้เป็นอย่างดี โดยนำขึ้นฉ่ายมาคั้นสดๆ เอาแต่น้ำ หรือจะใช้ต้นสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ กรองเอากากออก ใช้รับประทานก่อนอาหารครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือจะรับประทานสดๆ ร่วมกับอาหารก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอล ระดับน้ำตาล ไตรกลีเซอไรด์ และไขมันในเส้นเลือด ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด และช่วยล้างพิษในร่างกายด้วย
#สมุนไพร #ความดันโลหิตสูง #วิตามินเอ

 #อาหารช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะอาหารที่ดีต่อผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารแต่ละชนิดที่คนเรารับประทานเข้าไปนั้น ส่งผลต่อระบบย่อย...
08/03/2025

#อาหารช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะ

อาหารที่ดีต่อผู้ป่วยโรคกระเพาะ

อาหารแต่ละชนิดที่คนเรารับประทานเข้าไปนั้น ส่งผลต่อระบบย่อยอาหารและสุขภาพโดยรวมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารอย่างโรคกระเพาะ ควรเลือกรับประทานอาหารที่ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการป่วยด้วย ดังนี้

อาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร เช่น พืชตระกูลถั่ว แครอท บร็อกโคลี่ ข้าวโอ๊ต แอปเปิ้ล เป็นต้น
อาหารที่มีความเป็นกรดต่ำ หรืออาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง อย่างผักชนิดต่าง ๆ
อาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น อกไก่ เนื้อปลา เป็นต้น
อาหารที่ปรุงโดยเลือกใช้น้ำมันมะกอกและน้ำมันคาโนลาเป็นหลัก
ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล ข้าวกล้อง เป็นต้น
เครื่องดื่มที่ไม่อัดแก๊ส และไม่มีคาเฟอีน
อาหารที่มีโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์และยีสต์ในกลุ่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น กะหล่ำดอง กิมจิ ชาหมัก โยเกิร์ต เป็นต้น เนื่องจากมีงานวิจัยที่พบว่า โพรไบโอติกส์อาจช่วยป้องกันโรคติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคกระเพาะและการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
นอกจากการเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร ผู้ป่วยควรปรับพฤติกรรมการบริโภคให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ไม่ควรรับประทานอาหารก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารครั้งละมาก ๆ โดยให้หันมารับประทานอาหารทีละน้อย ๆ แต่รับประทานให้บ่อยครั้งขึ้นแทน

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when หายป่วย posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to หายป่วย:

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Contact The Practice
  • Claim ownership or report listing
  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share