La Bourse แชมพูเร่งผมยาว

La Bourse แชมพูเร่งผมยาว ลดน้ำหนักได้ผลปลอดภัยไม่โยโย่

ยาลดไขมันหวังลดอ้วน เสี่ยงผลข้างเคียงเพียบการใช้ยากลุ่มลดไขมันเพื่อหวังลดความอ้วนนั้นอันตราย ต้องระวังผลข้างเคียง ตั้งแต...
02/10/2017

ยาลดไขมันหวังลดอ้วน เสี่ยงผลข้างเคียงเพียบ
การใช้ยากลุ่มลดไขมันเพื่อหวังลดความอ้วนนั้นอันตราย ต้องระวังผลข้างเคียง ตั้งแต่ท้องผูก ท้องเสีย ปวดหัว ไปจนถึงระบบกล้ามเนื้อ ย้ำการใช้ยาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อใช้เองโดยเฉพาะจากอินเทอร์เน็ต
ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงความนิยมในการรับประทานยากลุ่มลดไขมันเพื่อใช้ลดความอ้วน ทั้งที่เป็นยาสำหรับผู้ป่วยโรคไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง ว่า การรับประทานยาโดยไม่ได้อยู่ในความควบคุมของแพทย์ ไม่ได้ใช้ตามคำแนะนำ และใช้โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ของโรค เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ยาเอง
โดยการใช้ยาจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ เพราะยาแต่ละตัวตอบสนองได้ไม่เท่ากัน และจำเป็นต้องติดตามดูผลการใช้ยาด้วย หากมีผลข้างเคียงก็จะต้องปรับการใช้ยา อย่างกลุ่มยาลดไขมันเป็นยาสำหรับผู้ป่วยที่มีปริมาณไขมันในเลือดสูง จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเชื่อว่าสามารถขับไขมันและลดความอ้วนได้ ทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์แต่อย่างใด ที่สำคัญพบว่ามีผลข้างเคียงเล็กน้อยด้วย เช่น ท้องผูก ท้องเสีย มึนงง ปวดหัว จุกเสียดแน่นท้อง เป็นต้น รวมถึงทำให้เกิดอาการเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อได้
ภญ.ศรีนวล กล่าวอีกว่า ระดับอาการของผลข้างเคียงจะขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ยาส่วนหนึ่ง หากรับประทานยาโดยไม่ได้อยู่ในความควบคุมของแพทย์ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ หากเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเกี่ยวกับระบบตับ ก็อาจทำให้เกิดผลกระทบต่ออาการของโรคได้ด้วย ทั้งนี้ การใช้ยาอย่างถูกต้องจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อลดความเสี่ยงที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาขึ้น จึงไม่ควรนำยามาใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์
“ปัจจุบันยากลุ่มดังกล่าวเป็นที่นิยมมากขึ้นในการใช้ลดความอ้วน ซึ่งการโฆษณาขายในอินเทอร์เน็ตถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว โดยเฉพาะการโฆษณาว่าขับไขมันและลดความอ้วน ไม่ว่าจะเป็นยาที่มีสิทธิบัตรหรือไม่มีสิทธิบัตร ก็ต้องขายในร้านขายยาหรือสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย เพราะการจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ตผู้บริโภคจะไม่ทราบแหล่งที่มาของยา อาจจะเป็นการลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามกระบวนการ อาจจะมีตัวยาอื่นที่เป็นอันตราย หรือไม่ได้มาตรฐานซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ” รองเลขาธิการ อย. กล่าว

อย่าหลงเชื่อโฆษณา 'ยาลดความอ้วน'ยาลดน้ำหนักเป็นยาที่ควรใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแพทย์จะใช้ต่อเมื่อมีน้ำหนักตัวเกินเข้...
02/10/2017

อย่าหลงเชื่อโฆษณา 'ยาลดความอ้วน'
ยาลดน้ำหนักเป็นยาที่ควรใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแพทย์จะใช้ต่อเมื่อมีน้ำหนักตัวเกินเข้าข่ายเป็นโรคอ้วน โดยให้ยาร่วมไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการกินอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกายร่วมไปด้วยเสมอ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พิสนธิ์ จงตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานคณะทำงานสร้างเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) ให้ความรู้ว่า ในอดีตยาที่เคยนำมาใช้ คือ เฟนฟลูรามีน (fenfluramine) หรือ เด็กซ์เฟนฟลูรามีน (dexfenfluramine) ซึ่งใช้ร่วมกับ เฟนเทอร์มีน (เฟนเทอร์มีน) เพื่อเสริมฤทธิ์ทำให้ความอยากอาหารลดลงมาก แต่ในปัจจุบันประเทศไทยได้มีมติให้เพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับทุกตำรับที่มีเฟนฟลูรามีนหรือเด็กซ์เฟนฟลูรามีนผสมอยู่ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2543 (เมื่อ16 ปีที่แล้ว) เนื่องจากมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อโรคลิ้นหัวใจรั่ว
ไซบูทรามีน (sibutramine) เป็นยาอีกขนานหนึ่งที่เคยมีการขึ้นทะเบียนเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งต่อมาบริษัทแอบบอต (Abbot) เจ้าของผลิตภัณฑ์นี้ในสหรัฐอเมริกาได้ประกาศยุติการจำหน่ายยานี้ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยในเดือนตุลาคม 2553 เนื่องจากทำให้หัวใจวายและหลอดเลือดสมองอุดตันได้ ซึ่ง อย. ได้ออกประกาศเตือนประชาชนให้ระวังอันตรายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ลักลอบใส่ยาไซบูทรามีนเพื่อลดความอ้วน ซึ่งในปัจจุบันไซบูทรามีนยังคงหาซื้อได้ง่ายทางอินเตอร์อินเตอร์เน็ต โดยโฆษณาหลอกลวงให้หลงเชื่อว่า เป็นยาที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้ ไม่มี yoyo effect กินได้นานโดยไม่มีอันตราย และผ่าน อย.อเมริกา ยุโรป และไทยแล้ว ซึ่งเป็นข้อความเท็จ ประชาชนไม่ควรหลงเชื่อยาลดความอ้วนที่ซื้อขายและใช้กันอย่างไม่ถูกต้องตามหลักเวชปฏิบัติที่มีจัดไว้เป็นชุดในสถานพยาบาลเอกชนบางแห่ง จะมียาหลายชนิดให้กินร่วมกันในคราวเดียวกัน ซึ่งมีด้วยกันมากมายหลายสูตร เช่น ที่ตรวจพบโดยสำนักงานอาหารและยา มีลักษณะดังนี้
รูปแบบที่ 1 เฟนเทอร์มีน ยาระบาย ยากล่อมประสาท ไวตามิน
รูปแบบที่ 2 เฟนเทอร์มีน ยาระบาย ยากล่อมประสาท ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ ยาขับปัสสาวะ
รูปแบบที่ 3 เฟนเทอร์มีน ยากล่อมประสาท ยาขับปัสสาวะ ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
รูปแบบที่ 4 เฟนเทอร์มีน ยาระบาย ยากล่อมประสาท ยาขับปัสสาวะ ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
รูปแบบที่ 5 เฟนเทอร์มีน เฟนฟลูรามีน ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์
ทั้งหมดถือเป็นยาลดความอ้วนสูตรที่อันตรายมาก ยาที่สั่งยุติการจำหน่ายแล้ว ก็ยังลักลอบนำมาใช้ ดังเห็นได้จากข่าวอยู่เนืองๆ ว่ามีผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาลดความอ้วน อันตรายร้ายแรงเหล่านั้นเกิดได้เสมอไม่ว่าจะซื้อหามาใช้เองทางอินเตอร์เน็ตหรือไปรับเป็นชุดๆ จากคลินิกหรือโรงพยาบาล ประชาชนจึงควรหลีกเลี่ยงยาลดความอ้วนทุกชนิด ทุกรูปแบบ

ยาลดอ้วนทานผิดวิธีอาจประสาทหลอนกองวัตถุเสพติด อย. เผย'ยาลดความอ้วน' หากซื้อรับประทานเองนานๆ จะมีผลข้างเคียงเยอะ หรือทำให...
02/10/2017

ยาลดอ้วนทานผิดวิธีอาจประสาทหลอน
กองวัตถุเสพติด อย. เผย'ยาลดความอ้วน' หากซื้อรับประทานเองนานๆ จะมีผลข้างเคียงเยอะ หรือทำให้ประสาทหลอน เตือนลอบขาย มีโทษปรับ-พักใบอนุญาต
นายธีระ ชัยพิริยะศักดิ์ เภสัชกรชำนาญการพิเศษ กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึง อันตรายของยาลดความอ้วน ว่า ปัจจุบันยาลดความอ้วน เป็นทั้งยาและวัตถุออกฤทธิ์ ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ พวกที่ออกฤทธิ์ต่อสมองโดยตรง กับพวกที่ไปออกฤทธิ์ที่ลำไส้เพื่อยับยั้งการดูดซึบอาหาร หากเป็นวัตถุออกฤทธิ์ ทางกองควบคุมวัตถุเสพติดจะจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่สอง ซึ่งผู้สั่งใช้ยาในกลุ่มนี้จะจำกัดไว้แค่แพทย์เท่านั้น ซึ่งหากใช้อย่างถูกวิธีภายใต้การดูแลของแพทย์ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อน ที่ถูกต้องก็จะไม่มีอันตราย
"ถ้าใช้ยาลดความอ้วนไม่ถูกวิธี คือ ซื้อใช้เอง หากใช้ไปนานๆ จะมีผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะ เนื่องจากยาในกลุ่มนี้จะไปออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทสมองส่วนกลาง ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมการสั่งงานของร่างกาย ทำให้เกิดอาการ เช่น การนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง เหงื่อออก คลื่นไส้ และมีอาการท้องบวมท้องผูกร่วมด้วย หรือส่งผลให้เกิดอาการประสาทหลอน" นายธีระ กล่าว
เภสัชกรฯ กล่าวต่อว่า มาตราของการควบคุมยาประเภทนี้ คือ อย.เท่านั้น ที่สามารถจำหน่ายยาเหล่านี้ได้ ซึ่งแพทย์จะสามารถซื้อยาตัวนี้เพื่อไปจ่ายให้กับคนไข้ครั้งละไม่เกิน 5,000 เม็ด ทั้งนี้ ต้องมีใบอนุญาตครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ก่อน อีกทั้ง ผู้ใช้จะต้องทำรายงานการรับ-จ่ายยาให้กับ อย.ทั้งรายเดือนและรายปี ที่ผ่านมาก็พบว่า ผู้ได้รับอนุญาตบางรายไม่ทำตามที่กฎหมายกำหนด ทาง อย.ได้ลงโทษโดยการปรับไม่เกิน 20,000 บาท และพักใบอนุญาตไม่เกิน 120 วัน จากนั้นจะส่งเรื่องไปยังสภาวิชาชีพ เพื่อดำเนินการพิจารณา ทั้งพร้อมหยุดขายจำหน่ายยา จนกว่าจะมีการดำเนินการถูกต้อง แต่จะขายให้ในปริมาณที่ลดลงจากเดิม
อย่างไรก็ตาม นายธีระ ระบุถึง กรณีการเหวี่ยงตัวขึ้นของน้ำหนัก หลังจากทำการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่า "โยโย่ เอฟเฟกต์ " ว่า ยาตัวนี้หากใช้ไปสักเวลาหนึ่ง จะไปกดการอยากอาหาร พอเราเลิกทานยาก็จะรู้สึกหิว และทานเยอะขึ้น แต่ทั้งนี้อาจเกิดได้หลายสาเหตุ ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องใช้ยาลดน้ำหนัก ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ยาลดความอ้วนอันตรายถึงชีวิต!!ไม่ว่าโลกจะมุนเวียนเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย “ความอ้วน” ก็ยังเป็นอะไรที่หนุ่มๆ สาวๆ ไม่ปรารถนา...
02/10/2017

ยาลดความอ้วนอันตรายถึงชีวิต!!
ไม่ว่าโลกจะมุนเวียนเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย “ความอ้วน” ก็ยังเป็นอะไรที่หนุ่มๆ สาวๆ ไม่ปรารถนา แต่!! มันก็เข้ามักแวะมาทักทายกันอยู่เสมอ ทำให้มีวิวัฒนาการของ “ยาลดความอ้วน” ตามยุคสมัยมาติดๆ เพื่อปราบความอ้วน ล่าสุดอยู่ในรูปแบบ “แคปซูลผงบุก” ที่มีการอวดอ้างสรรพคุณกันทุกช่องทางในโซเชียลมีเดียว่าลดความอ้วนได้ จึงไม่แปลกใจเลยที่สาวๆ จะหลงเชื่อ
แต่ทราบหรือไม่ว่า “แคปซูลผงบุก” นั้นเป็น “ยาปลอม” เพราะมีการนำเลขทะเบียนยาที่ถูกยกเลิกแล้วมาใช้ อีกทั้งยังลักลอบใส่ “สารไซบูทรามีน” ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าสารดังกล่าวในต่างประเทศประกาศเป็นสารอันตราย ผิดกฎหมาย เพราะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีผลต่อหลอดเลือดสมอง และอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้!! นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับและท้องผูกได้
ฉะนั้นเมื่อหนุ่มๆ สาวๆ ที่อยากผอมอย่าได้หลงเชื่อการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ไม่ได้รับการรับรองว่าสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ การลดน้ำหนักที่ถูกวิธีควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแค่นี้เอง อย่าถึงขั้นเอาชีวิตไปเสี่ยงกับยาปลอมอันตรายกันอีกเลย

4 วิธี ลดน้ำหนัก ที่ 'ไม่' ควรทำคิดจะไดเอตเพื่อหุ่นสวยเป๊ะก็ดีอยู่หรอกนะ หากแต่เลือกใช้ผิดวิธีมันอาจให้ผลเสียมากกว่าผลดี...
02/10/2017

4 วิธี ลดน้ำหนัก ที่ 'ไม่' ควรทำ
คิดจะไดเอตเพื่อหุ่นสวยเป๊ะก็ดีอยู่หรอกนะ หากแต่เลือกใช้ผิดวิธีมันอาจให้ผลเสียมากกว่าผลดีได้ จนได้ข้อสรุปว่า 4 วิธีไดเอตต่อไปนี้ล่ะ ไม่เวิร์กสุดๆ และไม่แนะนำให้สาวๆ ทำอย่างแรง ไม่เพียงจะทำให้เกิดเอฟเฟกต์หุ่นเสียตามมา ทว่ายังทำร้ายสุขภาพแบบไม่โอเค บอกได้คำเดียว...มีแต่พังกับพัง

1. ไดเอตด้วยการเลือกทานอาหาร (ไม่ครบประเภท)
ไม่ว่าจะเป็นไข่ต้ม สลัดผัก ซุปต่างๆ โฮลวีต หรือจำพวกผลไม้ จริงอยู่ที่มันช่วยสาวๆ ลดความอ้วนได้ แต่จะต้องทานอีกสักกี่ถ้วยกี่จานล่ะถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แป๊บๆ พอหิวอีกก็ทำให้อยากทานโน่นทานนี่จุกจิกตามมา (แล้วเมื่อไรจะผอม?) ดีไม่ดีเมื่อสาวๆ ทานอะไรแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ก็อาจทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้เหมือนกัน ลองคิดดูสิ สาวๆ เน้นย้ำทานแต่อาหารลดความอ้วนอยู่แบบนั้น ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารประเภทอื่นเข้าสู่ร่างกายเลย (คนเราต้องการสารอาหารหลากหลายประเภทที่จำเป็นกับร่างกายนะ) แล้วแบบนี้ร่างกายจะได้คุณค่าของสารอาหารครบถ้วนได้อย่างไร อาหารที่สาวๆ ทานมันอาจจะช่วยลดน้ำหนักได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทว่า แลกกับการเป็นโรคขาดสารอาหาร สาวๆ ว่าคุ้มกันไหมล่ะ

2. ไดเอตด้วยการดีท็อกซ์
เพิ่งทานไปหยกๆ คุณก็คิดจะเอาอาหารออกแล้วหรอ แบบนี้ไม่ดีมั้ง 'ดีท็อกซ์' คือการล้างเอาสารพิษสะสมออกจากร่างกาย หากแต่คุณหวังใช้วิธีนี้เพื่อรีดน้ำหนัก และกระชับหน้าท้องของคุณให้แบนราบทุกครั้งที่รู้สึกว่าอ้วน/ท้องป่อง มันคงจะเป็นอะไรที่ดูโง่ที่สุด เพราะไม่มีผลทางวิทยาศาสตร์ไหนที่วิเคราะห์ยืนยันออกมาว่าดีจริง และเห็นผลในระยะยาว ยิ่งเมื่อคุณทานแล้วถ่ายออกมาเลย นั่นไม่เพียงจะทำให้คุณกลับมาหิวอีกครั้ง (จนต้องยัดอาหารเข้าไปอีก) ทว่า ร่างกายคุณยังไม่ได้ดูดซึมสารอาหารเอาไปใช้อย่างเต็มที่ด้วย ทางที่ดีเราแนะนำว่า ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการทำงานของร่างกายจะดีกว่านะ ถ้าคุณอยากให้หุ่นสวยเป๊ะจริงๆ ก็แค่ควบคุมอาหารให้น้อยลง และเน้นเบิร์นด้วยการออกกำลังกายแทน

3. ไดเอตด้วยยามหัศจรรย์
สาวๆ สมัยนี้ชอบใช้สารพัดตัวช่วยเห็นผลไว แต่หารู้ไม่ว่า จริงๆ แล้วมันไม่มียาตัวไหนหรอกที่สามารถช่วยลดความอ้วน หรือลดหน้าท้องได้ในระยะยาว โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงกลับมา บางคนอาจมีอาการโยโย่เอฟเฟกต์ หุ่นดูอวบขึ้นบ้าง ใจสั่น พ่วงด้วยอาการหน้ามืด วิงเวียนตามมาบ้าง แต่ก็นั่นแหละสาวๆ มักชอบทางลัดที่เห็นผลเร็วเสมอ ยิ่งบางคนทานยาลดความอ้วนเสริมไปกับการลดน้ำหนักด้วย (ทั้งทานน้อย ทั้งเลือกทาน) ก็อาจทำให้ไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เราก็ได้แต่เตือนว่า ระวังสุขภาพจะเสียเอาง่ายๆ และได้สารอาหารไม่ครบหมู่เอานะ ทางที่ดีหันมาทานอาหารที่มีประโยชน์ และมีกากใยช่วยเรื่องขับถ่ายมากๆ จะดีกว่า

4. ไดเอตด้วยการอดอาหาร
ทำนองเดียวกันกับข้อหนึ่งแต่อาจจะเลวร้ายกว่า เพราะสาวๆ หลายคนคิดว่า การอดอาหารเป็นหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดน้ำหนักได้ไว และกำจัดหน้าท้องไปได้อย่างรวดเร็ว แต่จริงๆ นอกจากมันจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว มันยังทำให้คุณกลายเป็นโรคขาดสารอาหาร ตลอดจนระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งเมื่อไหร่ที่คุณเลิกอดอาหาร และหันมาทานเป็นปกติ มันก็จะส่งผลให้ระบบเผาผลาญแปรปรวนจนเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ กลับมาอวบอ้วนอีกครั้ง ฉะนั้นแทนที่คุณจะอดอาหาร เปลี่ยนเป็น 'การคุมอาหาร' ทานแต่น้อย และทานแต่อาหารที่มีประโยชน์แทน น่าจะเวิร์กกว่ากันเยอะนะ

ลดน้ำหนักด้วยอาหารอิ่มนานความแตกต่างนี้อธิบายได้จากทฤษฏีการให้คะแนนความอิ่มของอาหาร ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยคณะนักวิจัยจากมหาว...
02/10/2017

ลดน้ำหนักด้วยอาหารอิ่มนาน
ความแตกต่างนี้อธิบายได้จากทฤษฏีการให้คะแนนความอิ่มของอาหาร ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้ทำการวิจัยโดยนำอาหารที่คนรับประทานกันบ่อยๆ เกือบ 40 ชนิด เช่น ข้าว ขนมปัง ข้าวโอ๊ต ชีส ไข่ ถั่ว ผลไม้ต่างๆ ไอศครีม ฯลฯ มาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานทีละชนิด โดยให้รับประทานในปริมาณที่ให้พลังงาน 240 กิโลแคลอรี่เท่ากัน
หลังจากนั้นจึงให้กลุ่มตัวอย่างนั่งรอเวลาไป 2 ชั่วโมง แล้ว จึงเอาอาหารอร่อยๆ มายั่วยวน เพื่อดูว่าจะรับประทานมากน้อยแค่ไหน ถ้ากลุ่มตัวอย่างรับประทานมาก แสดงว่า อาหารที่รับประทานไปในตอนแรก ไม่อยู่ท้อง ในทางตรงข้าม ถ้ารับประทานอาหารที่ 2 ชั่วโมงในปริมาณน้อย แสดงว่า อาหารที่รับประทานในตอนแรกอยู่ท้อง แล้วจึงนำผลที่วัดได้คำนวณออกมาเป็นคะแนนที่เรียกว่า Satiety Index
ผลการวิจัยพบว่า อาหารที่ทำให้เราอิ่มได้นาน คืออาหารในกลุ่มโปรตีน เช่น ไข่ ถั่ว หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเนื้อปลาทำคะแนนได้สูงสุดในกลุ่มนี้ ตามมาด้วยอาหารในกลุ่มแป้งไม่ขัดขาว ซึ่งยังมีเส้นใยอาหารอยู่มาก เช่น พาสต้าโฮลวีท ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท ส่วนอาหารที่ได้แชมป์ความอิ่มนานสุดด้วยคะแนนนำลิ่วคือ มันฝรั่งต้ม (สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนัก อาจรับประทานมันฝรั่งต้มแทนข้าวได้ แต่ไม่ควรปรุงรสด้วยเนย ครีม ชีส)
สำหรับอาหารที่รับประทานไปได้ไม่เท่าไรก็หิวอีก ทำคะแนนความอิ่มได้ต่ำ คืออาหารในกลุ่มแป้งขัดขาวเช่น ครัวซองท์ เค้ก โดนัท ไอศครีม มูสลี ขนมปังขาว เฟรนช์ฟรายส์ คุ้กกี้ สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนัก จึงควรเลี่ยงอาหารในกลุ่มนี้
การลดน้ำหนักคือการเลิกคิดว่าจะลดน้ำหนัก เลิกตะบี้ตะบันอดอาหาร แต่เป็นการเลือกรับประทานอาหารอย่างคนผอม เน้นรับประทานอาหารที่อยู่ท้อง แคลอรี่ต่ำ วิตามินและสารอาหารสูง รับประทานอย่างมีสติ ร่วมกับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ติดเป็นวิถีการใช้ชีวิต แล้วคุณจะผอมได้โดยไม่ต้องอดอาหาร

ลดอ้วนผิดวิธี ร่างกายมีสัญญาณเตือน!การลดน้ำหนักลง เมื่อรู้ตัวว่าอ้วนเกินไปเป็นเรื่องดีโดยเฉพาะต่อสุขภาพ เพราะถ้าปล่อยตัว...
02/10/2017

ลดอ้วนผิดวิธี ร่างกายมีสัญญาณเตือน!
การลดน้ำหนักลง เมื่อรู้ตัวว่าอ้วนเกินไปเป็นเรื่องดีโดยเฉพาะต่อสุขภาพ เพราะถ้าปล่อยตัวให้อ้วนมาก เสี่ยงป่วยด้วยโรคต่างๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง ข้อเข่าเสื่อม ทางเดินหายใจอุดตัน และเสี่ยงป่วยมะเร็งอีกต่างหาก
แต่บางคนเลือกวิธีลดหุ่นที่ไม่เหมาะสม เพราะต้องการให้น้ำหนักลงเร็วและเห็นผลชัดเจน หลายคนจึงซึม ปวดเมื่อยตามร่างกายแม้ไม่ได้ออกแรง และเหนื่อยง่าย นอกจากนี้คนที่กินยาลดความอ้วนโดยไม่ผ่านแพทย์ ซึ่งยาที่ซื้อมากินเองมักไม่ผ่าน อย. และเป็นอนุภัณฑ์ของแอมเฟตามีน ผลข้างเคียงคล้ายยาบ้า ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ประสาทหลอน ตาขวาง ใจสั่น เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ส่วนการลดน้ำหนักด้วยวิธีไม่กินคาร์โบไฮเดรตหรือกินน้อยที่สุด เพื่อให้ร่างกายดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ ก็จะส่งผลให้ร่างกายเกิดกรดชนิดหนึ่ง ชื่อ คีโตน ที่ทำให้กลิ่นลมหายใจและกลิ่นตัวคล้ายกลิ่นผลไม้สุก โดยภาวะกรดจะส่งผลกระทบอวัยวะทุกส่วน ร่างกายเสียสมดุล และเสียบุคลิกภาพ
สำหรับวิธีลดน้ำหนักส่วนเกินด้วยการกินแล้วค่อยถ่ายออกโดยใช้ยาถ่ายก็ไม่สามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้จริง เนื่องจากน้ำตาลและไขมันในอาหารถูกร่างกายดูดซึมไปแล้วในระหว่างการย่อย ด้านความเข้าใจที่ว่าทำดีท็อกซ์เพื่อละลายไขมันนั้นก็ไม่ใช่ เนื่องจากการดีท็อกซ์ช่วยทำความสะอาดลำไส้และแก้ปัญหาท้องผูก
ที่น่าเป็นห่วง คือ คนที่ลดน้ำหนักด้วยตนเองชนิดหักโหม โดยน้ำหนักลงเร็ว เช่น ภายใน 2 สัปดาห์ ลดลงไปได้ถึง 20 กิโลกรัม แล้วจู่ๆ ก็กินอาหารปริมาณมากเข้าไป เป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต! เนื่องจากโดยปกติ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ตับอ่อนจะผลิตอิซูลิน เพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน การลดหรืองดอาหารทำให้ตับอ่อนผลิตอิซูลินน้อยลง ทว่ากลับมากินเยอะอย่างรวดเร็ว ย่อมทำให้ระบบร่างกายแปรปรวน ผนวกกับคนอ้วนบางคนเป็นโรคหัวใจแบบไม่รู้ตัว อีกทั้งร่างกายที่ทรุดโทรมจากการลดน้ำหนักผิดวิธี จึงทำให้เกิดอาการหัวใจวายและเสียชีวิตได้
หากการลดน้ำหนักทำให้เกิดอาการผิดปกติอย่างที่กล่าว ลองตั้งต้นลดด้วยแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ โดยในแต่ละสัปดาห์น้ำหนักไม่ควรลดลงมากกว่า 0.5 กิโลกรัม

ที่มา http://www.thaihealth.or.th/Content/1424-ลดอ้วนผิดวิธี%20ร่างกายมีสัญญาณเตือน!.html

สนใจผลิตภัณฑ์คลิ้ก http://www.zhulian.co.th/products.aspx?productTypeId

การออกกำลังกาย ไม่ได้มีดีแค่การลดความอ้วนการออกกำลังกายในแต่ละระดับของแต่ละคนแตกต่างกัน ซึ่งสามารถวัดได้จาก ความหนักของอ...
02/10/2017

การออกกำลังกาย ไม่ได้มีดีแค่การลดความอ้วน
การออกกำลังกายในแต่ละระดับของแต่ละคนแตกต่างกัน ซึ่งสามารถวัดได้จาก ความหนักของอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Zone) โดยอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด จะมีสูตรคำนวณคือ 220-อายุ(ปี) เช่น 220-30 = 190 ครั้งต่อนาที การออกกำลังกายที่อัตราการเต้นหัวใจอยู่ที่ 50-70 % ของอัตราการเต้นสูงสุด หรือ Moderate exercise คือการออกกำลังกายที่อยู่ในระดับเหมาะสม ดังนั้นควรให้ชีพจรอยู่ระหว่าง 95-133 ครั้งต่อนาที โซนหัวใจสามารถแบ่งออกได้เป็น 5โซน ดังนี้

♥️ โซน 1 Very Light 50-60 % เป็นการออกกำลังกายแบบเบามาก ช่วยในแง่ฟื้นฟูสภาพร่างกายเป็นสำคัญ ใช้ลดน้ำหนักได้เล็กน้อย เวลาออกจะรู้สึกสบายไม่เหน็ดเหนื่อย

♥️♥️ โซน 2 Light 60-70 % ออกกำลังกายแบบเบา ช่วยลดน้ำหนักไขมันส่วนเกินได้ดีที่สุดและเพิ่มความแข็งแรงทนทาน (Endurance) เหมาะกับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและไขมันส่วนเกินมากที่สุด พลังงานที่ใช้ออกกำลังจะดึงมาจากไขมันส่วนเกินในร่างกาย

♥️♥️♥️ โซน 3 Moderate 70-80 % ออกกำลังกายแบบปานกลาง ช่วยเพิ่มความฟิต (Aerobic fitness) ได้ดีที่สุด จะรู้สึกเหนื่อยแบบสม่ำเสมอ มีเหงื่อออกมากขึ้น ยังสามารถพูดเป็นประโยคได้ การออกใน Zone นี้ สามารถลด ไขมัน น้ำตาล และลดน้ำหนักได้ เป็นโซนที่ได้ประโยชน์ที่สุดเหมาะกับคนทั่วไปที่ต้องการออกกำลังเพื่อสุขภาพ

♥️♥️♥️♥️ โซน 4 Hard 80-90 % หรือ Tempo Train ออกกำลังกายแบบหนัก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการออกกำลัง จะรู้สึกเหนื่อย พูดได้เป็นคำๆ หายใจเร็ว มีการตึงล้าของกล้ามเนื้อ เหมาะกับนักกีฬาหรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการเพิ่มความทนให้กลับกล้ามเนื้อและการออกกำลังกาย

♥️♥️♥️♥️♥️ โซน 5 Very Hard 90-100 % หรือ HITT( High Intensity Training) ออกกำลังกายแบบเต็มพิกัด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการออกกำลัง และความเร็ว จะรู้สึกเหนื่อยมาก พูดขณะออกกำลังได้ลำบาก หายใจเร็ว มีการตึงล้าของกล้ามเนื้อได้มาก เหมาะสำหรับการฝึกซ้อมนักกีฬาที่เตรียมแข่งขัน

ที่มา http://www.thaihealth.or.th/Content/37759-การออกกำลังกาย%20ไม่ได้มีดีแค่การลดความอ้วน.html

คนอ้วนกับการออกกำลังกายโรคอ้วนเป็นโรคที่พบได้บ่อยตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ  การออกกำลังกายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยขจั...
02/10/2017

คนอ้วนกับการออกกำลังกาย
โรคอ้วนเป็นโรคที่พบได้บ่อยตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ การออกกำลังกายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยขจัดความอ้วนทำให้คุณภาพชีวิตและภูมิต้านทานโรคดีขึ้น ทั้งช่วยลดความเครียดให้น้อยลง และยังสามารถควบคุมบรรเทาอาการ หรือทำให้ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ได้ดีที่สุด ทั้งนี้การออกกำลังกายที่ได้ผลดีและถูกวิธีขึ้นอยู่กับเพศ วัย รวมถึงการเลือกประเภทของการออกกำลังกาย และที่สำคัญที่สุดยังต้องคำนึงถึงโรคประจำตัวที่มีอยู่ด้วย
ความแตกต่างของเพศและวัยกับการออกกำลังกาย
โดยทั่วไปแล้วจะไม่แตกต่างกันเพราะส่วนมากนั้นจะออกกำลังกายเพื่อเน้นในเรื่องของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทำงานของระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจ และความยืดหยุ่น ที่ใช้เป็นเกณฑ์ของการออกกำลังกาย แต่จะมีรายละเอียดเล็กน้อยที่แตกต่างกัน เช่น การยกน้ำหนัก ในวัยเด็ก กล้ามเนื้อยังไม่มีการพัฒนา การออกกำลังกายจึงไม่เน้นในเรื่องของกล้ามเนื้อ แต่จะเน้นในเรื่องของความเข้าใจในเทคนิคต่าง ๆ ที่ควรทราบ เพื่อที่จะนำมาพัฒนาใช้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่ออายุสูงเพิ่มมากขึ้น จะเน้นจำนวนครั้งให้มากขึ้น แต่จะไม่เพิ่มน้ำหนักของอุปกรณ์ เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บได้ ในวัยผู้ใหญ่จะขึ้นอยู่กับว่าจะยกน้ำหนักไปเพื่ออะไร เพราะถ้าจะเน้นเพื่อให้กล้ามเนื้อใหญ่ หรือเพื่อให้กล้ามเนื้อมีกำลังและแข็งแรงนั้น จะมีวิธีการฝึกที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์และความต้องการของแต่ละบุคคล ส่วนในความแตกต่างเรื่องของเพศนั้น เพศชายและเพศหญิงโดยส่วนใหญ่จะไม่แตกต่างกันมาก แต่จะต่างกันในเรื่องพื้นฐานของการกีฬา ทางวัฒนธรรม ซึ่งอาจจะเลือกตามความชอบและความเหมาะสม
ปัญหา อุปสรรคของการเลือกออกกำลังอย่างเหมาะสม
สำหรับคนอ้วนหรือคนที่น้ำหนักเกิน จะมีหลักเกณฑ์การปฏิบัติคล้ายกับคนปกติทั่วไป แต่จะมีโอกาสเสี่ยงในเรื่องของการบาดเจ็บทางระบบข้อต่อและกล้ามเนื้อมากกว่า เนื่องจากน้ำหนักมากจึงทำให้ข้อต้องรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นข้อที่ควรระมัดระวังมาก หรือในคนอ้วนบางคนอาจมีโรคต่างๆอยู่ เช่น โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และบางคนอาจจะมีการระบายความร้อนได้ไม่ดี เนื่องจากมีไขมันอยู่มาก ทำให้มีปัญหาในเรื่องของระดับความร้อนที่เพิ่มขึ้น ในการออกกำลังกายควรเลือกในประเภทที่ไม่มีแรงกระแทกที่รุนแรงนัก เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน การเต้นลีลาศ การว่ายน้ำ หรือการเต้นแอโรบิค และอุปกรณ์ที่ใช้อาจจะช่วยลดแรงกระแทกได้ เช่น รองเท้า เป็นต้น
จุดประสงค์ของการออกกำลังกายสามารถจำแนกออกเป็นประเด็นต่างๆได้ ทั้งนี้เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพิ่มกล้ามเนื้อ หรือเพื่อลดน้ำหนัก
หลักเกณฑ์การออกกลังกายสำหรับลดน้ำหนัก และเพิ่มกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักกับการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อนั้นต่างกัน เพราะคนที่จะออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ จะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะส่วน เช่น ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อที่ต้นแขน ก็จะออกกำลังกายเน้นในช่วงต้นแขนตามที่ต้องการ โดยจะมีวิธีการออกกำลังกายที่แตกต่างกัน ส่วนคนที่จะออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก จะเน้นว่าทำอย่างไรให้น้ำหนักลดลง ซึ่งจะต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การควบคุมอาหาร การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การควบคุมความเครียด และโดยเฉพาะการออกกำลังกายที่จะช่วยเผาผลาญพลังงานที่ต้องการให้ได้ 300-400 กิโลแคลอรี/วัน หรือ 1000-2000 กิโลแคลอรี/สัปดาห์ ซึ่งจะต้องออกกำลังกาย 3-5 วัน/สัปดาห์ หรือทุกวัน และใช้เวลา 40-60 นาที/วัน หรืออาจจะแบ่งออกเป็นสองช่วง คือ ช่วงเช้า 20-30 นาที และช่วงเย็นอีก 20-30นาที โดยจะเพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อเผาผลาญพลังงาน บางคนอาจจะยังไม่มีพื้นฐานทางด้านกีฬาก็ต้องเลือกเล่นกิจกรรมที่ง่าย ๆ ก่อน ส่วนคนที่มีพื้นฐานหรือทักษะทางด้านกีฬาอยู่แล้วก็สามารถเลือกเล่นตามที่ตนเองชอบได้
ประเด็นที่สำคัญที่สุดของการออกกำลังกาย คือ การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ฉะนั้นในการเลือกประเภทหรือรูปแบบของการออกกำลังกายจะต้องเลือกตามที่ตนชอบ รู้สึกสนุกกับการเล่นกีฬานั้น และไม่เป็นการฝืนจิตใจ และขึ้นอยู่กับประสบการณ์ โอกาส อุปกรณ์ และสถานที่ที่เอื้อต่อการออกกำลังกายหรือไม่ ในการเล่นกีฬาควรเริ่มจากช้า ๆ เบา ๆ ก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มเวลาและความหนักมากขึ้น เพื่อลดปัญหาความเจ็บปวดของแต่บุคคล อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาได้หลายรูปแบบ รวมทั้งการทำงานบ้าน หรือการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เดิน ก็ควรจะเดินแบบกระฉับกระเฉง และหนักหน่วงไม่ใช่การเดินทอดน่อง เป็นต้น
กิจกรรมต่าง ๆ การเผาผลาญแคลอรีได้เท่ากันหรือไม่
ในแต่ละกิจกรรมการเผาผลาญจะต่างกัน เพราะกีฬาที่เคลื่อนไหวช้าจะใช้พลังงานน้อยทำให้ได้ผลน้อย และในกิจกรรมที่เคลื่อนไหวรุนแรงจะช่วยลดแคลอรีได้มากขึ้น เช่น การวิ่งเหยาะกับการวิ่งเร็ว จะใช้พลังงานที่แตกต่างกัน แต่ในคนอ้วนควรเริ่มเล่นจากน้อย ๆ ก่อน สำหรับคนอ้วนควรใช้เวลาออกกำลังกาย 5-7 วัน/สัปดาห์ และ3-5 วัน/สัปดาห์สำหรับคนปกติทั่วไป โดยต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
คนอ้วนก่อนออกกำลังควรได้รับคำแนะนำหรือตรวจร่างกายก่อนหรือไม่
ถ้ามีโรคประจำตัวก็ควรที่จะต้องศึกษาหาความรู้ก่อน แต่ถ้าไม่มีหรือเป็นเด็กอ้วนก็สามารถออกกำลังกายได้ แต่ต้องสังเกตอาการของตนเองด้วยว่า หลังจากออกกำลังกายแล้วมีอาการอย่างไรหรือไม่ เช่น จุกเสียด หน้ามืด วิงเวียน ปวดข้อ หรือเดินลำบาก ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อน หากไม่มีอาการก็สามารถเล่นได้ตามปกติ จึงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าเป็นโรคต่าง ๆ อยู่หรือไม่
การออกกำลังกายอย่างหักโหมจะมีผลอย่างไร
มีผลเสียมากกว่า เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมาก ถ้าเกินกำลังของร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้ หรือถ้ามีโรคประจำตัวอยู่ อาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ฉะนั้นจึงควรเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสมกับรูปร่างสรีระของตนเอง
ความจำเป็นของการอบอุ่นร่างกาย
ในช่วงเวลาของการเริ่มออกกำลังกายควรอบอุ่นร่างกายก่อน 5 นาทีแรกของการออกกำลังกาย แต่ที่สำคัญและควรระวังคือ ช่วงของการหยุดออกกำลังกายเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ไม่ควรหยุดกิจกรรมโดยทันทีเพราะในช่วงเวลานั้นหัวใจจะเต้นแรง และเลือดยังค้างอยู่ตามกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ซึ่งยังไม่มีการสูบฉีดไปสู่หัวใจ จึงถือว่าเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด และเป็นสาเหตุให้เกิดการเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ถ้าจะหยุดกิจกรรมควรที่จะค่อย ๆ หยุดใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ที่จะผ่อนการออกกำลังกายต่าง ๆ เพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลงจนเป็นปกติ และให้กล้ามเนื้อคลายการทำงานช้าลง
ปัจจุบันมีหลาย ๆ หน่วยงานที่หันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายกันมากขึ้น โดยเฉพาะการเต้นแอโรบิค อีกทั้งยังให้ความสะดวกต่อการทำกิจกรรมต่างๆ คือ อุปกรณ์ และสถานที่ของการออกกำลังกาย ประการสำคัญและควรปฏิบัติในการออกกำลังกายคือ การค่อย ๆ ปฏิบัติ คอยสังเกตอาการของตนเอง และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา http://www.thaihealth.or.th/Content/36380-คนอ้วนกับการออกกำลังกาย.html
ที่มา : อ.นพ.ชนินทร์ ล่ำซำ Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

วันนี้เราออกกำลังกายแล้วจริงหรือ?มักมีหลายครั้งที่เราได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่าไม่ต้องออกกำลังกายหรอก แค่เดินทำงานก็รู้สึกว่าเ...
02/10/2017

วันนี้เราออกกำลังกายแล้วจริงหรือ?
มักมีหลายครั้งที่เราได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่าไม่ต้องออกกำลังกายหรอก แค่เดินทำงานก็รู้สึกว่าเดินมากแล้ว ยังต้องไปออกกำลังกายเพิ่มอีกเหรอ
ถูกต้องแล้วค่ะ การเดินบ่อยๆ เป็นเรื่องที่ดีเพราะเราได้เพิ่ม Physical activity (การออกแรงในชีวิตประจำวัน) ซึ่งช่วยให้สุขภาพดีได้บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงการออกแรงค่ะ ส่วนการออกกำลังกายที่จริงนั้น ตามมาตรฐานการออกกำลังกายที่แนะนำโดย American collage of sport medicine หรือ ACSM ว่า
ข้อแรก ควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง (Aerobic exercise) ให้หนักพอควร (Moderate) ซึ่งก็คือเหนื่อยจนพูดต่อเนื่องไม่ได้ แต่พอพูดได้ ออกกำลังครั้งละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
ถัดมา ควรออกกำลังแบบสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (muscle strengthening) ร่วมไปด้วย โดยให้ออกกำลังแบบนี้สัปดาห์ละ 2 วัน เช่น การยกน้ำหนัก sit up วิดพื้น ร่วมกับออกกำลังเป็นช่วงสั้นๆ (short bouts) ในระดับหนักพอควร (พูดต่อเนื่องไม่ได้) ครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 นาที นับรวมจนได้ 30 นาที สุดท้าย ในช่วง warm up และ cool down (ก่อนและหลังการออกกำลังกาย) ควรมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อมัดต่างๆ (stretching muscle) เพื่อเตรียมพร้อมด้วย
การทำกิจกรรมเบาๆ เช่น อาบน้ำ ล้างจาน ทำงานนั่งโต๊ะ ฯลฯ แบบนี้ไม่ใช่การออกกำลังกาย เนื่องจากการออกกำลังนั้นยิ่งทำมากยิ่งได้มาก ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและป้องกันโรคอ้วนที่เป็นสาเหตุของอีกหลายๆ โรคได้
จากนี้เราคงต้องฉุกคิดแล้วว่าเราได้ออกกำลังกายแล้วจริงหรือ หรือว่าแค่ได้ออกแรงให้สบายใจว่าได้ออกกำลังกายไปแล้วกันแน่

คุณ ‘อ้วนลงพุง’ หรือเปล่า มาเช็คกันหน่อยค่าการรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการของร่างกาย และการไม่ออกกำลังกา...
02/10/2017

คุณ ‘อ้วนลงพุง’ หรือเปล่า มาเช็คกันหน่อยค่า
การรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการของร่างกาย และการไม่ออกกำลังกาย หรือมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวออกแรงน้อย อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน ซึ่งไม่เฉพาะการมีน้ำหนักตัวมากเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน และความดันโลหิตสูง
โรคอ้วนลงพุง เป็นภาวะที่มีการสะสมของไขมันในช่องท้องมากเกินไป เกิดจากการเผาผลาญอาหารผิดปกติ ไขมันหน้าท้องแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งจะยับยั้งกระบวนการเผาผลาญกลูโคสที่กล้ามเนื้อ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ตีบ หรืออุดตัน
แต่ถึงแม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุของโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่าง ๆ ไขมันก็ยังคงเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ เพื่อให้ความอบอุ่นและเปรียบเสมือนตัวกันกระแทกให้กับร่างกาย แต่หากมีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป กล่าวคือ ในผู้หญิงพบมากกว่า 30% และในผู้ชายพบมากกว่า 25% ถือว่าเป็นโรคอ้วน และถ้ารอบเอวเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 เซนติเมตร จะยังเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานได้มากถึง 3-5 เท่า

ที่อยู่

Krabi
81160

เบอร์โทรศัพท์

+66624868051

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ La Bourse แชมพูเร่งผมยาวผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram