หมอหมู พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ FP

หมอหมู พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ FP หน้านี้ เอาไว้แบ่งปันความรู้สุขภาพ นะครับ จากบล็อกผม ..http://cmu2807.bloggang.com

16/07/2025
ตามต่อ .. กรรมมา รับกรรรมไป
10/07/2025

ตามต่อ .. กรรมมา รับกรรรมไป

วัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาและอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผย แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รวมถึงโรงพยาบาลตำรวจ ล้วนมีวิบากกรรมที่ต้องชำระกรณี "ป่วยทิพย์ชั้น 14" ชี้เรื่องยังไม่จบแค่นี้ เพราะจะมีการตรวจสอบทางวินัย และหากพบเจตนากระทำผิด อาจถึงขั้นดำเนินคดีอาญา

นายวัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาและอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผย แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รวมถึงโรงพยาบาลตำรวจ ล้วนมีวิบากกรรมที่ต้องชำระกรณี "ป่วยทิพย์ชั้น 14" นายวัสชี้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะจะมีการตรวจสอบทางวินัย และหากพบเจตนากระทำผิด อาจถึงขั้นดำเนินคดีอาญา รวมถึงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ก็อาจเข้าข่ายกระทำความผิดเช่นกัน

วันนี้ (10 ก.ค.) นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ชี้ หมอ-พยาบาล-จนท.ราชทัณฑ์ ไม่รอด เตรียมรับวิบากกรรม ป่วยทิพย์ชั้น 14 โดยได้ระบุข้อความ

“แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ล้วนมีวิบากกรรมที่ต้องชำระกรณีป่วยทิพย์ชั้น 14

มีรายงานข่าวเมื่อเย็นวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 จากแพทยสภา เกี่ยวกับการตรวจสอบแพทย์ 4 ราย ที่มีผู้กล่าวโทษว่า ประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม กรณีการตรวจรักษานายทักษิณ ชินวัตร (อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนักโทษเด็ดขาด) ที่สถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า

คณะกรรมการแพทยสภาพิจารณาแล้ว มีมติเป็นรายบุคคล ดังนี้

ก)นายแพทย์ ว. (ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์) ในข้อกล่าวหา ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
มติ: ยกข้อกล่าวโทษ

ข) แพทย์หญิง ร. (แพทย์ผู้ตรวจร่างกายแรกรับ) ในข้อกล่าวหา มีพฤติการณ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
มติ: ว่ากล่าวตักเตือน

ค) พลตำรวจโท นายแพทย์ ส. (นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจในขณะเกิดเหตุ ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในข้อกล่าวหา ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความจริง
มติ: พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นเวลา 3 เดือน (มีผล 1 ต.ค. 2568 - 31 ธ.ค. 2568)

ง) พลตำรวจโท นายแพทย์ ท. (รองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายแพทย์ใหญ่)
ข้อกล่าวหา ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
มติ: พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นเวลา 6 เดือน (มีผล 1 ต.ค. 2568 - 31 มี.ค. 2569)

ผู้เขียนเห็นว่า

1) ปัจจุบัน แพทยสภาได้ออกคำสั่งลงโทษแพทย์ทั้งสามรายดังกล่าวแล้ว คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง แพทย์ที่ถูกลงโทษสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งต่อศาลปกครองกลางภายใน 90 วันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี (พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 49)

2) การลงโทษของแพทยสภาดังกล่าว เป็นการลงโทษฐานประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ส่วนราชการต้นสังกัดยังมีหน้าที่ต้องสอบความผิดทางวินัยต่อไป

โทษทางวินัยของข้าราชการพลเรือนมี 5 สถาน คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดเงินเดือน ปลดออก และไล่ออก (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 88)

โทษทางวินัยของข้าราชการตำรวจ มี 7 สถาน คือ ภาคทัณฑ์, ทัณฑกรรม, กักยาม, กักขัง, ตัดเงินเดือน, ปลดออก และไล่ออก (พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 82)

3) แพทย์ที่ถูกลงโทษทางจริยธรรม และลงโทษทางวินัยแล้ว หากปรากฏว่า มีเจตนาช่วยเหลือให้นักโทษเด็ดขาดพ้นโทษหรือรับโทษน้อยลง อาจมีความผิดอาญาฐานทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน (ป.อาญา มาตรา 269) และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต (ป.อาญา มาตรา 157)

4) พัศดีและเจ้าหน้าที่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร รวมทั้งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ที่อยู่ในระหว่างคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขังไป (ป.อาญา มาตรา 204) และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต (ป.อาญา มาตรา 157)

5) นักโทษเด็ดขาดอาจมีความผิดฐานใช้หรือสนับสนุนให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดอาญา

6) พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องผู้กระทำความผิดดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤตมิชอบกลาง ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น แต่หากปรากฏว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมร่วมกระทำความผิดด้วย อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจฟ้องผู้กระทำความผิดทุกคนต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

7) การฟ้องคดีอาญาดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับคดีที่ศาลฎีกาฯ กำลังไต่สวนว่า มีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลฎีกาฯ หรือไม่ ครับ

วัส ติงสมิตร
นักวิชาการอิสระ
10/7/68“
Cr. MGR Online


ัฐธรรมนูญ2560
#ไม่เอาตระกูลหนักแผ่นดิน
#นักโทษทำลายระบบยุติธรรม
#ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม

กราบ
10/07/2025

กราบ

" ความเชื่อผิดๆ เรื่องการใส่บาตรและถวายสังฆทาน อาหาร ยา ฯลฯ "

ถาม : การใส่บาตร และ การถวายอาหาร แด่พระควรเป็นอาหารสด แต่ถ้าบางคนการถวายมาม่าหรือของแห้งที่จะต้องเอาไปประกอบอาหารใหม่จะบาปหรือไม่?

ตอบ : ไม่บาปหรอก เพียงแต่ว่าพระท่านเก็บไว้ไม่ได้

อาหาร ที่เป็นอาหารนี้ ท่านเก็บไว้ได้เพียงแค่ช่วงระยะเที่ยงวันเท่านั้นเอง หลังจากเที่ยงวันแล้ว ส่วนที่เป็นอาหารนี้ ท่านต้องสละไปหมด เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พระสะสมของไว้ในกุฏิของตน แต่ทรงอนุญาตให้สะสมไว้ในคลังของวัดได้ เช่น ถ้าญาติโยมอยากจะถวายของให้เก็บไว้นานๆ อย่าไปใส่บาตร อย่าไปประเคนกับมือ

อย่างที่อาตมารับของนี้ ส่วนใหญ่จะให้วางไว้เฉยๆ ถ้าญาติโยมวางไว้เฉยๆนี้ ถือว่าพระยังไม่ได้รับประเคน พระยังเอาไปใช้ไม่ได้ แต่เก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันหมดอายุ เวลาต้องการจะใช้ก็ให้ลูกศิษย์หยิบมาประเคนให้ จึงจะใช้ได้ แต่..ถ้ารับประเคนด้วยมือเอง ของมันจะมีอายุ

ของพระ ท่านแบ่งไว้ 3 ชนิดด้วยกัน

1) “อาหาร” – ชนิดอาหารนี้มีอายุแค่..ถึงเที่ยงวัน

หลังจากเที่ยงวันไปแล้ว ถึงแม้รับตอนนี้ก็หมดอายุทันทีเลย ใครถวายมาม่า ถวายปลากระป๋องมา รับปั๊บนี้ก็ต้องสละแล้ว เก็บไว้กินพรุ่งนี้ไม่ได้

ดังนั้นถ้าของเป็นอาหารอยากจะถวายพระให้เก็บไว้นานๆ เอาวางตั้งไว้เฉยๆ ตั้งไว้ตรงหน้าก็ได้ บอกขอถวาย อันนี้ก็ได้เท่ากับถวายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำให้มันถูกพระวินัย พระยังไม่ถือว่าเป็นของของตน เป็นของของส่วนกลางอยู่ ถือเป็นของคณะสงฆ์ แต่เวลาต้องการจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคน เอาไปเก็บไว้ที่กุฏิไม่ได้ ต้องเก็บไว้ที่ที่เก็บของของวัด วัดจะมีที่ที่เก็บของส่วนกลางไว้ ของทั้งหมดที่ไม่ได้รับประเคนก็ให้เอาไปไว้ที่นั่น เวลาจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์เอามาประเคนให้อีกที

2) “เภสัช ตามพระกำหนดมี 5 ชนิด คือ พวกน้ำตาล น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส น้ำผึ้ง”

– ท่านอนุญาต ถ้ารับประเคนนี้ ท่านให้เก็บไว้ได้ ๗ วัน และฉันได้ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงถือว่าเป็นยา

– สมัยก่อนเขาคงกินพวกยา พวกนี้รักษาอาการเจ็บท้องปวดท้อง มันคงจะไปเคลือบกระเพาะหรือไปทำอะไร ท่านก็เลยอนุญาตให้มีเภสัช 5 ชนิดด้วยกัน (พวกน้ำตาล น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส น้ำผึ้ง)

– พวกนี้เก็บไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน พอหลังจาก 7 วันแล้วถ้ายังมีเหลืออยู่ ก็ต้องสละให้คนอื่นไป

– สละให้กับพระด้วยกันไม่ได้ ต้องสละให้ฆราวาสญาติโยมไป ลูกศิษย์ลูกหาไป หรือเอาไปทำบุญทำทานไป

3) “ยา(รักษาอาการเจ็บป่วย) “ จริงๆ เช่น ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาอะไรต่างๆ

– เก็บไว้ที่กุฏิด้วย เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะได้หยิบได้ทันท่วงที

– ถ้าเป็นยานี้ถวายได้ตลอดเวลา และเก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันเสื่อม นอกจากตามที่เขาเขียนไว้ที่ในฉลาก เสื่อมไปตามวันที่เขาเขียนไว้ในฉลากเท่านั้น

นี่คือเรื่องของการประเคนของให้กับพระ เราต้องรู้จักแยกแยะ แต่สมัยนี้ญาติโยมไม่รู้กันก็เลยรวมกันหมดเลยที่เขาใส่ในกระเเป๋งสีเหลืองนี้ เขาอยากจะถวายให้ครบทั้ง 4 คือ ปัจจัย 4 ยาก็ใส่เข้าไป อาหารก็ใส่เข้าไป จีวรก็ใส่เข้าไป ถึงแม้จีวรจะเอามาห่มไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นผ้าเหลืองๆ ชิ้นหนึ่งก็ถือว่าเป็นจีวรแล้ว กระเเป๋งก็คงถือว่าของถวายมั้ง… ไว้ครอบหัวเวลาฝนตก

– ทำบุญก็อยากจะถวายปัจจัย 4 ให้ครบ เขาก็เลยใส่มา แล้วมาถึงก็บังคับให้พระรับประเคน ให้วางไว้เฉยๆ ก็กลัวว่าไม่ได้บุญอีก

– บางทีบางคนขนกลับไปก็มี พอบอกว่า “ให้วางไว้เฉยๆ ได้ถวายแล้ว” ฉันไม่ได้บุญ ท่านไม่รับฉันไม่ได้บุญ ฉันไปดีกว่าไปถวายที่อื่นดีกว่า อย่างนั้นก็มีเพราะการไม่รู้ ไม่มีการสอนไม่มีการบอก

– แล้วพระที่มาบวชใหม่ทีหลังก็ไม่รู้เรื่อง เขาเอาอะไรมาถวายก็รับประเคนหมด แล้วเขาก็แบบถือว่าไปว่ากันใหม่ คือตอนนี้รับประเคนแบบหลอกๆไปก่อน รับประเคนให้ญาติโยมดีอกดีใจ แล้วค่อยไปแยกแยะของทีหลัง ของที่เป็นอาหารก็เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าอยากจะได้อะไรค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคนให้ใหม่ เขาทำกันแบบนี้

ซึ่งทางสายวัดป่าท่านไม่ทำ ท่านทำแบบไม่หลอก ทำแบบจริงๆ เลย บอกประเคนไม่ได้ก็ประเคนไม่ได้ วางไว้ต้องวางไว้ เพื่อจะได้สอนญาติโยมไปในตัว

– ญาติโยมที่ไปทำบุญที่วัดป่าจึงได้บุญด้วย ได้ปัญญาด้วย ได้บุญ คือ ความสุขใจ แล้วก็ได้ปัญญาได้ความรู้ที่ถูกต้องในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพระให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แทนที่จะส่งเสริมให้พระปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย เพราะด้วยความเกรงใจญาติโยม

นี่คือเรื่องของการถวายของ ที่เราต้องควรจะศึกษา.

#พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวราราม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๗

ตามต่อ .. รับกรรมกันไป
10/07/2025

ตามต่อ .. รับกรรมกันไป

วัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาและอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผย แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รวมถึงโรงพยาบาลตำรวจ ล้วนมีวิบากกรรมที่ต้องชำระกรณี "ป่วยทิพย์ชั้น 14" ชี้เรื่องยังไม่จบแค่นี้ เพราะจะมีการตรวจสอบทางวินัย และหากพบเจตนากระทำผิด อาจถึงขั้นดำเนินคดีอาญา
อ่านเพิ่มเติมในคอมเมนต์ >>
#ชั้น14

อืมมมมมมม... กัญชาทางการแพทย์ ...แพทย์คนไหนจะกล้ารับผิดชอบ ? หมอแขวนป้าย.. แพทยสภา+สสจ  รับไป 🤬🤬🤬
08/07/2025

อืมมมมมมม... กัญชาทางการแพทย์ ...
แพทย์คนไหนจะกล้ารับผิดชอบ ?
หมอแขวนป้าย.. แพทยสภา+สสจ รับไป 🤬🤬🤬

นี่ก็ 1 คน ต่อ 10 ร้าน
ต่างอะไรกับหมอแขวนป้าย ?

ทรงพระเจริญ ...ใคร ไม่รัก .. เรา รัก 🥰🥰🥰
06/07/2025

ทรงพระเจริญ ...
ใคร ไม่รัก .. เรา รัก 🥰🥰🥰

ไม่ทราบ ว่า ทราบอะไรบ้าง 😁😁😁
04/07/2025

ไม่ทราบ ว่า ทราบอะไรบ้าง 😁😁😁

#สรุปการไต่สวนชั้น14

วันที่ 4 ก.ค. ผมได้ไปฟังการไต่สวนคดีชั้น 14 มีบทสรุปที่น่าสนใจมาให้อ่าน ซึ่งบุคคลสำคัญ จะมี3คนคือ

แพทย์ที่ตรวจร่างกายและทำหนังสือส่งตัว มีบทสรุปที่น่าสนใจคือ

1แพทย์ที่ตรวจร่างกาย เขียนหนังสือส่งตัว เพื่อไปตรวจแบบผู้ป่วยนอก มีโรค 10 โรค แต่เมื่อไปนอนที่รพ.ตำรวจ ดูจาก progress note มีการใช้ยาเพียงสองตัว คือยาความดัน กับยาพ่น

2ศาลท่านถาม ทำไมไปเชื่อพยาบาลเวร ว่าสงสัยโรคหัวใจขาดเลือด เขาตอบว่าพยาบาลเขามีประสพการณ์

3 ตอนพยาบาลเวรโทรขอใช้ใบส่งตัว แพทย์อ้างว่าตนเองไม่ได้อยู่เวร แต่ให้ใช้ใบส่งตัว แต่ให้ปากคำกับแพทยสภาว่า มีความเห็นให้ส่งต่อ ไม่ควรสังเกตอาการ

แพทย์เวรโรงพยาบาลราชทัณฑ์

1.ศาลถามว่าพยาบาลเวรโทรมาบอกอาการนักโทษ สงสัยเส้นเลือดหัวใจตีบ มีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร แพทย์เวรตอบว่าเขาแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่ตรวจร่างกาย ตอนกลางวัน

2.ศาลถามว่า สถานที่อยู่เวร(รพ.ราชทัณฑ์) อยู่ไกลกันไหม แพทย์เวร ตอบไม่ทราบ

3.ศาลถามนักโทษป่วยนานแค่ไหน แพทย์เวรตอบไม่ทราบ

4.ศาลถามเขาทานยาอะไร แพทย์เวรตอบ ไม่ทราบ

5.ศาลถามเมื่อนักโทษมีอาการ ทำไมไม่ให้ส่งตัวมาดู แพทย์เวร เขาตอบว่าพยาบาลให้ข้อมูลว่าเจ็บหน้าอก ความดันสูง อ็อกซิเจนปลายนิ้วต่ำ ก็เชื่อไว้ก่อนและถือว่าเกินศักยภาพ

พยาบาลเวร

1.พยาบาลเวรชี้แจงว่า ได้รับมอบหมายให้ดูแลนักโทษทุก 4 ชั่วโมง เวลา 14.00น. 18.00น.และ 22.00น. เมื่อศาลถามว่าช่วงเวลา 14.00น.กับ 18.00น. อาการเป็นอย่างไร เขาตอบว่า ตอบจำไม่ได้

2.พยาบาลเวรบอกว่า เริ่มมีอาการแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อย ตอน 22.00น. พยาบาลเวรอ้างโทรถามหมอเวร หมอเวรอ้างว่าเกินศักยภาพควรส่งต่อ

3.ศาลมีการถาม มีหลักฐานใดๆไหม ทางการแพทย์ไหมว่า ต้องส่งต่อทันที แต่กลายเป็นพยาบาลเวรสรุปเอง ตัดสินใจตามอาการ

4.พยาบาลเวรตอบว่าเป็นคนกรอกข้อมูลว่าให้ส่งรพ.ตำรวจ

5.พยาบาลอ้างว่าใช้รถambulanceของเรือนจำส่งตัว และมีตนเองกับพัสดีนั่งไป

6.ศาลมีการถามว่า กว่าจะส่งตัวใช้เวลาร่วม 2ช.ม. ทำไมไม่ส่งไปตรวจเบื้องต้นที่รพ.ราชทัณฑ์ เพราะห่างกันแค่ 200 เมตร พยาบาลตอบอ้างว่าเสียเวลาเตรียมทีม??

7.ศาลถามเมื่อไปถึง ไปส่งห้องฉุกเฉินไหม พยาบาลตอบว่าไม่ทราบ เพราะต้องไปทำเรื่องส่งตัว และตามไปที่ชั้น14 ใช้เวลาที่รพ.ตำรวจประมาณ 15นาที จึงขึ้นไปชั้น14

8.ศาลมีการเตือนกับพยาบาลว่า สาบานตนแล้วให้พูดความจริง

ขอบคุณภาพจากแนวหน้า

เผื่อมีคนสนใจ ...
04/07/2025

เผื่อมีคนสนใจ ...

⚠️ อันตราย ขาบวมแดงข้างเดียวแบบนี้ ถ้าปล่อยไว้ อาจอันตรายถึงชีวิตได้


ขาบวมข้างเดียวลักษณะนี้ ภาวะที่ต้องระวังที่สุดคือ
ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในเลือดดำ (Deep vein thrombosis)

📌เกิดจากมีความเสี่ยงที่ทำให้เลือดแข็งตัวขึ้นเอง

▪️เลือดไหลเวียนไม่ดี เช่น นั่งเครื่องบินข้ามซีกโลก, เข้าเฝือก, ขาอัมพาต
▪️ผิวในหลอดเลือดดำได้รับบาดเจ็บ เช่น อุบัติเหตุ
▪️เลือดแข็งตัวง่าย เช่น มะเร็ง, พันธุกรรม

📌มีโอกาสที่ลิ่มเลือดจะหลุดไปปอด โดยเฉพาะถ้าเป็นลามไปถึงหลอดเลือดเหนือเข่า

🩻 เมื่อลิ่มเลือดไหลไปอุดปอด (Pulmonary embolism)
⮕ เหนื่อยเฉียบพลัน, ออกซิเจนต่ำลง, ความต้านทานหลอดเลือดปอดสูง
⮕ หัวใจห้องล่างขวาทำงานหนัก
⮕ หัวใจห้องล่างขวาล้มเหลว
⮕ เลือดดันไม่ไปหัวใจฝั่งซ้าย
⮕ เกิดภาวะช็อก (Obstructive shock) ได้ กรณีอุดรุนแรง ซึ่งเสียชีวิตได้


แต่ยังมีอีกหลายภาวะทำให้บวม (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน comment)
✔️ ติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังลึก (Cellulitis) ซึ่งอาจลุกลามไปลึกกว่านี้ได้ เช่น ลงชั้นพังผืดหุ้มกล้ามเนื้อ, กระดูก ฯลฯ
✔️ ระบบน้ำเหลืองอุดตัน (Lymphedema)
✔️ ถุงน้ำหลังเข่าแตก (Ruptured Baker’s Cyst)
และอีกมากมายซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยแยกโรคเอง


ดังนั้นอย่าปล่อยไว้ค่ะไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาทันท่วงที เพราะถ้าเป็นลิ่มเลือดที่ขาจริง มาอีกที บางทีมันไปปอดแล้วค่ะ

ที่อยู่

Kamphaeng Phet

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
18:00 - 19:00
อังคาร 09:00 - 12:00
18:00 - 20:00
พุธ 09:00 - 12:00
18:00 - 20:00
พฤหัสบดี 09:00 - 12:00
18:00 - 20:00
ศุกร์ 09:00 - 12:00
18:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 12:00
18:00 - 20:00
อาทิตย์ 09:00 - 12:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอหมู พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ FPผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอหมู พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ FP:

แชร์