16/11/2025
นมแม่สำคัญมาก คือรากฐานที่แข็งแรงให้กับลูก
สบายดีคลินิกกายภาพบำบัด พร้อมให้บริการ อัลตร้าซาวด์และนวดเปิดท่อน้ำนมค่ะ ขอบคุณสาระความรู้จากคุณหมอ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาค่ะ🙏
https://www.facebook.com/share/1AKneKBkV3/?mibextid=wwXIfr
นมแม่...ป้องกันการเกิดเบาหวาน
มีเรื่องนมแม่ ที่ต้องส่งเสริม เพราะเด็กที่กินนมแม่ จะแข็งแรงและยังมีรายงานว่าช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV และอื่นๆได้
นมแม่ สุดยอดวิเศษล้ำสำหรับเด็ก ทั้งนี้ให้นานได้เพียงใดขึ้นกับความเป็นไปได้ ความสะดวกและความพอเพียงของน้ำนมที่แม่ผลิตได้ในระยะหลัง
ประโยชน์ที่คนจะมองข้ามและไม่ได้พูดถึงกันมาก และจากเรื่องที่ถกเถียงกันทำให้หมอนึกถึงผลการศึกษานานตั้งแต่ปี 2010 ในวารสาร นิวอิงแลนด์ของสหรัฐ โดยที่กลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับนมแม่ยังคงทำงานต่อเนื่องจนปัจจุบันและเป็นกลุ่มร่วมนานาชาติที่จะทำการป้องกันโรคที่เกิดกับทารก โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่หนึ่ง (diabetes type 1) ที่เป็นแต่เด็ก โดยที่มีตัวกำหนดเช่นพันธุกรรมที่ส่งเสริมให้เป็นโรค
รายงานนี้มีความสำคัญตรงที่มีการตั้งคำถามชัดเจนว่าเด็กทารก 230 คน ที่มีพันธุกรรมส่งเสริมให้เกิดเป็นเบาหวาน โดยที่ครอบครัวมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่เป็นแล้วตั้งแต่เด็ก จะรอดพ้นจากชะตากรรมมั้ย ถ้าไม่กินนมผงที่ทำจากวัว
ทั้งนี้โดยใช้สูตรพิเศษที่เรียกว่า casein hydrolysate formula อนึ่ง การศึกษานี้ทำในแม่เด็กที่ไม่สามารถจะให้นมลูกได้เต็มที่ หรือไม่ได้เลย โดยเฉพาะในช่วง 6-8 เดือนแรก เลยสามารถทำการศึกษาลักษณะนี้ได้
* จากการศึกษาเด็กทั้งหมดติดตามไป(เฉลี่ยอยู่ประมาณ7.5 ปี) จนกระทั่งเด็กทั้งหมดอายุถึง 10 ขวบ โดยดูการเกิดความผิดปกติในน้ำเหลืองที่มีภูมิคุ้มกันแปรปรวนต่อฮอร์โมนอินซูลิน และการสร้าง Glutamic Acid Decarboxylase (GAD) Insulinoma-Associated 2 Molecule (IA-2) และ Zinc Transporter 8
* การติดตามค่าน้ำเหลืองทำเป็นระยะเมื่ออายุ 3,6,9,12,18 และ 24 เดือน และที่อายุ 3,5,7 และ 10 ขวบ มีทารก 99 รายในกลุ่ม casein hydrolysate และ 109 รายในกลุ่มนมวัว และพบว่าในกลุ่มที่ไม่ได้ใช้นมวัวพบภูมิผิดปกติ 1 ชนิด ต่อการเกิดเบาหวาน 17% เมื่อเทียบกับ 30% ในกลุ่มนมวัว
* เมื่อพิจารณาการเกิดภูมิภาวะผิดปกติ 2 ตัว หรือมากกว่า พบว่ากลุ่มนมวัวมีเลือดผิดปกติ 16% เทียบกับ 8% ของกลุ่มไม่ให้นมวัว ระยะเวลาที่มีภูมิผิดปกติเหล่านี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่อายุได้ 6 เดือน จนกระทั่งถึง 10 ขวบ
* ทั้งนี้ค่าความแรงของภูมิที่ผิดปกติจะไม่ต่างกัน และถึงแม้ว่าเด็กในทั้ง 2 กลุ่ม จะเกิดเบาหวานชนิดที่ 1 ไม่ต่างกันมากเมื่ออายุถึง 10 ขวบ (6% กลุ่มไม่ใช้นมวัว กับ 8% กลุ่มนมวัว) แต่ยังคงต้องมีการติดตามต่อโดยปัจจุบันมีการรวบรวมกลุ่มคณะทำงานที่ทำการศึกษาต่างๆ (TRIGR, BABYDIET, TEDDY) (ปี 2016) เพื่อที่จะหาทางป้องกันการเกิดเบาหวานชนิดที่ 1 ในเด็ก โดยมีนานาประเทศเข้าร่วม
ถีงแม้ผลการศึกษาที่กล่าวมาในการงดนมวัว ไม่เกิดชัดในการป้องกันเบาหวาน และยังคงสรุปชัดเจนไม่ได้ แต่มีน้ำหนักและคุ้มค่าพอที่จะทำการศึกษาต่อ
การศึกษาต่างๆจากกลุ่มที่กล่าวมาข้างต้นพบว่าการหลีกเลี่ยงส่วนประกอบที่มาจากนมวัวและกลูเทน (Gluten) มีส่วนสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดภูมิในน้ำเหลืองต่อเซลล์สร้างอินซูลินในตับอ่อน และดังนั้นการศึกษาต่อไปคือการใช้อินซูลินแบบกินเพื่อหลอกให้ร่างกายของเด็กที่พร้อมที่จะเกิดเบาหวาน ปรับตัวปรับใจใหม่ ไม่หันมาทำลายส่วนเซลล์ตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน โดยจะต้องมีการตรวจเด็กที่คลอดหรือจากทารกเป็นจำนวนถึง 400,000-500,000 ราย
การเกิดเบาหวานชนิดที่ 1 ในเด็กเป็นผลจากพันธุกรรมและทำให้มีแนวโน้มหลงผิดทำร้ายตนเอง การที่ไม่ทำร้ายตนเองเกิดเนื่องจากมีการรู้จักกันของเซลล์ภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อตนเองในระบบภูมิ ตั้งแต่ต่อมไธมัส (Thymus) ในไขกระดูกและในต่อมน้ำเหลืองทั่วไปและในลำไส้และม้าม ทั้งนี้คนปกติจะไม่มีเซลล์หลงผิดที่ทำลายตัวเอง และมีเซลล์คุ้มกันภัย รวมทั้งสารหลั่งที่ช่วยปรับสมดุลไม่ให้เกิดการไม่หลงผิด
ผลของการหลงผิดจะประจักษ์ให้เห็นได้ คือการตรวจพบภูมิต้านตับอ่อนและอินซูลิน ถึงพิสูจน์แล้วว่าการได้นมวัวในเด็กที่มีความเสี่ยงจะเกิดภูมิไม่ดีเหล่านี้
อย่างไรก็ตามการเลี่ยงนมวัวใช้นมแม่ แม้ว่าจะลดการเกิดภูมิวิปริต แต่ในที่สุดก็ยังหนีไม่พ้นชะตากรรมโดยเกิดเป็นเบาหวานในที่สุด และนำมาสู่การที่ต้องทำอุบายอื่นๆ ร่วมกับการเลี้ยงโดยนมแม่ ไม่ใช่นมวัว
การที่ของที่กินและการที่นมวัว ที่มีผลต่อภูมิวิปริตยอมรับกันแล้วว่าผูกพันกับจุลินทรีย์ในลำใส้และอธิบายโรคหลายชนิดทางสมอง ข้ออักเสบ เบาหวานในเด็ก หรือแม้แต่การที่กินเนื้อและไข่แดง เกิดเส้นเลือดตัน และเกิดอัลไซเมอร์เร็วและรุนแรง (วารสาร Auto-Immunity 2016, การประชุม New York Academy Of Science ตั้งแต่ 2012 จนถึงปัจจุบัน)
ใครมีพันธุกรรมไม่ดี เมื่อมากระทบกับผลิตภัณฑ์ อาหารบางชนิด และมีจุลินทรีย์ร้ายที่คอยสกัดให้เกิดสารพิษ และส่งผ่านสารพิษไปกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ลำไส้ส่งต่อไปม้าม จนเกิดภูมิผิดปกติ และพัฒนาจนถึงระดับรุนแรงจนเกิดโรคในที่สุด
ถึงจุดนี้ ชะตากรรมอาจเลี่ยงได้ ถ้า...หลีกตัวกระตุ้น ผลไม้กากใยเลือกจุลินทรีย์ในลำไส้ที่หน้าตาน่ารักเป็นมิตร และ “ความสุข” ในชีวิตซึ่งเริ่มมีการศึกษาและพบความสัมพันธ์ว่าแม้กินมั่ว ปล่อยตัวแต่มีสุข ลำไส้จุลินทรีย์กลับหน้าตาแจ่มใส
ในปี 2021 มีการวิเคราะห์ อภิธาน ของรายงานวิจัยต่างๆเพื่อที่จะดูว่า การให้นมแม่ มีผลในการป้องกันการเกิดเบาหวาน ประเภทที่สอง ของแม่หรือไม่
Association of lactation with maternal risk of type 2 diabetes: A systematic review and meta-analysis of observational studies.
iabetes, Obesity and Metabolism.28/4/2021
ความสัมพันธ์ระหว่างการให้นมบุตรกับความเสี่ยงของมารดาต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานของการศึกษาเชิงสังเกต
ผลการศึกษา
* การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบนี้ประกอบด้วยการศึกษาทั้งหมด 22 เรื่อง (การศึกษาแบบกลุ่ม 17 เรื่อง และการศึกษาแบบภาคตัดขวาง 5 เรื่อง) และมี 16 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์อภิมาน การศึกษาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการให้นมบุตรกับความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในช่วงเดือนแรกหลังคลอด ในสตรีที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
* รายงานผลลัพธ์มีบ้างที่ขัดแย้งกันอยู่บ้างแต่การศึกษาที่มีการติดตามผลนานกว่าแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงป้องกันแบบขั้นบันไดระหว่างการให้นมบุตรและความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยความเสี่ยงอาจลดลงได้มากกว่าในสตรีที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับสตรีที่ไม่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยรวมแล้ว
* การให้นมบุตรแบบไม่เคยให้นมบุตรสัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ลดลง 27% (RR 0.73, 95% CI [0.65, 0.83]) การให้นมบุตรที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคเบาหวานประเภท 2 ที่ลดลง 1% (RR 0.99, 95% CI [0.98, 0.99]) อย่างไรก็ตาม คุณภาพโดยรวมของการศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง
บทสรุป
การให้นมบุตรสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคเบาหวานประเภท 2 ในมารดาที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญตลอดช่วงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสตรีที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ผลการป้องกันดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเมื่อระยะเวลาการให้นมบุตรยาวนานขึ้น จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจว่าความสัมพันธ์นี้ถูกปรับเปลี่ยนโดยการสัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ หรือไม่
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ประธาน
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต