Noppond Pharmacy Because your health we care

26/06/2025
สุขสันต์วันเกิด ภญ.ปุ๊ ผู้เป็นที่รักของเราทุกๆคน วันเกิดปีนี้ขอให้สุขภาพแข็งแรง สวยๆๆๆ รวยๆๆๆ พบเจอแต่ความสุขกายสบายใจ อ...
16/08/2024

สุขสันต์วันเกิด ภญ.ปุ๊ ผู้เป็นที่รักของเราทุกๆคน วันเกิดปีนี้ขอให้สุขภาพแข็งแรง สวยๆๆๆ รวยๆๆๆ พบเจอแต่ความสุขกายสบายใจ อยู่เป็นพี่เป็นน้องเป็นแม่เป็นครูเป็นกำลังใจให้น้องๆในบริษัทเราไปนานๆๆๆๆ นะครับ

รักแม่ปุ๊นะ🧡🧡🧡
พนักงานทุกคน

soon
10/03/2024

soon

K-Cenla ใบบัวบกสกัด
23/03/2022

K-Cenla ใบบัวบกสกัด

17/01/2022
ผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและลำคอ ใช้บรรเทาอาการ เช่นเจ็บคอ แผลในปาก เหงือกอักเสบ
29/12/2021

ผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและลำคอ ใช้บรรเทาอาการ เช่นเจ็บคอ แผลในปาก เหงือกอักเสบ

เกลือแร่ POWYER  ผลไม้รวม
29/12/2021

เกลือแร่ POWYER ผลไม้รวม

เหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ติดมือใช่ไหม..!!!ต้องนี่เลย.. สเปรย์แอลกอฮอล์ผสมน้ำหอมแบรนด์ดังกลิ่นหอมมมมากกก.....!!"ไม่เหนียวติดมือ...
22/12/2021

เหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ติดมือใช่ไหม..!!!
ต้องนี่เลย.. สเปรย์แอลกอฮอล์ผสมน้ำหอมแบรนด์ดัง
กลิ่นหอมมมมากกก.....!!
"ไม่เหนียวติดมือ"

โรคสะเก็ดเงินโรคสะเก็ดเงิน โรคเกล็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง หรือโซริอาซิส (Psoriasis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้...
08/12/2021

โรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงิน โรคเกล็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง หรือโซริอาซิส (Psoriasis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่ใช่โรคติดต่อ รอยโรคมีลักษณะขึ้นเป็นผื่นหรือปื้นและมีเกล็ดสีเงินปกคลุม สามารถพบเกิดกับผิวหนังได้ทุกส่วน แต่ที่พบได้บ่อยคือ ผิวหนังส่วนข้อศอกและเข่าด้านนอก ผิวหนังส่วนด้านหลัง หลังมือ หลังเท้า หนังศีรษะ และใบหน้า ผู้ป่วยมักมีอาการแบบเป็น ๆ หาย ๆ นานแรมปีหรือตลอดชีวิต ทำให้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย


โรคสะเก็ดเงินจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้เรื่อย ๆ แต่ไม่ถึงกับบ่อยมาก (ประมาณ 1-3% ของคนทั่วไป) สามารถพบได้ในคนทุกวัยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่พบได้มากในผู้ใหญ่ เพราะปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคในเด็กยังมีไม่มาก เช่น ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โอกาสที่พบในผู้หญิงและในผู้ชายมีใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 10-40 ปี ผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 พบว่ามีประวัติโรคนี้ในครอบครัว และอาการมักจะกำเริบเมื่อมีปัจจัยมากระตุ้น (ที่พบบ่อยคือ ความเครียด)

ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินเพราะมีความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นพื้นฐานแล้วมีสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการและอาการแสดงทางผิวหนัง เล็บ และข้อร่วมด้วย แต่ความผิดปกติทางพันธุกรรมไม่จำเป็นที่บิดา มารดา หรือญาติพี่น้องจะต้องเป็นโรคนี้กันทุกคน เพียงแต่ว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเป็นโรคนี้อยู่

สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน
โรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุในการเกิดที่แน่ชัด แต่จากการศึกษาเชื่อว่า เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน (ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงสาเหตุเดียว) เช่น พันธุกรรม ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน และปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังส่วนนั้นแบ่งตัวเร็วกว่าปกติร่วมกับเกิดการอักเสบจึงเกิดเป็นปื้น (Plaque) หรือเป็นแผ่นหนา แดง คันและตกสะเก็ด

ในคนปกตินั้น เซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าจะมีการงอกใหม่จากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวหนังบนชั้นนอกสุดที่แก่ตัวตายและหลุดออกไปเป็นวัฏจักร โดยเซลล์ผิวหนังที่งอกใหม่จะใช้เวลาเคลื่อนตัวจากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดประมาณ 26 วัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินนี้ บริเวณรอยโรคจะมีการแบ่งตัวหรือการงอกของเซลล์ผิวหนังใหม่เร็วกว่าปกติ และใช้เวลาเคลื่อนตัวจากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาชั้นนอกสุดของผิวหนังเพียงประมาณแค่ 4 วัน ทำให้เซลล์ผิวหนังที่แก่ตัวหลุดออกในอัตราความเร็วที่ไม่ทันกับการงอกของเซลล์ใหม่ จึงทำให้เกิดการหนาตัวของผิวหนังกลายเป็นตุ่มหรือปื้น และมีเกล็ดสีเงินปกคลุมซึ่งหลุดลอกออกง่าย

มีการสันนิษฐานว่าความผิดปกติดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับความแปรปรวนของระบบภูมิคุ้มกัน กล่าวคือ ลิมโฟไซต์ ชนิด T cells (ปกติจะทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรค) ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินไป เมื่อเคลื่อนตัวมาที่ชั้นใต้ผิวหนัง ก็จะทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ กระตุ้นให้เซลล์หนังกำพร้าเกิดการแบ่งตัวและเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผิดปกติ และก่อให้เกิดการอักเสบของผิวหนังทั้งในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้

โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ชัดเจน โดยพบว่าถ้าบิดาและมารดาเป็นโรคนี้ บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 65-83% ถ้าบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรค บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ลดลงเหลือ 28-50% หรือถ้ามีพี่น้องในครอบครัวเป็นโรคนี้โดยที่บิดาและมารดาไม่ได้เป็นโรค บุตรคนถัดไปที่เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 24% แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่เป็นโรคนี้เลย บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลงไปเหลือเพียง 4% โดยลักษณะทางพันธุกรรมนี้เป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานของการเกิดโรค และการเกิดอาการของโรคก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว แม้ผู้ป่วยจะมีลักษณะทางพันธุกรรมของโรคสะเก็ดเงินอยู่ก็ตาม แต่ถ้าไม่มีปัจจัยอื่น ๆ มากระตุ้นหรือส่งเสริมมากระทบ ผู้ป่วยก็จะไม่เกิดอาการของโรค ดังนั้นผู้ป่วยแต่ละรายจึงควรสังเกตและพยายามหาให้ได้ว่ามีปัจจัยแวดล้อมอะไรบ้างที่ทำให้โรคกำเริบ แล้วพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้โรคกำเริบ เพราะปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกันแต่อย่างใด

ปัจจุบันพบว่ามียีนผิดปกติของโรคนี้อยู่มากกว่า 8 ชนิด ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายจะมียีนผิดปกติที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้มีอาการแสดงได้หลากหลายรูปแบบ นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าผู้ที่มียีนของโรคนี้แฝงอยู่ในร่างกายมีจำนวนถึง 1 ใน 3 ที่ไม่มีอาการ ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการ

ปัจจัยกระตุ้นหรือส่งเสริมให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน

ปัจจัยภายนอกร่างกาย ได้แก่
การติดเชื้อ ได้แก่ โรคคออักเสบจากไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ส่วนโรคติดเชื้ออื่น ๆ ก็สามารถกระตุ้นให้โรคกำเริบได้เช่นเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์อาจไม่ชัดเจนเหมือน 2 โรคดังกล่าว
การบาดเจ็บที่ผิวหนัง การแกะเกา ขูด กดเสียดที่ผิวหนัง สามารถทำให้ผื่นของโรคสะเก็ดเงินกำเริบและลุกลามออกไปได้ เราจึงมักพบผื่นของรอยโรคบริเวณศอก เข่า ก้นกบ เพราะเป็นตำแหน่งที่มีการแกะเกาเสียดสีมากที่สุด
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคจิตประสาทกลุ่มลิเทียม, ยารักษาโรคมาลาเรีย, ยารักษาโรคหัวใจกลุ่ม Beta adrenergic blocking agent, ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทานและชนิดฉีด ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงการซื้อยามารับประทานเอง โดยเฉพาะยาจีน ยาหม้อ ยาสมุนไพร ยาไทยบางชนิดที่ผสมสเตียรอยด์เข้าไปในส่วนผสมของยา แม้ยาสเตียรอยด์จะช่วยให้อาการของโรคสะเก็ดเงินสงบลงได้ในระยะแรก ๆ ที่ได้รับยา แต่เมื่อใช้ไปในระยะยาวจะมีผลข้างเคียงสูง เช่น กระดูกผุ ความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้โรคเบาหวานกำเริบ กล้ามเนื้อลีบและอ่อนแรง เป็นต้น
ปัจจัยภายในร่างกาย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน การเกิดโรคของอวัยวะภายในต่าง ๆ (เช่น โรคตับ โรคไต เป็นต้น) จะส่งผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อผิวหนังด้วยเสมอ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินจะมีอาการกำเริบได้เมื่อเกิดโรคกับอวัยวะภายในอื่น ๆ
ปัจจัยทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ สภาพทางจิตใจของผู้ป่วยมีอิทธิพลต่ออาการของโรคสะเก็ดเงิน โดยพบว่าผู้ป่วยที่มีความเครียด หงุดหงิด โกรธง่าย นอนไม่หลับ ผื่นจะกำเริบแดงขึ้น คันมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยต้องแกะเกา จนส่งผลให้โรคกำเริบขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจำนวนมากอาจไม่พบว่ามีสาเหตุอะไรเป็นตัวกระตุ้นก็ได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบหรือรุนแรงมากขึ้น

ความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล ความโกรธ ความกลัว หงุดหงิด เร่าร้อน อารมณ์ฉุนเฉียว เพราะความเครียดส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำหรือผิดปกติได้
การกระทบกระแทก การแกะ เกา กด ขูด ข่วน ถู ดึง ลอก หยิกที่ผิวหนัง ผิวหนังมีบาดแผล และแมลงสัตว์กัดต่อย
การแพ้แดดหรือถูกแดดมากเกินไป
อากาศที่หนาวเย็น
ความอ้วนหรือโรคอ้วน ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุว่าทำไม
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคจิตประสาทกลุ่มลิเทียม, ยาลดความดันโลหิตบางชนิด, ยารักษาโรคหัวใจกลุ่ม Beta adrenergic blocking agent, ยาต้านมาลาเรีย (Anti-malarial), ยาแก้ปวดอินโดเมธาซิน (Indomethacin), ยาต้านเอซ, ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, ยาไอโอไดด์, ยาเม็ดคุมกำเนิด, ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทานและชนิดฉีด รวมไปถึงยาจีน ยาหม้อ ยาไทย ยาสมุนไพรต่าง ๆ ที่ใช้ทาหรือรับประทาน เป็นต้น
การหยุดยากินสเตียรอยด์ สเตียรอยด์ที่เคยใช้ได้ผลอยู่ก่อนก็อาจทำให้อาการของโรคกำเริบขึ้นมาได้
การติดเชื้อต่าง ๆ โรคติดเชื้อที่คอ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อที่ผิวหนัง โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ รวมทั้งการติดเชื้อเอชไอวี
การระคายเคืองจากดีเทอร์เจน ผงซักฟอก สบู่ ครีมที่มีกรดเป็นส่วนผสม เช่น ครีมลอกหน้า ครีมขัดผิว
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในระยะมีประจำเดือน/หมดประจำเดือน ระยะการตั้งครรภ์หรือช่วงหลังคลอด
พฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์จัด การเล่นการพนัน การเล่นกีฬาอย่างหักโหม
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกาย รวมทั้งปัจจัยทางด้านจิตใจ เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคหรือส่งเสริมให้โรคที่สงบอยู่กำเริบ เป็นมากขึ้น หรือโรคยังคงเป็นอยู่และดำเนินต่อไป

อาการของโรคสะเก็ดเงิน
อาการของโรคนี้มีหลายรูปแบบ ที่พบได้บ่อยคือ การเกิดผื่นเป็นปื้นผิดปกติบนผิวหนัง อาจเกิดเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดพร้อม ๆ กันทั่วตัวก็ได้ โดยทั่วไปรอยโรคจะมีลักษณะเป็นปื้นหนา แห้ง แดง คัน และตกสะเก็ดเป็นสีเงิน เมื่อเกิดที่แขนหรือขาก็มักจะเกิดพร้อมกันทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ซึ่งถ้าเป็นมากผู้ป่วยอาจมีเลือดออกในปื้นนี้ได้ และ/หรือลุกลามเข้าไปในเล็บ หรือมีการอักเสบของข้อต่าง ๆ ร่วมด้วย


อาการแสดงของโรคนี้มีหลายชนิด ซึ่งผู้ป่วยอาจเป็นเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดร่วมกันก็ได้ ดังนี้

โรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนา (Plaque psoriasis) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด อาการตอนเริ่มกำเริบใหม่ ๆ รอยโรคจะขึ้นเป็นตุ่มแดง มีขอบเขตชัดเจน และมีขุยสีขาว (สีเงิน) อยู่ที่ผิว ต่อมารอยโรคจะค่อย ๆ ขยายออกจนกลายเป็นปื้นใหญ่และหนา และขุยสีขาวที่ผิวจะหนาตัวขึ้นจนเห็นเป็นเกล็ดสีเงิน ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคเกล็ดเงิน" หรือ "สะเก็ดเงิน" ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีรอยโรคลักษณะดังกล่าวเป็นปื้นหนา ๆ ขึ้น ๆ ยุบ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่หายขาด ถ้าขูดเอาเกล็ดออกจะมีรอยเลือดออกซิบ ๆ และเกล็ดที่ว่านี้มักจะร่วงอยู่ตามเก้าอี้หรือที่นอน หรือร่วงเวลาถอดเสื้อหรือเดินไปไหนมาไหน ความผิดปกติดังกล่าวอาจเกิดขึ้นที่ผิวหนังส่วนใดก็ได้ แต่มักจะพบที่หนังศีรษะและผิวหนังส่วนที่เป็นปุ่มนูนของกระดูก ที่พบได้บ่อย ๆ คือ ข้อศอก ข้อเข่า และอาจพบขึ้นที่บริเวณก้นกบ หน้าแข้ง ซึ่งรอยโรคจะมีขนาดต่างกันไป อาจขึ้นเพียงไม่กี่ที่หรือขึ้นกระจายทั่วไปก็ได้ นอกจากนี้รอยโรคลักษณะดังกล่าวยังชอบขึ้นตามผิวหนังที่เคยได้รับบาดเจ็บหรือชอกช้ำอีกได้ เช่น รอยบาดแผล รอยขีดข่วน เป็นต้น ในบางรายอาจมีรอยโรคภายในเยื่อบุช่องปากหรือบริเวณอวัยวะเพศก็ได้ นอกจากนี้รอยโรคดังกล่าวยังอาจก่อให้เกิดอาการคันหรือเจ็บ และอาจดูคล้ายอาการของโรคกลาก ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
โรคเกล็ดเงินรูปสะเก็ดเงินรูปโรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงินชนิดตุ่มเล็ก (Guttate psoriasis) รอยโรคจะมีลักษณะเป็นตุ่มหรือผื่นแดงขนาดเล็ก ๆ ที่มีรูปร่างคล้ายหยดน้ำ ขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร และมีขุยหรือเกล็ดเงินเล็ก ๆ ปกคลุม มักขึ้นตามลำตัว แขน ขา หนังศีรษะ (รอยโรคอาจดูคล้ายผื่นกุหลาบ ซิฟิลิส ผื่นแพ้ยา) โรคสะเก็ดเงินชนิดนี้มักพบในคนอายุต่ำกว่า 30 ปี และมักเกิดอาการขึ้นครั้งแรกหลังจากเป็นคออักเสบจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัส ผู้ป่วยอาจเกิดอาการเพียงครั้งเดียวแล้วหายขาดไปเลย หรืออาจกำเริบซ้ำ ๆ โดยเฉพาะเวลามีการติดเชื้อของทางเดินหายใจ
โรคเรื้อนกวาง
โรคสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง (Pustular psoriasis) เป็นชนิดที่พบได้น้อย รอยโรคมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำขุ่นแบบตุ่มหนอง โดยไม่มีการติดเชื้อ (Sterile pustule) อาจเกิดขึ้นเฉพาะที่ เช่น ฝ่ามือฝ่าเท้า ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า หรืออาจขึ้นกระจายไปทั่วตัว (รอยโรคอาจดูคล้ายผิวหนังอักเสบที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนพุพอง) ในระยะแรกเริ่มรอยโรคจะขึ้นเป็นผื่นแดงเจ็บก่อน หลังจากนั้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะพุขึ้นเป็นหนอง แล้วหายไปเองภายใน 1-2 วัน แต่อาการอาจกำเริบซ้ำเป็นวงจร (ผื่นแดง > ตุ่มหนอง > ตกสะเก็ด) ได้ทุก ๆ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์ และผู้ป่วยอาจมีอาการคันมาก มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย น้ำหนักลดร่วมด้วย
อาการโรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงินชนิดแดงและเป็นเกล็ดทั่วตัว (Erythrodermic psoriasis) เป็นชนิดที่พบได้น้อยที่สุด ผู้ป่วยอาจเป็นโรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนามาก่อน แต่ควบคุมอาการได้ไม่ดี โดยรอยโรคจะมีลักษณะเป็นผื่นแดงและมีเกล็ด คัน ปวดแสบปวดร้อน ขึ้นกระจายทั่วตัว อาการมักกำเริบเวลามีความเครียด เกิดบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ติดเชื้อ หรือแพ้ยา หรือหยุดกินยาสเตียรอยด์ที่เคยกินอยู่เป็นประจำ ผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนแบบบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก เช่น ภาวะขาดน้ำ การติดเชื้อ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้
โรคผิวหนังสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงินชนิดรอยพับ (Flexural psoriasis หรือ Inverse Psoriasis) รอยโรคจะมีลักษณะเป็นรอยแดง ผิวราบเรียบ มีขอบเขตชัดเจน และไม่มีเกล็ดเงิน มักพบขึ้นบริเวณรักแร้ ขาหนีบ ใต้นม ข้อพับต่าง ๆ และรอบ ๆ อวัยวะเพศ (รอยโรคอาจดูคล้ายโรคสังคัง โรคเชื้อราแคนดิดา) โรคสะเก็ดเงินชนิดนี้มักพบในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน อาการจะกำเริบมากขึ้นเมื่อมีเหงื่อออกหรือมีการเสียดสี
โซริอาซิส
โรคสะเก็ดเงินบริเวณมือเท้า (Palmoplantar psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินที่ขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และผื่นอาจพบลามขึ้นมาบริเวณหลังมือหรือหลังเท้าได้
โรคสะเก็ดเงินเกิดจากอะไร
โรคสะเก็ดเงินชนิดเกิดที่หนังศีรษะ (Scalp psoriasis) เป็นกรณีที่พบได้ประมาณ 50% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน โดยอาจมีอาการเกิดขึ้นก่อนมีผื่นตามตัว ซึ่งรอยโรคจะมีลักษณะเป็นผื่นแดงหนา มีขอบเขตชัดเจน มีเกล็ดเงินขึ้นตามแนวไรผม และบางครั้งอาจลามมาที่หน้าผาก ผู้ป่วยมักไม่มีอาการผมร่วง แต่อาจจะมีอาการคัน เวลาเกาหนังศีรษะอาจมีเกล็ดหนังร่วงเกาะตามผมและไหล่ ลักษณะคล้ายกับรังแค โรคกลากที่ศีรษะ
โรคสะเก็ดเงินที่ศรีษะ
โรคสะเก็ดเงินชนิดเกิดที่เล็บ (Nail psoriasis) สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งที่เล็บมือและเล็บเท้า ความผิดปกติที่เล็บมือพบได้ถึง 50% เล็บเท้าพบได้ประมาณ 35% มีอาการแสดงได้หลายลักษณะ เช่น มีจุดสีน้ำตาลใต้เล็บ เล็บขรุขระ เล็บเป็นหลุม เล็บแยกตัวออกจากเนื้อใต้เล็บ (Onycholysis) ผิวใต้เล็บหนา (Subungual keratosis) มักเกิดร่วมกับเนื้อเยื่อของเล็บอักเสบ (Paronychia) ในรายที่เป็นรุนแรงเนื้อเล็บจะเปื่อยยุ่ย ถูกทำลาย และบางครั้งผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราร่วมด้วย จึงอาจทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคกลากที่เล็บ หรือโรคเชื้อราแคนดิดาที่เล็บ
โรคสะเก็ดเงินที่เล็บ
ข้ออักเสบจากโรคสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis) เป็นกรณีที่พบได้ประมาณ 5-15% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน ส่วนมากจะพบร่วมกับรอยโรคที่ผิวหนังเรื้อรัง ส่วนน้อยอาจมีอาการข้ออักเสบนำมาก่อนอาการที่ผิวหนัง โดยมักพบที่ข้อนิ้วมือนิ้วเท้ามีลักษณะปวด บวม และข้อแข็ง คล้ายโรคปวดข้อรูมาตอยด์ หากเป็นเรื้อรังจะทำให้เกิดการผิดรูปได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีการอักเสบของข้อเข่า สะโพก และข้อกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเป็นเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อพร้อมกันก็ได้ และอาการข้ออักเสบอาจค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนข้อพิการในที่สุดก็เป็นได้
ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคสะเก็ดเงิน
ส่วนใหญ่โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แต่เนื่องจากรอยโรคที่เป็นแบบเรื้อรังและดูน่าเกลียด จึงอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียด วิตกกังวล เกิดอาการซึมเศร้า สูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง และกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและการออกสังคมได้
ในรายที่มีอาการคันมาก อาจเกาจนมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
ในรายที่เป็นรุนแรง เช่น เป็นโรคสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนองที่ขึ้นกระจายไปทั่วตัว หรือสะเก็ดเงินชนิดแดงและเป็นเกล็ดทั่วตัว อาจทำให้เกิดภาวะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ และเกิดการติดเชื้อรุนแรงได้
ในรายที่เป็นที่เล็บ อาจทำให้เล็บพิการ
ในรายที่เป็นข้ออักเสบ อาจทำให้ข้อพิการ
อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา (Non melanoma skin cancer)
การวินิจฉัยโรคสะเก็ดเงิน
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการใช้ยาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติในครอบครัว การตรวจร่างกาย ตรวจความผิดปกติของผิวหนัง ส่วนในรายที่มีอาการไม่ชัดเจน อาจต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) โดยการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังส่งพิสูจน์ และอาจมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

วิธีรักษาโรคสะเก็ดเงิน
หากสงสัยว่าเป็นโรคสะเก็ดเงินควรปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์จะให้การรักษาไปตามชนิดและความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงิน ตามแนวทางดังต่อไปนี้


เมื่อเกิดผื่น ทั้งผื่นคันหรือผื่นไม่คัน ที่อาการไม่ดีขึ้นหรืออาการเลวร้ายลงภายหลังจากดูแลตนเองภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีสิ่งผิดปกติต่าง ๆ เช่น แผลเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ เกิดซ้ำในที่เดียวกันตลอด หรือผิวหนังมีก้อนเนื้อ ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 1 สัปดาห์หลังพบความผิดปกติ เพื่อวินิจฉัยแยกโรคว่าไม่ใช่เกิดจากโรคมะเร็ง
สำหรับรอยโรคที่ผิวหนัง ในรายที่เป็นน้อย (มีผื่นน้อยกว่า 10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย โดยผื่นขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือจะเท่ากับพื้นที่ประมาณ 1%) มีรอยโรคเพียงไม่กี่แห่ง แพทย์จะให้ทาครีมสเตียรอยด์ เช่น ครีมไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (Triamcinolone acetonide) หรือขี้ผึ้งน้ำมันดินหรือโคลทาร์ (Coal tar) ชนิด 1-5% หรืออาจใช้ทั้ง 2 สลับกัน เพื่อป้องกันการดื้อยา
ในรายที่เป็นมากขึ้น อาจหลีกเลี่ยงการใช้ครีมสเตียรอยด์ หรือใช้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นปื้นหนา และบางครั้งแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยอาบแดดในช่วงเวลา 10.00-14.00 น. โดยให้เริ่มอาบด้านละ 5-10 นาทีก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลานานขึ้น จนถึงขั้นทำให้เกิดรอยแดงเรื่อ ๆ ที่ผิวหนังภายใน 24 ชั่วโมงหลังอาบแดด ซึ่งส่วนใหญ่จะอาบแดดนานประมาณ 15-20 นาที โดยให้ทำประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะช่วยให้ผื่นยุบไปได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ (แสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลตจะมีฤทธิ์ทำให้ลิมโฟไซต์ชนิด T cells ตาย ส่งผลให้การแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังชะลอลง จึงช่วยลดการเกิดเกล็ดเงินและการอักเสบของผิวหนังได้) แต่มีข้อควรระวัง คือ อย่าอาบแดดนานเกินไป และควรใช้ผ้าคลุมหน้าเพื่อป้องกันมิให้ผิวหน้าถูกแดดมากเกินไป และบางรายอาจแพ้แดดทำให้อาการของโรคกำเริบขึ้นมาได้
วิธีรักษาโรคสะเก็ดเงินให้หายขาดผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นโรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนา แพทย์อาจให้ผู้ป่วยทาขี้ผึ้งแอนทราลิน (Anthralin ointment) พร้อมกับการอาบแดด (สำหรับในโรงพยาบาลขนาดใหญ่อาจใช้วิธีฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB) แทนการอาบแดดก็ได้) ซึ่งถ้าได้ผลผื่นจะยุบไปภายใน 3-4 สัปดาห์ แต่มีข้อควรระวังคือ ยาทาชนิดนี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ถ้าพบอาการระคายเคืองควรหยุดใช้ยา และห้ามใช้ยานี้ทาบนใบหน้า ข้อพับ และอวัยวะเพศ ในบางกรณีแพทย์อาจเลือกใช้ยาทาชนิดอื่น ๆ เช่น แคลซิโปทรีน (Calcipotriene) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินดี, ทาซาโรทีน (Tazarotene) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอหรือเรตินอยด์ (ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์) เป็นต้น โดยอาจใช้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับยาอื่น หรือร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลต
นอกจากนี้แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการ เช่น ถ้ามีอาการคัน แพทย์จะให้ยาแก้แพ้, ถ้าผิวหนังแห้งจะให้ทาด้วย Petroleum liquid paraffin เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง, ถ้าเกล็ดหนามากแพทย์จะให้ยาละลายขุย เช่น ครีมยูเรียหรือกรดซาลิไซลิก, ถ้ามีอาการปวดหรือมีไข้ จะให้ยาแก้ปวดลดไข้ เป็นต้น
สำหรับรอยโรคที่หนังศีรษะ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสระผมด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน เช่น ทาร์แชมพู สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ส่วนในรายที่มีขุยที่หนังศีรษะมาก แพทย์อาจให้โลชั่นที่เข้าสเตียรอยด์ (Steroid scalp lotion) ไปทาวันละ 1-2 ครั้ง
สำหรับอาการข้ออักเสบ แพทย์จะให้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ
ในรายที่เป็นรุนแรง หรือดื้อต่อการรักษา แพทย์อาจต้องใช้ยาชนิดกิน เช่น การให้กินยาโซลาเรน (Psoralen) ร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลตเอ การให้กินยากลุ่มเรตินอยด์ เมโทเทรกเซท (Methotrexate) หรือไซโคลสปอริน (Cyclosporin) ที่เป็นยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย ซึ่งวิธีการรักษาเหล่านี้ควรให้แพทย์โรคผิวหนังเป็นผู้ดูแลในการรักษาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลข้างเคียงและข้อควรระวังของยาแต่ละชนิดแตกต่างกันไป
ในปัจจุบันนี้มียาใหม่ที่มีผลข้างเคียงน้อย แต่มีราคาแพง เช่น อีทาเนอร์เซ็บท์ (Etanercept), อินฟลิกซิแม็บ (Infliximab) เป็นต้น ซึ่งเป็นสารชีวภาพที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งการทำงานของลิมโฟไซต์ได้ แพทย์อาจเลือกใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผลหรือมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ร้ายแรงของยาอื่น
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคสะเก็ดเงิน ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำต่อไปนี้
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบหรือรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะความเครียด การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์
อาบน้ำโดยใช้สบู่เด็กอ่อน หรืออาจใช้สบู่สำหรับผิวแห้งมาก (สบู่ผสมน้ำมัน) ในบริเวณผิวหนังส่วนที่มีรอยโรค
อาบแดดอ่อน ๆ ทุกวันตามคำแนะนำของแพทย์
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ
ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี
ควรไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่าง ๆ ที่เป็นอยู่เลวร้ายลง หรือมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อมีความกังวลในอาการ
เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบซ้ำ ผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
หลีกเลี่ยงการซื้อยาชุด ยาสมุนไพร และยาลูกกลอนกินเอง เพราะอาจเกิดอาการแพ้ยาทำให้โรคกำเริบได้ หรือหากได้รับยาสเตียรอยด์ที่ผสมอยู่ในยาชุดหรือยาลูกกลอน ซึ่งแม้ว่าจะทำให้โรคทุเลาลงได้ แต่ถ้าหยุดใช้ยาก็อาจทำให้โรคกำเริบรุนแรงได้ โดยทั่วไปแพทย์จะหลีกเลี่ยงการให้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินแก่ผู้ป่วย แต่จะให้ใช้สเตียรอยด์ชนิดทาหรือฉีดเฉพาะที่แทน เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบหลังจากหยุดยา
หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บหรือถูกขีดข่วนที่ผิวหนัง
งดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดหลับอดนอน หรือตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป
พยายามอย่าให้เกิดภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยการหันมาออกกำลังกายเป็นประจำ ทำสมาธิ ฝึกโยคะ ชี่กง รำมวยจีน หางานอดิเรกทำ เป็นต้น
ควรอาบแดดหรือให้ผิวหนังได้ถูกแสงแดดบ้าง แต่ไม่ควรให้ถูกแสงแดดนานเกินไป ยกเว้นในรายที่แพ้แดด ควรหลีกเลี่ยงการถูกแดด
เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน และยังไม่มีการรักษาใดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด หลักการรักษาโดยรวมจึงเป็นการรักษาแบบผสมผสานกันไป (Combination therapy) เพื่อให้ผลการรักษาดีขึ้น สามารถลดขนาดของยาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาได้ นอกจากนี้ การรักษาก็ไม่ควรใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเป็นเวลานาน ๆ แต่ควรใช้วิธีหมุนเวียนการรักษา (Rotation therapy) เพื่อลดขนาดยาโดยรวม ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงของการรักษา และเพื่อให้โรคสงบได้นานขึ้น

ยารักษาโรคสะเก็ดเงิน
การรักษาด้วยการใช้ยาทา (Topical therapy) ได้แก่

คอติโคสเตียรอยด์ (Topical corticosteroids) ส่วนใหญ่เป็นที่นิยมใช้ เนื่องจากเป็นครีมขาวใช้ง่ายและตอบสนองต่อการรักษาดี เหมาะสำหรับโรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนาที่บริเวณศีรษะ เล็บ และโรคสะเก็ดเงินชนิดรอยพับ แต่ยานี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง คือ ไม่ใช้ยาที่มีความแรงมากเกินไปและไม่ใช้เป็นบริเวณกว้าง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงของยาและอาจทำให้เกิดการเห่อของโรคอย่างรุนแรงหลังหยุดใช้ยาได้
ขี้ผึ้งน้ำมันดินหรือโคลทาร์ (Coal tar) มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติ มีประสิทธิภาพดี สามารถใช้ได้ตั้งแต่ 1-5% ในการรักษา เป็นยาที่สามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานโดยไม่เกิดผลข้างเคียง แต่ยานี้มีสีน้ำตาล กลิ่นเหม็น เวลาทาอาจทำให้เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า และอาจพบผลข้างเคียงคือ เกิดรูขุมขนอักเสบ หรือระคายเคืองผิวหนังบริเวณที่ทายาได้
ยูเรียครีม 10% ใช้เพื่อป้องกันผิวแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้นกับผิวหนัง รักษาอาการผื่นคันของผิวหนัง รักษาอาการผิวหนังหนาและหยาบกระด้าง และช่วยให้มีระยะสงบของโรคที่ยาวนานยิ่งขึ้น
แอนทราลิน (Anthralin) เป็นยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติและลดการอักเสบ เหมาะสำหรับโรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนาและชนิดตุ่มเล็ก โดยให้เริ่มใช้ที่ความเข้มข้นต่ำประมาณ 0.05-0.1% ก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นถึง 5% และควรผสมกรดซาลิไซลิก 1-2% เพื่อป้องกันการเกิด auto-oxidation ควรทาวันละ 1 ครั้ง หรือทาแบบ short contact treatment คือทาทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก สำหรับผลข้างเคียงที่สำคัญของยาชนิดนี้คือ อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนัง และผิวหนังบริเวณที่ทาอาจมีสีคล้ำขึ้นได้
ทาซาโรทีน (Tazarotene) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ (เรตินอยด์) ได้ผลในการรักษาโรคไม่ค่อยดี จึงไม่ค่อยนิยมใช้ อย่างไรก็ดี อาจใช้ยานี้ร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาก็ได้
แคลซิโปทรีน (Calcipotriene) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินดี มีฤทธิ์ในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตของเซลล์อย่างปกติ และลดการอักเสบ เป็นยาที่ปลอดภัยสามารถใช้กับผู้ป่วยเด็กได้ เหมาะสำหรับโรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนา ใช้ทาวันละ 1-2 ครั้ง ไม่ควรใช้ร่วมกับกรดซาลิไซลิก และหากใช้ร่วมกับการฉายแสง ควรให้ผู้ป่วยทาหลังจากการฉายด้วย มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้คือ ระคายเคือง และเกิดการเปลี่ยนแปลงของเมตาบอลิซึมของแคลเซียมและฟอสเฟตซึ่งพบได้น้อยมาก
ทาโครลิมัส (Tacrolimus) มีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยไปยับยั้ง Calcineurin ในเซลล์ T lymphocyte, Langerhans cell, Mast cell และ Keratinocyte ยาผลิตมาในรูปของ Ointment มีความเข้มข้นอยู่ระหว่าง 0.03%-0.1% จัดเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้ทั้งผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่ มีผลข้างเคียงคือ อาจรู้สึกแสบร้อนเวลาทา Flushing เวลาผู้ป่วยดื่มแอลกอฮอล์ และอาการทางจิตประสาท ความดันโลหิตสูง Impaired kidney function และเพิ่มระดับไขมันในเลือดได้ แต่ไม่เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหนังหรือระบบอื่น ๆ
พิเมโครลิมัส (Pimecrolimus) มีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยไปยับยั้ง Calcineurin ในเซลล์ยับยั้งการหลั่ง Cytokines และ Mediators ของ Mast cell และ Basophil ยาผลิตมาในรูปของครีม มีความเข้มข้น 1% ใช้ทาวันละ 2 ครั้ง เป็นยาที่มีราคาแพงมาก และอาจพบผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น แสบร้อน
การรักษาด้วยการฉายแสง (Phototherapy) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลตเอและบี ซึ่งผู้ป่วยต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน โดยจะให้ผลการรักษาดีประมาณ 70-80% ขึ้นไป ผลข้างเคียงโดยรวมพบได้น้อย การกลับมาเป็นซ้ำของโรคจะน้อยกว่ายาทาหรือยากิน

รักษาโรคสะเก็ดเงินการกินยาโซลาเรนร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลตเอ (Photochemotherapy - PUVA) เป็นการกินยาโซลาเรน (Psoralen) ร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลตเอ โดยโซลาเรนจะจับกับ DNA เมื่อฉายแสงจะก่อให้เกิด Photoproduct ซึ่งไปยับยั้งการสร้าง DNA และการแบ่งเซลล์ มีผลข้างเคียงของการรักษาคือ คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะจากการกินยาโซลาเรน, อาการคันและผิวหนังเกิดความเสื่อมสภาพที่เกิดจากการฉายแสงในระยะยาว เช่น กระ สีผิวผิดปกติ สำหรับผลข้างเคียงสำคัญคือ อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
การฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (Selective UVB therapy) เป็นการฉายแสงอัลตราไวโอเลตบีเพียงอย่างเดียว หรือใช้ร่วมกับการใช้ยาทาภายนอก เช่น ครีมสเตียรอยด์ แอนทราลิน ทาซาโรทีน แคลซิโปทรีน ซึ่งจะได้ผลดีกับโรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนาและชนิดตุ่มเล็ก
การรักษาด้วยการใช้ยาแบบ Systemic therapy

อะซิเตรติน (Acitretin) เป็นยารับประทานกลุ่มวิตามินเอ มีฤทธิ์ควบคุม Gene transcription และลดการอักเสบ เหมาะสำหรับโรคสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง สามารถใช้ร่วมกับ Photochemotherapy (PUVA) ได้ เพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดีขึ้นในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะข้ออักเสบจากโรคสะเก็ดเงิน ขนาดของยาสำหรับโรคสะเก็ดเงินชนิดปื้นหนาและโรคสะเก็ดเงินชนิดแดงและเป็นเกล็ดทั่วตัว คือ เริ่มด้วย 0.3-0.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนสูงสุดที่ 0.75 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ทุก ๆ 3-4 สัปดาห์ สำหรับโรคสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง ให้เริ่มด้วยขนาด 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน และค่อย ๆ ลดลงจนเหลือขนาด 0.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน โดยให้

ที่อยู่

Ko Phangan

เวลาทำการ

จันทร์ 07:00 - 23:00
อังคาร 07:00 - 23:00
พุธ 07:00 - 23:00
พฤหัสบดี 07:00 - 23:00
ศุกร์ 07:00 - 23:00
เสาร์ 07:00 - 23:00
อาทิตย์ 07:00 - 23:00

เบอร์โทรศัพท์

+6677377209

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Noppond Pharmacyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Noppond Pharmacy:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram