27/08/2025
ยาปฏิชีวนะไม่ใช่ “ยาแก้ปวดฟัน”: เมื่อไหร่ถึงจำเป็น
ทำไม “ยาปฏิชีวนะ” ไม่ใช่คำตอบของอาการปวดฟัน
อาการปวดฟันส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากภาวะ pulpitis หรือ apical periodontitis ซึ่งเป็นกระบวนการอักเสบภายในเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟันหรือบริเวณปลายรากฟัน การอักเสบดังกล่าวมักทำให้เกิดแรงดันภายในที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีอาการปวดรุนแรง
ยาปฏิชีวนะไม่สามารถลดแรงดันภายในโพรงประสาทฟันหรือปลายรากฟันได้ จึงไม่สามารถบรรเทาอาการปวดในกรณีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาที่ตรงจุดคือการทำหัตถการทางทันตกรรมเพื่อขจัดต้นเหตุของการอักเสบ ซึ่งเรียกรวมว่า definitive, conservative dental treatment (DCDT) เช่น
- การเปิดโพรงประสาทฟันบางส่วน (pulpotomy)
- การนำเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟันออกทั้งหมด (pulpectomy)
- การรักษารากฟัน (root canal treatment)
- การระบายหนองในกรณีมีฝี (incision and drainage)
ควรร่วมกับการใช้ยาแก้ปวดที่เหมาะสม เช่น ยาในกลุ่ม NSAIDs และ/หรือ acetaminophen เพื่อบรรเทาอาการปวด โดยไม่ควรพึ่งพายาปฏิชีวนะหากไม่มีข้อบ่งชี้จำเป็น
เมื่อใด “จำเป็นต้องใช้” ยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการทางทันตกรรม
แม้ว่าอาการปวดฟันส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ในบางกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อลุกลาม แพทย์หรือทันตแพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการทำหัตถการเพื่อควบคุมแหล่งติดเชื้อ (source control) เช่น การระบายหนอง การรักษารากฟัน หรือการถอนฟัน โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้:
1. มีอาการแสดงของภาวะติดเชื้อระบบ (Systemic involvement)
ควรสงสัยว่ามีการติดเชื้อลุกลามหากพบอาการใดอาการหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น
- ไข้ ≥38–38.5°C
- หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย
- ชีพจรเต้นเร็ว
- ความดันโลหิตต่ำ
2. บ่งชี้ถึงการติดเชื้อลุกลาม หรือภาวะ cellulitis และสงสัย deep neck space infection
ลักษณะที่ควรระวัง ได้แก่:
- ปวดหรือบวมที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว
- อ้าปากได้น้อย (trismus)
- กลืนลำบากหรือหายใจลำบาก
- น้ำลายไหลมากกว่าปกติ
- เสียงเปลี่ยน
- เจ็บหรือตึงบริเวณลำคอ
3. ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีการติดเชื้อลุกลามได้ง่าย (Immunocompromised)
ได้แก่ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น
- ผู้รับเคมีบำบัด
- ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
- ผู้ใช้ยากดภูมิคุ้มกันชนิดต่าง ๆ
ในสถานการณ์เหล่านี้การให้ยาปฏิชีวนะถือเป็นข้อบ่งชี้ที่จำเป็นโดยต้องให้ร่วมกับหัตถการเพื่อควบคุมแหล่งของการติดเชื้อ ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการจัดการกับต้นเหตุของปัญหา
เมื่อใด “ไม่ควรใช้” ยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการทางทันตกรรม
ยาปฏิชีวนะไม่ควรใช้ ในกรณีที่การติดเชื้อจำกัดเฉพาะบริเวณ และสามารถจัดการต้นเหตุได้ด้วยการทำหัตถการทันตกรรม โดยไม่มีภาวะติดเชื้อระบบหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นร่วมด้วย ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ต่อไปนี้
1. Symptomatic irreversible pulpitis
อาการมักแสดงเป็นอาการปวดฟันลักษณะตุบ ๆ ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น เช่น ความเย็นหรือความร้อน
➡️ การรักษาที่เหมาะสมคือการทำหัตถการทางทันตกรรม (เช่น การเปิดโพรงฟัน) โดยไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ
2. Symptomatic apical periodontitis
ในกรณีที่มีอาการปวดเมื่อกดบริเวณฟันหรือเคาะฟัน แต่ไม่มีอาการบวมลุกลามหรือไข้
➡️ ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็น การรักษาควรมุ่งเน้นที่การทำหัตถการเฉพาะที่
3. Localized acute apical abscess
ในกรณีที่สามารถระบายหนองได้ทันทีโดยการเปิดโพรงฟันหรือการทำ drainage
➡️ การทำ source control ทันทีโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะถือเป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสม
การรักษาที่ “ได้ผลจริง” เมื่อมีอาการปวดฟัน
การจัดการอาการปวดฟันอย่างมีประสิทธิภาพควรมุ่งเน้นที่การรักษาสาเหตุของปัญหา ไม่ใช่เพียงการระงับอาการ โดยประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ การทำหัตถการทางทันตกรรม และการใช้ยาแก้ปวดอย่างเหมาะสม
1. การทำหัตถการเพื่อแก้ไขต้นเหตุ (Definitive Conservative Dental Treatment: DCDT)
เป็นแนวทางหลักในการรักษาอาการปวดฟันอย่างตรงจุด โดยทันตแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมตามพยาธิสภาพของฟัน เช่น
- Pulpotomy – เปิดโพรงฟันเพื่อนำเนื้อเยื่อบางส่วนออก
- Pulpectomy – กำจัดเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟันทั้งหมด
- Nonsurgical root canal treatment – การรักษารากฟันโดยไม่ผ่าตัด
- Incision and drainage – การระบายหนองในกรณีที่มีฝี
- Tooth extraction – การถอนฟัน (ในกรณีที่ไม่สามารถรักษาฟันไว้ได้)
2. การใช้ยาแก้ปวดอย่างเหมาะสม
> NSAIDs (เช่น ibuprofen) เดี่ยว ๆ หรือร่วมกับ acetaminophen
> ✦ มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดเฉียบพลันหลังการทำทันตกรรม
> ✦ ให้ผลดีกว่ากลุ่ม opioids
> ✦ เป็นทางเลือกแรกที่แนะนำในการควบคุมอาการปวด
ทั้งนี้ การใช้ยาแก้ปวดควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ใช้ยาอื่นร่วมด้วย
หากยังไม่สามารถพบทันตแพทย์ได้ทันที ควรดูแลตนเองอย่างไร
ในกรณีที่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมได้ในทันที ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองเบื้องต้นเพื่อลดอาการปวดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ดังนี้
- แนวทางการบรรเทาอาการเบื้องต้น
- ใช้ยาแก้ปวดตามคำแนะนำมาตรฐาน เช่น ibuprofen หรือร่วมกับ acetaminophen ตามความเหมาะสม
- รักษาสุขอนามัยในช่องปาก ด้วยการแปรงฟันอย่างนุ่มนวลและบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหรือสารละลายเกลือเจือจาง
- ประคบเย็น บริเวณแก้มด้านที่ปวด เพื่อช่วยลดการอักเสบและบวม
สิ่งที่ “ไม่ควรทำ”
- ห้ามซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง เว้นแต่ได้รับคำสั่งจากแพทย์หรือทันตแพทย์
- หากเริ่มมีสัญญาณอันตราย เช่น ไข้สูง อาการบวมลุกลาม กลืนลำบาก หายใจติดขัด หรือมีภาวะเสี่ยงติดเชื้อลุกลามควรไปพบแพทย์
ทำไมการใช้ยาปฏิชีวนะ “พร่ำเพรื่อ” จึงเป็นอันตราย
การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนหรือใช้โดยไม่จำเป็น อาจส่งผลเสียต่อทั้งตัวผู้ป่วยและสังคมโดยรวม ดังนี้
1. เพิ่มความเสี่ยงของการเกิด “เชื้อดื้อยา”
การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นจะกระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียปรับตัวและดื้อต่อยา
➡️ ทำให้การรักษาการติดเชื้อในอนาคตยากขึ้น ทั้งต่อตัวผู้ป่วยเองและคนรอบข้างในชุมชน
2. เสี่ยงต่อการเกิด “อาการไม่พึงประสงค์จากยา” (Adverse Drug Reactions)
รวมถึง
- อาการแพ้ยา เช่น ผื่น ลมพิษ หรือ anaphylaxis
- อาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจากระบบทางเดินอาหาร เช่น C. difficile colitis ซึ่งอาจทำให้ท้องเสียรุนแรงหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยากลุ่ม clindamycin มีความสัมพันธ์กับการเกิด C. difficile colitis สูง แม้เพียงรับประทานเพียง 1 คอร์ส ก็สามารถเกิดภาวะนี้ได้ในผู้ป่วยบางราย