17/10/2025
โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือ มะเร็งในระบบน้ำเหลืองซึ่งอาจจะแสดงอาการทั้งแบบเฉพาะที่หรือแบบทั่วร่างกาย พบว่าในสุนัขและแมวมีการแสดงอาการที่แตกต่างกัน ในสุนัขมักพบว่าจะเป็นแบบมีการกระจายตัวในหลายตำแหน่ง (multicentric disease) ซึ่งส่วนใหญ่จะพบที่ต่อมน้ำเหลือง ส่วนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในแมวมักพบตามอวัยวะภายในร่างกาย (ม้าม, ตับ และ ลำไส้), extranodal (ระบบประสาท หรือผิวหนัง) หรือ nodal origin ซึ่งหมายความว่าอาการที่เกิดขึ้นเมื่อแมวป่วยเป็น lymphoma มักขึ้นอยู่กับต้นกำเนิดของเนื้องอก แต่ก็มีบางเคสอาจแสดงอาการไม่จำเพาะเนื่องจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในแมวสามารถพบแบบลักษณะที่ลุกลามแบบช้า (indolent form) ซึ่งสามารถพบได้ในกรณีที่มีก้อนเนื้อในช่องอก หรือในช่องท้อง หรือพบที่ใต้ผิวหนัง หรือพบว่ามีการกระจายตัวในหลายตำแหน่งก็เป็นไปได้ จะเห็นว่าโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้นมีความหลากหลายในแต่ละเคส บทความนี้จะขออธิบายแนวทางการวินิจฉัย, ระยะของโรค, การแสดงอาการและแนวทางการรักษาที่ใช้ในปัจจุบัน เพื่อให้สัตวแพทย์รักษาโรคนี้ได้อย่างถูกต้อง
ระบาดวิทยา (Epidemiology)
จากการเก็บข้อมูลพบว่าแมว 200 ตัวจาก 100,000 ตัวที่ป่วยด้วยมะเร็งระบบน้ำเหลือง (lymphoid neoplasia) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และยังพบว่าแมวกลุ่ม Retrovirus (โรคไวรัสลิวคีเมีย และโรคเอดส์แมว) มีความสัมพันธ์ที่จะทำให้เกิดมะเร็งระบบน้ำเหลือง ซึ่งแมวที่พบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองส่วนหนึ่งมักจะพบว่ามีการติดเชื้อโรคไวรัสลิวคีเมียร่วมด้วยแม้ว่าจะมีการทำวัคซีนป้องกันไวรัสลิวคีเมียเพิ่มขึ้นก็ตาม ส่วนกลุ่มโรคเอดส์แมวพบว่ามีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโดยไม่ได้มีการติดเชื้อไวรัสลิวคีเมีย ข้อมูลสิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิตของแมวต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้นยังไม่มีข้อมูลที่บ่งชี้แน่ชัด
การแสดงอาการ (Clinical presentation)
แมวที่เป็นมะเร็งต่อน้ำเหลืองอาจตรวจพบก้อนเนื้อ อาทิเช่น ต่อมน้ำเหลืองโต, ก้อนเนื้อที่บริเวณกล่องเสียง (laryngeal masses) หรือก้อนเนื้อที่ผิวหนัง/ชั้นใต้ผิวหนัง และมักพบอาการที่ไม่จำเพาะ เช่น อาเจียนเรื้อรัง หรือหายใจลำบาก ดังนั้นการวินิจฉัยแมวป่วยทั่วไปอาจจะต้องคำนึงถึงโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยเสมอ
.
การวินิจฉัย
เคสที่ตรวจพบก้อนเนื้อหรือมี effusion ควรทำการเก็บตัวอย่างเพื่อทำการตรวจเซลล์และ/หรือทำ fine needle aspiration ซึ่งเป็นการตรวจวินิจฉัยที่ทำได้ง่ายและค่าใช้จ่ายไม่สูง ความยากของแมวที่แตกต่างจากสุนัขคือในแมวส่วนใหญ่จะเป็นประเภท small and intermediate (Amores-Fuster) ดังนั้นกรณีที่เคสดูมีความซับซ้อนอาจจะมีการส่งตรวจ histopathology, immunohistochemistry และการวินิจฉัยระดับโมเลกุล (molecular diagnostics) เพื่อผลการวินิจฉัยแม่นยำขึ้น
Histopathology
ปัจจุบันหลักการวินิจฉัยแมวที่ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองควรแบ่งประเภทตามองค์กร World Health Organization’s (WHO) Revised European- American Lymphoma (REAL) โดยการแบ่งประเภทนั้นใช้การอ้างอิงข้อมูลจากคนและสุนัขเป็นพื้นฐาน ผลจากการศึกษาทำให้สามาถแบ่งประเภทได้ดังนี้
- Intestinal T cell lymphoma ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยในแมวที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- Diffuse large B cell lymphoma (DLBCL) ถือว่าเป็นประเภทที่พบในกลุ่มมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B cell ในแมว
- Peripheral T cell lymphoma ( alimentary, extranodal และ nodal ) ก็พบได้บ่อยใกล้เคียงกับ DLBCL
นอกจากนี้ในการศึกษาก็พบว่าในแมวที่พบ T cell-rich B cell lymphoma และ intestinal T cell lymphoma จะพยากรณ์โรคได้กว่า lymphoma ชนิดอื่น แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาจำนวนกลุ่มตัวอย่างค่อนข้างเล็ก
ถ้าให้ดีการจำแนกประเภทควรที่จะทำวิธี immunophenotyping เพิ่มเติม เพื่อการแบ่งประเภทมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในแมวได้ดีขึ้น ดังนั้นเมื่อสัตวแพทย์พบเคสแมวที่มีความสอดคล้องและรอยโรคที่บ่งชี้มะเร็งต่อมน้ำเหลือง การทำการเก็บตัวอย่างเพื่อทำการตรวจเซลล์ และอาจต้องทำการเห็นตรวจชิ้นเนื้อหรือ fine needle aspiration ร่วมด้วยเพื่อให้การแบ่งประเภทและระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ดียิ่งขึ้น
Immunophenotyping : immunohistochemistry molecular diagnostics
การวินิจฉัยด้วยวิธี Immunohistochemistry เป็นเทคนิคที่สามารถใช้ในการระบุ immunphenotype สำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในแมว เทคนิคนี้จะเป็นการย้อมหาแอนติบอดี้ที่แสดงบนผิวเซลล์ของเซลล์ลิมโฟไซต์ที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ใช้แอนติบอดี้ในกลุ่ม CD3 สำหรับ T cells และกลุ่ม CD 79 สำหรับ B cells ไม่นานมานี้ได้มีการใช้โปรตีน Pax5 ในการระบุ B cell และเป็นโปรตีนที่ใช้ระบุ B cell lymphoma
PCR amplification of antibody receptor genes (PARR)
เป็นการตรวจระดับโมเลกุลเพื่อใช้ในการเพิ่มจำนวน (clonality) แม้ว่าเซลล์ลิมโฟไซต์มีจัดเรียงตัวของ receptor ของผนังเซลล์หลากหลายซึ่งในทางทฤษฎีลิมโฟไซค์ก็สามารถที่จะจับกับแอนติเจนตัวไหนก็ได้ เนื่องจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีต้นกำเนิดของเซลล์มจากเซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดเดียว ดังนั้นการวินิจฉัยและการระบุลักษณะพันธุกรรมของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในแมวจึงสามารถใช้วิธี PCR amplification of antibody receptor genes (PARR) ซึ่งมี sensitivity ถึง 70 % และ specificity ถึง 90% ขึ้นอยู่กับการเลือกชนิด immunophenotype ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยเช่นกัน ซึ่งการนำวิธีนี้มาใช้เคสมะเร็งต่อมน้ำเหลืองควรแปลผลร่วมกับการทำ cytology/histopathology เพื่อลดการเกิดบวกลวงและลบลวง เนื่องจากการติดเชื้อบางอย่างอาจมีผลทำให้มีการเพิ่มจำนวนของเซลล์ลิมโฟไซต์ทำให้ผลตรวจออกมาเป็นบวกลวงได้เช่นกัน
Flow cytometry
เป็นหลักการตรวจเป็นแบบเดียวกับการทำ immunohistochemistry ซึ่งสามารถใช้ตัวอย่างที่เก็บโดยวิธี fine needle aspiration เพื่อวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในแมว แต่ก็มีข้อจำกัดคือไม่ใช่ทุกเลปที่จะสามารถตรวจได้ วิธีการเก็บตัวอย่างก็มีความจำเพาะต่อเทคนิคนี้ด้วยเช่นกัน วิธีการที่ได้ตัวอย่างที่เหมาะสมควรใช้เข็มเบอร์ 21 เนื่องจากจะสามารถได้ตัวอย่างเซลล์ที่คุณภาพที่สุด (Martini et al., 2018) ซึ่งเทคนิคนี้เหมาะกับเคสที่ต้องการตรวจ immunophenptyping lymphoma แล้วไม่สามารถทำ biopsy ได้
การวินิฉัยด้วยวิธี PARR และ flow cytometry นับว่าเป็นการวิธีที่ช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ใช้เป็นการวินิจฉัยหลักเนื่องจากมีข้อจำกัดทั้ง sensitivity และ specificity ซึ่งความแตกต่างของ 2 วิธีนี้คือ flow cytometry สามารถระบุทุกเซลล์ที่แสดง immunophenotype ที่เหมือนกัน ส่วน PARR สามารถระบุกลุ่มของเซลล์ที่ clonal ออกมา ซึ่งนั่นหมายความว่าการวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจำเป็นต้องแปลผลร่วมกันระหว่าง immunophenotype ทั้ง 2 วิธีกับการเก็บตรวจเซลล์ (cytology) หรือการทำ histopathology
สำหรับตารางที่ 1 (ดูตารางได้ที่บทความบนเว็บไซต์) เป็นการสรุปความแตกต่างของการตรวจ immunophenotype เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น แม้ว่าทั้ง 2 เทคนิคนี้จะเป็นการระบุimmunophenotype แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นการบ่งชี้ถึงการพยากรณ์โรค หรือเป็นการประเมินการตอบสนองต่อการรักษา ดังนั้นกรณีที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่สะดวกเรื่องค่าใช้จ่ายการเก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจทั้ง 2 เทคนิคนี้จึงไม่มีความจำเป็น
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่องการ staging และการรักษาต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/1242
บทความโดย : สพ.ญ.ศศิธร ไตรรัตน์ถนอม
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :