ปรีชาเวชภัณฑ์ ทางเข้าบขส.ลพบุรี

ปรีชาเวชภัณฑ์ ทางเข้าบขส.ลพบุรี ยินดีให้คำปรึกษาด้านยา

06/09/2025

มีเคสแปลกๆจากเกาหลีใต้ 🧐 หญิงวัย 65 ปี ปวดเข่าหนักมาก เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม เคยกินยาแก้ปวด กินยาต้านการอักเสบก็แล้ว ฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อเข่าก็แล้ว แต่ก็ยังไม่หาย สุดท้ายเลยหันไปลองฝังเข็มแทน 😮‍💨
ทีนี้เธอไปฝังเข็มบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เพราะปวดจนทนไม่ไหว แต่แล้ววันหนึ่งปวดจนต้องไปโรงพยาบาล พอเอกซเรย์ปุ๊บ หมออึ้ง 😳
กระดูกตรงเข่าหนาขึ้น แข็งขึ้น แถมมีเดือยกระดูกงอกออกมา แต่ที่อึ้งคือ…มีจุดเล็กๆเต็มไปหมดรอบๆเข่า พอส่องดีๆ อ้าว! ที่แท้มันคือ “เส้นทองคำ” ✨
เรื่องของเรื่องคือหมอฝังเข็มเขาฝังเส้นทองสั้นๆทิ้งไว้ เพื่อกระตุ้นการรักษาไปเรื่อยๆ แต่หมอเขาเตือนเลย เพราะมันมีความเสี่ยงเยอะมาก 😬
เคยมีเคสที่เส้นทองทำให้เกิดถุงน้ำ (cysts) หรือบางทีเส้นทองดันเคลื่อนที่ไปที่อื่น เช่น ฝังไว้ที่หลัง แต่ดันไหลลงไปถึงขาเลยก็มี! 😱 แถมยังเสี่ยงทำให้ติดเชื้ออีกต่างหาก
แค่นั้นยังไม่พอ 🔎 เส้นทองทำให้เอกซเรย์อ่านยากขึ้น แล้วก็ไม่สามารถทำ MRI ได้ด้วย เพราะถ้าโลหะมันเคลื่อนตัวไปโดนเส้นเลือดใหญ่ เรื่องใหญ่แน่ 🩸
อีกอย่างคือ อาจทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมทันเวลา โรคเลยแย่ลงกว่าเดิม เพราะการฝังเข็มด้วยเส้นทองแม้จะเป็นวิธีที่นิยมในเอเชีย แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าวิธีนี้ได้ผลจริง 🕰️
ใครที่อยากลองฝังเข็ม แนะนำให้เลือกแบบทั่วไปที่ทำโดยแพทย์แผนจีนหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตก็พอ 🪡 เพราะถือว่าปลอดภัยกว่าเยอะ อย่าไปฝังอะไรทิ้งไว้ในร่างกายเลยเนอะ 😅
ปล. เพิ่มเติมหน่อยกันคนเข้าใจผิด คือการฝังเข็มแบบปกติที่เราคุ้นเคยกัน แบบนั้นเขาจะไม่ใส่เส้นทองลงไปด้วยนะ ไม่ต้องกลัวว่าไปฝังเข็มธรรมดาแล้วจะมีเส้นทองแถมมาแบบในรูป (ใครเขาจะแถมเล่า ปั๊ดโถ่ กำลังแพง 😅) การฝังเข็มแบบปกติถือว่าค่อนข้างปลอดภัยและได้รับการยอมรับนะ ไม่ต้องกลัว ไปทำได้
#การแพทย์ #แพทย์แผนจีน #ฝังเข็ม

03/09/2025

*** มาใหม่ต้องอ่านเรื่องนี้ ***

คนเดิม ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็ต้องอ่าน...

** เมื่องดกิน น้ำตาลกลูโคสในเลือดมาจากไหน **

โพสต์นี้ยาว... ใครอ่านจบ ยกมือขึ้นในเม้นต์หน่อยครับ

ตอบคำถาม ไม่กินคาร์บแล้วน้ำตาลกลูโคส มาจากไหน...

สำหรับในคนปกติทั่วไป ไม่ได้กินยาลดระดับน้ำตาล ไม่ได้เป็นเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน

จะได้เลิกกลัว "น้ำตาลต่ำ" น้ำตาลไม่พอ กันเสียที

กลไก การสร้างน้ำตาลใหม่ เกือบทั้งหมด "เกิดขึ้นที่ ตับ"
(บางส่วนเกิดขึ้นที่ไต แต่ไม่ได้มีสัดส่วนมาก ขอเก็บไว้ก่อน)

กลไก การสร้าง โดย ตับ ต้องมีสารตั้งต้น (substrates) จำแนก 2 กลุ่ม
ได้แก่

1. มาจากคาร์บในร่างกาย (carbohydrate precursors) นั่นก็คือ
ไกลโคเจน ซึ่งมี 100 กรัมในตับ และไม่เกิน 300 กรัมในกล้ามเนื้อ(คนทั่วไป)

ไกลโคเจนที่ตับ >> จะถูกใช้เป็นสิ่งแรก ในการสร้าง น้ำตาลกลูโคส!
จนกว่า อินซูลิน จะลดต่ำลง และ กลูคากอนรวมถึงฮอร์โมนฝั่ง catabolic สูงขึ้น
การสลายไกลโคเจน จึงจะลดลง หรือ ไม่ก็ ไกลโคเจนในตับเกลี้ยง

ไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อ >> 300 กรัม จะไม่ถูกใช้ในภาวะ นั่งๆ นอนๆ ไม่มีการขยับ
กล้ามเนื้อเลย และการขยับแบบ ลุกนั่งไม่ต่อเนื่อง ก็ไม่พอจะกระตุ้นใช้ไกลโคเจน

2. มาจากแหล่งที่ไม่ใช่ คาร์บ (non-carbohydrate precursors) ได้แก่

1. Lactate (จาก Cori cycle) ซึ่งมาจาก
เม็ดเลือดแดง (RBC) อันนี้เป็นปกติเลย
กล้ามเนื้อที่ทำงานหนัก (anaerobic glycolysis)
กลไก คือ Lactate จะถูกส่งทางเลือดไปยังตับ → เปลี่ยนเป็น pyruvate
→ เข้าสู่การสร้างน้ำตาลใหม่ (gluconeogenesis)

เราเรียก Cori cycle หรือ วัฏจักร ของคอลิ เพราะ นี่คือกระบวนการหมุนเวียน
กลูโคส → lactate (กล้ามเนื้อ) → lactate → glucose (ในตับ)

2. Glucogenic Amino Acids หรือ กรดอะมิโน สายที่เข้า Kreb cycle แล้วได้กลูโคส
ออกมาได้ โดยเฉพาะ Alanine มาจากการสลายโปรตีนในกล้ามเนื้อ แต่ไม่ใช้สลายตัวกล้ามเนื้อ
โดยตรง ถ้าคุณกินโปรตีนพอ โดย Alanine ถูกส่งไปยังตับ → เปลี่ยนเป็น pyruvate → เข้าสู่การสร้างน้ำตาลใหม่ (gluconeogenesis)

3. Glycerol (จากการสลายไขมัน) ยังจำได้ไหม ที่ผม live สอนว่า ตอนสลายไขมัน
ไตรกลีเซฮร์ไรด์ออกมาจากเซลล์ไขมัน เราได้อะไรออกมาบ้าง 555

OK ทวนให้ก็ได้ครับ

Triglycerides ใน adipose tissue → สลายเป็น glycerol + fatty acids
Glycerol → Glycerol-3-phosphate → DHAP → เข้าสู่การสร้างน้ำตาลใหม่ (gluconeogenesis)

สรุป ทั้ง 3 กระบวนการสร้างน้ำตาล "เกิดขึ้นที่ตับ"

ตับจึงเป็นนักเคมีที่เก่งมากๆ

มี กูรู หลายท่านเคยกล่าวว่า
ถ้าจะสร้าง สารต่างๆ ในกระบวนการด้วยน้ำมือเรา
เราอาจจะต้องมี ห้อง lab ที่ใหญ่มาก ในการใส่เครื่องมือ
ในการสร้างสารต่างๆ ให้ได้ตามขั้นตอนที่เกิดขึ้นในตับ

ใครอ่านไม่เข้าใจ ดูสรุปนี้เลย นั่นคือ

*** ตับสร้างน้ำตาลกลูโคสได้จาก ***
ไกลโคเจน
กรดอะมิโน
ไขมัน (กลีเซอรัล จาก ไตรกลีเซอรไรด์)
แลคเตต (lactate)

ซึ่งนั่นมากพอที่จะทำให้คุณ (ที่มีกิจวัตรปกติไม่ได้ออกแรงมาก)
ไม่ต้องเติมคาร์บมากถึง 250 กรัม หรือ 50% ของ Total Calories ต่อวัน
โดยเฉพาะ ถ้าคุณ มีไขมันสะสมอยู่นับ แสนแคล อยู่แล้ว...

#หมอจิรรุจน์

ฝากแชร์ด้วยนะครับ...
ไม่รู้ว่า ผมทำผิดกฎอะไรของอัลกอรึธึมของพี่มาร์ก
เพื่อนๆ ของเราจึงเห็นน้อยลงกว่าเดิมมาก
คงต้องวาน ทุกท่าน ช่วยกันดันแล้วล่ะครับ

28/08/2025

ผู้ป่วยอายุ 50
ถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติ
ผลการตรวจละเอียดพบว่า
เส้นเลือดในสมองแตก เลือดออกปริมาณมาก

หมอผ่าตัดประเมินว่า
หากผ่าตัดมีโอกาสรอดแค่ 10%
และถ้ารอดก็อยู่ในสภาพเป็นผัก
ติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

คืนนั้น หมอผ่าตัดคุยกับลูกของผู้ป่วย
เป็นคนเดียวที่ตัดสินใจได้
(อายุ 28)

ได้ตัดสินใจว่าไม่ผ่า

2 วันต่อมา อาการคนไข้ ทรุดลงตามลำดับ
ผมจึงโทรแจ้งลูกอีกครั้งว่า
คงไม่เกิน 24-48 ชม.

ลูกถาม
"ผ่าตอนนี้ยังทันไหม"
"ญาติพี่น้องของคนไข้ที่ต่างจังหวัด
บอกว่า รับได้ ถึงจะเป็นผักก็รับได้"

ผมชี้แจงไปว่า ตอนนี้ความดันเริ่มตกแล้ว
คงผ่าตัดไม่ไหว

"หนูตัดสินใจผิดใช่ไหมหมอ
วันนั้นหนูตัดสินใจผิดใช่ไหม
ถ้าผ่าตั้งแต่วันนั้นก็ผ่าได้ใช่ไหม"


หมอไม่คิดอย่างนั้นนะครับ
ถ้าผ่าวันนั้นก็มีโอกาสรอดแค่ 10%
และคนไข้อยู่ในสภาพติดเตียง

แต่ละครอบครัว อาจจะคิดไม่เหมือนกัน
บางครอบครัวอาจดูแลได้จริง ๆ
แต่หมออยากให้เราคิดดูดี ๆ ว่า
ถ้าเป็นเราเอง เราอยากเป็นแบบนั้น
อยากมีชีวิตแบบนั้นจริงๆ เหรอ
แบบที่ช่วยตัวเองไม่ได้
กินเองไม่ได้ พูดไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้

หมอไม่รู้ว่า คนอื่นคิดยังไง
แต่ถ้าเป็นหมอ หมอคงไม่อยากกินในสภาพนั้น
และหมอคิดว่า เราตัดสินใจดีที่สุดแล้วครับ
อีกสองวัน คนไข้ก็จากไป


ผมเชื่อว่า คำถาม ฉันตัดสินใจถูกไหม
จะยังอยู่ในใจลูกไปอีกนาน
อาจจะไม่มีวันหายไปเลยก็ได้
ไม่มีปลดล็อกสิ่งเหล่านี้ ออกไปได้
นอกจากตัวเขาเอง

ได้แต่หวังว่า คำบางคำของเรา
จะช่วยบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง

14/08/2025

มีคนเปิดช่องให้จำกัดเคสนัดแล้วววว

11/08/2025

MIND: ผู้เชี่ยวชาญชี้ทางออกปัญหาสุขภาพจิตเด็ก
คือ 'งดใช้โซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16’
แต่ถ้าพ่อแม่บังคับลูกช่วงวัยรุ่น
ความสัมพันธ์อาจพังยาว
ทุกวันนี้ปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาใหญ่ของวัยรุ่น และงานวิจัยร่วมสมัยก็ค่อนข้างชี้ไปในทางเดียวกันว่ามันเกิดจากการใช้โซเซียลมีเดียมากเกินไป และในบริบทแบบนี้ นักปฏิรูปการใช้เทคโนโลยีคนดังแห่งยุคผู้ปลุกกระแสการควบคุมการใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียของวัยรุ่นอย่างโจนาธาน ไฮท์ ก็ประกาศกร้าวว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะทำได้ก็คือ ห้ามลูกใช้โซเชียลมีเดียใดๆ ก่อนอายุ 16 ปี ซึ่งพูดแบบในอเมริกาก็คือ เด็กพร้อมใช้โซเชียลมีเดียพร้อมๆ กับที่พวกเขาพร้อมจะ 'ขับรถ' นั่นแหละ
แน่นอน นี่เป็นข้อเสนอแบบอุดมคติที่น่าจะได้ผลจริงๆ ในการแก้ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น อันเกิดจากโซเชียลมีเดียอย่างมหาศาล
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็กลับมองข้ามข้อเท็จจริงง่ายๆ ว่า ที่จริงแล้ววัยรุ่นสมัยนี้ฉลาดมาก พวกเขามีหนทางจะซ่อนแอปพลิเคชันไม่ให้เราเห็น พวกเขามีทางจะเปิดแอคหลุมไว้คุยกับเพื่อนและ 'มีชีวิต' และเปิดบัญชีอีกอันเอาไว้ให้พ่อแม่เห็นและตายใจ ฯลฯ
ดังนั้นในทางปฏิบัติ มันแทบจะห้ามไม่ได้
แต่ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น การเสนอให้พ่อแม่ห้ามลูกใช้โซเชียลมีเดียหรือ 'มือถือ' โดยรวมๆ เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งนั้น
หรือพูดอีกแบบก็คือ คำถามของเรื่องนี้จริงๆ ไม่ใช่ควรจะห้ามหรือไม่ห้าม แต่ควรตั้งคำถามถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกหมกมุ่นกับโซเชียลมีเดีย ติดหน้าจอ นึกอะไรไม่ออกก็ไถมือถือแต่แรก?
แน่นอน เราจะมองสิ่งเหล่านี้ชั่วร้ายแบบ 'สิ่งเสพติด' ก็ย่อมได้ แต่งานศึกษาเรื่องการเสพติดในสังคมนับไม่ถ้วนก็ทำให้เห็นว่า การมองสิ่งเสพติดว่าชั่วร้ายแล้วจบมันมีปัญหา เพราะมันไม่ได้แก้ 'เหตุ' ที่ทำให้คน 'เสพติด' สิ่งเหล่านี้แต่แรก
พูดง่ายๆ คนที่เสพติดทุกอย่างในภาพรวม เขากำลัง 'หนี' จากอะไรบางอย่าง หากไปห้ามเขาติดสิ่งนี้ เขาก็จะไปติดสิ่งอื่นอยู่ดี ซึ่งในกรณีของโซเชียลมีเดีย ถ้าพ่อแม่ห้ามใช้ ลูกแอบไปใช้ การใช้โซเชียลมีเดียของลูกก็จะไกลหูตาพ่อแม่ในระดับที่ว่า บางทีมันอาจเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นก็เป็นได้ (นึกถึงซีรีส์ดังของ Netflix อย่าง ‘Adolescence’)
แล้วพ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นในสมัยนี้ควรจะทำอย่างไร?
หลักๆ แล้วเราต้องยอมรับก่อนว่ามีลูกวัยรุ่น การ 'ห้าม' คือการ 'ยุ' ดังนั้นการห้าม การแบนอะไร นอกจากจะไม่ทำให้ลูกหยุดเข้าใกล้สิ่งเหล่านั้นได้แล้ว มันยังทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับลูกย่ำแย่ด้วย โดยสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ส่งผลในปัจจุบัน แต่ส่งผลเมื่อลูกโต ที่ลูกอาจออกไปจากบ้านแล้วไม่กลับมาอีกเลยก็ได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ลองไปถามคนที่ไม่กลับไปหาพ่อแม่เลยก็ได้ ว่าเมื่อสมัยวัยรุ่นเขาโดนอะไรมาบ้าง
แล้วถ้าห้ามลูกไม่ได้ต้องทำยังไง? ที่จริงแล้วมันคือเทคนิคที่เรียกว่าการ 'สนับสนุนเชิงบวก' (Positive reinforcement) ซึ่งโดยรวมหมายถึงการทำให้สิ่งใดก็ตามทำในสิ่งที่เราต้องการ ด้วยการสนับสนุนให้ทำสิ่งนั้น แต่ไม่ลงโทษเวลาทำสิ่งที่ไม่ต้องการให้ทำสิ่งนั้น ซึ่งการลงโทษมันเรียกว่าการ 'สนับสนุนเชิงลบ' (Negative reinforcement)
แล้วจะสนับสนุนเชิงบวกให้ลูกไม่เล่นโซเชียลมีเดียจนเเสียสุขภาพจิตได้ยังไง? โดยรวมคือต้องทำให้กิจกรรมอื่นๆ ในบ้านมันสนุกและน่าสนใจจนลูกไม่ 'หนี' ไปในโซเชียลมีเดีย บนโต๊ะอาหาร แทนที่จะแบนไม่ให้ลูกเล่นมือถือ เราก็ต้องทำบทสนทนาให้ลูกอยากคุย ไม่ใช่ถามอะไรไปส่งๆ ซึ่งจริงๆ นี่ก็คือจิตวิทยาทั่วไป คือเราก็ต้องทำให้ลูกอยู่ในภาวะที่อยากพูดคุยและกล้าพูด ไม่ใช่ทำให้ลูกรู้สึกพูดอะไรก็ผิดจนไม่อยากพูดอีกเลย เพราะบรรยากาศแบบนี้ไม่ใช่แค่เด็ก แม้แต่ผู้ใหญ่โตๆ แล้วก็จะหันไปเล่นมือถือ เพราะไม่อยากคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะ
ปัญหาต่างๆ ในชีวิตของลูกเราก็ต้องติดตาม ความใส่ใจต่างๆ นั้นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราต้องทำมากกว่าการถามอัปเดตชีวิตไปส่งๆ คำถามที่ควรถามไม่ใช่ “วันนี้เรียนหนังสือเป็นไงบ้างลูก?” แต่เป็น “วันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตบ้างลูก?” เพราะนี่คือคำถามที่ถามความรู้สึก และเปิดโอกาสให้ลูกแชร์ความรู้สึก ซึ่งมันสำคัญมากสำหรับสุขภาพจิตวัยรุ่น แล้วถ้าลูกพูดกับเราได้ ระบายกับเราได้ก็สบาย ปัญหาส่วนใหญ่ที่เหลือเป็นเรื่องของรายละเอียดทั้งหมดแล้ว
แน่นอน พ่อแม่จำนวนมากต้องการเคี่ยวเข็ญให้ลูกเป็นบางอย่าง แต่พ่อแม่แทบทั้งหมดที่เคยใช้อำนาจหนักๆ กับลูกตอนพวกเขาเป็นเด็ก ก็มักจะตระหนักดีว่าพอลูกเป็นวัยรุ่นมันทำแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างต้องเปลี่ยน และนั่นไม่ใช่เพื่อสุขภาพจิตของลูกวัยรุ่น แต่เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ไม่เสียหายไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
สุดท้าย สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ มนุษย์ทุกคนล้วนแตกต่างกัน วัยรุ่นทุกคนไม่เหมือนกัน พ่อแม่ทุกคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ละบ้านก็น่าจะมีแนวทางที่ลงตัวในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกตอนวัยรุ่นที่ต่างกัน ซึ่งนั่นไม่ใช่การห้ามลูกใช้โซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16 ปี เพราะถ้าเราคิดว่ามัน 'ได้ผล' มันมีโอกาสสูงมากที่ลูกจะ 'หลอก' เราอยู่ และนั่นคือสัญญาณว่าเขาสูญเสียความเชื่อใจเราแล้ว หากมีอะไรเขาจะไม่พูดกับเรา อาจไม่ใช่แค่ตอนวัยรุ่นเท่านั้น แต่เป็นตลอดไปในชีวิต

11/08/2025

ข่าวเด็กทุบอาจารย์ รัวหมัดนี่ อีกแล้ว หัวร้อน หรือ ภาวะจิตใจไม่ปกติ ?

โรคอารมณ์ระเบิด คือ เป็นข่าว อย่างบ่อย โมโหรวดเร็ว เฉียบพลัน แบบไม่มีเหตุจูงใจที่เหมาะสม พออารมณ์สงบมาเสียใจ พูดดี เอาจริง เจอทั้ง ครู นักเรียน สามีภรรยา ด่าทอ โวยวาย เตะซ้อม ต้อวรอจนสงบ ก็กลับมาปกติ เจอที่ไหนหลีกให้ไกล ตัว อจ เอง ก็ เจอคนไข้ วิ่งไล่ด่าพยาบาล เหตุแค่เลยคิว

ไม่รู้กรณีนี้ โกรธธรรมดา หรือ เป็น โรคIntermittent Explosive Disorder (IED) หรือ ภาวะควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้จนระเบิดรุนแรง กันแน่

เราอาจเรียก “โรคอารมณ์ระเบิด” ก็ได้ เพราะ IED อยู่ในหมวด Impulse-Control Disorders หรือ ความผิดปกติในการควบคุมแรงกระตุ้น ซึ่งหมายถึงอาการที่บุคคลไม่สามารถยับยั้งแรงกระตุ้นให้ทำพฤติกรรมรุนแรงหรือทำลายได้ แม้รู้ว่าจะเกิดผลเสียตามมา

โรคอารมณ์ระเบิด IED นี่คือ ความผิดปกติทางจิตเวชที่ทำให้คนหนึ่งตอบสนองด้วยความรุนแรงเกินเหตุ เช่น เพื่อนพูดแซวเพียงนิดเดียว แต่กลับตะโกนด่า ต่อย เตะ หรือทำลายข้าวของทันที เหตุการณ์มักเกิดโดยไม่ทันคิด ไม่ได้วางแผน และไม่สามารถหยุดได้แม้รู้ว่ากำลังทำร้ายผู้อื่น

ต่างจากความโกรธปกติที่มักมีขั้นตอน คือ เริ่มไม่พอใจ คิดทบทวน ตัดสินใจว่าจะตอบโต้หรือไม่ และมักหยุดได้ก่อนถึงขั้นรุนแรง ความโกรธแบบ IED จะข้ามขั้นคิดไปเลย — ร่างกายเหมือนถูกกดปุ่มระเบิดอารมณ์ ปฏิกิริยาโกรธจึงพุ่งขึ้นสูงสุดในเวลาไม่กี่วินาที

หลังจากนั้น หลายคนที่มี IED กลับรู้สึกเสียใจ อับอาย หรือสำนึกผิด แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดซ้ำ เพราะรากของปัญหาอยู่ที่ระบบควบคุมอารมณ์ในสมองทำงานผิดปกติ

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ คิดว่า IED เป็นแค่ “นิสัยหัวร้อน” แต่ในความจริงมันไม่ใช่ เพราะ IED ต้องรักษา

ลักษณะที่สงสัย อาการของ โรคอารมณ์ระเบิด
• มีการระเบิดอารมณ์รุนแรง เช่น ตะโกน ทำลายข้าวของ หรือทำร้ายคน/สัตว์
• เหตุที่กระตุ้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความรุนแรงของการตอบสนอง
• เกิดแบบฉับพลัน ไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า
• เกิดซ้ำ ๆ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
• หลังเหตุการณ์ ผู้ป่วยอาจรู้สึกผิด เสียใจ หรืออับอาย

สาเหตุ IED ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลจากการผสมผสานของหลายด้าน
คือ ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะ เซโรโทนิน (serotonin) ที่ต่ำ

หรือ ความผิดปกติของสมองส่วน amygdala (ควบคุมอารมณ์กลัว/โกรธ) และ prefrontal cortex (ควบคุมการยับยั้งพฤติกรรม)

อีกอันคือ ปัจจัยทางพันธุกรรม

พฤติกรรมก้าวร้าวอาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางส่วน คืออันนี้จริง เพราะเคยเห็นคนเป็น โรคอารมณ์ระเบิดทั้งครอยครัว คือ โวยวาย ทั้ง รพ แถม ตาม คราบครัวมาโวยวายอีก

พวกนี้ พบจิตแพทย์ครับ

อันตราย ทั้งต่อตัวเอง และสังคม

- อจ สุรัตน์

16/07/2025

"ทำไมหมอไทยชอบแนะนำให้เช็ดตัวหรือกินยาลดไข้ แต่หมอในต่างประเทศกลับบอกว่าไข้คือสิ่งที่ดี ไม่ควรเช็ดตัวหรือให้ยาเลย❓"

คำพูดจากพ่อแม่ชาวต่างชาติหลายท่าน ที่ได้ยินซ้ำไปซ้ำมา จนเป็นจุดที่ทำให้ผมกลับมา review เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับ “ไข้ในเด็ก” ว่าทั่วโลกเขาพูดถึงเรื่องนี้กันยังไงบ้าง?

โพสต์นี้เป็นการสรุปจากงานวิจัยและ guideline 19 ฉบับ ทั้ง AAP, NICE, WHO และ systematic review และ meta-analysis
ใครสนใจ reference ทั้งหมด ดูได้ในรูป comment ด้านล่างเลย 👇

📌 Topic: ลูกเป็นไข้ ควรทำอย่างไร? ไข้กี่องศาควรให้ยา? เช็ดตัวดีไหม? วันนี้จะมาสรุปแบบ Q&A 11 ข้อครับ

ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านโพสต์ตาม link นี้ครับ https://www.facebook.com/share/p/1HfbgxmYKs/

=========================================
❓ Q1: ไข้ในเด็กคืออะไร?
• ไข้เป็น Defense mechanism ของร่างกาย โดยที่ hypothalamus จะปรับ set point อุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อ illness หรือ infection
• ร่างกายทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเพื่อเพิ่ม immune efficiency มาต่อสู้กับเชื้อโรค เช่น
1. ↑ neutrophil, ↑lymphocyte, IL1, INF ทำงานฆ่าเชื้อได้เก่งขึ้น
2. inhibit viral replication & Bacterial growth

🧪 ตัวอย่างงานวิจัยบางชิ้นที่บอกว่าไข้มีประโยชน์ เช่น
1. งานวิจัยในฟินแลนด์ทำในเด็ก 102 คนที่เป็น Salmonella enteritis พบว่าเด็กที่ไข้สูงจะมี duration of excretion ที่สั้นกว่าเด็กที่ไม่มีไข้
2. Human volunteers infected with rhinovirus การใช้ยาลดไข้สัมพันธ์กับ antibody ที่ต่ำลง, viral shedding นานขึ้น
3. เด็กที่มาด้วย severe infection [เช่น pneumonia or septicaemia] พบว่าอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำสัมพันธ์กับ mortality rate ที่สูงขึ้น

=========================================
❓ Q2: อุณหภูมิเท่าไหร่ถึงเรียกว่ามีไข้? มี cutpoint ไหม?
• ทั้ง AAP, NICE และ guideline อื่นๆ เขียนว่านิยามจริงๆของไข้คือ "a body temperature that is higher than normal"
(ซึ่งอุณหภูมิปกติของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับ age, general health, activity level, and time of day)
• นั่นหมายความว่า คำว่าไข้ของเด็กแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน
• คนที่จะรู้อุณหภูมิปกติของเด็กได้ดีที่สุดคือพ่อแม่ที่เป็นคนเลี้ยง ดังนั้นถ้าพ่อแม่บอกว่าลูกมีไข้จึงเป็นสิ่งที่ควรเชื่อพ่อแม่มากกว่าเชื่อตัวเลขที่วัดได้จริงที่โรงพยาบาล
(NICE guideline เขียนไว้ชัดเจนว่า Reported parental perception of a fever should be considered valid and taken seriously by healthcare professionals)
• แต่ในทางการแพทย์เรามักจะอิงกันว่า BT ≥38°C (วัดทาง re**al) คือมีไข้ เพื่อให้สื่อสารกันเข้าใจง่าย
[ถ้าวัดทาง axilla จะต่ำกว่าทาง re**al ประมาณ 0.5C ดังนั้น Axilla จึงตัดที่ BT 37.5C โดยประมาณ]

=========================================
❓ Q3: เป็นไข้กี่องศาถึงควรให้ยาลดไข้?
• เป็นสิ่งที่ทุก paper เขียนตรงกันแบบไม่มีข้อโต้แย้ง คือ การรักษาไข้ไม่ได้ดูจากตัวเลข body temperature แต่ให้ดูจากความไม่สุขสบายของเด็ก
• KEYWORD = treat discomfort not temperature
• ถ้าเด็กดูสบาย เล่นได้, กินได้, นอนได้, ไม่ซึม → ไม่จำเป็นต้องให้ยา แม้ว่าไข้จะสูง
• ดังนั้น การที่วัดไข้ลูกตอนกลางคืนที่กำลังหลับอยู่ พอวัดได้ว่ามีไข้ แล้วปลุกลูกขึ้นมากลางดึกเพื่อกินยาลดไข้ เช็ดตัว จึงไม่ควรทำ

=========================================
❓ Q4: ถ้าปล่อยให้เด็กเป็นไข้สูงแล้วไม่รักษา จะทำให้เด็กเป็นไข้ชักหรือเปล่า?
• ทุก paper เขียนไว้เหมือนกันว่า antipyretic agents "do not" prevent febrile convulsions
• สาเหตุเพราะจริงๆแล้วกลไกการเกิด febrile seizure ไม่ได้เกิดจากไข้สูงโดยตรงแต่เกิดจาก cytokine จาก inflammatory process ที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ

🧪 ตัวอย่าง Evidence ที่อธิบายเรื่องนี้
1. เด็กๆเป็นไข้กันได้บ่อยมากๆ แต่พบ febrile seizure เพียง 1/3 เท่านั้น → แสดงว่าไข้อย่างเดียวไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิด seizure เสมอไป
2. เด็กบางคนมี seizure ในช่วงติดเชื้อทั้งๆที่ไม่มีไข้ (afebrile seizure) และไม่มีการติดเชื้อในสมองด้วย
3. ไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ทำให้เกิด febrile seizure (เช่น rotavirus, RSV) ก็ทำให้เกิด afebrile seizure ได้เช่นกัน
4. พบว่าเด็กที่มี febrile seizure มีระดับ interleukins (IL-1, IL-6, IL-10), TNF-α, HMGB1 สูงกว่าปกติอย่างชัดเจน
5. ในหนูทดลอง การฉีด IL-1 ปริมาณมากสามารถกระตุ้น seizure ได้ แม้ไม่มีไข้ → สนับสนุนว่า cytokine อาจเป็น trigger ได้จริง มากกว่าแค่ temperature elevation
• สรุปว่า Febrile seizure และ fever อาจเป็นแค่ "collateral events" จาก immune response ใน context ของการติดเชื้อ
• การให้ยาลดไข้จึง ไม่สามารถป้องกัน febrile seizure ได้ เพราะไม่ได้จัดการที่ตัว inflammatory process ที่เกิดขึ้น
• ทุก paper เน้นย้ำว่าเราควรให้ความรู้พ่อแม่ว่า Febrile seizures มักจะ benign และไม่ได้มี long-term neurological or cognitive damage เพื่อลดความตื่นตะหนกตกใจของพ่อแม่

=========================================
❓ Q5: มีหลักฐานที่เป็น Clinical research ไหมที่บอกว่ายาลดไข้ไม่สามารถป้องกัน febrile seizure
• มีเยอะเลย ยกตัวอย่างเช่น (คัดมาเฉพาะที่เป็น meta-analysis)
>> Rosenbloom et al. (2013) meta-analysis n = 520 ที่เคยเป็น Febrile seizure มาก่อน; พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาลดไข้และกลุ่มยาหลอก อัตราการเกิด febrile seizure ไม่ต่างกัน (22.7% ในคนที่ได้ยาลดไข้และ24.4% ในคนที่ได้ placebo)
>> Hashimoto et al. (2021) meta-analysis n = 1503 ที่วินิจฉัย Febrile seizure; พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาลดไข้และกลุ่มยาหลอก อัตราการเกิด recurrent febrile seizure ไม่ต่างกัน

=========================================
❓ Q6: ถ้าต้องให้ยาลดไข้ paracetamol หรือ ibuprofen ดีกว่ากัน? ให้สลับกันได้ไหม?
• Paracetamol: ปลอดภัยที่สุด ใช้ได้ทุกวัย ขนาด 10–15 mg/kg q4–6hr
• Ibuprofen: ใช้ได้เหมือนกันแต่หลีกเลี่ยงในเด็กที่ dehydration (เสี่ยง AKI)
*** สิ่งที่ต้องระวังในไทยคือเด็กที่เสี่ยงเป็นไข้เลือดออก ห้ามกิน ibuprofen ***
• ไม่แนะนำการให้ยาสองชนิดพร้อมกัน
• พิจารณาให้ยาแบบสลับกันได้ เฉพาะเมื่อความ discomfort กลับมาก่อนถึงเวลาให้ยาครั้งต่อไป
เช่น ให้ paracet ไปแล้ว แต่ผ่านไปไม่ถึง4ชั่วโมงแล้วเด็กมีอาการไม่สุขสบายใหม่ก็สามารถให้ ibuprofen แทนได้

=========================================
❓ Q7: เช็ดตัวลดไข้ (Tepid sponge) มีคำแนะนำยังไงบ้าง?
• Guideline ปัจจุบันทั้ง AAP, WHO, NICE ไม่แนะนำการเช็ดตัวเพื่อลดไข้
[Tepid sponging is not effective and not recommended]
• สาเหตุของการแนะนำแบบนี้เขียนไว้ดังนี้
1. จุดมุ่งหมายของการลดไข้คือเพื่อความสบายตัวของเด็ก แต่การเช็ดตัวพบว่าเพิ่มความ discomfort และ adverse effect เป็นอย่างมาก [RR ประมาณ5เท่าเมื่อเทียบกับการไม่ทำ] ได้แก่ shivering, goose pimples (cutis anserina), crying, irritable
2. การเช็ดตัวทำให้เกิดการ mismatch ระหว่าง the hypothalamic set point and skin temperature ซึ่งจะทำให้เกิด 1.peripheral vasoconstriction 2. metabolic heat production ด้วยวิธี shivering และสุดท้ายก็จะ increased discomfort

🧪 Evidence ทั้งหมดที่มีส่วนมากเป็นไปในทางเดียวกัน คือ
1. Tepid sponge vs placebo; ลดไข้ไม่แตกต่างกัน
2. Tepid sponge vs ยาลดไข้; พบว่าการเช็ดตัวเพียงอย่างเดียวลดไข้ได้น้อยกว่าการกินยาลดไข้
3. Tepid sponge+ ยาลดไข้ vs ยาลดไข้ alone; การใช้ร่วมกันจะทำให้อุณหภูมิลดลงเร็วกว่าแค่ในช่วง 15-30 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นอุณหภูมิของทั้งสองกลุ่มก็เท่ากัน
• มี Guideline ของ Australia (RCH); เขียนไว้ว่าสามารถใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าผาก เช็ดหน้าได้แบบเบาๆ แต่จุดประสงค์เพื่อให้รู้สึกสบายตัวขึ้นเฉยๆ
• ไม่มี paper ไหนที่เขียนถึงการให้เช็ดตัวแรงๆจนตัวแดง หรือเช็ดตัวย้อนรูขุมขนเพื่อให้ลดไข้ได้มากขึ้น

=========================================
❓ Q8:หลายคนแย้งว่า… guideline ที่ไม่แนะนำให้เช็ดตัวลดไข้ มาจากประเทศเมืองหนาว แต่ไทยคือเมืองร้อนนะ?
• มีงานวิจัยของประเทศเมืองร้อนเองก็มีเยอะ เช่นของประเทศไนจีเรีย มาลาวี อินโดนีเซีย บราซิล อินเดีย ฯลฯ

• 🔍 สรุปจากงานวิจัยในบริบทเขตร้อน
1. Mini-review 2021: เน้นการศึกษาใน hot tropical climates[ประเทศกานา ไนจีเรีย มาลาวี]โดยเฉพาะ
สรุปว่า tepid sponging นั้นไม่มีประสิทธิภาพในการลดไข้และมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการให้ยาพาราเซตามอลในการลดไข้ภายใน 2 ชั่วโมงหลังการรักษา (อุณหภูมิลดลงเฉลี่ย 0.39°C ในกลุ่มเช็ดตัว และ 1.6°C ในกลุ่มพาราเซตามอล)
2. Meta-analysis(Lim et al., 2018); รวมการจากหลายประเทศรวมถึง บราซิล อินเดีย ไทย และประเทศเขตร้อนอื่น ๆ
สรุปว่า no significant effect of tepid massage on temperature in febrile children และยังเพิ่มความไม่สบายตัวให้แก่เด็กอีกด้วย
3. Systematic review ปี 2024 (อินเดีย, ปากีสถาน, ไทย): มี 3/6 การศึกษาที่บอกว่าเช็ดตัวร่วมกับยาลดไข้ไม่ต่างจากการให้ยาเดี่ยวๆ

• ✅ สรุปงานวิจัยที่บอกว่าเช็ดตัวอาจจะช่วยได้
1. การศึกษาในบราซิล (2008): เช็ดตัว + ยาลดไข้ = ไข้ลดเร็วช่วง 15 นาทีแรกเท่านั้น แต่ยาลดไข้เดี่ยวๆควบคุมไข้ได้ดีกว่าในระยะ 2 ชม. แต่การเช็ดตัวแลกมากับการทำให้เด็กหลายคนหงุดหงิด ร้องไห้
2. systematic review ปี 2024 (อินเดีย, ปากีสถาน, ไทย): มี 3/6 การศึกษาที่บอกว่าเช็ดตัวร่วมกับยาลดไข้ช่วยลดไข้ได้ในช่วงแรกๆแปปนึง หลังจากนั้นก็ไม่ต่างจากการกินยาเดี่ยวๆ

=========================================
❓ Q9: ถ้าไม่เช็ดตัว แล้วควรดูแลเด็กที่มีไข้อย่างไร?
• เน้นการ hydration 💧 → น้ำเปล่า/น้ำผลไม้/ORS/นมแม่
• ถ้าเด็กไม่กินอาหารไม่ต้องบังคับ แต่ต้องเน้น hydration เป็นหลัก
• อยู่ในห้องเย็นอากาศถ่ายเท (~25°C)
• ใส่เสื้อผ้าบาง ไม่ห่อตัวแน่น
• ลดกิจกรรมหนัก พักผ่อนเพียงพอ

=========================================
❓ Q10: เด็กมีไข้แบบไหนต้องไปหาหมอ?
• อายุ < 3 เดือน มีไข้ >38C (โอกาส occult bacteremia สูง)
• เด็กทุกคนที่มีไข้ >38C "ร่วมกับ" อาการอื่นๆต่อไปนี้
1. อ้วกเยอะ ท้องเสียเยอะ กินได้น้อยมาก โอกาส dehydrate สูง
2. ดูง่วงซึม นอนหลับเยอะผิดปกติ
3. หายใจหอบ หายใจเหนื่อย หายใจผิดปกติ
4. ไข้นานกว่า 24 ชั่วโมงในเด็กอายุ

https://web.facebook.com/share/p/1J5qSsLZZ4/
19/03/2025

https://web.facebook.com/share/p/1J5qSsLZZ4/

🎯 ถาม: ถ้ากินกุ้งแล้วแพ้แบบรุนแรง อยากรู้ว่าเราเสียชีวิตจากอะไรครับ

🎤 ตอบ: เสียชีวิตจากหลอดลมตีบจนหายใจล้มเหลว ไม่ก็หลอดเลือดขยายจนความดันตก เลือดไหลไปเลี้ยงอวัยวะไม่พอจนเสียชีวิตค่ะ

จุดเริ่มต้นของการแพ้คือ การรับสารที่เสี่ยงต่อการแพ้อยู่แล้ว ร่วมกับมีพันธุกรรมที่ผิดปกติ เหนี่ยวนำให้ภูมิจดจำสารก่อภูมิแพ้ได้ง่ายกว่าปกติ หรือประสานงานไวผิดปกติ

ส่งผลให้ในที่สุดภูมิคุ้มกันเราสามารถจดจำสารก่อภูมิแพ้ ทั้งๆ ที่ภูมิคุ้มกันคนอื่นไม่ได้จดจำ เพราะสารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เชื้อโรค จึงไม่จำเป็นต้องตอบสนองอะไรด้วยซ้ำ

หลังจากที่ภูมิคุ้มกันจดจำได้ เม็ดเลือดขาวชื่อพลาสมาเซลล์จะสร้างแอนติบอดี ที่สวมกับสารก่อภูมิแพ้ได้ ดั่งแม่กุญแจกับลูกกุญแจ ซึ่งแอนติบอดีนี้ จะไปติดตั้งอยู่บนเม็ดเลือดขาวชนิด Basophil, Mast cell และ Eosinophil เพื่อรอวันที่สารนั้นกลับมาอีกครั้ง

เมื่อสารก่อภูมิแพ้เข้ามาอีกครั้ง แอนติบอดีจะตรวจจับสารนี้ได้ แล้วเปิดสวิตซ์การทำงานของเหล่าเม็ดเลือดขาว ให้ระดมปล่อยสารก่ออักเสบออกไปอย่างรุนแรงทั้งร่างกาย

ที่ผิวหนัง: เส้นเลือดขยาย น้ำรั่วออกนอกหลอดเลือดจนเป็นผึ่นบวมแบบลมพิษ

ที่ทางเดินอาหาร: สารก่ออักเสบจะระดมกระตุ้นกระเพาะและลำไส้ให้บีบตัวรุนแรงขึ้น

ที่ปอด: สารก่ออักเสบจะทำให้หลอดลมจิ๋วเกิดการตีบ อากาศเข้ายาก หายใจไม่ออก อันนี้แหละทรมานมากค่ะ ออกซิเจนในเลือดจะยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ

ที่หัวใจและหลอดเลือด: สารก่ออักเสบขยายหลอดเลือดทั้งร่าง เสมือนถังน้ำที่ขยายตัวออก แม้น้ำจะมีเท่าเดิม แต่ก็เสมือนมีน้อยลง ในกรณีนี้ก็เช่นกัน หลอดเลือดที่ขยายทั้งร่าง ทำให้ปริมาตรเลือดดูน้อยลงไป เกิดความดันต่ำลงเรื่อยๆ เลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่พอ พากันล้มตุยค่ะ

13/03/2025

เอ่อ . . . คือ
อาหารเสริมที่มี อย อ่ะ เสี่ยงกว่ายาอีก
ยิ่งบางตัวผ่าน อย โดยแค่ยื่นเอกสารออนไลน์
😒😒😒

07/03/2025

เล่าประสบการณ์การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สถานพยาบาล “ล้างพิษ” แห่งหนึ่ง

ผมเห็นข้อความขึ้นมาในสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มหนึ่ง เขียนถึงโปรแกรมการทำล้างพิษปอด และได้ส่วนลดพิเศษในช่วงนี้ จาก 6### เหลือ 4###

ผมอยากรู้ว่าเขาทำอย่างไร จึงลองส่งข้อความไปสอบถามว่า สนใจ และทำอย่างไร

มีข้อความตอบกลับมาว่าเป็นการให้น้ำเกลือเวลาประมาณ 100 นาทีเท่านั้น ซึ่งผมก็เกิดข้อสงสัยว่าจะล้างพิษอย่างไร ไม่มีการใช้แก๊สหรือเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจเลย จึงส่งข้อความไปถามว่า ให้น้ำเกลือเพียงอย่างเดียวหรือใช้ยาอื่นด้วยไหม

คราวนี้ทางเจ้าหน้าที่ขอโทรมาแทน ไม่เกินหนึ่งนาที โทรศัพท์ดังขึ้น

เขาสอบถามว่าผมจะล้างพิษปอดด้วยกรณีใด ผมแจ้งกลับว่า ญาติผู้ใหญ่ของผมสูบบุหรี่มากและอยู่ในพื้นที่ฝุ่นพีเอ็มหนาแน่น เขาจึงแจ้งสูตรการรักษามา ผมสรุปดังนี้นะครับ

ให้วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน และ acetylcysteine โดยผสมรวมกันในขวดน้ำเกลือขนาด 100 ซีซี หยดให้ใน 60-90 นาที

โดยให้หนึ่งถึงสองครั้งต่อสัปดาห์ ถ้าปอดมีพิษเยอะก็อาจจะให้ 4-5 ครั้ง และถ้าพิษน้อยลงก็ให้ลดลง

ราคาต่อครั้งคือ 4### สามารถซื้อชุดการรักษาในช่วงลดราคาเอาไว้ล่วงหน้าได้

หลังจากวางสาย โดยผมแจ้งว่าขอปรึกษาตัวญาติผู้ใหญ่ก่อน เขาก็ส่งสถานที่ วันเวลาเปิดทำการ และช่องทางติดต่อ มาทางข้อความ..
ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่ามีวิธีการล้างพิษปอดแบบนี้ เปิดโลกทัศน์มากเลยครับ

ที่อยู่

457
Lop Buri
15000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 22:00
อังคาร 08:00 - 22:00
พุธ 08:00 - 22:00
พฤหัสบดี 08:00 - 22:00
ศุกร์ 08:00 - 22:00
เสาร์ 08:00 - 22:00
อาทิตย์ 08:00 - 22:00

เบอร์โทรศัพท์

+66988962026

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ปรีชาเวชภัณฑ์ ทางเข้าบขส.ลพบุรีผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ปรีชาเวชภัณฑ์ ทางเข้าบขส.ลพบุรี:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram