ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก

ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก เล่าเรื่องราวความรู้เด็ก โดยมุมมอง

ขอน้อมถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยพระองค์ทรงอุทิศพ...
25/10/2025

ขอน้อมถวายความอาลัยแด่
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย

พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อประชาชน
ทั้งด้านสาธารณสุข ศิลปวัฒนธรรม
และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน

ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ขอถวายพระพรให้ดวงพระวิญญาณเสด็จสู่สวรรคาลัย
ขอพระจริยวัตรงดงามของพระองค์
ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้เราสืบสานความดีเพื่อผู้อื่นต่อไป

18/10/2025

โตแล้วสามารถวินิจฉัยเป็น
"ออทิสติก" ได้หรือไม่?
เข้าใจเกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติกในผู้ใหญ่

แจก นิทาน เรื่อง  "ทำความเข้าใจ เด็กที่มีระบบการตอบสนองสัมผัสไว และมีภาวะภาษาล่าช้าร่วมด้วย "  👶 เด็กบางคนไม่ใช่แค่ "พูด...
05/10/2025

แจก นิทาน เรื่อง "ทำความเข้าใจ เด็กที่มีระบบการตอบสนองสัมผัสไว และมีภาวะภาษาล่าช้าร่วมด้วย "

👶 เด็กบางคนไม่ใช่แค่ "พูดช้า"
แต่ร่างกายของเขา ไวต่อการสัมผัส มากกว่าปกติ

🤲 การโดนแตะ ถูกจับแต่งตัว หรือแม้แต่แปรงฟัน
อาจทำให้รู้สึก "ไม่สบายตัว" จนหลีกเลี่ยงการสื่อสาร

🧠 เมื่อร่างกายยังไม่สบายใจ
สมองก็ยังไม่พร้อมจะ “พูด” ❤️

#พัฒนาการเด็ก #เด็กพูดช้า #สัมผัสไว #ครูน้ำฝนนักกิจกรรมบำบัด #แม่และเด็กอ่อน #นักกิจกรรมบำบัด #แม่และเด็ก #พัฒนาการเด็ก #กิจกรรมบำบัด

🥰✨เมื่อความเก่งกลบเกลื่อนความยากลำบาก: ทำความเข้าใจ "Twice-Exceptional" หรือ 2Eในโลกของการพัฒนาเด็ก หลายครั้งที่เรามักจะ...
26/09/2025

🥰✨เมื่อความเก่งกลบเกลื่อนความยากลำบาก:
ทำความเข้าใจ "Twice-Exceptional" หรือ 2E
ในโลกของการพัฒนาเด็ก หลายครั้งที่เรามักจะพบความสับสนระหว่าง
"เด็กเก่ง" (Gifted) และ "เด็กสมาธิสั้น" (ADHD)
แต่มีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ซับซ้อนกว่านั้น นั่นคือกลุ่ม "Twice-Exceptional" (2E)
หรือที่เรียกว่า "เด็กเก่งแต่มีภาวะสมาธิสั้น" ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิดได้ง่ายที่สุด

😍เด็ก 2E คือเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น มีความฉลาดเป็นเลิศ มีความคิดสร้างสรรค์สูง หรือมีความถนัดพิเศษทางศิลปะและดนตรี แต่ในขณะเดียวกันก็มี ความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือ ภาวะทางระบบประสาท ร่วมด้วย เช่น ภาวะสมาธิสั้น (ADHD) หรือ ภาวะออทิซึมสเปกตรัม (ASD) ความเก่งของเด็กเหล่านี้มักจะกลบเกลื่อนอาการของภาวะบกพร่อง ทำให้คุณพ่อคุณแม่และคุณครูหลายท่านคิดว่า "ลูกแค่ขี้เกียจ" หรือ "ยังพยายามไม่พอ"

✨ทำไมเด็ก 2E ถึงถูกเข้าใจผิด?
ความสามารถที่สูงบดบังความบกพร่อง: เด็ก 2E มักจะใช้ความสามารถทางสติปัญญาที่เหนือกว่าคนอื่นเพื่อชดเชยจุดอ่อนของตัวเองได้ เช่น เด็กที่มีความจำดีมากอาจจะจำเนื้อหาทั้งหมดได้โดยไม่ต้องจดบันทึก ทำให้ปัญหาเรื่องการจัดการและการวางแผนงาน (Executive Function) ซึ่งเป็นอาการของ ADHD ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน

🚩พฤติกรรมที่ขัดแย้งกัน: ในบางสถานการณ์ เด็ก 2E อาจดูเหมือนเด็กเก่งที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่ในอีกสถานการณ์หนึ่ง พวกเขาอาจจะดูเหมือนเด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมหรือการเรียนรู้ที่ไม่สามารถทำตามคำสั่งง่าย ๆ ได้ ความไม่สม่ำเสมอในพฤติกรรมนี้ทำให้ผู้ใหญ่สับสน

🚩การวินิจฉัยที่ล่าช้า: เนื่องจากเด็กเหล่านี้ดูเหมือน "เอาตัวรอดได้" หรือ "ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก" จึงทำให้การวินิจฉัยภาวะสมาธิสั้นหรือภาวะบกพร่องอื่น ๆ เกิดขึ้นช้ากว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้เด็กไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ

✨ผลกระทบจากการไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
เมื่อเด็ก 2E ไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง พวกเขาอาจต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้:

✅ความผิดหวังในตัวเอง: เด็กอาจรู้สึกว่า "ทำไมฉันถึงทำไม่ได้เหมือนคนอื่น" ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองฉลาด ทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองและอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลได้

✅ผลการเรียนที่ตกต่ำลง: เมื่อเนื้อหาการเรียนซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ความสามารถในการชดเชยด้วยความฉลาดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ปัญหาด้านการจัดการงาน การจดจ่อ และการวางแผนที่เคยถูกซ่อนไว้ก็จะเริ่มส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อผลการเรียน

✅ความสัมพันธ์ทางสังคม: ปัญหาด้านการควบคุมตนเองหรือการสื่อสารที่ซับซ้อนกว่าปกติอาจส่งผลให้พวกเขามีปัญหากับเพื่อนหรือคุณครูได้

🚩แนวทางการดูแลเด็ก 2E ที่เหมาะสม
✅การดูแลเด็ก 2E ต้องใช้ความเข้าใจและแนวทางที่แตกต่างไปจากการดูแลเด็กเก่งหรือเด็ก ADHD เพียงอย่างเดียว โดยเน้นที่การพัฒนา จุดแข็ง และการช่วยเหลือ จุดอ่อน ไปพร้อม ๆ กัน:

✅การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรอบด้าน: สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นเพื่อทำการวินิจฉัยที่ครอบคลุม ทั้งการประเมินความสามารถทางสติปัญญาและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาวะบกพร่องทางระบบประสาท

✅การศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program - IEP): โรงเรียนควรจัดทำแผนการสอนที่ปรับให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน โดยส่งเสริมความสามารถพิเศษของพวกเขาในขณะเดียวกันก็ให้การสนับสนุนในด้านที่พวกเขาอ่อนแอ

✅สร้างสภาพแวดล้อมที่เข้าใจและยอมรับ: ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ที่เด็กสามารถเป็นตัวเองได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดที่ตนเอง "ไม่สมบูรณ์แบบ" ควรเน้นที่ความพยายามและความก้าวหน้ามากกว่าการตัดสินจากผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว

✅ฝึกฝนทักษะการบริหารจัดการ: สอนและฝึกฝนทักษะด้านการจัดระเบียบ การวางแผน และการจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น

✅การเข้าใจและยอมรับว่าเด็ก 2E ไม่ใช่แค่ "เด็กเก่ง" หรือ "เด็กมีปัญหา" แต่เป็นเด็กที่มีความพิเศษถึงสองเท่า จะช่วยให้เราสามารถมอบโอกาสและแนวทางที่เหมาะสมเพื่อดึงศักยภาพสูงสุดของพวกเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ และทำให้พวกเขามีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในที่สุด

#ครูน้ำฝนนักกิจกรรมบำบัด #นักกิจกรรมบำบัด #แม่และเด็ก #พัฒนาการเด็ก #กิจกรรมบำบัด #เด็กgifted #สมาธิสั้น

😍ทำไมลูกยังเขียนหนังสือไม่ได้?คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมลูกถึงยังเขียนหนังสือไม่ได้สักที? หรือบางครั้งก็เขียนกลับด้าน แถมยังล...
20/09/2025

😍ทำไมลูกยังเขียนหนังสือไม่ได้?
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมลูกถึงยังเขียนหนังสือไม่ได้สักที? หรือบางครั้งก็เขียนกลับด้าน แถมยังลุกเดินไปมา ไม่ยอมนั่งนิ่ง ๆ? ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องปกติมากค่ะ

เพราะกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะเขียนได้ดี ต้องใช้ทักษะหลายอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น...

การควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็ก: ฝึกมือและนิ้วให้แข็งแรง

การประสานสัมพันธ์ของตาและมือ: การมองสิ่งที่เขียนแล้วสามารถขยับมือตามได้

สมาธิและความจดจ่อ: การนั่งนิ่ง ๆ เพื่อทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง

บางทีลูกของเราอาจยังไม่ถึงวัยที่เหมาะสมสำหรับทักษะการเขียนจริง ๆ แต่ด้วยนโยบายของโรงเรียน ทำให้หลายคนมองว่าลูกตัวเองช้ากว่าคนอื่น

อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ!

การเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราสามารถช่วยลูกได้ด้วยการ...

เข้าใจ: เข้าใจว่าลูกยังไม่พร้อมและไม่ควรเปรียบเทียบกับใคร

ไม่บังคับ: ไม่กดดันหรือบังคับให้ลูกเขียน

ทำกิจกรรมที่เตรียมความพร้อม: เช่น การปั้นดินน้ำมัน, ร้อยลูกปัด, หรือระบายสี

เมื่อลูกพร้อมในทุก ๆ ด้านแล้ว ทักษะการเขียนจะพัฒนาขึ้นมาเองค่ะ

หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยลูกอย่างไรดี นักกิจกรรมบำบัด คือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำปรึกษาและคำแนะนำดี ๆ ได้ ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญใกล้บ้านคุณดูนะคะ

17/09/2025

เยาวชนและประชากรวัยแรงงานในประเทศไทย ขาดทักษะพื้นฐานชีวิต ในระดับที่น่าตกใจมาก ทักษะเหล่านี้ ประกอบด้วย 1.การอ่านออกเขียนได้ 2. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ3. ทักษะด้านอารมณ์และสังคม ที่จำเป็นต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่น

มหัศจรรย์ 'ชิงช้า' ของเล่นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ช่วยกระตุ้นการพูดของลูกได้อย่างไร? 😮คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตไหมคะว่า เวลาเด็กๆ...
13/09/2025

มหัศจรรย์ 'ชิงช้า' ของเล่นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ช่วยกระตุ้นการพูดของลูกได้อย่างไร? 😮
คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตไหมคะว่า เวลาเด็กๆ ได้เล่นชิงช้า พวกเขามักจะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว หัวเราะเอิ๊กอ๊าก หรือแม้แต่เปล่งเสียงอ้อแอ้มากกว่าปกติ? 🪁 นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญค่ะ! เพราะการแกว่งไกวบนชิงช้านั้น มีความลับที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการพัฒนาสมองในส่วนที่ควบคุมการพูดอย่างน่าทึ่ง วันนี้ครูน้ำฝนจะมาไขความลับนี้ให้ฟังกันค่ะ

กุญแจสำคัญอยู่ที่ระบบหนึ่งในร่างกายของเราที่เรียกว่า "ระบบการทรงตัว" (Vestibular System) ซึ่งอยู่บริเวณหูชั้นใน ระบบนี้เปรียบเสมือน "หอบังคับการบิน" ของสมอง ทำหน้าที่ประมวลผลการเคลื่อนไหว ทิศทาง และแรงโน้มถ่วง

เมื่อเด็กเล่นชิงช้า การเคลื่อนไหวไปข้างหน้า-ข้างหลัง ขึ้น-ลง จะเป็นการกระตุ้นระบบนี้โดยตรง และส่งสัญญาณตรงไปยังสมองส่วนต่างๆ ซึ่งเกิดเป็นผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ 4 ข้อด้วยกันค่ะ

1. ปลุกสมองให้ตื่นตัวและจัดระเบียบ (Brain Organizer & Arousal) 🧠
การกระตุ้นระบบการทรงตัวจากการแกว่งไกว จะช่วยจัดระเบียบข้อมูลในสมอง ทำให้สมองอยู่ในสภาวะที่ "ตื่นตัวแต่สงบ" (Calm-Alert State) ซึ่งเป็นสภาวะที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อสมองไม่วุ่นวายและพร้อมรับข้อมูล เด็กก็จะพร้อมที่จะฟังเสียงรอบตัวและทดลองออกเสียงของตัวเองมากขึ้น

2. สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscle Strength) 💪
การแกว่งชิงช้าเป็นการบริหาร "กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว" ให้แข็งแรงโดยอัตโนมัติ ซึ่งกล้ามเนื้อส่วนนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อ "การควบคุมลมหายใจ" เมื่อเด็กสามารถควบคุมการหายใจเข้า-ออกได้ดี เขาก็จะสามารถเปล่งเสียงได้ยาวขึ้น ควบคุมความดัง-เบาของเสียงได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพูดเป็นประโยค

3. พัฒนาการมองเห็นและการควบคุมกล้ามเนื้อปาก (Visual Focus & Oral Motor Control) 👀👄
ทำให้ตาโฟกัสดีขึ้น: ขณะที่เราเคลื่อนไหว สมองจะต้องสั่งการให้ดวงตาสามารถมองนิ่งไปยังเป้าหมายได้ (เรียกว่า Vestibulo-Ocular Reflex) การเล่นชิงช้าจึงเป็นการฝึกให้ระบบการทรงตัวและระบบการมองเห็นทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม ผลลัพธ์คือ เด็กจะสามารถ มองจ้องใบหน้าและริมฝีปากของคนพูดได้นิ่งและนานขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้ที่จะพูดผ่านการเลียนแบบ

ทำให้ขยับรูปปากดีขึ้น: การประมวลผลการเคลื่อนไหวที่ดีจากการเล่นชิงช้า ไม่ได้ส่งผลแค่กล้ามเนื้อมัดใหญ่ แต่ยังส่งผลไปยังการรับรู้และการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ บนใบหน้า เช่น ริมฝีปาก ลิ้น และขากรรไกรด้วย เมื่อสมองรับรู้การเคลื่อนไหวของตัวเองได้ดีขึ้น ก็จะสั่งการให้ อวัยวะในช่องปากขยับเลียนแบบรูปปากต่างๆ ได้อย่างแม่นยำขึ้น เช่น การทำปากจู๋เพื่อออกเสียง "อู" หรือเม้มปากเพื่อออกเสียง "ม"

4. สร้างสภาวะแวดล้อมที่สนุกและลดความกดดัน (Fun & Low-Pressure) 😄
บนชิงช้าคือโลกแห่งความสนุก! เด็กจะรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อไม่มีความกดดันว่า "ต้องพูดนะ" เด็กมักจะเปล่งเสียงออกมาตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะ หรือเสียงพยายามเลียนแบบ เช่น "วู้ววว" "สูงงงง" การเปล่งเสียงที่เกิดจากความสนุกนี้เอง คือบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่การสื่อสารที่มีความหมาย

#ครูน้ำฝนนักกิจกรรมบำบัด #แม่และเด็กอ่อน #นักกิจกรรมบำบัด #แม่และเด็ก #พัฒนาการเด็ก #กิจกรรมบำบัด

🥰เวลาลูกอยู่กับเราหรือฝึกกับคุณครูตัวต่อตัว ทำไมนิ่งและให้ความร่วมมือดีมาก แต่พอคุณครูที่โรงเรียนโทรมาแจ้งว่า 'น้องไม่นิ...
10/09/2025

🥰เวลาลูกอยู่กับเราหรือฝึกกับคุณครูตัวต่อตัว ทำไมนิ่งและให้ความร่วมมือดีมาก แต่พอคุณครูที่โรงเรียนโทรมาแจ้งว่า 'น้องไม่นิ่งเลยค่ะ' 'อยู่ไม่สุข' 'กวนเพื่อนตลอด' ปัญหานี้เกิดจากอะไรกันแน่?"
✨สาเหตุอย่างละเอียด ✨

1. ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ไว (Sensory Overload):

-ฝึก 1:1: สิ่งเร้าถูกควบคุม มีแค่เด็กกับคุณครู เสียงไม่ดัง ของเล่นมีเท่าที่จำเป็น
-ในห้องเรียน/กลุ่ม: สิ่งเร้าเยอะมาก ทั้งเสียงเพื่อน, เสียงคุณครู, ของเล่นมากมาย, ภาพบนผนัง, แสงไฟ เด็กบางคนที่มีระบบประมวลผลความรู้สึกที่ไวเกินไป (Sensory Defensiveness) จะรู้สึกเหมือนถูก "ถล่ม" ด้วยสิ่งเร้า ทำให้ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาเพื่อจัดการกับความรู้สึกท่วมท้นนั้น

2.ความคาดหวังทางสังคม (Social Demands):
-ฝึก 1:1: เด็กสื่อสารกับผู้ใหญ่คนเดียว รูปแบบชัดเจน เข้าใจง่าย
-ในห้องเรียน/กลุ่ม: ต้องรอคอย, แบ่งปัน, ทำตามกฎของกลุ่ม, เข้าใจการสื่อสารของเพื่อนหลายๆ คน ซึ่งเป็นทักษะที่ซับซ้อนและใช้พลังงานสมองสูงมาก เมื่อเด็กทำไม่ได้หรือไม่เข้าใจ อาจแสดงออกด้วยการไม่ให้ความร่วมมือหรือก่อกวนเพื่อกลบเกลื่อน

3.โครงสร้างและลำดับที่คาดเดาได้ (Structure and Predictability):
-ฝึก 1:1: กิจกรรมมักมีลำดับชัดเจน 1-2-3 ทำให้เด็กคาดเดาได้และรู้สึกปลอดภัย
-ในห้องเรียน/กลุ่ม: มีช่วงเวลาที่ไม่ได้มีโครงสร้างชัดเจน เช่น ช่วงเล่นอิสระ หรือช่วงเปลี่ยนคาบเรียน ซึ่งอาจทำให้เด็กรู้สึกสับสนและแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา

4.ความต้องการความสนใจ (Attention Seeking):
-ฝึก 1:1: เด็กได้รับความสนใจเต็มที่ 100%
-ในห้องเรียน/กลุ่ม: คุณครูต้องดูแลเด็กหลายคน เด็กอาจเรียนรู้ว่าการทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจะทำให้คุณครูหันมาสนใจได้เร็วกว่า

🚩แนวทางแก้ไขสำหรับผู้ปกครองและคุณครู

1.สื่อสารกับคุณครูที่โรงเรียน: นำข้อมูลการฝึก 1:1 ไปเล่าให้คุณครูฟังว่าน้องทำอะไรได้บ้างในสภาพแวดล้อมที่สงบ เพื่อให้คุณครูเข้าใจศักยภาพที่แท้จริง

2.ลองลดสิ่งเร้า: จัดมุมสงบ (Calm-down Corner) ในห้องเรียน หรือให้เด็กได้มีช่วงพักจากกลุ่มสั้นๆ

3.ใช้ตารางกิจกรรมภาพ (Visual Schedule): ช่วยให้เด็กคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ ลดความกังวล

4.สอนทักษะสังคมอย่างชัดเจน: สอนวิธีขอเล่น, วิธีรอคอย, วิธีปฏิเสธเพื่อนอย่างเหมาะสม
5.ชมเชยเมื่อทำได้ดี: มองหาจังหวะที่เด็กนิ่งหรือให้ความร่วมมือในกลุ่ม (แม้จะแค่สั้นๆ) แล้วรีบให้คำชมทันที

#ครูน้ำฝนนักกิจกรรมบำบัด #การเล่น #แม่และเด็กอ่อน #นักกิจกรรมบำบัด #กิจกรรมบำบัด #พัฒนาการเด็ก #เด็กสมาธิสั้น

🚩เช็คยังไงว่าลูกมี “ทักษะเบรกตัวเอง (Inhibitory Control – EF)” ตรงไหนบกพร่องบ้าง1) สังเกตใน 3 สถานการณ์หลัก-ตอนเล่น: รีบ...
03/09/2025

🚩เช็คยังไงว่าลูกมี “ทักษะเบรกตัวเอง (Inhibitory Control – EF)” ตรงไหนบกพร่องบ้าง
1) สังเกตใน 3 สถานการณ์หลัก

-ตอนเล่น: รีบแทรกคิว/หยิบของเพื่อนทันที, เล่นแรงเกิน, เปลี่ยนกติกาไม่ได้

-ตอนทำกิจวัตร/เรียน: หลุดจากเก้าอี้, มือไปจับทุกอย่าง, ทำงานไม่จบเพราะเผลอทำอย่างอื่น

-ตอนอารมณ์ขึ้น: โวยวาย/พูดสวนทันที, เบรกอารมณ์ไม่อยู่แม้เตือนแล้ว

ถ้าเกิด บ่อย และ เกิดหลายสถานที่ (บ้าน/โรงเรียน) = น่าจับตา

4 เกมส์ที่นำไปฝึกกิจกรรมสำหรับน้องๆที่ยับยั้งตนเองไม่ค่อยได้ ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น ใจร้อน

1.Red Light–Green Light (หยุด–ไป)
บอก “ไฟเขียว = เดิน / ไฟแดง = หยุดนิ่ง” เดินจากจุด A→B

ผ่าน: หยุดทันที ≥80% ของครั้ง

ติดขัด: หยุดช้า/ยังขยับทุกครั้ง

2.เกมรอของชอบ 1–2 นาที (คุกกี้/สติ๊กเกอร์)

ผ่าน: รอได้ด้วยกลยุทธ์ (เบนสายตา, นับเลข)

ติดขัด: จับ/กินก่อนครบเวลา แม้เตือน

3.Whisper Game (พูดกระซิบในพื้นที่ต้องเงียบ)

ผ่าน: คุมระดับเสียงได้ต่อเนื่อง

ติดขัด: ดังขึ้นเรื่อย ๆ คุมไม่อยู่

4.Go/No-Go ตีโต๊ะ
ยกการ์ด “วงกลม = เคาะ / สี่เหลี่ยม = ห้ามเคาะ” สลับเร็วขึ้น

ผ่าน: ผิดน้อย, หยุดได้แม้สลับเร็ว

ติดขัด: เคาะพรวดเมื่อเห็นสัญญาณห้ามซ้ำ ๆ

🚩เมื่อไหร่ควรขอทีมสหวิชาชีพช่วย

-อาการรุนแรงและเกิด หลายบริบท ≥8 สัปดาห์

-ส่งผลต่อความปลอดภัย/การเรียน/ความสัมพันธ์

-สงสัยมีประเด็นอื่นร่วม (ภาษา, SI, ออทิสติก, ADHD)
→ ปรึกษา นักกิจกรรมบำบัด (OT) / -เพื่อประเมินเชิงลึกและวางแผนเฉพาะบุคคล

✨นักกิจกรรมบำบัด ใช้หลักการอะไรในการฝึกปรับให้เด็กทานอาหารได้ เช่น จากเด็กไม่ยอมเคี้ยว ไม่ยอมทานอาหารปกติ  กินแต่อาหารปั...
28/08/2025

✨นักกิจกรรมบำบัด ใช้หลักการอะไรในการฝึกปรับให้เด็กทานอาหารได้ เช่น จากเด็กไม่ยอมเคี้ยว ไม่ยอมทานอาหารปกติ กินแต่อาหารปั่นละเอียด🚩

1. หลักการด้านการบูรณาการประสาทความรู้สึก (Sensory Integration)
นี่คือหัวใจสำคัญของการฝึก นักกิจกรรมบำบัดเชื่อว่าพฤติกรรมการปฏิเสธอาหารบางชนิด โดยเฉพาะการไม่ยอมเคี้ยวและทานแต่ของเหลว มักมีรากฐานมาจาก ระบบรับความรู้สึกในช่องปากที่ไวกว่าปกติ (Oral Hypersensitivity) หรือการประมวลผลความรู้สึกที่ผิดปกติ

ปัญหา: เด็กอาจรู้สึกว่าเนื้อสัมผัสของอาหารที่หยาบขึ้นเป็นสิ่งที่ "น่ารังเกียจ" "เจ็บ" หรือ "น่ากลัว" ในช่องปาก ทำให้เกิดการต่อต้านโดยการอมข้าว ผลักอาหารออก หรืออาเจียน

แนวทางการฝึก:

ลดความไวในช่องปาก (Desensitization): เริ่มจากการสร้างความคุ้นเคยกับสัมผัสต่างๆ บริเวณรอบปากและในช่องปากอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ใช่อาหารก่อน เช่น การใช้แปรงสีฟันซิลิโคน, ยางกัด (Chewy Tube) หรือนิ้วมือนวดเหงือก กระพุ้งแก้ม และลิ้น เพื่อให้ระบบประสาทของเด็ก "ชิน" และลดการตอบสนองที่ไวเกินไป

เล่นผ่านอาหาร (Food Play): จัดกิจกรรมให้เด็กได้ "เล่น" กับอาหารโดยไม่มีแรงกดดันว่าต้องกิน เช่น ใช้แครอทแท่งมาวาดรูป, ใช้มันบดมาปั้น, เอามือจุ่มโยเกิร์ต การเล่นจะช่วยให้เด็กได้สัมผัสกับลักษณะ รูปร่าง กลิ่น และเนื้อสัมผัสของอาหารในรูปแบบที่สนุกและไม่น่ากลัว

# # 2. หลักการด้านทักษะการใช้กล้ามเนื้อช่องปาก (Oral-Motor Skills)
เด็กที่ไม่ยอมเคี้ยว อาจไม่ใช่แค่ "ไม่ชอบ" แต่เป็นเพราะ กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวยังไม่แข็งแรงพอ หรือยังทำงานประสานกันได้ไม่ดี การทานแต่อาหารปั่นทำให้กล้ามเนื้อกราม, ลิ้น, และแก้มไม่ถูกใช้งาน จึงไม่พัฒนา

ปัญหา: เด็กไม่รู้วิธีการใช้ลิ้นตวัดอาหารไปด้านข้างเพื่อบดเคี้ยว หรือไม่มีแรงกรามมากพอที่จะบดอาหารให้ละเอียด

แนวทางการฝึก:

เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ: ฝึกผ่านการเล่นที่ต้องใช้กล้ามเนื้อช่องปาก เช่น การเป่าฟองสบู่, การดูดน้ำหนืดๆ ผ่านหลอด, การทำหน้าตาตลกๆ (เม้มปาก, ทำปากจู๋, อมลมให้แก้มป่อง)

ฝึกทักษะการเคี้ยวโดยตรง:

การใช้ยางกัด (Chewy Tubes) หรือแท่งหัดเคี้ยว: ให้นำไปไว้บริเวณฟันกรามเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเคี้ยวในแนวตั้ง (ขึ้น-ลง)

ค่อยๆ ปรับความหยาบของอาหาร: เริ่มจากอาหารบดหยาบ, สับละเอียด, ชิ้นเล็กๆ นิ่มๆ ไปจนถึงอาหารปกติ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ค่อยๆ เรียนรู้และปรับตัว

การใช้ผ้าก๊อซห่ออาหาร: อาจใช้ผ้าก๊อซห่อผลไม้ชิ้นเล็กๆ (เช่น มะม่วงสุก) ให้น้ำหวานซึมออกมา ให้เด็กได้ลองกัดและบดเคี้ยวอย่างปลอดภัยโดยไม่มีเศษอาหารหลุดเข้าคอ

# # 3. หลักการด้านพฤติกรรมและการสร้างกิจวัตร (Behavioral and Routine-Based Approach)
การกินเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่ง นักกิจกรรมบำบัดจะเข้าไปช่วยปรับสภาพแวดล้อมและสร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้เกิดพฤติกรรมการกินที่ดี

ปัญหา: เด็กอาจเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการกิน (เช่น สำลัก, ถูกบังคับ) ทำให้เชื่อมโยงมื้ออาหารเข้ากับความรู้สึกแย่ๆ หรือเด็กเรียนรู้ว่าถ้าปฏิเสธอาหารแข็ง สุดท้ายก็จะได้อาหารปั่นที่ชอบ

แนวทางการฝึก:

สร้างกิจวัตรการกินที่ชัดเจน: กำหนดเวลาและสถานที่กินให้เป็นเวลาเดิมๆ บรรยากาศผ่อนคลาย ไม่มีสิ่งรบกวน เช่น ทีวี หรือของเล่น

ใช้แรงเสริมทางบวก (Positive Reinforcement): ให้คำชมเชยหรือรางวัลเล็กๆ น้อยๆ (เช่น สติกเกอร์) เมื่อเด็กยอมลองอาหารใหม่ๆ แม้จะแค่เอาลิ้นแตะหรืออมไว้ในปากก็ตาม หลีกเลี่ยงการลงโทษหรือบังคับ เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง

ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นลำดับขั้น (Gradual Exposure): ไม่บังคับให้กินทันที แต่เริ่มจากแค่ยอมให้อาหารใหม่วางอยู่บนโต๊ะ -> ยอมให้อยู่ในจานของตัวเอง -> ยอมใช้ช้อนตัก -> ยอมดม -> ยอมเอามาแตะปาก -> ยอมเอาเข้าปากแล้วคายออก -> และสุดท้ายคือยอมเคี้ยวและกลืน

# # 4. หลักการประเมินองค์รวม (Holistic Evaluation)
นักกิจกรรมบำบัดจะมองภาพรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ท่าทางการนั่งกิน ซึ่งสำคัญต่อความมั่นคงและการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก, ทักษะการใช้มือและสายตา ในการตักอาหารเข้าปาก และ ปัจจัยแวดล้อม ของครอบครัว เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเด็กและครอบครัวนั้นๆ มากที่สุด

โดยสรุป นักกิจกรรมบำบัดไม่ได้มุ่งเน้นแค่ "ป้อน" หรือ "บังคับ" ให้เด็กกิน แต่ใช้หลักการเหล่านี้เพื่อ เตรียมความพร้อม ของร่างกายและจิตใจเด็กให้สามารถยอมรับและจัดการกับอาหารที่มีความซับซ้อนขึ้นได้ด้วยตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยั่งยืน

#ครูน้ำฝนนักกิจกรรมบำบัด #แม่และเด็กอ่อน #นักกิจกรรมบำบัด #แม่และเด็ก #พัฒนาการเด็ก #กิจกรรมบำบัด #กินยาก #เด็กพูดช้า #ฝึกกินอาหารหยาบ #ฝึกกิน #เคี้ยวไม่ได้ #ไวต่อสัมผัส

27/08/2025

การสบตา , การมีสมาธิร่วมกัน ,และการใช้ท่าทาง มีความสำคัญอย่างไร ต่อพัฒนาการด้านการพูดสื่อสาร

02/08/2025

เด็กดูเหมือนไม่นิ่ง ยุกยิก อาจมาจากเอ็นข้อหย่อน กล้ามเนื้อนุ่มนิ่ม

#ครูน้ำฝนนักกิจกรรมบำบัด #การเล่น #พัฒนาการการเล่นในแต่ละช่วงวัย #แม่และเด็กอ่อน #นักกิจกรรมบำบัด #นายแพทย์ประเสริฐ #แม่และเด็ก #พัฒนาการเด็กเล็ก #พัฒนาการเด็ก #กิจกรรมบำบัด

ที่อยู่

Lampang
10900

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็กผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

Occupational Therapy

ยังมีอีกหลายคนในประเทศไทย ที่ยังไม่มีใครรู้จัก อาชีพ นักกิจกรรมบำบัด ซึ่งภาษาอังกฤษ เรียกว่า Occupational Therapist ซึ่งในต่างประเทศอาชีพนี้ถือเป็นที่รู้จักและค่อนข้างนิยมติดอันดับท๊อปเทนของอาชีพที่ทำแล้วมีความสุขและรายได้ดีมาโดยตลอด แต่สำหรับประเทศไทย ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงแพร่หลายกว้างขวาง

ถึงแม้จะมีมายาวนานกว่า 30 กว่าปีมาแล้ว ในตอนนี้มี 2 มหาวิทยาลัยในไทยที่เปิดผลิตบุคลากรอาชีพนี้ออกมา ได้แก่ คณะเทคนิคการแพทย์ สาขากิจกรรมบำบัด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ คณะกายภาพบำบัดสาขากิจกรรมบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ทำให้เป็นวิชาชีพที่ขาดแคลนบุคลากรด้านนี้ในประเทศไทยด้วย โดยใช้เวลาเรียน 4 ปี ได้รับวุฒิปริญญาตรี วทบ. วิทยาศาสตร์(กิจกรรมบำบัด) และก่อนจะทำงานต้องมีการสอบขึ้นทะเบียนใบประกอบโรคศิลป์ตามวิชาชีพอย่างถูกต้องตามกฏหมาย

ซึ่งวิชาชีพนี้ทำหน้าที่ ประเมิน ส่งเสริม บำบัดรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้รับบริการให้สามารถดำรงชีวิตในประจำวันทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มความสามารถ โดยผ่านการวิเคราะห์กิจกรรมจากปัญหาแต่ละบุคคลโดยนักกิจกรรมบำบัด ซึ่งสามารถทำได้ทั้ง ผู้สูงอายุ, ผู้ป่วยฝ่ายกาย, ผู้ป่วยฝ่ายจิต, เด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการหรือการเรียนรู้ หรือเด็กทั่วไปปกติที่ต้องการเสริมศักยภาพมากขึ้น

เราเป็นนักกิจกรรมบำบัดตัวเล็กๆคนนึง อยากนำเสนอให้ทุกคนได้รู้จักและเข้าถึงบทบาท แบ่งปันความรู้ที่ยังไม่มีใครรู้หรือเข้าใจให้เป็นประโยชน์ค่ะ