ครูนาวา พาเพลินจำเริญใจ

ครูนาวา พาเพลินจำเริญใจ ครูการศึกษาพิเศษ ให้คำปรึกษาด้านพัฒนาการของเด็กรูปแบบการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษ

คำพูดพลังบวกวันนี้❤️
07/07/2025

คำพูดพลังบวกวันนี้❤️

👨‍🏫พัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็กนั่นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ทารกแรกเกิดและพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามช่...
15/06/2025

👨‍🏫พัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็กนั่นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ทารกแรกเกิดและพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามช่วงวัยและประสบการณ์ที่เด็กแต่ละคนได้พบเจอ โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อพัฒนาการ เช่น พันธุกรรม สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู และการกระตุ้น

ในวันนี้ครูนาวาจะได้สรุปข้อมูลภาพรวมของพัฒนาการทางภาษาและการพูดตามช่วงวัยต่างๆ:

🎂 แรกเกิด - 3 เดือน:
ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางเพื่อสื่อสาร เช่น ร้องไห้เพื่อบอกความต้องการ
เริ่มทำเสียงต่างๆ เช่น เสียงคราง เสียงอ้อแอ้
ตอบสนองต่อเสียง เช่น หันหาเสียง หยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
จ้องมองใบหน้าของผู้พูด
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
ส่งเสียงเล็กๆ น้อยๆ เช่น เสียงอ้อแอ้
เลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้า

ในช่วง 4 - 6 เดือน:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เริ่มส่งเสียงเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน เช่น "บา" "มา"
หันหาแหล่งกำเนิดเสียง
ตอบสนองต่อชื่อของตัวเอง
แสดงความสนใจเมื่อได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงเล่านิทาน
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
เริ่มเปล่งเสียงพยัญชนะและสระผสมกัน (babbling)
หัวเราะและส่งเสียงครางเพื่อแสดงความรู้สึก

ช่วง 7 - 12 เดือน:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจคำสั่งง่ายๆ เช่น "มานี่" "ไม่เอา"
เข้าใจชื่อของสิ่งของที่คุ้นเคย เช่น ขวดนม ของเล่น
ชี้บอกความต้องการหรือสิ่งของ
โบกมือบ๊ายบาย
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
เริ่มเลียนแบบเสียงและพยางค์ที่ได้ยิน
พูดคำแรกที่มีความหมาย เช่น "แม่" "พ่อ" "หม่ำ"
ใช้ท่าทางประกอบการพูด

ช่วง 1 - 2 ปี:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจคำศัพท์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
สามารถทำตามคำสั่ง 2-3 ขั้นตอนได้
สามารถชี้บอกรูปภาพในหนังสือได้
เริ่มใช้คำถามง่ายๆ เช่น "อะไร" "ที่ไหน"
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
มีคลังคำศัพท์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 50-200 คำเมื่ออายุ 2 ปี)
พูดเป็นประโยคสั้นๆ 2-3 คำ เช่น "แม่ไป" "กินนม"
เลียนแบบคำพูดและวลีที่ได้ยินจากผู้ใหญ่
เริ่มใช้สรรพนามแทนตัวเอง เช่น "หนู" "ผม"

ช่วง 2 - 3 ปี:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจคำถามที่ซับซ้อนขึ้น
สามารถทำตามคำสั่งที่มีความหมายซับซ้อนได้
เข้าใจเรื่องราวสั้นๆ
สามารถระบุสีและรูปทรงง่ายๆ ได้
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
พูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์มากขึ้น 3-4 คำขึ้นไป
ใช้คำบุพบท (เช่น ใน บน ใต้) และคำเชื่อม (เช่น และ หรือ)
เล่าเรื่องราวสั้นๆ ได้
พูดคุยโต้ตอบกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
คำศัพท์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ประมาณ 900-1000 คำเมื่ออายุ 3 ปี)

ช่วง 3 - 4 ปี:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจเรื่องราวที่ยาวขึ้นและซับซ้อนขึ้น
สามารถเปรียบเทียบสิ่งของได้
เข้าใจความหมายของคำตรงข้าม
สามารถทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทางสังคมง่ายๆ ได้
ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
พูดเป็นประโยคที่ซับซ้อนขึ้น ใช้ไวยากรณ์ได้ถูกต้องมากขึ้น
ใช้คำกริยาแสดงอดีตและอนาคตได้
เล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาได้
สามารถสนทนาโต้ตอบกับผู้อื่นได้อย่างต่อเนื่อง
ออกเสียงคำส่วนใหญ่ได้ชัดเจนขึ้น

ช่วง 4 - 5 ปี:

ด้านรับรู้และเข้าใจภาษา : (Receptive Language)
เข้าใจมุขตลกและปริศนา
สามารถบอกเหตุผลและแก้ไขปัญหาได้
เข้าใจความหมายของคำนามและคำคุณศัพท์ได้มากขึ้น
สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้

ด้านแสดงออกทางภาษา : (Expressive Language)
สามารถพูดได้เกือบเหมือนผู้ใหญ่ ใช้ไวยากรณ์ที่ซับซ้อนขึ้น
เล่าเรื่องราวที่มีรายละเอียดมากขึ้น
สามารถแสดงความคิดเห็นและอธิบายสิ่งต่างๆ ได้
สามารถปรับการพูดให้เข้ากับสถานการณ์และผู้ฟังได้
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการทางภาษาและการพูด:

👉 พันธุกรรม: มีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ภาษา

👉สภาพแวดล้อม: การได้รับสิ่งกระตุ้นทางภาษาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ

👉การเลี้ยงดู: การพูดคุย อ่านหนังสือ และเล่นกับเด็กช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา

👉สุขภาพ: ปัญหาการได้ยิน ปัญหาทางระบบประสาท หรือความผิดปกติอื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางภาษา

👨‍⚕️ การกระตุ้น: การส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสสื่อสารและแสดงออกทางภาษา

🙅‍♂️สัญญาณที่ควรระวังและปรึกษาแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญ:

12 เดือน: ไม่ตอบสนองต่อเสียง ไม่เปล่งเสียงอ้อแอ้ ไม่ชี้บอกความต้องการ
18 เดือน: ไม่มีคำศัพท์ที่มีความหมาย ไม่ทำตามคำสั่งง่ายๆ
2 ปี: ไม่มีคำศัพท์ถึง 50 คำ ไม่พูดเป็นวลีหรือประโยค ไม่เลียนแบบคำพูด
3 ปี: พูดไม่ชัดเจนจนคนอื่นไม่เข้าใจ ไม่สามารถสนทนาโต้ตอบได้ ไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้

👨‍🏫 การเข้าใจพัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็กจะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาการของลูกได้อย่างเหมาะสม และสามารถสังเกตสัญญาณผิดปกติเพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ทันท่วงที

“การเริ่มต้นที่ดีสุด...คือการเริ่มต้นทำ”ในระยะเวลา 3 ปีที่ผมได้เดินทางสายนี้ผมไม่เคยคิดจะไปแข่งขันกับใคร...ไม่อยากเปรียบ...
12/05/2025

“การเริ่มต้นที่ดีสุด...คือการเริ่มต้นทำ”
ในระยะเวลา 3 ปีที่ผมได้เดินทางสายนี้
ผมไม่เคยคิดจะไปแข่งขันกับใคร...
ไม่อยากเปรียบเทียบใครนอกจากตัวเอง
ในแต่ล่ะวันผมจะกลับมาทบทวนตัวเองเสมอ
ว่าวันนี้เราทำอะไรบ้าง มีข้อผิดพลาดตรงไหน
อะไรที่เสร็จแล้ว และมีอะไรที่ยังไม่ทำบ้าง
เพราะผมอยากที่จะเป็น ตัวของผม
ในVersionที่ดีที่สุด มันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ถ้าหากไม่เริ่มลงมือทำ...ในวันนี้
สิ่งที่ผมไฝ่ฝัน มันก็คงถอยห่างออกไปในทุกๆวัน
ดั่งนั่นการเริ่มต้นที่ดี ที่สุดคือ การเริ่มต้นลงมือทำ

การช่วยเยียวยาความรู้สึกของผู้ปกครองที่มีลูกเป็นคนพิการเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพวกเขาต้องเผชิญกับทั้งความกังวล ความกลัว และ...
07/04/2025

การช่วยเยียวยาความรู้สึกของผู้ปกครองที่มีลูกเป็นคนพิการเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพวกเขาต้องเผชิญกับทั้งความกังวล ความกลัว และความท้าทายในชีวิตประจำวัน คำถามเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ปกครองได้ทบทวนตัวเอง เปิดใจยอมรับ และมองเห็นคุณค่าในตัวลูก รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาลูกต่อไป

ศิลปะด้านใน
07/04/2025

ศิลปะด้านใน

ขั้นตอนการเรียนรู้ในบทเรียนศิลปะด้านใน

เริ่มต้นด้วยกิจกรรมวงกลม กล่าวบทกวีประจำฤดูกาล แล้วชวนทุกคนมาร้องเพลงและเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ปลุกเสียงผ่านหัว ใจ และให้ร่างกายตื่นรู้ขึ้น จากนั้นทำงานผ่านใจและกาย การสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ อย่างเช่นการจัดดอกไม้

ปลดปล่อยความคิด สู่การรู้สึกตัว ผ่านการทำงานศิลปะ ระบายสีน้ำอิสระ

ช่วงบ่ายเริ่มปรับจังหวะชีพจรกลุ่มด้วยกิจกรรมจังหวะ ก่อนเข้าสู่บทเรียนต่อไปด้วยการเล่านิทานสร้างแรงบันดาลใจ เข้าใจพัฒนาการเด็ก และกิจกรรมงานเย็บปักถักร้อยที่กลับมาเชื่อมโยงกับความรักจากหัวใจแม่

อำลาวันที่งดงามด้วยการนั่งล้อมวงแลกเปลี่ยนสะท้อนแบ่งปันความรู้สึก แผ่เมตตา และกล่าวบทกลอนกล่อมขวัญ

การเรียนรู้ที่ออกแบบมาให้ผู้เข้าร่วมได้มีประสบการณ์ตรงผ่านทุก ๆ กิจกรรมที่สัมผัสตรงที่ใจ หัวใจที่ได้รับจึงส่งต่อได้อย่างลึกซึ้งมีพลัง

#ศิลปะด้านใน

#สสส.

07/04/2025

Send a message to learn more

👨‍🏫กระบวนการฝึกพูดสำหรับเด็กออทิสติก👉🏻เด็กออทิสติกแต่ละคนมีระดับพัฒนาการทางภาษาที่แตกต่างกัน บางคนอาจพูดได้น้อยหรือไม่พู...
29/03/2025

👨‍🏫กระบวนการฝึกพูดสำหรับเด็กออทิสติก

👉🏻เด็กออทิสติกแต่ละคนมีระดับพัฒนาการทางภาษาที่แตกต่างกัน บางคนอาจพูดได้น้อยหรือไม่พูดเลย ในขณะที่บางคนสามารถพูดได้แต่มีปัญหาด้านการใช้ภาษา กระบวนการฝึกพูดต้องอาศัยความอดทนและการปรับให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน

กระบวนการฝึกพูดสำหรับเด็กออทิสติก ควรเริ่มจาก

👉🏻 1. ประเมินความสามารถของเด็กก่อนเริ่มฝึก
การประเมินเด็กก่อนเพื่อให้เรา ทราบถึงระดับความสามารถเพื่อไปเปรียบเทียบกับตารางพัฒนาการทางภาษาเพื่อง่ายต่อการออกแบบรูปแบบการกระตุ้นโดยจะมีรูปแบบดังนี้ 

✅ สังเกตว่าเด็กสามารถออกเสียงได้หรือไม่ และมีคำศัพท์ที่ใช้บ้างหรือยัง
✅ ดูว่ามีปัญหาด้านการออกเสียง หรือการเข้าใจภาษาไหม
✅ สังเกตว่าสื่อสารด้วยวิธีใด เช่น ใช้ภาษากาย ชี้นิ้ว หรือออกเสียงแบบไม่มีความหมาย

👉🏻2. กระตุ้นให้เด็กสนใจการสื่อสาร
ในการกระตุ้นเด็กแต่ละคนจะต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็กว่ามีความพร้อมที่จะเรียนรู้หรือฝึก มากน้อยเพียงใดดังนั้นก่อนที่จะฝึกพัฒนาการทางด้านภาษาที่ใช้ในการสื่อสารต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งใจและกายเพื่อให้เด็กเกิดความสนใจ

✅ เริ่มจากสิ่งที่เด็กสนใจ เช่น ถ้าเด็กชอบรถ ให้ใช้รถของเล่นมาพูดคุย เช่น “รถ…วิ่ง!”
✅ ใช้การสบตาและสีหน้า เพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจและจดจ่อกับการสื่อสาร
✅ พูดช้าและชัดเจน ใช้คำสั้น ๆ ง่าย ๆ เช่น “กินข้าว” แทน “มากินข้าวกันเถอะ”

👉🏻3. ฝึกให้เด็กเลียนแบบเสียงและคำพูด
เด็กออทิสติกสามารถเรียนรู้ได้ และสามารถลอกเรียนแบบ พฤติกรรม ต่างๆจากสภาพแวดล้อม ดังนั่นผู้ฝึกต้องออกแบบท่าทางที่ชัดเจน เพื่อให้เด็กเกิด กระบวนการเรียนรู้และจดจำ 
✅ เลียนแบบเสียงของเด็กก่อน เช่น ถ้าเด็กทำเสียง “อา” ก็ทำเสียง “อา” ตาม เพื่อให้เด็กเห็นว่าการออกเสียงมีผลต่อปฏิสัมพันธ์
✅ ใช้การออกเสียงร่วมกับการกระทำ เช่น ตบมือแล้วพูด “ตบมือ!” ให้เด็กทำตาม
✅ เล่นเกมเลียนแบบเสียง เช่น ทำเสียงสัตว์ “เมี้ยว เมี้ยว” แล้วให้เด็กลองทำตาม

👉🏻4. ใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรือท่าทางช่วยสื่อสาร

✅ ใช้ Picture Exchange Communication System (PECS) เช่น แสดงภาพ “น้ำ” เมื่อเด็กอยากดื่มน้ำ และกระตุ้นให้เด็กพูดคำว่า “น้ำ”
✅ ใช้ ภาษามือประกอบ เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจ เช่น ชี้ไปที่ปากเมื่อพูด หรือทำมือแสดงคำว่า “ขอบคุณ”
✅ ใช้ของจริงประกอบ เช่น ชี้ไปที่แอปเปิ้ลแล้วพูด “แอปเปิ้ล”

👉🏻5. กระตุ้นให้เด็กพูดออกเสียงเอง

✅ ถ้าเด็กต้องการบางสิ่ง อย่ายื่นให้ทันที แต่ให้กระตุ้นให้เด็กออกเสียง เช่น ถ้าเด็กชี้ขอน้ำ ให้พูด “น้ำ” แล้วรอให้เด็กพยายามพูด
✅ ถ้าเด็กออกเสียงคล้าย ๆ ได้ เช่น “อะ” แทน “น้ำ” ให้ชมและค่อย ๆ กระตุ้นให้ออกเสียงถูกต้อง
✅ ใช้ของเล่นที่เด็กต้องร้องขอ เช่น ลูกโป่ง รอให้เด็กพูดว่า “เป่า” ก่อนจะเป่าลมเข้าไป

👉🏻6. ใช้เพลงและจังหวะช่วยฝึกพูด

✅ ใช้เพลงเด็กง่าย ๆ ที่มีคำซ้ำ ๆ เช่น “ลิงเจี๊ยก ๆ” หรือ “จ๊ะเอ๋” เพื่อให้เด็กฝึกพูดตาม
✅ ใช้คำที่มีจังหวะสนุก ๆ เช่น “บูม บูม” “ตึง ตึง” เพื่อดึงดูดความสนใจ
✅ ใช้เสียงดนตรีช่วย เช่น เคาะจังหวะขณะพูด “ตบมือ!”

👉🏻7. ใช้รางวัลและคำชมเชย

✅ ทุกครั้งที่เด็กพยายามพูด แม้จะยังไม่ชัด ควร ชมเชยทันที เช่น “เก่งมาก!”
✅ ให้รางวัล เช่น ของเล่น ขนม (ถ้าเหมาะสม) หรือการกอด เพื่อกระตุ้นให้เด็กพูดอีก
✅ ทำให้การฝึกพูดเป็นเรื่องสนุก ไม่ควรกดดันเด็กมากเกินไป

👉🏻8. ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป

✅ ฝึกวันละ 5-10 นาที และค่อย ๆ เพิ่มเวลาเมื่อเด็กเริ่มตอบสนอง
✅ พยายามใช้คำพูดเดิมซ้ำ ๆ จนเด็กเริ่มเข้าใจและพูดได้
✅ ใช้คำพูดในชีวิตประจำวัน เช่น “เปิดไฟ” “ปิดประตู” เพื่อให้เด็กเรียนรู้จากสถานการณ์จริง

ข้อควรระวัง
❌ อย่าบังคับหรือดุว่าเด็กหากยังไม่พูด เพราะอาจทำให้เด็กต่อต้าน
❌ อย่าพูดเร็วหรือซับซ้อนเกินไป
❌ อย่าพูดแทนเด็กทุกครั้ง ควรให้โอกาสเด็กพยายามพูดเอง

กระบวนการฝึกพูดอาจใช้เวลานานและต้องอาศัยความอดทน หากท่านดูแลเด็กออทิสติกอยู่และต้องการวิธีที่เหมาะกับเด็กเฉพาะคน สามารถ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอรับคำแนะนำในรูปแบบการฝึก ซึ่งการพัฒนาเด็กออทิสติก ต้องอาศัยแรงกายแรงใจและความต่อเนื่องในการฝึกจึงจะเห็นผล ครูนาวาก็ขอเป็นกำลังใจ ให้กับทุกๆคนนะครับ 

#ครูนาวาพาเพลินจำเริญใจ
#ให้คำปรึกษาปัญหาด้านเด็กพิเศษ
#กระบวนการส่งเสริมพัฒนาการทางการเรียนรู้สำหรับเด็กพิเศษ
#นักบำบัดฟื้นฟูสภาวะจิตใจและเยียวยา
#ฝึกพูดโดยครูการศึกษาพิเศษ
#วิทยากรห้องเรียนพ่อแม่ 

26/03/2025

การศึกษาแนวจิตปัญญา เป็นแนวทางที่มุ่งเน้น การพัฒนาผู้เรียนให้มีสติ ปัญญา และจิตวิญญาณที่สมดุล โดยไม่จำกัดอยู่แค่การเรียนวิชาการ แต่รวมถึงการเข้าใจตนเอง ความสัมพันธ์กับผู้อื่น และความหมายของชีวิต

👨‍🏫ผู้ปกครอง คุณครู หลายๆ คนมักได้เห็นพฤติกรรมของเด็กออทิสติกมักมีพฤติกรรม กระตุ้นตนเอง (self-stimulatory behavior หรือ ...
26/03/2025

👨‍🏫ผู้ปกครอง คุณครู หลายๆ คนมักได้เห็นพฤติกรรมของเด็กออทิสติกมักมีพฤติกรรม กระตุ้นตนเอง (self-stimulatory behavior หรือ stimming) บ่อยๆ เนื่องจากเหตุผลทางประสาทวิทยาและจิตใจ โดยพฤติกรรมเหล่านี้อาจรวมถึงการแกว่งตัว โบกมือ เคาะนิ้ว ส่งเสียง หรือมองสิ่งของหมุนไปมา วันนี้ครูนาวาจะมาเล่าให้ฟังถึง สาเหตุ เห็นผลที่เขาแสดงพฤติกรรมเหล่านั้น

เหตุผลที่เด็กออทิสติกกระตุ้นตนเองบ่อยๆ
1. ช่วยควบคุมความรู้สึก (Self-regulation)

👉🏻เด็กออทิสติกอาจรู้สึกไวต่อสิ่งเร้ามากเกินไป (hypersensitivity) หรือรับรู้ได้น้อยกว่าปกติ (hyposensitivity) พฤติกรรมกระตุ้นตนเองช่วยให้พวกเขาจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ เช่น การแกว่งตัวช่วยให้สงบลง หรือการเคาะสิ่งของช่วยเพิ่มการรับรู้ทางประสาทสัมผัส

2. ลดความเครียดและความวิตกกังวล (Stress & Anxiety Relief)
👉🏻เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กดดัน ไม่คุ้นเคย หรือมีสิ่งเร้าสูง เด็กออทิสติกมักใช้พฤติกรรมเหล่านี้เพื่อลดความเครียดและสร้างความสบายใจให้ตนเอง

3. เป็นการแสดงออกของความตื่นเต้นหรือความสุข (Expression of Excitement or Happiness)
👉🏻ไม่ใช่ทุกพฤติกรรมกระตุ้นตนเองเกิดจากความเครียด เด็กบางคนแสดงพฤติกรรมนี้เมื่อรู้สึกตื่นเต้น สนุก หรือพอใจ เช่น การกระโดดขึ้นลงหรือปรบมือเมื่อดีใจ

4. ช่วยให้มีสมาธิและโฟกัส (Enhancing Focus & Attention)
👉🏻สำหรับเด็กบางคน การกระตุ้นตัวเองช่วยให้พวกเขามีสมาธิและสามารถทำงานบางอย่างได้ดีขึ้น เช่น การเคาะนิ้วขณะฟังข้อมูลอาจช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น

5.เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทที่แตกต่างกัน (Neurological Differences)
👉🏻สมองของเด็กออทิสติกประมวลผลข้อมูลและจัดการสิ่งเร้าแตกต่างจากคนทั่วไป การกระตุ้นตัวเองอาจเป็นกลไกอัตโนมัติที่ช่วยให้พวกเขาปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม

6.การขาดทักษะทางสังคมและการสื่อสาร (Lack of Alternative Communication)
👉🏻เด็กที่มีปัญหาด้านการพูดหรือการสื่อสารอาจใช้พฤติกรรมกระตุ้นตนเองเพื่อแสดงอารมณ์หรือความต้องการ เพราะพวกเขาอาจไม่สามารถบอกความรู้สึกของตนเองได้ด้วยคำพูด

👨‍🏫สรุป

พฤติกรรมกระตุ้นตัวเองในเด็กออทิสติกไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือจำเป็นต้องหยุดเสมอไป แต่เป็นกลไกธรรมชาติของพวกเขาในการจัดการกับโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้า หากพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายหรือรบกวนการใช้ชีวิต ก็ควรให้การยอมรับและเข้าใจ แต่หากเป็นอุปสรรคหรือส่งผลกระทบ ควรหาวิธีช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น เทคนิคทางประสาทสัมผัส (sensory integration therapy) หรือการสอนทักษะการสื่อสารเพิ่มเติม

ที่อยู่

Khon Kaen

เบอร์โทรศัพท์

+66654799597

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ครูนาวา พาเพลินจำเริญใจผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ครูนาวา พาเพลินจำเริญใจ:

แชร์