22/03/2023
มารู้จักโรคแท้งติดต่อ หรือ โรคบรูเซลโลซีส กันค่ะ
การใช้วัคซีนสำหรับสัตว์
19 กันยายน 2018
สารทดสอบโรคแอนติเจนบรูเซลโลซีส ชนิด Rose Bengal
โรคบรูเซลโลซีส หรือโรคแท้งติดต่อ (Brucellosis)
- เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย บรูเซลลา (Brucella spp.) ติดแบบเรื้อรังในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น โคกระบือ สุกร แพะแกะ และสุนัข เป็นต้น (Brucella abortus, Brucella suis, Brucella melitensis, Brucella canis)
- เนื่องจากเป็นโรคที่สามารถติดจากสัตว์สู่คนเลี้ยงได้ จึงควรให้สัตวแพทย์ตรวจโรคนี้เป็นประจำ
อาการป่วยที่น่าสงสัย
- สัตว์ที่ติดเชื้อจะแท้งลูกช่วงท้ายของการตั้งท้อง หรือคลอดลูกโคที่อ่อนแอ
- รกค้าง
- มดลูกอักเสบ
- ผสมไม่ค่อยติดและให้ปริมาณน้ำนมต่ำ
- อาการอื่นๆ อาจจะปกติ ถ้าไม่มีการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน (บ่อยครั้งแม่โคมักจะแท้งแค่ครั้งเดียว แต่จะเป็นพาหะส่งต่อเชื้อให้ตัวอื่นๆภายในฝูง เพราะยังคงมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ในรก และมีความเสี่ยงที่จะแท้งในท้องถัดๆไป)
- ในโคตัวผู้ อัณฑะอาจมีการอักเสบบวมแดง หรือเกิดฝีขึ้นได้ ในโคที่ติดเชื้อเรื้อรังเป็นเวลานานอาจพบข้อต่ออักเสบ (เดินกะเผลก เจ็บขา)
วิธีการเก็บตัวอย่างส่งตรวจคัดกรองเบื้องต้น
- การเก็บตัวอย่างซีรั่ม
ปริมาณของเลือดที่เจาะขึ้นกับว่าจะต้องการส่งตรวจหาอะไรและตรวจกี่ชนิด ถ้าตรวจหลายชนิดก็ต้องใช้ซีรั่มมาก โดยทั่วไปอาจจะเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำตั้งแต่ 5-20 ซีซี. ใส่หลอดแก้วหรือขวดที่สะอาดและแห้ง ตั้งทิ้งไว้ 4-6 ชั่วโมง (ยังไม่ต้องแช่ตู้เย็นหรือกระติกน้ำแข็ง และห้ามแช่ช่องแช่แข็ง) เมื่อเลือดแข็งตัวแล้วแยกเอาซีรั่ม ออกมาเก็บไว้ในหลอด หรือขวดที่แห้งสะอาดมีฝาปิด หรือจุกปิดแน่นสนิท ในกรณีที่ซีรั่ม มีเม็ดเลือดแดงปนอยู่มาก ควรทำการปั่นเหวี่ยงด้วยเครื่องปั่น (centrifuge) 2,000-3,000 รอบต่อนาที เป็นเวลา 20-30 นาที เพื่อให้เม็ดเลือดตกตะกอนก่อนจึงแยกซีรั่ม ถ้าไม่มีเครื่องปั่น ให้นำซีรั่มที่แยกได้ ไปเก็บไว้ในตู้เย็นธรรมดา 12-24 ชั่วโมง เม็ดเลือดที่เหลืออยู่จะตกตะกอน ให้แยกซีรั่มอีกครั้งหนึ่ง ใส่หลอดหรือขวดใหม่ ปิดฝาให้แน่น ติดฉลากให้ชัดเจน เช่น ชื่อสัตว์ หรือหมายเลข เล้า หรือคอก วันที่เก็บแล้วแช่ในกระติกน้ำแข็ง เพื่อป้องกันการเน่าเสียแล้วนำส่งห้องปฏิบัติการ หรือเก็บในช่องแช่แข็ง (freezer) ในกรณีที่จะเก็บไว้นานเพื่อรอการส่งตรวจ
- ลักษณะของซีรั่มที่ดี
1. มีปริมาณมากเพียงพอที่จะตรวจแต่ละห้องปฏิบัติการ อย่างน้อย 2-10 ซีซี.
2. ไม่มีเม็ดเลือดปนและไม่มีเม็ดเลือดแดงแตก (hemolysed) ถ้าแตกจะสังเกตเห็นซีรั่มมีสีแดง
3. ไม่มีสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ควรปิดฝาหรือจุกให้แน่นสนิทไม่ให้น้ำเข้า
4. หลอดหรือขวดเก็บซีรั่มต้องติดเบอร์ หรือชื่อสัตว์ให้ชัดเจน ควรใช้ปากกาที่หมึกไม่ละลายน้ำ และเทปเหนียวชนิดที่กันน้ำซึม (water proof) เพื่อไม่ให้ลบเลือนและลอกหลุด
5. มีชื่อเจ้าของ ประวัติสัตว์ หมายเลขประจำตัวสัตว์ (ในกรณีที่มีจำนวนซีรั่มมาก หมายเลขหลอดซีรั่มต้องตรงกับลำดับเลขในประวัติสัตว์) ชนิด เพศ พันธุ์ อายุ วันที่เก็บตัวอย่าง อาการของสัตว์ป่วย ฯลฯ ส่งมาพร้อมด้วย
สถานที่รับตรวจโรคของกรมปศุสัตว์
- สถาบันสุขภาพสัตว์ (กรุงเทพ)
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคเหนือตอนบน (ลำปาง)
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคเหนือตอนล่าง (พิษณุโลก)
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (ขอนแก่น)
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (สุรินทร์)
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออก (ชลบุรี)
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันตก (ราชบุรี)
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคใต้ (นครศรีธรรมราช)
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคใต้ตอนล่าง (สงขลา)
การป้องกัน
- ควรตรวจโรคนี้เป็นประจำ ควรตรวจทุกๆ 6 เดือน ในฝูงที่ไม่ปลอดโรคและตรวจทุกๆปี ในฝูงโคที่ปลอดโรค
- ทดสอบโรคในสัตว์ตัวใหม่ แยกเลี้ยง 30 วัน และทดสอบโรคแท้งติดต่อซ้ำอีกครั้ง ก่อนนำมาเลี้ยงรวมกับตัวอื่น
- คอกสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด แล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 1 เดือน ก่อนนำสัตว์ใหม่เข้ามาเลี้ยง
การรักษาโรค
- ถึงแม้สัตว์จะไม่แสดงอาการป่วย แต่สัตว์ตัวนั้นก็ยังคงการติดเชื้อ และแพร่ไปยังตัวอื่นในฝูงได้ รวมทั้งเป็นความเสี่ยงที่คนเลี้ยงจะติดโรคจากสัตว์ จึงแนะนำให้คัดสัตว์ที่ติดเชื้อออกจากฝูง
เอกสารอ้างอิง : สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ
http://niah.dld.go.th/…/AnimalDisea…/indexAnimalDisease.html
http://niah.dld.go.th/…/AnimalDisease/pdf/bovine_BruDiag.pdf
http://niah.dld.go.th/th/index.php…