ลพบุรีเซ็นทรัลแล็บ คลินิกเทคนิคการแพทย์

ลพบุรีเซ็นทรัลแล็บ คลินิกเทคนิคการแพทย์ การส่งเสริมดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง การตรวจสุขภาพทางห้องปฏิบัติการ โปรแกรมการตรวจสุขภาพ

HbA1c คืออะไร? ตัวช่วยเช็กเบาหวานที่ต้องรู้! HbA1c (ฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี) คือการตรวจเลือดวัดระดับน้ำตาลสะสมในร่างกายในช่...
08/09/2025

HbA1c คืออะไร? ตัวช่วยเช็กเบาหวานที่ต้องรู้!

HbA1c (ฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี) คือการตรวจเลือดวัดระดับน้ำตาลสะสมในร่างกายในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยวัดจากปริมาณน้ำตาลที่เกาะกับโปรตีนฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง เป็นเครื่องมือสำคัญในการวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวานและเบาหวาน รวมถึงติดตามการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ความหมายของค่า HbA1c
ค่า HbA1c ที่สูงบ่งชี้ว่าระดับน้ำตาลในเลือดในช่วงที่ผ่านมาสูง ซึ่งเกิดจากน้ำตาลที่มากเกินความต้องการของร่างกายไปเกาะกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 3 เดือน ทำให้ค่า HbA1c สามารถให้ภาพรวมระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยได้ดีกว่าการเจาะน้ำตาลในเลือดเฉพาะเวลานั้น ๆ

ค่า HbA1c เท่าไหร่ถึงเรียกว่าปกติ ?
เกณฑ์ช่วงค่า HbA1c และความหมาย ซึ่งจะวัดเป็นเปอร์เซ็นต์
- น้อยกว่า 5.7%: ปกติ
- 5.7% – 6.4%: ภาวะเสี่ยงต่อเบาหวานหรือกลุ่มเสี่ยง (Pre-diabetes)
- มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5%: เป็นเบาหวานแล้ว

HbA1c สูง ต้องทำยังไง?
ถ้าค่า HbA1c ≥ 6.5% หมายความว่าคุณอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานแล้ว ต้องเริ่มดูแลตัวเองทันที

ทำไมต้องควบคุม HbA1c ให้อยู่ในเกณฑ์?
หากปล่อยให้ น้ำตาลในเลือดสูงนานๆ โดยไม่ควบคุม (ค่า HbA1c ≥ 6.5%) จะเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง เช่น
- โรคไตวายเรื้อรัง
- ตาบอดจากเบาหวานขึ้นจอประสาทตา
- หัวใจวายหรือโรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคระบบประสาท (เส้นประสาทเสื่อม)
- ภาวะติดเชื้อเรื้อรัง

ความสำคัญของการตรวจ HbA1c
- วินิจฉัยโรคเบาหวาน: ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวานและเบาหวานได้อย่างแม่นยำ
- ติดตามการควบคุมโรค: ใช้ประเมินประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน
- ประเมินความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน: ค่า HbA1c ที่สูงบ่งชี้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น โรคจอประสาทตา โรคไต และโรคระบบประสาท

สิ่งที่ต้องทำหากพบค่า HbA1c สูง
- ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษาและการควบคุมโรค
- ปรับพฤติกรรม: ควบคุมอาหาร ลดอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจติดตาม: ตรวจติดตามค่า HbA1c ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี

ที่มา: รามา แชนแนล https://share.google/aWAjUKmBr3aknq82V

โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Monkeypox)วันที่ 23 สิงหาคม 2567 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลิน...
23/08/2024

โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Monkeypox)

วันที่ 23 สิงหาคม 2567 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเรื่อง "ลักษณะอาการของโรคฝีดาษวานร MPOX" โดยระบุว่า

"ฝีดาษวานร เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะมีระยะฟักตัวประมาณ 5-14 วัน (ช้ากว่าโควิด-19) โดยจะเริ่มอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว เหมือนไข้ในโรคไวรัสทั่วๆ ไป หลังจากมีไข้แล้วประมาณ 1-2 วันก็จะมีตุ่มขึ้น โดยที่ตุ่มที่ขึ้นจะมากหรือน้อยแล้วแต่บุคคล หรือภูมิต้านทานของโรค

ผู้ป่วยจำนวนมาก จะมีตุ่มขึ้นบริเวณอวัยวะเพศรอบก้น ในเด็กจะขึ้นได้ทั่วไปบริเวณไหนก็ได้ ลักษณะของตุ่มที่ขึ้นจะแตกต่างกับสุกใส คือในฝีดาษวานร ตุ่มเกือบทั้งหมดจะมีระยะเดียวกัน และจะสุกพร้อมกัน ซึ่งต่างกับสุกใส ตุ่มจะมีหลายระยะ บางตุ่มใสแล้ว บางตุ่มเพิ่งขึ้นแดงๆ ตุ่มของฝีดาษจะขึ้นที่มือและเท้า ที่ฝ่ามือฝ่าเท้า มากกว่าลำตัวซึ่งต่างกับสุกใส จะขึ้นที่ลำตัวมากกว่า

เมื่อตุ่มที่ใสในฝีดาษวานร จะบุ๋มตรงกลาง หรือที่เรียกว่า umbilicated lesion ส่วนสุกใสจะมีลักษณะใส ชัดเจน ผู้ที่มีผื่นตามตัวหรือแพ้ง่าย ผื่นจะมีโอกาสขึ้นได้มาก และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การใช้มือไปแกะเกาแล้วมาขยี้ตา ก็อาจจะเกิดรอยโรคขึ้นที่ตาและเยื่อบุนัยน์ตา

ต่อมาก็จะตกสะเก็ด ตุ่มที่เกิดขึ้นรวมทั้งสะเก็ด มีเชื้อไวรัสจำนวนมาก สามารถติดต่อได้ ลักษณะอาการกว่าจะหายหมดใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ จนมั่นใจว่าตุ่มทุกตุ่มหายไป และไม่มีสะเก็ดหลงเหลืออยู่ผู้สัมผัสโรค จะต้องเฝ้าสังเกตอาการอย่างน้อย 21 วัน ถ้าไม่มีอาการก็ไม่น่าจะติดโรค".

บทความ ภาพ: https://www.thairath.co.th/news/society/2810025
https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php

จะรู้ได้อย่างไร? ว่าร่างกายกำลังมีน้ำตาลมากเกินไป⚠️มาสำรวจตัวเองกัน หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้🔎⚠️หิวน้ำบ่อย⚠️หิวตลอดเวลา⚠️...
23/01/2024

จะรู้ได้อย่างไร? ว่าร่างกายกำลังมีน้ำตาลมากเกินไป⚠️

มาสำรวจตัวเองกัน หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้🔎

⚠️หิวน้ำบ่อย
⚠️หิวตลอดเวลา
⚠️หงุดหงิดง่าย
⚠️เพลียและง่วงงัวเงียบ่อย
⚠️ปัสสาวะบ่อยมากกว่าปกติ
⚠️ตาพร่ามัว ตาเบลอ

อาการที่กล่าวมาข้างต้นอาจกำลังบ่งชี้ว่า คุณกำลังมีความเสี่ยง “ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง” ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าเกณฑ์ปกติ คือ มากกว่า 99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง และเกิน 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หลังมื้ออาหาร 2 ชั่วโมง เป็นภาวะที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะนี้และไม่ได้รับการรักษา อาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ จนมีปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมาได้ค่ะ

โดยสาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดสูงนั้น สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เกิดจากร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน ภาวะนี้เกิดได้จากการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง ความเครียด การไม่ออกกำลังกาย การติดเชื้อมีไข้ การเป็นโรคเกี่ยวกับตับอ่อน หรือการรับประทานยาบางชนิด

จากการสำรวจของคนไทยส่วนใหญ่มักบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 20 ช้อนชา หรือก็คือเกินกว่าปริมาณที่แนะนำถึงกว่า 3 เท่า! ด้วยเหตุนี้ อัตราผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานจึงติดอันดับ 3 โรคเรื้อรังที่คนไทยเป็นกันมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงาน ซึ่งมักบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากกว่ากลุ่มอื่นๆ อาจจะด้วยวิถีการใช้ชีวิตที่ทำงานอย่างเคร่งเครียด จึงต้องการอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น ชาไข่มุก กาแฟใส่น้ำตาล น้ำเชื่อม หรือขนมหวานต่างๆ มากจนเกินพอดี

ดังนั้นเราจึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนตระหนักถึงการบริโภคน้ำตาลให้มากนะคะ โดยเฉพาะเครื่องดื่มหรือขนมที่มีน้ำตาลสูง ลดได้ลด เลิกได้เลิก ยิ่งหากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อายุมากกว่า 40 ปี มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือมีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคเบาหวาน ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ค่ะ

#น้ำตาลในเลือด #เบาหวาน

29/12/2023

เรียน ลูกค้า/คลินิกผู้มีอุปการะคุณ
ลพบุรีเซ็นทรัลแล็บ ขอแจ้งกำหนดปิดให้บริการเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 30 -1 เปิดให้บริการปกติในวันที่ 2 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

ไม่กินผัก เสี่ยงหลายโรค ⚠️ 🥬🥦🥒วันนี้เราจะชวนมาพูดถึงเรื่อง "การกินผัก" แน่นอนว่าผักอาจจะไม่ใช่ของอร่อย ขม หรือเหม็นเขียว...
21/11/2023

ไม่กินผัก เสี่ยงหลายโรค ⚠️ 🥬🥦🥒

วันนี้เราจะชวนมาพูดถึงเรื่อง "การกินผัก" แน่นอนว่าผักอาจจะไม่ใช่ของอร่อย ขม หรือเหม็นเขียวสำหรับใครหลายๆ คน แต่คุณรู้ไหมคะว่า การไม่ทานผักอาจจะทำให้เราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายโรคมากกว่าที่คิด มาดูกันว่ามีโรคอะไรบ้างค่ะ

1️⃣ ขาดสารอาหาร ⚠️
ผักเป็นแหล่งของสารอาหารที่หลากหลาย หากเราไม่ทานผัก อาจจะทำให้เราขาดสารอาหารที่จำเป็น และอาจจะทำให้เราเกิดโรคต่างๆ เช่น เลือดออกตามไรฟัน โลหิตจาง คอหอยพอก และอื่นๆ อีกมากมาย

2️⃣ โรคในระบบทางเดินอาหาร ⚠️
ผักเป็นแหล่งของไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร ทั้งชนิดที่ละลายและไม่ละลายในน้ำ ดังนั้น การไม่กินผักอาจจะทำให้เราขาดเส้นใยอาหารที่ช่วยย่อยอาหารและช่วยให้ขับถ่าย ทำให้เราเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้ ลำไส้แปรปรวน หรือริดสีดวงทวารหนักได้

3️⃣ โรคเบาหวาน ⚠️
ผักมีพฤกษเคมีที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน รวมถึงมีไฟเบอร์ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่ร่างกายได้ช้า นอกจากนี้ ผักยังเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีไขมันต่ำ ทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น

4️⃣ โรคอ้วน ⚠️
การไม่ทานผักแล้วเน้นกินแต่อาหารประเภทแป้งและน้ำตาล หรืออาหารไขมันสูงๆ เป็นหลักจะทำให้เราเกิดโรคอ้วน นอกจากนี้ การไม่ทานผักยังทำให้ร่างกายขาดไฟเบอร์ ซึ่งจะทำให้ไม่รู้สึกอิ่มท้อง และอาจจะทำให้เรากินอาหารมากกว่าปกติ

5️⃣ โรคทางสายตา ⚠️
ผักและผลไม้มีลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงจอประสาทตา และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางตา เช่น จอประสาทตาเสื่้อม ต้อกระจก รวมถึงทำให้ทัศนวิสัยในการมองได้ดีขึ้น

6️⃣ โรคเรื้อรังต่างๆ ⚠️
นอกจากเบาหวานแล้ว ผักยังมีสารอาหารต่างๆ ที่ช่วยให้ห่างไกลจากโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสุขภาพได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และอื่นๆ อีกมากมาย

✏️🥦🥬🥒ดังนั้น การทานผักให้เพียงพอนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพมากๆ และเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อสุขภาพที่ดีของเราเอง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ใช่ของโปรดของใครหลายๆ คน แต่เราก็ควรพยายามที่จะเพิ่มผักเข้าไปในมื้ออาหารอยู่เสมอ เน้นให้มีสัดส่วนผักหลากชนิด 50% ในแต่ละมื้อ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนนะคะ

🍇องุ่น 3 สีและประโยชน์ที่แตกต่างกัน🤩“องุ่น” เป็นผลไม้รสชาติหวานอมเปรี้ยว อร่อยทานง่าย มีหลากหลายสายพันธุ์ ในผลองุ่นมีวิต...
15/11/2023

🍇องุ่น 3 สีและประโยชน์ที่แตกต่างกัน🤩

“องุ่น” เป็นผลไม้รสชาติหวานอมเปรี้ยว อร่อยทานง่าย มีหลากหลายสายพันธุ์ ในผลองุ่นมีวิตามินและเกลือแร่หลายชนิด และยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดและหัวใจได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยเรื่องผิวพรรณได้อีกด้วย องุ่น 3 สีหลักๆ ได้แก่ องุ่นเขียว องุ่นแดง และองุ่นดำ ต่างก็มีคุณประโยชน์โดดเด่นแตกต่างกันไป มาดูกันเลยค่ะว่าองุ่นแต่ละสีมีสรรพคุณอะไรบ้าง 🍇

🟢องุ่นเขียว
เป็นองุ่นที่มีความหวาน รสชาติดี มีเนื้อมาก เมล็ดมีขนาดเล็ก และราคาไม่แพง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่จะช่วยต้านโรคร้ายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น สารคาเตชิน เป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านพิษที่จะช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง

จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ อาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น สารเทอร์ซอทิลบีน เป็นสารที่จะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคทางระบบประสาท โรคอัลไซเมอร์ และลดความเสี่ยงการติดเชื้อราหรือเชื้อไวรัสได้อีกด้วย

🔴องุ่นแดง
มีรสชาติดี หาซื้อง่าย มีสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงร่างกายและป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
- มีสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านทานเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยเพิ่มระดับไขมันดีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

- มีสารซาโปนินที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ไม่ทำให้เกิดเนื้องอก และลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด

- นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่สำคัญ คือ เรสเวอราโทรล ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ทำลายพิษของสารก่อมะเร็ง และช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ บำรุงผิว และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

- มีสารโพลีฟีนอล ที่จะช่วยลดระดับไขมันเลว และช่วยต้านอนุมูลอิสระ

- ยังมีสารแอนโทไซยานิน ที่ช่วยชะลอความแก่ ควบคุมการทำงานของระบบประสาท เพิ่มการไหลเวียนเลือด ขยายหลอดเลือด บำรุงสายตา และป้องกันการอักเสบของร่างกาย

- มีวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค มีวิตามินบี12 ที่ช่วยในการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ควบคุมการทำงานของระบบประสาท และสร้างเม็ดเลือดแดง มีแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง

🟣องุ่นดำ
ผลจะมีขนาดเล็กกว่าองุ่นสีอื่นๆ และมีราคาสูงกว่า นิยมนำมาทำเป็นไวน์องุ่น ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี อุดมด้วยไฟเบอร์ ทำให้รู้สึกอิ่มนาน และให้แคลอรีต่ำ ช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้

ยังช่วยทำให้การทำงานของลำไส้เป็นไปตามปกติ ทำให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น สารต่อต้านอนุมูลอิสระในองุ่นดำ ยังช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้กระบวนการลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจให้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มการสร้างเกล็ดเลือด และเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์เพื่อช่วยปกป้องเส้นเลือดแดง และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้

🔍ข้อแนะนำในการรับประทาน🔍
สารอาหารที่สำคัญนั้นมีอยู่มากที่เปลือกองุ่น เมื่อเราต้องการกินองุ่นทั้งเปลือก แต่กลัวสารตกค้างที่ว่ากันว่ามีอยู่มากมาย เราก็ต้องมีวิธีการล้างองุ่นที่ได้ผลดี
1. โดยการนำองุ่นมาล้างด้วยการเปิดก๊อกให้น้ำสะอาดไหลผ่าน
2. จากนั้นให้นำมาแช่ในน้ำที่ผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตหรือเบกกิ้งโซดานั่นเอง
3. หรือให้แช่ในน้ำเกลือทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นนำมาล้างให้สะอาดอีกครั้งด้วยวิธีการเปิดก๊อกให้น้ำไหลผ่านพวงองุ่น ก็จะได้กินองุ่นที่สะอาด ลดปริมาณสารตกค้างลงไปได้มากเลยล่ะค่ะ 😋

8 สัญญาณที่อาจบ่งบอกว่า ⚠️"ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ" หลายคนรู้จัก “โรคไทรอยด์” แต่อาจไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะมองว่าไกลตัว ท...
09/11/2023

8 สัญญาณที่อาจบ่งบอกว่า ⚠️
"ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ"

หลายคนรู้จัก “โรคไทรอยด์” แต่อาจไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะมองว่าไกลตัว ทั้งที่ในปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคไทรอยด์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้ หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นโรคไทรอยด์ เนื่องจากอาการของโรคไทรอยด์นั้นมีด้วยกันหลากหลายตามแต่ประเภทของโรคไทรอยด์ โดยที่พบได้บ่อยก็คือ
❌(ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ)
❌(ภาวะไฮโปไทรอยด์)
❌(โรคคอพอก)
❌(มะเร็งไทรรอยด์)

📍สัญญาณทั่วไปของโรคไทรอยด์ที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองมีดังต่อไปนี้ค่ะ

1️⃣ มีก้อนนูนเกิดขึ้นที่ลำคอ บริเวณลูกกระเดือกในเพศชาย หรือบริเวณเหนือไหปลาร้าในเพศหญิง ซึ่งอาจเกิดจากอาการคอพอก
2️⃣น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นผิดปกติ โดยไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบการรับประทานอาหารหรือออกกำลังกาย
3️⃣ ประจำเดือนผิดปกติ ทั้งประจำเดือนไม่มา ประจำเดือนมาบ่อย ประจำเดือนมามากเกินไปหรือน้อยเกินไป
4️⃣ไวต่ออุณหภูมิของอากาศ เช่น รู้สึกร้อนหรือรู้สึกหนาวเย็นมากกว่าปกติ
5️⃣มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด วิตกกังวลมากขึ้น รวมถึงมีปัญหาในการนอนหลับ
6️⃣ รู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีอาการสั่น
7️⃣ผมร่วง ผมบาง หรือเส้นผมมีลักษณะแห้ง หยาบกระด้าง
8️⃣มีอาการระคายเคืองตา หรือมีปัญหาในการมองเห็น

จะเห็นได้ว่า อาการของโรคไทรอยด์นั้นคล้ายกับภาวะสุขภาพอื่นๆ หลายอย่าง ส่งผลให้คนที่เป็นอาจไม่รู้ตัวหรือนึกไม่ถึงว่าอาการที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ จึงไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา ถึงแม้ว่าโรคไทรอยด์จะเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ก็พบได้มากในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้ค่ะ

✅ ปัจจัยด้านพันธุกรรม ครอบครัวมีประวัติโรคไทรอยด์
✅ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี โดยเฉพาะในเพศหญิง
✅ ผู้ที่บริโภคยาที่มีไอโอดีนสูงเป็นประจำ
✅ ผู้ที่เคยได้รับการรักษาโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์หรือภาวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์
✅ โรคประจำตัว เช่น โรคโลหิตจางชนิดรุนแรง โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคแพ้ภูมิตัวเอง

📍หากใครพบสัญญาณเตือนหรือมีความเสี่ยงต่อโรคไทรอยด์ดังกล่าว ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย เพราะหากตรวจพบความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ได้เร็ว ก็จะช่วยให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก่อนที่จะมีอาการร้ายแรงอื่นๆ ตามมาค่ะ

❌4 เห็ดพิษอันตรายในหน้าฝน❌🍄เห็ดป่าจัดเป็นอาหารที่นิยมรับประทานในหลายภูมิภาคของประเทศไทย ในช่วงฤดูฝน  ซึ่งเป็นฤดูเห็ดหลาก...
25/09/2023

❌4 เห็ดพิษอันตรายในหน้าฝน❌

🍄เห็ดป่าจัดเป็นอาหารที่นิยมรับประทานในหลายภูมิภาคของประเทศไทย ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูเห็ดหลาก ชาวบ้านนิยมเข้าไปเก็บเห็ดป่าเพื่อนำมาประกอบอาหารรับประทาน และขายในตลาดท้องถิ่น ส่งผลอาหารเป็นพิษจากการรับประทานเห็ดพิษในช่วงระยะเวลาดังกล่าว

🍄สำหรับเห็ดพิษ ที่เป็นอันตรายจะมีลักษณะอย่างไร และสังเกตอาการแบบไหนที่จะทำให้ทราบว่าทานเห็ดพิษเข้าไป เราจำแนกมาให้ดังนี้ค่ะ

❌1.เห็ดระโงกหินหรือเห็ดระงากและเห็ดระงากหมวกสีดำ เมื่อรับประทานเห็ดพิษกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะเกิดอาการภายใน 6-24 ชั่วโมง มีอาการท้องร่วง เป็นตะคริวที่ท้อง คลื่นไส้ อาเจียนแสดงอาการประมาณ 1 วัน หลังจากนั้นมีอาการตับและไตวายและอาจเสียชีวิต

❌2.เห็ดถ่านเลือด จะเกิดอาการภายใน 2 ชั่วโมง มีอาการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ต่อมาหลังจาก 6 ชั่วโมง มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อ ตับและไตวายและอาจเสียชีวิต

❌3.เห็ดหมวกจีน และเห็ดคันร่มพิษ มีลักษณะคล้ายเห็ดโคนหรือเห็ดปลวกที่กินได้หลายชนิด และเห็ดหมวกจีนมีพิษบางชนิดมักขึ้นใกล้กับจอมปลวกเหมือนกับเห็ดโคนทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดว่าเป็นเห็ดโคนกินได้ เมื่อรับประทานเห็ดพิษกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะเกิดอาการภายใน 30 นาที-2 ชั่วโมง มีอาการเหงื่อออกมาก น้ำตาไหล น้ำลายไหล ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงชีพจรเต้นช้า และอาจทำให้เสียชีวิตได้ภายในครึ่งชั่วโมง ส่วนเห็ดคันร่มพิษสร้างสารพิษที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และอาจเกิดสภาวะหายใจลำบาก

❌4.เห็ดหัวกรวดครีบเขียวเมื่อรับประทานเห็ดพิษกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะเกิดอาการภายใน 15 นาที- 4 ชั่วโมง ทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะคริวที่ท้อง และท้องเสีย

✅การป้องกันการกินเห็ดพิษสามารถทำได้อย่างไร

1.ควรรับประทานเห็ดที่รู้จักและต้องมั่นใจจริงๆว่าเป็นเห็ดที่รับประทานได้

2.ควรปรุงเห็ดให้สุกก่อนรับประทาน โดยเฉพาะเห็ดระโงกในระยะไข่

3.ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้เกี่ยวกับเห็ดให้หลีกเลี่ยงการรับประทานเห็ด

4.อย่ารับประทานเห็ดพร้อมกับดื่มสุราเพราะเห็ดบางชนิดจะปรากฎอาการพิษเมื่อดื่มแอลกอฮอล์

5.เมื่อเกิดอาการพิษจากการรับประทานเห็ดควรรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

 #อาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้  #อาการแพ้อาหารมีอะไรบ้าง ⁉️      การแพ้อาหารคือภาวะที่อาหารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการตอบส...
07/09/2023

#อาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
#อาการแพ้อาหารมีอะไรบ้าง ⁉️

การแพ้อาหารคือภาวะที่อาหารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเรารับรู้ว่าอาหารบางอย่างเป็นอันตราย จากนั้นร่างกายของเราก็จะสร้างวิธีการป้องกันหลายอย่าง รวมถึงการปล่อยสารเคมี เช่น ฮิสตามีน ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบค่ะ

🔆 #อาการของโรคแพ้อาหาร🔆
1. อาการบวมที่ลิ้น ปาก หรือใบหน้า
2. หายใจลำบาก
3. อาเจียน
4. ท้องเสีย
5. ลมพิษ
6. ผื่นคัน

ในบางกรณีการแพ้อาหารอาจทำให้เกิดภาวะที่รุนแรงได้โดยอาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ คอหรือลิ้นบวม หายใจลำบาก ความดันโลหิตต่ำ และบางกรณีอาจถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ

❎6 อาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้❎

1. นมวัว🥛🧀🍦
การแพ้นมวัวมักพบในทารกและเด็กเล็กซึ่งเป็นหนึ่งในโรคภูมิแพ้ในวัยเด็กที่พบบ่อยที่สุด โดยส่งผลต่อทารกและเด็กเล็ก 2 - 3% อาการที่อาจเกิด เช่น อาเจียน ท้องผูก หรือท้องร่วง รวมถึงการอักเสบของผนังลำไส้ และนอกจากนมวัวยังอาจมีการแพ้อาหารอื่นได้อีก เช่น นมผง ชีส เนย มาการีน โยเกิร์ต ครีม ไอศครีม

2. ไข่🍳
การแพ้ไข่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยเป็นอันดับ 2 ของการแพ้อาหารในเด็ก ซึ่งอาการ ได้แก่ ปวดท้อง ลมพิษหรือผื่น ปัญหาระบบทางเดินหายใจ และมีโอกาสที่จะแพ้ไข่ขาวแต่ไม่แพ้ไข่แดง เพราะโปรตีนส่วนใหญ่ที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้มักจะพบได้ในไข่ขาว

3. ถั่วเปลือกแข็ง🌰
การแพ้ถั่วเปลือกแข็งมักเป็นการแพ้ถั่วและเมล็ดพืชบางชนิด การแพ้อาหารแบบนี้พบได้บ่อยมาก ซึ่งตัวอย่างของถั่วเปลือกแข็งที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ได้แก่ ถั่วบราซิล อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แมคคาเดเมีย พิซตาชิโอ วอลนัท

4. ถั่วลิสง🥜
เช่นเดียวกับการแพ้ถั่วเปลือกแข็ง การแพ้ถั่วลิสงอาจก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้ และผู้ที่แพ้ถั่วลิสงก็มักจะแพ้ถั่วเปลือกแข็งเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ถั่วลิสง แต่เชื่อว่าผู้ที่มีประวัติครอบครัวที่มีอาการแพ้ถั่วลิสงจะมีความเสี่ยงมากที่สุด

5. อาหารทะเล🦐🦀🦞
การแพ้อาหารทะเลเกิดจากการที่ร่างกายของเรามีปัญหากับโปรตีนที่มาจากอาหารทะเล โดยอาหารทะเลที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น กุ้ง กั้ง ลอบสเตอร์ ปลาหมึก หอย โดยอาการแพ้อาหารทะเลอาจมีได้เช่น การอาเจียน ท้องเสีย เป็นผื่นคัน และปวดท้อง

6. ถั่วเหลือง🧈
การแพ้ถั่วเหลืองมักส่งผลต่อเด็ก และพบได้บ่อยในทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี อาการแพ้ถั่วเหลืองมักเกิดจากโปรตีนในถั่วเหลือง โดยอาการอาจมีตั้งแต่คัน มีกลิ่นปาก น้ำมูกไหล ไปจนถึงผื่น หอบหืด หรือหายใจลำบาก

🔍การแพ้อาหารอาจเกิดจากพันธุกรรมแต่กำเนิดหรือเพิ่งเกิดขึ้นตอนโตก็เป็นได้ค่ะ ซึ่งการทดสอบการแพ้อาหารอย่างถูกวิธีกับแพทย์เฉพาะทางจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่แพ้ได้อย่างถูกต้อง ป้องกันไม่ให้เกิดการแพ้รุนแรง หรือใครที่ทานอาหารแล้วมีอาการแพ้ ไม่แนะนำให้ซื้อยาแก้แพ้มาทานเองนะคะ เพราะอาจทำให้ร่างกายแพ้รุนแรงกว่าเดิมได้ แนะนำให้ไปพบแพทย์หรือตรวจประเมินสารก่อภูมิแพ้ดีที่สุดค่ะ

ที่อยู่

142/786 หมู่ที่2 ตำบลกกโก
Lop Buri
15000

เวลาทำการ

จันทร์ 07:00 - 20:00
อังคาร 07:00 - 20:00
พุธ 07:00 - 20:00
พฤหัสบดี 07:00 - 20:00
ศุกร์ 07:00 - 20:00
เสาร์ 07:00 - 20:00
อาทิตย์ 07:00 - 20:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ลพบุรีเซ็นทรัลแล็บ คลินิกเทคนิคการแพทย์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram