04/06/2023
เรื่องเล่าจากครูสุข #1
สิ่งที่ทำให้การฝึกโยคะแตกต่างจากกีฬาอื่นๆ คือความสมดุลและการบำบัด
ปัจจุบัน การฝึกโยคะเริ่มกลายมาเป็นการออกกำลังกายสมัยใหม่ ที่เน้นการฝึกท่าอาสนะยากๆ และเริ่มให้มีการฝึกโดยใช้เทคนิคต่างๆมากมายที่ทำให้ร่างกายดูเหมือนจะพัฒนาไปได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ครูสุขไม่ได้กำลังบอกว่าไม่ดีนะครับเพียงแต่การฝึกดังกล่าวนั้นไม่ใช่การฝึกเพื่อบำบัดตามแก่นแท้ของโยคะ หากแต่เป็นการฝึกเพื่อเอาชนะตัวเองมากกว่า ซึ่งถึงแม้ว่าบางครั้งการเอาชนะตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่โยคะก็สอนเราให้รู้จักเรียนรู้ร่างกายของตนเองและยอมรับข้อจำกัดของร่างกาย มีนักเรียนหลายท่านที่สนใจเพียงแต่การเอาชนะ และฝืนทำท่าอาสนะยากๆ โดยไม่เข้าใจการฝึกที่ถูกต้อง และขาดการยอมรับข้อจำกัดของร่างกายจนเริ่มบาดเจ็บ ขาดความสมดุลทางร่างกาย และขาดการฝึกแก่นแท้ของโยคะ ซึ่งก็คือ การหายใจ หรือปราณยามะ นำไปสู่การเปรียบเทียบโยคะกับการเล่นยิมนาสติก หรือการฝึกกายกรรม ในมุมมองของหลายๆคน
ครูสุขขออนุญาตเล่าจากมุมมองของครูสุขเองในฐานะที่เป็นครูโยคะ ย่างเข้าสู่ปีที่ 17 และเป็นครอบครัวโยคะโดยมีทั้งพ่อ แม่และอีกหลายท่านในครอบครัวเป็น ครูหฐโยคะ โดยส่วนตัวแต่เดิมผมชอบเล่นเวทและเข้าฟิตเนสมากกว่า ก่อนที่จะเป็นครูโยคะผมเล่นเวทจนบาดเจ็บ เลยเริ่มหันมาฝึกโยคะ และผมก็ชอบในการฝึกโยคะ จนเมื่อมาเป็นครูโยคะแล้ว ผมก็ไม่กล้าเล่นเวทอีก เพราะพ่อแม่และครูของผมบอกว่ามันจำกัดการฝึกอาสนะ ผมจึงหยุดและหันมาฝึกโยคะอย่างเดียว และแน่นอนต้องฝึกท่ายากเพราะผมต้องการเอาชนะตัวเอง ผมเริ่มฝึกท่ายากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อฝึกไป 6 ถึง 7 ปี ร่างกายผมเริ่มไม่พัฒนาแถมมีอาการบาดเจ็บ จากการฝึก backbend และ inversion ผมจึงตัดสินใจออกนอกกล่องโยคะ หันไปเล่นบอดี้เวท และ calisthenics เพิ่มเติม เมื่อเริ่มแข็งแรง และกลับมาฝึกโยคะ ก็ทำได้ดีและฝึกท่ายากได้ดีขึ้น ผมเริ่มฝึกทำท่ายากๆได้โดยใช้เทคนิคต่างๆมากขึ้น แต่พ่อผมซึ่งเป็นครูโยคะกลับบอกว่า ที่ผมทำท่ายากได้นั้นก็ถือว่าเก่ง แต่นี่ไม่ใช่โยคะ มันคือศาสตร์ที่เรามัวแต่เน้นการดัดร่างกาย ใช้เชือก ใช้เก้าอี้ดัดตัว เพื่อที่จะทำให้ร่างกายพัฒนาไปได้ในเวลาสั้นๆ ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจคำพูดพ่อมากเท่าไรนัก ผมฝึกมาเรื่อยๆจนเริ่มสังเกต alignment และการเรียงข้อต่อที่ผิดๆของร่างกายตัวเอง คราวนี้ผมบาดเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังต้องการเอาชนะ ผมเริ่มเข้า workshop เพื่อฝึกอาสนะยากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เฉลียวใจ คือโครงสร้างร่างกายที่เริ่มไม่สมดุล ตัวเอียง สะโพกเอียง ไหล่ตก หลังล่างแอ่น จนสุดท้ายผมเลยตัดสินใจไปเรียน Anatomy ร่างกาย เพื่อศึกษาหน้าที่กล้ามเนื้อต่างๆ และสาเหตุของการบาดเจ็บ แล้วก็ถึงบางอ้อว่า การที่เราบาดเจ็บนั้น เพราะกล้ามเนื้อบางมัดมีการชดเชยการทำงานของกล้ามเนื้อหลักที่ควรจะใช้ ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะทำให้เราสามารถทำท่าอาสนะได้ก็จริง แต่เป็นการใช้กลุ่มกล้ามเนื้อผิดมัด นานๆเข้าอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ก็ทำให้เกิดพังผืด ข้อต่อเริ่มล็อค ผมเลยตัดสินใจเลิกฝึกท่ายากครับ แล้วหันมาฝึกการใช้กล้ามเนื้อแบบที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน (functional) แทน
ในมุมมองของผมนะครับ การฝึกโยคะในปัจจุบัน ค่อนข้างจะเป็นการท่องจำมาจากตำราดั้งเดิม ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีที่แล้ว โดยอาจจะยังขาดการประยุกต์ เพราะยึดติดอยู่กับตำราเดิม แต่ปัจจุบันความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้พัฒนามาไกลมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอนาโตมีร่างกาย หรือวิทยาศาสตร์การกีฬา ผมมองว่าการฝึกโยคะก็ควรจะมีการประยุกต์ด้วยเช่นกัน ผมเลยเริ่มศึกษาการออกกำลังกายแบบอื่นๆ นำเอาสิ่งที่เป็นจุดเด่นของการออกกำลังกายแต่ละประเภท โดยเน้นการป้องกันการบาดเจ็บ (Prehab) และการฟื้นฟูจากการบาดเจ็บ (Rehab) มาผสมผสานกับศาสตร์โยคะ โดยปรับวิธีการเข้าท่า และการออกจากท่า โดยเน้นการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อที่ถูกต้องเป็นหลัก
จากการที่ผมลองนำความรู้ต่างๆมาประยุกต์กับการฝึกโยคะ พบว่า การฝึกโยคะ เป็นการฝึกโดยใช้ข้อต่อหลายๆจุด และกล้ามเนื้อหลายๆกลุ่มพร้อมๆกัน ซึ่งแตกต่างจากการเล่นเวท หรือการสร้างความแข็งแรงแบบอื่นๆ โดยในการทำท่าอาสนะที่ถูกต้อง เราต้องเข้าใจการเคลื่อนไหว และการทำงานข้อต่อและกล้ามเนื้อในทุกๆจุดที่ต้องใช้งานในท่าอาสนะนั้นๆ ซึ่งในบางครั้งร่างกายเราจะจดจำได้เพียงแค่ 1-2 จุด ดังนั้น การที่จะทำท่าอาสนะนั้นๆได้อย่างสมบูรณ์ เราอาจจะต้องอาศัยการฝึกการใช้งานของข้อต่อ หรือกล้ามเนื้อ แยกกันแต่ละจุด โดยฝึกทำซ้ำๆ เพื่อให้ร่างกายจดจำ เพื่อที่จะสามารถทำได้โดยอัตโนมัติพร้อมๆกันทุกจุดเมื่อเข้าท่าอาสนะ นอกจากนี้ ผู้ฝึกโยคะแต่ละคนก็ยังมีร่างกายที่แตกต่างกัน เทคนิคในการเข้าท่าอาสนะสำหรับคนหนึ่งอาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง อาจจะเนื่องด้วยข้อจำกัดทางสรีระ หรือความแข็งแรงที่ต่างกัน แต่สิ่งที่ควรจะเหมือนกันคือ การใช้งานกล้ามเนื้อที่ถูกต้องควรจะเป็นกล้ามเนื้อมัดเดียวกัน
ที่ครูสุขเล่ามาทั้งหมดนี้เพียงเพื่อที่จะบอกว่า หากเราฝึกโยคะ เราควรจะฝึกอย่างเข้าใจแก่นแท้ของโยคะ ซึ่งก็คือเพื่อการบำบัดจิตใจผ่านการเคลื่อนหวและเพื่อความสมดุลของร่างกาย เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนเราก็ต้องการเพียงแค่ร่างกายที่มีความสมดุล และ Functional เพื่อให้เราสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้โดยไม่ติดขัด และโยคะเป็น Lifetime practice นะครับ เราสามารถฝึกไปได้ตลอดชีวิต เราจึงไม่ควรรีบร้อนในการฝึกเพื่อทำอาสนะยากๆให้ได้ เมื่อเราใช้เวลาฝึกอย่างถูกต้องจนร่างกายพร้อม เราจะสามารถทำท่ายากได้สบายเลยครับ แต่นอกเหนือจากการฝึกโยคะแล้ว ครูสุขแนะนำให้ลองฝึกกีฬา หรือออกกำลังกายหลายๆประเภท ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของเรา Functional มากยิ่งขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็คือ ไม่ว่าจะฝึกกีฬา หรือออกกำลังกายประเภทไหน เราควรจะเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจการฝึกให้ถูกต้องเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บด้วยนะครับ
ปัจจุบันผมเริ่มสอนอาสนะที่ไม่ใช่อยู่ในกล่องโยคะ ซึ่งผมจะไม่เรียกว่าโยคะ แต่ผมขอใช้คำว่่า Movement Integratedที่เน้นการปรับการเคลื่อนไหวร่างกายให้กลัยสู่ธรรมชาติ แทน ซึ่งจะประยุกต์ความรู้อื่นๆที่ผมได้ศึกษาเพิ่มเติมเข้ามาช่วยในการฝึกด้วย
สุดท้ายนี้ ผมนับถือครูโยคะทุกท่าน ไม่ได้มีเจตนาจะพาดพิงท่านใดนะครับ บทความนี้เป็นเพียงมุมมองและประสบการณ์ตรงของตัวผมเองจากการฝึก การสอน และการถ่ายทอดศาสตร์โยคะจากครอบครัวผมเองครับผม 🙂
Credit Page : Krusukh ครูสุข