
29/07/2025
โรคลมพิษ คืออะไร ?
โรคลมพิษ (urticaria) โรคที่ผิวหนังมีอาการเป็น ผื่น หรือนูนแดง ไม่มีขุย มีหลายขนาดตั้งแต่ 0.5-10 เซนติเมตร ทำให้มีอาการคัน ผื่นจะเกิดขึ้นเร็วและกระจายตามลำตัว แขน ขา แต่จะอยู่ไม่นานระยะเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง แต่เมื่อหายแล้วอาจมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่น ๆ ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีริมฝีปากบวม ปวดท้อง แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการหืด หรือเป็นลม เกิดจากความดันเลือดต่ำได้ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ – โรคลมพิษช่วงอากาศเปลี่ยน
ชนิดของโรคลมพิษ แบ่งได้ 2 ชนิด คือ
👉🏻ชนิดเฉียบพลัน มีอาการต่อเนื่องไม่เกิน 6 สัปดาห์ สาเหตุเกิดจากการแพ้อาหาร แพ้ยา แมลงกัดต่อย หรือการติดเชื้อบางชนิด บางรายอาจมีอาการที่อวัยวะอื่น เช่น แน่นหน้าอก แน่นจมูก ปวดท้อง ความดันต่ำ บริเวณริมฝีปากและตาบวม
👉🏻ชนิดเรื้อรัง มีอาการแบบเป็น ๆ หาย ๆ อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกันนานเกิน 6 สัปดาห์ ซึ่งมีทั้งชนิดที่มีสาเหตุกระตุ้น เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง ยา ระบบฮอร์โมน หรือเกิดจากปัจจัยทางกายภาพ เช่น ความเย็น การกดทับ และชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน เกิดจากความแปรปรวนภายในร่างกาย
ผื่นแบบไหนที่เรียกว่าลมพิษ?
ลักษณะเป็นผื่นบวม นูน แดง กระจายตามลำตัว แขน ขา หรือใบหน้า มีอาการคันโดยทั่วไป ผื่นจะค่อย ๆ ยุบลงภายใน 24 ชั่วโมง แต่สักพักก็กลับมาขึ้นใหม่ บางรายเกิดที่บริเวณเนื้ออ่อน เช่น ริมฝีปากหรือหนังตา เรียกว่า ภาวะแองจิโออีดีมา (angioedema) อาจเป็นได้นาน 2-3 วัน ถึงจะค่อย ๆ ยุบ และบางรายอาจมีอาการบวมในระบบทางเดินอาหารทำให้รู้สึกปวดแน่นท้องหรือมีอาการในระบบทางเดินหายใจทำให้แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก หากมีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
สาเหตุที่ทำให้เกิด โรคลมพิษ ดังนี้
1. แพ้อาหาร เช่น อาหารทะเล สารกันบูดในอาหาร สีผสมอาหาร
2. แพ้ยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาแก้ปวด แอสไพริน
3. แพ้ฝุ่น ละอองเกสร หรือขนสัตว์
4. การติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา พยาธิ
5. แพ้แสงแดด ความร้อน ความเย็น หรือเหงื่อ (เช่น เหงื่อหลังจากออกกำลังกาย) การสัมผัสน้ำ อุณหภูมิในร่างกายสูง หรือรอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง
6. สารทึบรังสี (contrast media) ที่ใช้ในการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
7. ผิวหนังสัมผัสสารเคมีหรือยาบางชนิด เช่น ยาทาแก้อักเสบ
8. การให้เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด
9. ภาวะแพ้ภูมิตัวเอง ผื่นอาจเกิดจากโปรตีนในเลือดของผู้ป่วยเองที่ไปกระตุ้นเซลล์อักเสบให้หลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการของลมพิษขึ้น
10. การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
11. แพ้พิษจากแมลงกัดต่อย
12. พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอ
13. ภาวะเครียด วิตกกังวล
อาหารที่คนเป็นลมพิษควรหลีกเลี่ยง
1. ผัก เช่น ผักปวยเล้ง มะเขือเทศ พืชตระกูลถั่ว
2. เนื้อสัตว์แช่แข็งไว้เป็นเวลานาน เช่น ปลา หอย
3. อาหารกระป๋องและอาหารรมควันต่าง ๆ เช่น ปลากระป๋อง ไส้กรอก
4. ชีส โยเกิร์ต อาหารหมักดอง ชาสมุนไพร ไข่
5. อาหารจานด่วน เช่น ไก่ทอด ฮอตดอก ชีสเบอร์เกอร์ น้ำอัดลม เฟรนช์ฟรายส์ พิซซ่า
6. เครื่องปรุงรส เช่น พริกป่น อบเชย กานพลู น้ำส้มสายชู
7. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
8.วัตถุเจือปนในอาหาร เช่น สารกันบูด
วิธีรักษาลมพิษด้วยตัวเอง
✅ไม่เกาบริเวณที่เป็น ผื่น ลมพิษ เพราะจะทำให้เป็นแผลติดเชื้อ
✅ใช้ยาต้านฮีสตามีนหรือยาแก้แพ้ชนิดที่ไม่ง่วงเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
✅ทาครีมหรือโลชั่นแป้งที่มีส่วนผสมของเมนทอล เช่น คาลาไมน์
✅ไม่อาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน เพราะจะทำให้ผิวแห้ง
✅ประคบด้วยน้ำเย็น น้ำแข็ง หรือเจลเก็บความเย็น (cold pack)
✅งดใช้สบู่ ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง และน้ำหอมที่มีสารเคมีรุนแรง
✅กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ
✅ลดความเครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไป พักผ่อนให้เพียงพอ
สมุนไพรรักษาโรคลมพิษ อาการคัน
• ไพล - ทำให้ผิวไม่คัน เอาเหง้าไพลไปตำหรือบดละเอียด ผสมกับน้ำจะช่วยให้ผิวที่คันคะเยอปวดแสบปวดร้อนหายไป
• ขมิ้นชัน - สวยเนียน เมื่อทาผิว เอาขมิ้นชันสดๆ มาล้าง ตำให้ละเอียด แล้วเอามาทาแผล ก็จะช่วยให้ผิวหายคันและเนียนสวยอีกด้วย
• พลู - ทาแก้คัน เอาพลู 3-4 ใบ ตำจนได้น้ำออกมา เติมเหล้าขาวลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็กรองเอาน้ำไปทาแผล อาการคันก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
• ใบกะเพรา - จัดการตุ่มและรักษาหนอง เอาใบกะเพราะสดมาขยี้แรงๆ จนละเอียด แล้วทาตรงบริเวณจุดแผลที่คันก็จะหายไป แถมยังไม่มีตุ่มคันบวมหรือหนองขึ้นด้วย
ข้อมูล พท.ป.สุพรรณิการ์ วงษ์วิลา
เรียบเรียง พท.ป.ศศิกานต์ จันทเดช
แหล่งที่มา : อ. พญ.สัญชวัล วิทยากรฤกษ์ สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. โรคลมพิษ ผื่นแดงบนผิวหนังอันตรายกว่าที่คิด. จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/โรคลมพิษ-ผื่นแดงบนผิวหน/
#โรคลมพิษ #คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์โรงพยาบาลสุทธาเวช #คลินิกเวชกรรมแพทย์แผนไทยประยุกต์ #โรงพยาบาลสุทธาเวช