ร้านยาณลินเภสัช - Nalin Pharmacy

ร้านยาณลินเภสัช - Nalin Pharmacy ร้านขายยา วิตามิน อาหารเสริม อุปกรณ์ปฐมพยาบาล เครื่องมือแพทย์ โดยเภสัชกร ราคาย่อมเยา จ.กระบี่ มีบริการส่งสินค้าทั่วประเทศ Line ID :

เปิดรับสมัคร พนักงานแพ็คสินค้าและทำความสะอาดเพศหญิง อายุ 25-40 ปี วุฒิ ม.3 ขึ้นไป ขยัน ซื่อสัตย์ รอบคอบ อ่านชื่อสินค้าภา...
29/04/2025

เปิดรับสมัคร พนักงานแพ็คสินค้าและทำความสะอาด
เพศหญิง อายุ 25-40 ปี วุฒิ ม.3 ขึ้นไป ขยัน ซื่อสัตย์ รอบคอบ อ่านชื่อสินค้าภาษาอังกฤษได้
เงินเดือนเริ่มต้น 10,700 - 12,000 บาท
-----------------------------------------
ติดต่อสอบถาม
** โทร. 096-415-2415 (โทรในช่วงเวลา 10.00 - 18.00 น.)
*** มายื่นใบสมัครที่ ร้านยาณลินเภสัช ตั้งอยู่ถัดจากสำนักงานประปากระบี่ ถ.กระบี่ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.กระบี่ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00 - 18.00 น.
เอกสารที่ต้องนำมายื่นสมัคร
1. สำเนาบัตรประชาชน 1 ฉบับ
2. สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ฉบับ
3. สำเนาวุฒิการศึกษา 1 ฉบับ
4. รูปถ่าย 1 รูป

"อาการท้องเสียที่สัมพันธ์กับการใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics-associated Diarrhea)"สาเหตุ- เนื่องจากยาปฏิชีวนะที่ร่างกายได้ร...
19/10/2024

"อาการท้องเสียที่สัมพันธ์กับการใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics-associated Diarrhea)"
สาเหตุ
- เนื่องจากยาปฏิชีวนะที่ร่างกายได้รับจะเข้าไปรบกวนหรือเปลี่ยนแปลงสมดุลของแบคทีเรียธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในลำไส้ ส่งผลให้ปริมาณเชื้อแบคทีเรียธรรมชาติในลำไส้ลดลง ทำให้เชื้อก่อโรคเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น สร้างและหลั่งสารพิษทำให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมคาร์โบไฮเดรต หรือไม่สามารถย่อยสลายน้ำดีได้ รวมถึงยาปฏิชีวนะบางชนิดจะกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเชื้อที่พบว่าเป็นสาเหตุประมาณ 1 ใน 3 คือ เชื้อคลอสตริเดียม ดิฟฟิไซล์ (C. difficile)
อาการ
- อาการไม่รุนแรง จะมีอาการท้องเสีย หรือถ่ายเป็นน้ำอย่างน้อย 3 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง
- อาการรุนแรง จะมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ มีเลือดปนในอุจจาระ ปวดท้อง
อุบัติการณ์
- พบได้ร้อยละ 5- 25 ของผู้ป่วยที่ได้รับยาปฏิชีวนะ โดยอาจเกิดได้ตั้งแต่ช่วงต้นของการได้รับยาจนถึงภายหลังหยุดยาไปแล้วประมาณ 2 เดือน
ปัจจัยเสี่ยง
1. ชนิดของยาปฏิชีวนะที่ผู้ป่วยได้รับ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้าง
2. ผู้ป่วยสูงอายุ (มากกว่า 65 ปี)
3. ผู้ป่วยที่มีประวัตินอนโรงพยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤติ หรือนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานมากกว่า 4 สัปดาห์
4. ผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
5. ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาเคมีบำบัด
6. ผู้ที่ใส่สายยางให้อาหารทางจมูก หรือได้รับการทำหัตถการของระบบทางเดินอาหาร
7. ผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อคลอสตริเดียม ดิฟฟิไซล์ (C. difficile)
8. ผู้ที่มีประวัติการใช้ยาลดกรด
ยาปฏิชีวนะที่พบว่ามีอุบัติการณ์บ่อย
1. ยากลุ่มเพนนิซิลลิน (Penicillins) เช่น แอมพิซิลลิน (Ampicillin), อะม็อกซิซิลลิน (Amoxicillin), อะม็อกซิซิลลิน/คลาวูลานิก แอซิด (Amoxicillin/Clavulanic Acid) เป็นต้น
2. ยาคลินดาไมซิน (Clindamycin)
3. ยากลุ่มเซฟาโลสปอริน (Cephalosporins) เช่น เซฟิซิม (Cefixime), เซฟดิเนียร์ (Cefdinir) เป็นต้น
4. ยากลุ่มฟลูโอโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) เช่น ซิโพรฟล็อกซาซิน (Ciprofloxacin), ลีโวฟล็อกซาซิน (Levofloxacin), ม็อกซิฟล็อกซาซิน (Moxifloxacin) เป็นต้น
การรักษาและป้องกัน
- การรักษา: ส่วนใหญ่มักดีขึ้นและหายได้เองหลังหยุดใช้ยาปฏิชีวนะ แต่หากพบว่ามีอาการรุนแรง จะพิจารณาให้สารน้ำทดแทนและให้การรักษาที่เหมาะสมทันที
- การป้องกัน: ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะใช้เอง หากใช้ยาปฏิชีวนะแล้วพบอาการท้องเสีย ควรรีบปรึกษาเภสัชกรเพื่อประเมินการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

“ยาคุมฉุกเฉิน” กินบ่อยไม่ใช่เรื่องดี ?การกินยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ และต่อเนื่องเป็นเวลานานนั้นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเชิงลบ...
28/09/2024

“ยาคุมฉุกเฉิน” กินบ่อยไม่ใช่เรื่องดี ?
การกินยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ และต่อเนื่องเป็นเวลานานนั้นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเชิงลบได้โดยที่คุณไม่รู้ตัว
1. กินยาคุมฉุกเฉินอย่างไร? ที่ไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
- ถ้าจะพูดว่ากินยาคุมฉุกเฉินแล้วอันตราย ก็อาจจะยังไม่ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถ้ากินแบบถูกต้องตามหลักของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข คือ กินเม็ดแรก ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และกินเม็ดที่สองเมื่อครบ 12 ชั่วโมง หลังจากกินยาเม็ดแรก รวมทั้งกินเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่กินเพื่อคุมกำเนิดระยะยาว เพียงเท่านี้ยาคุมฉุกเฉินก็จะไม่ใช่สิ่งอันตรายอย่างที่เข้าใจกัน
2. มีเลือดออกหลังกินยาคุมฉุกเฉิน อันตรายหรือไม่?
- การที่ฮอร์โมนถูกกระตุ้นแบบฉับพลันย่อมส่งผลข้างเคียง โดยหลังการกินยาคุมฉุกเฉินมักจะพบว่า มีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง มีเลือดออกกะปริบกะปรอย ประจำเดือนมาเร็วหรือช้ากว่าปกติ ซึ่งนับว่าเป็นอาการปกติ ไม่อันตราย แต่หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวันหรือเกินสัปดาห์ ควรไปพบเภสัชกรหรือแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
3. กินยาคุมฉุกเฉินหลังมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ “ไม่ท้อง” ได้จริงหรือ?
- หลายคนมักเข้าใจแบบเหมารวมว่า “ยาคุมฉุกเฉิน” จะทำให้ไม่ท้องเหมือนกับยาคุมแบบปกติ แต่จริงๆ แล้ว ยาคุมฉุกเฉินมีหน้าที่รบกวนกระบวนการตกไข่และการเคลื่อนไหวของอสุจิ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อให้การฝังตัวของไข่ทำได้ยาก หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนช่วย “ลดโอกาส” ในการตั้งครรภ์ลงจากเดิมเท่านั้น
4. กินยาคุมฉุกเฉิน ไม่ได้ช่วยให้แท้งจริงหรือไม่?
- นอกจากจะเข้าใจกันว่าการกินยาคุมฉุกเฉินจะทำให้ไม่ท้องแล้ว หลายคนยังเข้าใจว่า “สามารถทำให้เกิดการแท้ง” ได้อีกด้วย ซึ่งอย่างที่บอกไปว่ายาคุมฉุกเฉินเป็นตัวช่วยลดประสิทธิภาพในการทำงานของไข่และอสุจิ ดังนั้น หากไข่ที่ผสมอสุจิได้ทำการฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูกแล้ว หรือเกิดการตั้งครรภ์แล้ว การกินยาคุมฉุกเฉินก็เท่ากับสูญเปล่า
5. รู้หรือไม่? กินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ กินติดต่อกันมานาน ยิ่งเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
- ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีไว้เพื่อการคุมกำเนิดระยะยาว และเมื่อกินบ่อยครั้งหรือกินติดต่อกันนาน ๆ ยังส่งผลให้ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพลดลง หรือทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงขึ้น รวมถึงปริมาณฮอร์โมนเพศหญิงในยาคุมฉุกเฉินที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดแบบปกติถึง 2 เท่า ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่าง ๆ ได้ เช่น เพิ่มโอกาสเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งเต้านม เป็นต้น
*** สรุป “ยาคุมฉุกเฉิน” ถูกผลิตขึ้นเพื่อช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์ กรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ การถูกข่มขืน หรือเกิดการฉีกขาดของถุงยางอนามัย เท่านั้น ดังนั้น หากต้องการคุมกำเนิดแบบระยะยาว สามารถปรึกษาเภสัชกรเพื่อเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมและปลอดภัยจะดีกว่าค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

" โพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์ ต่างกันอย่างไร? "โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คืออะไร ?- Probiotics เป็นจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่...
27/09/2024

" โพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์ ต่างกันอย่างไร? "
โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คืออะไร ?
- Probiotics เป็นจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่งจัดเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดี สามารถพบได้ในอาหาร เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต กิมจิ มิโสะ เป็นต้น
- มีคุณสมบัติทนต่อกรดและด่าง สามารถจับที่บริเวณผิวของเยื่อบุลำไส้แล้วผลิตสารต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ รวมถึงก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพได้
.
พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คืออะไร ?
- Prebiotics คือ อาหารชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยและดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็ก อาหารเหล่านี้จึงสามารถเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ได้ในรูปไม่เปลี่ยนแปลง และจะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรีย Probiotics ทำให้กระตุ้นการเจริญเติบโตและการทำงานของแบคทีเรีย พบได้ในหัวหอม กระเทียม ถั่วเหลือง ถั่วแดง ไฟเบอร์ในผักและผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น
*** กล่าวง่ายๆ ก็คือ Prebiotics เป็นอาหารของ Probiotics นั่นเอง ดังนั้นหากรับประทานอาหาร Prebiotics ก็จะช่วยส่งเสริมฤทธิ์ Probiotics ได้ดียิ่งขึ้น
ทำไมเราถึงควรได้รับ Probiotics เสริม?
- Probiotics จัดเป็นจุลินทรีย์ที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นจุลินทรีย์ประจำถิ่น (normal flora) อย่างหนึ่งในทางเดินอาหาร หากร่างกายมีสุขภาพดีก็จะมีการรักษาสมดุลจุลินทรีย์ให้เป็นปกติ แต่ถ้าหากมีอะไรไปรบกวนสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกา จุลินทรีย์ประจำถิ่นในลำไส้ถูกรุกราน อาจเกิดผลกระทบตามมาได้
- หากร่างกายได้รับยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลานาน ยาเหล่านี้ส่งผลให้จุลินทรีย์ในร่างกายมีจำนวนลดลง เมื่อร่างกายมีการรับเชื้ออื่นซึ่งอาจก่อโรคเข้ามา อาจมีโอกาสสูญเสียจุลินทรีย์ดีในร่างกายได้ ดังนั้นการสร้างสภาวะความสมดุลระหว่าง normal flora และร่างกายนั้นจึงมีความสำคัญ ซึ่งการรับประทาน Probiotics จึงเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งในการเสริมจุลินทรีย์ชนิดดีและรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกาย
- ในปัจจุบัน Probiotics ที่เราพบเห็นกันได้ในท้องตลาดมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบผง (Powders), แคปซูล (Capsules), ยาเม็ดเคี้ยว (Chewable tablets), สารละลาย (Solution drops) หรือยาเหน็บช่องคลอด (Vaginal Tablets) โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีวิธีการเก็บรักษาและประกอบไปด้วยเชื้อจุลินทรีย์ที่แตกต่างกันไป
บทบาทของ Probiotics ในร่างกายมีอะไรบ้าง?
1. ป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคจับที่ผิวเยื่อบุลำไส้ โดยการสร้างเกราะป้องกันบริเวณเยื่อบุลำไส้
2. ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อฉวยโอกาสในร่างกาย
3. กระตุ้นระบบการย่อยอาหารโดยการสร้างเอนไซม์หลากหลายชนิด
4. ช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกายที่เสียไป
5. เหนี่ยวนำการกระตุ้นการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกัน ทำให้มีการสร้างสารป้องกันและกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เข้าสู่ภาวะสมดุลได้
อาการข้างเคียงที่อาจพบได้หลังจากรับประทาน Probiotics ?
- ส่วนใหญ่มักพบเมื่อมีการรับประทานในขนาดที่สูงเกินไป โดยอาจจะทำให้เกิดภาวะลมในท้องเพิ่มขึ้น เกิดท้องอืดหรือแน่นท้องได้
ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

" รู้ทัน...โรคอ้วน โรคอันตรายที่เป็นประตูสู่โรคเรื้อรัง ! "โรคอ้วน (Obesity) คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันมากกว่าป...
26/09/2024

" รู้ทัน...โรคอ้วน โรคอันตรายที่เป็นประตูสู่โรคเรื้อรัง ! "
โรคอ้วน (Obesity) คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันมากกว่าปกติ อาจเนื่องมาจากร่างกายได้รับพลังงานเกินกว่าที่ต้องการ จึงทำให้มีการสะสมพลังงานที่เหลือเอาไว้ในรูปของไขมันตามอวัยวะต่าง ๆ และเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรัง หรือกลุ่มโรค NCDs
โรคอ้วนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. อ้วนทั้งตัว: ไขมันทั้งร่างกายมีมากกว่าปกติ
2. อ้วนลงพุง: มีไขมันของอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ
ปัจจัยเสี่ยงโรคอ้วน
- พันธุกรรม
- Life style การใช้ชีวิต
- อายุ
- ยาที่ใช้ประจำบางชนิด
- โรคประจำตัวบางชนิด
รู้ได้อย่างไรว่าอ้วนแล้ว?
1. วัดจากดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) เพื่อการวินิจฉัยโรคอ้วนทั้งตัว
- ค่า BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (m²) (kg/m²) โดยหลังจากคำนวณ BMI แล้ว สามารถบอกกลุ่มเสี่ยงและผู้เป็นโรคอ้วนทั้งตัวได้ ดังนี้
1) BMI 23.0-24.9 kg/m² คือ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะพัฒนาให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดหัวใจ จึงควรลดน้ำหนักที่เกินด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
2) BMI > 25 kg/m² คือ ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ร่วมกับการมีโรคเรื้อรังมากกว่า 2 โรค และมีเส้นรอบเอวมากกว่าปกติ กลุ่มนี้ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
2. วัดจากรอบเอว เพื่อวินิจฉัยโรคอ้วนลงพุง
- ตำแหน่งที่วัดเส้นรอบเอว คือ จุดกึ่งกลางระหว่างขอบล่างของกระดูกซี่โครงและขอบบนของกระดูกเชิงกราน หรือตรงกับสะดือพอดี
- ควรวัดในท่ายืนตรง ขณะหายใจออก ควรวัดในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร
- พันสายวัดให้แนบกับลำตัว ระวังอย่าให้สายบิด ไม่รัดแน่นเกินไปและสายวัดต้องขนานกับพื้น
- เกณฑ์การตัดสินอ้วนลงพุงในผู้ใหญ่โดยใช้เส้นรอบเอว
1) ผู้ชาย: เส้นรอบเอว ≥90 เซนติเมตร
2) ผู้หญิง: เส้นรอบเอว ≥80 เซนติเมตร
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วน
1. ปัจจัยทางสรีรวิทยา: ปัจจัยจากความผิดปกติทางพันธุกรรม, การตั้งครรภ์, โรคทางระบบต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะที่มีไทรอยด์ฮอร์โมนน้อยกว่าปกติ โรคถุงน้ำรังไข่ กลุ่มอาการคุชชิ่ง เป็นต้น, การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาคุมกำเนิด ยาแก้อาการซึมเศร้า ฮอร์โมนสเตียรอยด์ เป็นต้น
2. ปัจจัยทางพฤติกรรม: เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างพลังงานที่ร่างกายได้รับจากการบริโภคและพลังงานที่ใช้ในกิจกรรมประจำวัน ทำให้เกิดไขมันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นโรคอ้วน
การดูแลตัวเองสำหรับคนเป็นโรคอ้วน
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หรือถั่วต่าง ๆ ลดอาหารแปรรูป อาหารทอด อาหารที่มีน้ำตาลสูง ไม่รับประทานจุกจิก
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิก อย่างน้อยวันละ 30 นาที รวมถึงการเล่นเวทเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ที่จะช่วยให้การเผาผลาญร่างกายดีขึ้น
แนวทางการรักษาสำหรับคนเป็นโรคอ้วน
1. ใช้ยาควบคุมน้ำหนัก ในคนที่มีค่า BMI≥27 ควบคู่กับการคุมอาหาร ปรับพฤติกรรมในการดูแลตัวเอง
2. ผ่าตัดกระเพาะ เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานมากเกินไปและไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีปกติ
3. ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ตัวเลือกลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ
ขอบคุณข้อมูลจากศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก โรงพยาบาลวิมุต
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

" กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคสุดแสบของชาวออฟฟิศ!! "กระเพาะปัสสาวะมีหน้าที่ทำอะไร?- กระเพาะปัสสาวะเป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้า...
25/09/2024

" กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคสุดแสบของชาวออฟฟิศ!! "
กระเพาะปัสสาวะมีหน้าที่ทำอะไร?
- กระเพาะปัสสาวะเป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายบอลลูน อยู่หลังกระดูกหัวหน่าวภายในอุ้งเชิงกรานด้านหน้ามดลูกของผู้หญิง และจะอยู่ด้านหน้าต่อทวารหนักของผู้ชาย มีหน้าที่กักเก็บปัสสาวะได้ประมาณ 350-500 มล.
- ผนังกระเพาะปัสสาวะส่วนใหญ่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ เมื่อมีปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น ผนังกระเพาะปัสสาวะจะเริ่มบีบตัวเพื่อขับปัสสาวะให้ ไหลออกมาทางหลอดปัสสาวะ โดยไม่มีอาการปวดหรือแสบใด ๆ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดจากอะไร?
- โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ มักพบได้บ่อยในเพศหญิงเนื่องจากผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชาย จึงทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมเข้าไปข้างในได้ง่ายกว่า แต่ในบางรายอาจเกิดจากการกลั้นปัสสาวะบ่อย ระบบโครงสร้างของระบบปัสสาวะผิดปกติ หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องนิ่ว เป็นต้น
อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
1. ปวดปัสสาวะบ่อยมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน แบบกะปริบกะปรอย โดยเฉพาะต้องลุกมาปัสสาวะบ่อยมากขึ้นในเวลากลางคืน
2. ปัสสาวะแสบขัด
3. เมื่อปัสสาวะสุด อาจมีเจ็บหรือแสบบริเวณปลายหลอดปัสสาวะ
4. ในบางรายอาจมีปัสสาวะปนเลือด
แนวทางการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- โดยทั่วไปจะให้รับประทานยาปฏิชีวนะประมาณ 3-5 วัน แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงอาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะนาน 7-10 วัน
วิธีการป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
1. หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะนาน ๆ โดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้แบคทีเรียในปัสสาวะที่ค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเจริญเติบโตได้ดี
2. ควรดื่มน้ำประมาณวันละ 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยขับเชื้อโรคออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น
3. ควรทำความสะอาดทุกครั้งหลังปัสสาวะและอุจจาระเสร็จ โดยเฉพาะผู้หญิงควรทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อลดการนำเชื้อโรคจากรูทวารและช่องคลอดเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ
4. ควรทำความสะอาดร่างกายและปัสสาวะทิ้งทันทีหลังการมีเพศสัมพันธ์
ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

“แพ้ยา ร้ายแรงแค่ไหน ทำไมต้องระวัง? "อาการแพ้ยา เป็นปฏิกริยาตอบสนองที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านยาที่ได้รับเข้า...
24/09/2024

“แพ้ยา ร้ายแรงแค่ไหน ทำไมต้องระวัง? "
อาการแพ้ยา เป็นปฏิกริยาตอบสนองที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านยาที่ได้รับเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการกิน ฉีด ทา หรือดม คล้ายการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
อาการแพ้ยาสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันที่เป็นอันตรายต่อชีวิต และแบบไม่เฉียบพลัน ซึ่งอาการแพ้แบบรุนแรง มักแสดงอาการหลายระบบร่วมกัน ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
1. อาการต่อไปนี้ชวนสงสัยได้ว่า อาจแพ้ยาแบบ "เฉียบพลันรุนแรง"
- ผื่นลมพิษทั่วตัว
- ตาบวม ปากบวม
- หอบเหนื่อยขึ้นทันที กรณีอาการรุนแรงมากอาจมีเสียงวี้ด (Wheezing)
- ความดันโลหิตต่ำอย่างมีนัยสำคัญ
2. อาการต่อไปนี้ชวนสงสัยได้ว่า อาจแพ้ยาแบบ "ไม่เฉียบพลันแต่รุนแรง"
- ผื่นที่ผิวหนังรุนแรง เกิดตุ่มพอง ผิวหนังลอก
- แผลในปาก เจ็บแสบตา ตาแดง
- ไข้สูง ตาเหลือง
ทำอย่างไรหากสงสัยว่าเราแพ้ยา?
1. หากสงสัยว่าตนเองมีอาการแพ้ยา ควรหยุดการใช้ยาโดยทันที
2. นำยาที่ใช้ทั้งหมด พร้อมฉลาก และชื่อยามาพบเภสัชกรหรือแพทย์ผู้เขี่ยวชาญ
3. ถ่ายภาพอาการที่เกิดขึ้นเพื่อประกอบการวินิจฉัย และป้องกันภาวะแพ้ยาซ้ำ ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างรวดเร็ว และรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
4. หากมีอาการแพ้ดังกล่าวและมีอาการรุนแรง ควรโทร. 1669 เรียกรถพยาบาล เพื่อเข้ารับการรักษาทันที
ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

" 9 ข้อสำรวจเข้าข่ายโรคซึมเศร้า "การสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ สามารถตรวจจากข้อสำรวจง่ายๆ 9 ...
23/09/2024

" 9 ข้อสำรวจเข้าข่ายโรคซึมเศร้า "
การสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ สามารถตรวจจากข้อสำรวจง่ายๆ 9 ข้อนี้
1. รู้สึกเศร้า เบื่อ ท้อแท้ หรือหงุดหงิดง่ายอย่างต่อเนื่อง
2. เลิกสนใจสิ่งที่เคยชอบมาก ๆ หรือไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบทำ
3. พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป กินมากไป กินน้อยไป จนทำให้น้ำหนักขึ้นหรือลงผิดปกติ
4. จากที่เคยหลับง่ายก็หลับยากขึ้น หรือไม่ก็นอนมากเกินไป
5. มีอาการกระวนกระวายหรือเฉื่อยชาที่แสดงออกให้เห็นชัด
6. รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ไม่มีพลัง ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
7. รู้สึกไร้ค่าหรือรู้สึกผิด โทษตัวเองในทุก ๆ เรื่อง
8. ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่าง ๆ มีปัญหาเรื่องการคิดหรือตัดสินใจ
9. คิดถึงความตายหรืออยากตาย หรืออยากฆ่าตัวตายบ่อย ๆ
เกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป โดยต้องมีข้อ 1. และ/หรือ ข้อ 2. อยู่ด้วย ติดต่อกัน เกินกว่า 2 สัปดาห์ ก็เข้าข่ายเสี่ยง ควรปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อวิเคราะห์และหาแนวทางแก้ไขหรือรักษาต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลพญาไท 1
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

⚠️วายร้าย ฤดูฝน⚠️แมลงก้นกระดก หรือ แมลงเฟรชชี่ - เป็นแมลงขนาดเล็ก 7-8 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีดำสลับส้มเป็นปล้องๆนิสัยชอบเข้า...
21/09/2024

⚠️วายร้าย ฤดูฝน⚠️
แมลงก้นกระดก หรือ แมลงเฟรชชี่
- เป็นแมลงขนาดเล็ก 7-8 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีดำสลับส้มเป็นปล้องๆ
นิสัยชอบเข้ามาเล่นแสงไฟในบ้านเรือน ทำให้ผู้คนอาจบังเอิญสัมผัสแมลงก้นกระดกได้ แมลงชนิดนี้ยังชอบอยู่บริเวณโพรงหญ้าที่มีความชื้น เป็นเหตุผลที่มักพบแมลงเหล่านี้มากขึ้นในช่วงฤดูฝน
‼️ เจอแมลงก้นกระดก อย่าจับ อย่าบี้ ‼️
- สารพิษของแมลงก้นกระดก เป็นกรดที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เป็นผื่นคันหรือแผลพุพอง ผิวหนังไหม้แดง ปวดแสบปวดร้อน มีไข้ และถ้าถูกพิษบริเวณดวงตา อาจทำให้ตาบอดได้!
✅การรักษา
1. ให้รีบล้างด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้น้ำเกลือสำหรับล้างแผลล้างทันที
2. หากเกิดตุ่มน้ำและรอยแดงขึ้นแล้ว สามารถทายา เพื่อรักษารอยแดง ซึ่งจะหายไปเองประมาณ 2-3 วัน
3. รอยดำที่เกิดขึ้นจะค่อย ๆ จางและหายไปเองไม่เป็นแผลเป็น
4. หากมีอาการรุนแรงเนื่องจากแพ้พิษให้รีบพบแพทย์
✅วิธีป้องกัน
1. หากพบแมลงก้นกระดกหามสัมผัสโดยการปัดหรือบดขยี้ ควรใช้วิธีเป้าหรือสะบัดออก
2. ปิดหน้าต่างและประตูให้สนิท
3. ตรวจเช็คบริวณที่นอนเสมอว่าไม่มีแมลงอยู่
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

" เจ็บหน้าอกโรคหัวใจ หรือ เจ็บหน้าอกโรคกรดไหลย้อน กันแน่? "บางครั้งผู้ป่วยมาด้วยอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก แต่อาการแบบไห...
20/09/2024

" เจ็บหน้าอกโรคหัวใจ หรือ เจ็บหน้าอกโรคกรดไหลย้อน กันแน่? "
บางครั้งผู้ป่วยมาด้วยอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก แต่อาการแบบไหนที่เข้าข่ายเสี่ยงเป็น โรคหัวใจ หรือ โรคกรดไหลย้อน ซึ่งทั้ง 2 โรคนั้น จะมีลักษณะของการเจ็บหน้าอกที่มีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้
1. อาการของโรคหัวใจ หรือภาวะหัวใจขาดเลือด
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอกเหมือนถูกบีบรัด หรือกดทับ
- เจ็บหน้าอกปวดร้าวไปกราม สะบักหลัง แขนซ้าย หัวไหล่
- เจ็บหน้าอกมากขึ้น เมื่อมีการออกแรง หรือ ออกกำลังกาย
- เหงื่อออก จะเป็นลม หน้าซีด
- ใจสั่น หอบเหนื่อย คลื่นไส้
- อาจมีอาการจุกบริเวณคอหอย ซึ่งบางรายอาจมีอาการจุกบริเวณใต้ลิ้นปี่
2. อาการของโรคกรดไหลย้อน
- เจ็บหน้าอกเวลาหายใจลึกๆ หรือไอ แต่ไม่ร้าวไปบริเวณขากรรไกร ไหล่ หรือแขน
- มีอาการมากขึ้นหลังมื้ออาหาร แล้วโน้มตัวลงนอน
- แสบร้อนบริเวณทรวงอก คอ มีอาการปวด จุกเสียด แน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่
- เรอเปรี้ยว เรอบ่อย คลื่นไส้ คล้ายมีอาหารไหลย้อยขึ้นมา มีรสขมขึ้นคอและปาก
- ไอเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ เจ็บคอเรื้อรัง มีกลิ่นปาก
- กลืนอาหารลำบาก จุกที่คอ คล้ายมีอะไรติดขวางลำคอ
***สรุปจุดสังเกต***
- อาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก รู้สึกเจ็บร้าวไปที่ลำคอ ขากรรไกร ไหล่และแขนซ้าย เจ็บเมื่อออกแรง
- สำหรับโรคกรดไหลย้อน เจ็บหน้าอกเวลาหายใจลึกๆ หรือไอ แต่ไม่ร้าวไปบริเวณขากรรไกร ไหล่ หรือแขน มีอาการมากขึ้นหลังมื้ออาหาร
หากมีอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก ไม่ว่าจะมีลักษณะเป็นๆ หายๆ หรือ เป็นพร้อมมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย อย่านิ่งนอนใจ สามารถเข้ามาปรึกษาเภสัชกรได้ที่ร้านยา เพราะหากเป็นอาการของโรคหัวใจ จะได้รีบรักษาได้ทันท่วงทีค่ะ😊
ขอบคุณข้อมูลจากศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลนครธน
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

" 6 ความผิดปกติของการนอนหลับ "1. ภาวะหายใจผิดปกติขณะหลับ (Sleep Related Breathing Disorders) เช่น ภาวะนอนกรน หรือโรคหยุด...
19/09/2024

" 6 ความผิดปกติของการนอนหลับ "
1. ภาวะหายใจผิดปกติขณะหลับ (Sleep Related Breathing Disorders) เช่น ภาวะนอนกรน หรือโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น
- สาเหตุ/ปัจจัย: การตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนบนที่มากกว่าปกติ
- อาการเตือน: นอนกรนเสียงดัง (แม้ปิดประตูห้องก็อาจยังได้ยิน) และมักเสียงดังแบบไม่สม่ำเสมอ
2. ภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia)
- สาเหตุ/ปัจจัย: ความเครียด พฤติกรรมการนอนไม่เป็นเวลา การเล่นโทรศัพท์ดูหน้าจอนาน ๆ ก่อนเข้านอน รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
- อาการเตือน: หลับยาก ตื่นกลางดึก ไม่สดชื่นไม่กระปรี้กระเปร่า งัวเงียระหว่างวัน รู้สึกหดหู่ วิตกกังวล และมักขาดสมาธิจดจ่อกับงาน หรือมีอาการหลงลืม
3. ภาวะง่วงนอนมากในเวลากลางวัน (Central Disorders of Hypersomnolence) เช่น โรคลมหลับ
- สาเหตุ/ปัจจัย: ยังไม่มีสาเหตุแน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากสารสื่อประสาทไฮโปคริติน (Hypocretin) ในสมองลดน้อยลง
- อาการเตือน: ง่วงนอนอย่างมาก พร้อมนอนได้ทุกสถานการณ์ มักเผลอหลับโดยไม่รู้ตัว หรือหลับแบบฉับพลัน โดยเป็นติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
4. ภาวะนาฬิกาชีวิตแปรปรวน (Circadian Rhythm Sleep-Wake Disorders) เช่น Jet Lag, กลุ่มอาชีพ Shift Work
- สาเหตุ/ปัจจัย: อายุที่มากขึ้น การใช้ชีวิตที่ไม่สามารถจัดการเวลาการทำงานและการนอนได้ จนกระทบต่อนาฬิกาชีวภาพ หรือนาฬิการ่างกาย
- อาการเตือน: นอนหลับยาก อาจใช้เวลานานกว่า 30 นาทีกว่าจะหลับ หลับไม่สนิทหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก
5. การเคลื่อนไหวผิดปกติระหว่างนอนหลับ (Sleep Related Movement Disorders) เช่น นอนกัดฟัน ภาวะนอนขากระตุก ภาวะขาอยู่ไม่สุขขณะหลับ
- สาเหตุ/ปัจจัย: อาจเกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในร่างกาย หรือมีโรคอื่นร่วม เช่น โรคหยุดหายใจขณะหลับ หรือโรคทางระบบประสาทและสมอง
- อาการเตือน: ขากระตุกขณะหลับ ปวดบริเวณใบหูหลังตื่นนอน หรือรู้สึกไม่สบายที่ขา และจะดีขึ้นเมื่อเขย่าขา ยืดขา หรือเดินไปมา เป็นต้น
6. โรคนอนละเมอ (Parasomnia) เช่น นอนขยับแขนขาผิดปกติ ละเมอเดินขณะนอนหลับ ละเมอพูด
- สาเหตุ/ปัจจัย: ความเจ็บป่วยทางกาย ความเครียด หรือการใช้ยาบางชนิด ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าแบบกระทันหันในขณะที่เราหลับลึก
- อาการเตือน: เหงื่อแตก ใจสั่น ละเมอพูด ละเมอร้อง หรือถึงขั้นละเมอลุกเดิน
เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ สามารถเข้ามาปรึกษาเภสัชกรก่อนที่ปัญหาจะลุกลามหรือเรื้อรังไปมากกว่านี้นะคะ 😊
ขอบคุณข้อมูลจากคลินิกหู คอ จมูก โรงพยาบาลพญาไท 3
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

" 8 วิธีถนอมสายตา เยียวยาดวงตาให้แข็งแรง "1. กะพริบตาให้บ่อยขึ้น เนื่องจากการกะพริบตาจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ...
18/09/2024

" 8 วิธีถนอมสายตา เยียวยาดวงตาให้แข็งแรง "
1. กะพริบตาให้บ่อยขึ้น
เนื่องจากการกะพริบตาจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา จากการมีน้ำตามาหล่อเลี้ยง ส่งผลให้ดวงตาโฟกัสการมองเห็นได้ดีขึ้น และป้องกันอาการตาแห้งได้อีกด้วย
2. พักสายตา
หากต้องจ้องหน้าจอบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน ควรมีการพักสายตาจากหน้าจอทุก 20 นาที ให้พักสายตาด้วยการมองออกไปไกลๆ ประมาณ 10-20 วินาที จะช่วยถนอมสายตาและลดอาการตาล้าได้
3. ปรับความสว่างของห้อง
ควรปรับความสว่างของห้องให้เพียงพอและสอดคล้องกับแสงสว่างจากหน้าจอ เพื่อไม่ให้เกิดการสะท้อนหรือมีแสงจ้าเกินไป ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยลดการสะท้อนแสงจากหน้าจอด้วย
4. ปรับความสว่างบนหน้าจอ
ควรปรับแสงสว่างของหน้าจอบนอุปกรณ์นั้นๆ ให้เหมาะสม ไม่สว่างเกินไป โดยเฉพาะหากห้องมีแสงสว่างน้อย เพราะความสว่างของหน้าจอยิ่งมากยิ่งส่งผลกระทบต่อดวงตามากขึ้น
5. เลือกใช้แว่นตาในการถนอมสายตา เช่น ใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าที่ให้รู้สึกสบายตา และลดอันตรายจากแสงสีฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อดวงตา
6. ปรับขนาดของตัวอักษรให้เหมาะสม ไม่เล็กหรือไม่ใหญ่เกินไปจนทำให้ต้องเพ่งมอง การปรับขนาดจะช่วยทำให้สบายตามากขึ้น และไม่ต้องใช้สายตาในการเพ่งหน้าจอนานกว่าที่ควร
7. รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น อาหารที่มีวิตามินเอ อย่างตับไก่ หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักใบเขียว แครอท เป็นต้น
8. บริหารกล้ามเนื้อตา
สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ดังนี้
1) กลอกลูกตาขึ้น-ลงช้าๆ โดยกลอกลูกตาขึ้นให้สูงและลงให้สุด ทำซ้ำไปกลับติดต่อกัน 10 ครั้ง และไม่เกร็งลูกตาระหว่างบริหาร
2) กลอกลูกตาซ้าย-ขวาช้าๆ โดยกลอกลูกตาไปทางซ้ายให้สุดและขวาให้สุด ทำซ้ำไปกลับติดต่อกัน 10 ครั้ง และไม่หันหน้าไปตามทิศทางที่หัน
3) กลอกลูกตาเป็นวงกลมช้าๆ โดยหมุนลูกตาไปตามเข็มนาฬิกา จากนั้นหมุนลูกตากลับทวนเข็มนาฬิกา ทำติดต่อกัน 10 ครั้ง
4) ชูนิ้วขึ้นมา 1 นิ้ว เหยียดแขนออกไปนิ้วอยู่ห่างจากสายตาประมาณ 8 นิ้ว จากนั้นจ้องมองไปที่ไกล ๆ ประมาณ 3 วินาที แล้วกลับมามองที่นิ้วมือ ประมาณ 3 วินาที ทำซ้ำติดต่อกัน 10 ครั้ง
5) นวดคลึงบริเวณดวงตา โดยทำการคลึงนวดวนรอบคิ้วตั้งแต่บริเวณหัวคิ้วไปจนถึงหัวตา และไม่ควรคลึงกดบริเวณเปลือกตา
นอกจากการถนอมสายตาด้วยตนเองแล้ว เราควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ เพราะจะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติหรือพบโรคแทรกซ้อนจากโรคอื่น ๆ ที่เราไม่สามารถสังเกตเห็นได้เองด้วยตาเปล่าตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
การพบโรคเร็วจะนำไปสู่การป้องกันและรักษาได้อย่างทันท่วงที มีโอกาสรักษาให้หายขาดสูงกว่า ทั้งยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในระยะลุกลามอีกด้วย
หากมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพสายตา หรือต้องการวิตามินที่ช่วยบำรุงสายตา สามารถปรึกษาเภสัชกรได้ค่ะ 😊
ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
---------------------------------------------------
ร้านยาณลินเภสัช จ.กระบี่
🏥เปิดทำการ: จันทร์ - เสาร์ เวลา 9.00 - 19.00 น.
📍 พิกัด: ตั้งอยู่ที่ ถ.กระบี่ อาคารสีน้ำเงิน อยู่ถัดจากสำนักงานประปาจังหวัดกระบี่
📞Line ID:

ที่อยู่

95/1 ถนนกระบี่ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่
Krabi
81000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 19:00
อังคาร 09:00 - 19:00
พุธ 09:00 - 19:00
พฤหัสบดี 09:00 - 19:00
ศุกร์ 09:00 - 19:00
เสาร์ 09:00 - 19:00

เบอร์โทรศัพท์

+66964152415

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ร้านยาณลินเภสัช - Nalin Pharmacyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram