12/09/2025
✨ ป้องกันไม่ให้ RSV ลงปอดได้ไหม? ✨
ช่วงนี้คำถามยอดฮิตที่คุณพ่อคุณแม่มักถามบ่อยๆ คือ
“ถ้าลูกติดเชื้อ RSV แล้ว ทำยังไงไม่ให้เชื้อลงปอด?”
คำตอบสั้นๆเลยครับ 👉 ไม่มีวิธีป้องกัน 100%
เชื้อจะลงปอดหรือไม่ มันขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น
1️⃣ ปริมาณเชื้อที่ลูกได้รับเข้าไป
2️⃣ ความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันเด็กแต่ละคน
3️⃣ โรคประจำตัวที่ลูกมี เช่น คลอดก่อนกำหนด โรคปอด โรคหัวใจ หรือโรคทางระบบประสาท
ดังนั้น มันมีสิ่งที่"เราควบคุมได้" และ สิ่งที่ "เราควบคุมไม่ได้"
⸻
✅ สิ่งที่เราควบคุมได้
คือช่วยให้ภูมิคุ้มกันของลูกแข็งแรงที่สุดเท่าที่ทำได้
• 🛌 นอนพักผ่อนเพียงพอ งดนอนดึก ลดกิจกรรมไม่จำเป็น
• 🍲 กินอาหารครบถ้วนและมีคุณภาพ
👉 ไม่จำเป็นต้องหาซื้ออาหารเสริมแพงๆ แค่กินอาหารหลัก 5 หมู่ครบก็พอครับ
• กินนมแม่ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันป้องกันโรคได้
• 💧 ดื่มน้ำ/นมให้เพียงพอ ตามปริมาณที่ลูกควรได้รับต่อวัน
• 🚫 หลีกเลี่ยงการไปในที่แออัด หรือโรงเรียนช่วงป่วย เพื่อไม่ให้ติดเชื้ออื่นซ้ำเติม
เพราะเด็กที่ติด RSV แล้ว ร่างกายต้องใช้ภูมิคุ้มกันต่อสู้เต็มที่อยู่แล้ว ช่วงนี้จะติดเชื้ออื่นเพิ่มได้ง่าย และถ้าไปรับเชื้อใหม่เพิ่ม เช่น ไข้หวัดใหญ่, อะดีโนไวรัส ฯลฯ อาการอาจจะหนักขึ้นได้
❌ สิ่งที่เรา “ควบคุมไม่ได้”
• ปริมาณเชื้อที่ลูกได้รับเข้าไป
จะมากหรือน้อย ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและจังหวะที่สัมผัสเชื้อ เราไม่สามารถกำหนดได้
• ปัจจัยเฉพาะตัวของลูก
เช่น คลอดก่อนกำหนด มีโรคปอด โรคหัวใจ โรคประสาทและกล้ามเนื้อ หรือภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากโรคประจำตัว
• ธรรมชาติของเชื้อ RSV เอง
RSV เป็นไวรัสที่ทำให้เด็กบางคนแค่เหมือนเป็นหวัด แต่บางคนอาจลงหลอดลมหรือปอดได้ แม้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงชัดเจน
⸻
🧘♀️ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ
• ไม่ตื่นตระหนกเกินไป
➡️ เด็กส่วนใหญ่ติด RSV จะเหมือนเป็นหวัดธรรมดา มีเพียงประมาณ 1 ใน 3 เท่านั้นที่ลงหลอดลมหรือปอด
• ถ้ารู้สึกเครียด จิตตกมากจากการอ่านเคสในโซเชียล
➡️ แนะนำ social detox ปิดโซเชียล พักหน้าจอบ้าง แล้วโฟกัสที่อาการลูกของเราก็พอ
• เฝ้าสังเกตอาการลูก โดยเฉพาะช่วงวันที่ 3–5 ของโรค และรู้จักสัญญาณเตือนที่อาจบอกว่าเชื้อเริ่มลงปอด
(ลองดูคลิปเรื่องนี้ได้ในคอมเมนต์ครับ)
• ดูแลตามอาการ เช่น กินยาลดไข้เมื่อมีไข้สูงและไม่สบายตัว ดูแลการกินน้ำกินนมให้เพียงพอ เป็นต้น
⸻
❗สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับเชื้อ RSV ลงปอด
1) “พาลูกไปนอนโรงพยาบาลตั้งแต่วันแรก จะกันไม่ให้ลงปอดได้”
➡️ ไม่จริงครับ
ความจริงคือ
• การที่เชื้อ RSV จะลงปอดหรือไม่ ขึ้นกับตัวโรคและร่างกายของเด็กคนนั้น ไม่ได้ขึ้นกับว่าไปนอนโรงพยาบาลเร็วแค่ไหนครับ
• RSV มักมีอาการหนักที่สุดในวันที่ 3–5 ของโรค ต่อให้เข้ารพ.ตั้งแต่วันแรก ถ้าเชื้อมีโอกาสลงปอด มันก็ยังสามารถลงได้
แล้วทำไมหมอถึงไม่รีบให้นอนรพ. ตั้งแต่วันแรก?
• เพราะโรงพยาบาลคือที่ที่มีเด็กป่วยจำนวนมาก แม้จะมีมาตรการป้องกันแต่ก็มีความเสี่ยงที่เด็กอาจไปรับเชื้อไวรัสอื่นเพิ่มได้
• วันแรกๆเด็กมักมีอาการไม่มาก การดูแลที่บ้านอย่างใกล้ชิด มักจะปลอดภัยกว่าครับ
⸻
2) "ไปพ่นยา ดูดเสมหะแล้วเชื้อจะไม่ลงปอด"
➡️ ไม่จริงครับ
ความจริงคือ
• การพ่นยาและการดูดเสมหะไม่ได้ป้องกัน ไม่ให้ RSV ลงปอด
• หมอมักใช้การพ่นยา ในบางกรณีเท่านั้น 👉 เช่น เด็กที่เริ่มมีอาการเชื้อลงปอดแล้ว เริ่มหอบ หรือเสมหะเหนียวข้นมาก
• จุดประสงค์คือเพื่อให้ เสมหะไม่เหนียวเกินไป และเด็กไอออกง่ายขึ้น → ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
• ส่วนการดูดเสมหะ มันเจ็บนะครับ ดังนั้นเราจะทำเฉพาะบางรายเท่านั้น เช่น เด็กที่เสมหะเยอะมาก จนหอบเหนื่อย จนหายใจลำบาก กินนมไม่ได้ นอนไม่ได้
ถ้าเด็กไม่มีอาการเหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องดูดเสมหะเขานะครับ
ทั้งการพ่นยาและดูดเสมหะ ไม่สามารถหยุดไม่ให้เชื้อลงปอดได้นะครับ!
สรุปสั้นๆ: การพ่นยา = ช่วย “บรรเทาอาการ” ไม่ใช่การ “ป้องกันลงปอด”
⸻
3) ล้างจมูกช่วยกันไม่ให้เชื้อลงปอด
➡️ ไม่จริงครับ
ความจริงคือ
• การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ไม่ได้ทำให้เชื้อ RSV หยุดอยู่แค่จมูก หรือป้องกันไม่ให้ลงปอด
• จุดประสงค์จริงๆ คือ ➡️ ช่วยให้จมูกโล่ง หายใจสะดวกขึ้น กินนม/อาหารได้ดีขึ้น และนอนหลับสบายขึ้น
• ไม่มีความจำเป็นต้องโหมล้างมากเกินไป เพียงเพื่อจะป้องกันการลงปอดนะครับ
สรุปสั้นๆ: ล้างจมูก = “ช่วยให้ลูกสบายขึ้น” แต่ ❌ ไม่ใช่ “การป้องกันเชื้อลงปอด”
⸻
4. กินยาปฏิชีวนะ(antibiotic) ตั้งแต่แรก จะไม่เป็นปอดอักเสบ
➡️ ไม่จริงครับ
ความจริงคือ
• เด็กที่ปอดอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากตัวเชื้อไวรัส RSV เอง >> ❌ ไม่ใช่เพราะเชื้อแบคทีเรีย
• ยาปฏิชีวนะ คือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ➡️ ไม่สามารถฆ่าไวรัส RSV ได้เลย
• หมอจะให้ยาปฏิชีวนะเฉพาะเมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากแบคทีเรียจริงๆ เท่านั้น
❌ ถ้าให้ยาปฏิชีวนะตั้งแต่ยังไม่จำเป็น จะเกิดผลเสียมากกว่าได้ประโยชน์
1️⃣ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียดีๆในลำไส้
ในลำไส้ลูกมี “แบคทีเรียดีๆเต็มไปหมด” ที่ช่วยย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร และสร้างภูมิคุ้มกัน
การกินยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นจะฆ่าเชื้อเหล่านี้ไปด้วย
2️⃣ เสี่ยงสร้างเชื้อดื้อยาในตัวลูกเอง
ทุกครั้งที่กินยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น จะเหมือน “ฝึกเชื้อให้แข็งแรงขึ้น” จนกลายเป็นเชื้อดื้อยา
ถ้าวันหน้าลูกป่วยจากเชื้อจริงๆ ➡️ ยาเดิมอาจเอาไม่อยู่ ทำให้รักษายากขึ้น
3️⃣ ถ้าเจอแบคทีเรียดื้อยาจริงๆ การรักษาจะยากกว่าเดิม
สมมติวันแรก ให้ยาดักไว้ตั้งแต่ยังไม่มีแบคทีเรียเลย ➡️ วันที่ 4–5 ลูกปอดอักเสบจริงและซ้ำด้วยแบคทีเรีย
ถ้าแบคทีเรียตัวนั้น “ดื้อยา” ➡️ ยากินธรรมดาเอาไม่อยู่ อาจจะต้องนอนรพ.เพื่อใช้ยาฉีดแทน
4️⃣ เสี่ยงผลข้างเคียงไม่จำเป็น
ผื่นแพ้ยา คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ➡️ ทำให้ร่างกายลูกยิ่งอ่อนเพลียทั้งที่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้ยา
⸻
💡 ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่
ในโซเชียลตอนนี้ มักเห็นแต่เคสที่อาการหนักถูกแชร์ออกมา
แต่จริงๆ แล้ว เด็กส่วนใหญ่ที่ติด RSV อาการไม่รุนแรง และหายได้เอง
ดังนั้น อย่าเสพโซเชียลจนทำให้จิตตกเกินไป
โฟกัสที่อาการของลูกเราเป็นหลัก เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ถ้าไม่แน่ใจ ให้พาลูกไปพบแพทย์ดีกว่าครับ