บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเพชรเกษม 81 JR Physio Clinic

บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเพชรเกษม 81 JR Physio Clinic มี 2 สาขา
เยาวราช, เพชรเกษม81
บริการตรวจ รักษา ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจากระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

เคยสังเกตกันไหม…ว่าทำไมบางทีเราถึง “นั่งยองลงไปสุด ๆ” ไม่ได้ 🤔สวัสดีค่ะ วันนี้กภ.ป๊อบ จะมาเล่าให้ฟังถึงสาเหตุหลัก ๆ ที่ท...
23/09/2025

เคยสังเกตกันไหม…ว่าทำไมบางทีเราถึง “นั่งยองลงไปสุด ๆ” ไม่ได้ 🤔

สวัสดีค่ะ วันนี้กภ.ป๊อบ จะมาเล่าให้ฟังถึงสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้หลายคน “นั่งยองไม่ได้ หรือนั่งยองลงได้ไม่สุด” บางคนก็รู้สึกขัด ๆ หรือทำได้ลำบาก ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งอายุ สุขภาพ และโครงสร้างร่างกายค่ะ ✨

จริง ๆ แล้วการ “นั่งยอง” ในชีวิตประจำวัน กับท่า deep squat ในการออกกำลังกาย ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวแบบเดียวกันเลยค่ะ 🧡
👉 เพราะทั้งสองท่าต้องอาศัยการงอของข้อเท้า เข่า และสะโพกเต็มช่วง พร้อมกับการก้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุล ดังนั้นเวลานักวิจัยอยากศึกษาว่าใครนั่งยองได้หรือไม่ได้ ก็มักใช้ท่า deep squat มาเป็นตัวแทน ซึ่งมีงานวิจัยของ Kasuyama, Sakamoto, Nakazawa (2009) ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจเลยค่ะ

สาเหตุหลัก ๆ ที่มีผลต่อการทำท่านั่งยอง หรือ deep squat มีดังนี้ 💡

1️⃣ ข้อติดหรือข้อตึง 🩹
อาจเป็นข้อเข่า ข้อเท้า หรือสะโพก ที่ขยับได้ไม่สุดช่วงการเคลื่อนไหว (Range of Motion, ROM)
สาเหตุที่พบบ่อย เช่น ข้อเสื่อม ข้ออักเสบ หรือเคยบาดเจ็บมาก่อน (อย่างเอ็นฉีก/กระดูกหัก)

📚 งานวิจัย Kasuyama, Sakamoto, Nakazawa (2009) พบว่า
✨ ปัจจัยที่กำหนดว่า “ใครจะนั่ง deep squat ได้หรือไม่ได้” คือ ความยืดหยุ่นของข้อเท้า (ankle dorsiflexion) และ น้ำหนักตัว
คนที่ “นั่งยองไม่ได้” มักจะมีข้อเท้างอขึ้น (dorsiflexion) ได้น้อยกว่า (~ต่ำกว่า 10.75–11.25 ซม.) และมีน้ำหนักตัวมากกว่า
👉 ทำให้ลงท่านั่งยองได้ลำบาก และเสี่ยงบาดเจ็บมากขึ้นค่ะ

2️⃣ กล้ามเนื้อและเอ็นตึง 💪
โดยเฉพาะน่อง (เอ็นร้อยหวาย), ต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) และต้นขาด้านหน้า (Quadriceps)
ถ้าตึงมาก → จะกีดกันมุมการงอของข้อ ทำให้นั่งยองได้ไม่ลึก

3️⃣ โครงสร้างร่างกาย 🦴
คนที่กระดูกต้นขา (Femur) ยาวมาก จะยิ่งทำให้ท่านั่งยองทำได้ยากขึ้น

4️⃣ น้ำหนักตัวมากเกินไป 🫃
น้ำหนักกดลงไปที่ข้อเข่าและข้อเท้า → ทำให้ลงยองลำบากขึ้น

5️⃣ พฤติกรรมการใช้ชีวิต 👩‍💻
ใครที่โตมากับการนั่งเก้าอี้เป็นหลัก ไม่ค่อยได้ฝึกนั่งยองมาตั้งแต่เด็ก → ความยืดหยุ่นของข้อและกล้ามเนื้อจะลดลง
พอโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ก็เลยนั่งยองไม่ได้

6️⃣ ปัญหาที่มาจาก “หลัง” 🧐
🔹 เวลานั่งยอง ร่างกายต้อง “ก้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย” เพื่อรักษาสมดุล
ถ้าหลังส่วนเอว (Lumbar spine) แข็ง → ก้มได้ไม่พอ → ทรงตัวยาก ❌
🔹 ถ้า Core อ่อนแรง → หลังโค้งงอเกินไป (butt wink) หรือทรงตัวไม่อยู่ 🙅
🔹 Posture มีผลเหมือนกัน เช่น หลังค่อม (kyphosis) หรือ เอวแอ่น (lordosis) มากเกินไป → ศูนย์ถ่วงร่างกายเปลี่ยน → ทำให้นั่งยองยาก
🔹 คนที่ปวดหลังเรื้อรัง หรือมีปัญหาหมอนรองกระดูก → ก็ทำให้นั่งยองลำบาก 💢

📚 งานวิจัย Straub et al., 2024 ชี้ว่า
👉 การคงสภาพกระดูกสันหลังให้อยู่ในท่า “เป็นกลาง” (neutral spine) ร่วมกับการมี core muscle แข็งแรง จะช่วยกระจายแรง ลดโอกาสบาดเจ็บ และทำให้ squat ได้ลึกขึ้นอย่างปลอดภัยค่ะ 💪

แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง? 🔰

✨ การฝึกควรเน้นทั้ง…
• Mobility ของข้อเท้า เข่า สะโพก
• Core stability หรือความแข็งแรงแกนกลาง
• Spinal mobility ของกระดูกสันหลังส่วนเอว

ท่าบริหาร ✨
ยืดน่องและข้อเท้า
🟢 Calf stretch – ยืนดันผนัง ยืดน่อง
🟢 Ankle stretch – ใช้ผ้าขนหนูคล้องปลายเท้า ดึงเข้าหาตัวเบา ๆ

ยืดสะโพกและเข่า
🟢 ท่าผีเสื้อ (Butterfly stretch)
🟢 Deep kneeling stretch – คุกเข่าแล้วนั่งบนส้นเท้า

เพิ่มการเคลื่อนไหวกระดูกสันหลัง
🟤 Cat–Cow – การเคลื่อนไหวหลัง โก่งขึ้นและลง
🟤 Child’s Pose with Side Stretch – ยืดหลังด้านข้าง

เสริม Core Stability
🔵 Bird Dog
🔵 Side Plank
🔵 Glute Bridge

ฝึกนั่งยองแบบมีตัวช่วย
🟣 Squat จับเก้าอี้/ราว
🟣 Squat แบบมีที่รองส้นเท้า
🟣 Deep Squat Hold

สามารถดูท่าออกกำลังกายที่คอมเมนต์ใต้โพสต์นี้ค่ะ👇😀💕

🔴 ถ้าลองฝึกท่าต่าง ๆ แล้วยังรู้สึกขัด ๆ หรือทำ Deep Squat ได้ไม่สุด
👉 ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ แนะนำให้มาพบนักกายภาพบำบัด เพื่อตรวจประเมินหาสาเหตุอย่างละเอียด และช่วยแนะนำวิธีปรับแก้ให้เหมาะกับร่างกายของเราจริง ๆ 🩺💕

✨ สวัสดีค่ะ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นักกายภาพบำบัดจาก บ้านใจอารีย์คลินิก ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ "ต้านภัย Off...
21/09/2025

✨ สวัสดีค่ะ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นักกายภาพบำบัดจาก บ้านใจอารีย์คลินิก ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ "ต้านภัย Office Syndrome" ให้กับทีมงานบริษัท CHAZ Insurance Brokers Ltd 🧑‍💻

นักกายภาพบำบัดของเราได้คัดเนื้อหาเนื้อๆเน้นๆ เกี่ยวกับOffice Syndrome ให้สามารถฟังแล้วเอาไปปรับใช้ได้เลยทันที หายปวดเมื่อยทันควัน

📌 หัวข้อหลักในการบรรยาย
1️⃣ การป้องกัน Office Syndrome ไม่ให้เกิดขึ้นกับเรา
2️⃣ การปรับท่านั่งและโต๊ะทำงานให้ลดความเสี่ยง
3️⃣ วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ Office Syndrome
4️⃣ สัญญาณที่ควรพบนักกายภาพบำบัด

เราเชื่อว่าการป้องกันและการให้ความรู้ คือก้าวแรกของสุขภาพที่ดี 🌱

และหากคุณกำลังมีอาการ ปวดคอ ปวดหลัง หรือออฟฟิศซินโดรม
นักกายภาพของเราพร้อมดูแล ฟื้นฟู และวางแผนการรักษาอย่างตรงจุดให้คุณได้ค่ะ 💙

📍 นัดหมายหรือสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่คลินิกสาขาเพชรเกษม

💥 “ปวดเข่าขึ้นบันได” ไม่ได้หายด้วยยาเสมอไป! เคสจริงอาม่าวัย 65 ที่เปลี่ยนความคิดเรื่องกายภาพบำบัดสวัสดีค่ะ วันนี้กภ.คิตต...
13/09/2025

💥 “ปวดเข่าขึ้นบันได” ไม่ได้หายด้วยยาเสมอไป! เคสจริงอาม่าวัย 65 ที่เปลี่ยนความคิดเรื่องกายภาพบำบัด

สวัสดีค่ะ วันนี้กภ.คิตตี้จะมาเล่าเคสที่รักษาเห็นผลได้ไวที่สุดเคสหนึ่ง โดยเคสนี้เป็นอาม่าที่หลีกเลี่ยงการกายภาพสุดใจในตอนแรก ลูกชายยังกล่อมไม่ค่อยอยู่ แต่สุดท้ายก็เปิดใจจากผลลัพธ์การรักษาที่ทันใจ

👵 เคสนี้เป็นอาม่า อายุ 65 ปี ที่ยังแซ่บอยู่ ยังทำงานขยันขันแข็ง เดินตรวจงานลูกน้องอยู่เรื่อยๆ แต่ติดปัญหาใหญ่คือ เจ็บเข่ามาก

ตอนมาเจอกัน อาการปวดของอาม่าค่อนข้างเยอะแล้ว
เนื่องจากอาม่าไม่ยอมบอกใครว่าเจ็บ จนสุดท้ายลูกชายสังเกตเห็นว่าอาม่าเริ่มขึ้นบันไดลำบากมากๆ แล้ว จึงพามาทำนัดที่คลินิก

💊 อาม่าต้องการยา!!
นั่งซักประวัติกันได้แค่ 5 นาที อาม่าถามหา “ยา” เลยทันที!!
พอบอกว่า “คลินิกนี้ไม่จ่ายยา” ปุ๊บ
อาม่าทำท่าจะลุก ปั๊บ!! จะกลับบ้าน?!! 😅
อาม่าค้อนใส่ลูกชายว่าทำไมไม่พาไปที่มียาให้
เนื่องจากอาม่าเชื่อว่า “ถ้าไม่ได้กินยา อาการจะไม่หาย”
🙏โชคดีที่ลูกชาย (ที่เคยรักษาไหล่กับกภ.คิตตี้จนหายแล้ว) ช่วยเจรจาให้อาม่าเลยยอม

ดังนั้น mission ที่ต้องทำให้ได้วันนี้คือ
✅ รักษาให้ดีที่สุด!!
✅และพิสูจน์ให้ได้ว่า “ยา” ไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง!!!!

📌 อาการของอาม่า
1. ปวดใต้เข่ามาก 8/10 ทุกครั้งเวลาขึ้นบันได
2. เวลาขึ้น ต้องใช้แขนดึงราวช่วยทุกครั้ง เพื่อลากตัวเองขึ้น

🔎 ตรวจประเมินร่างกาย
ความสามารถการขึ้นบันได: ให้ลองขึ้นบันไดจำลองที่ไม่มีราวจับ (เพื่อลดการใช้แขนช่วย)
👉 ผล: เหยียดเข่า และสะโพก เพื่อยกตัวขึ้นบันไดไม่ได้
ยิ่งพยายาม “ดันตัวเองขึ้นบันได” จะยิ่งเจ็บ “ใต้เข่า” มากขึ้น เจ็บถึงระดับ 8/10

🔎 ตรวจการทำงานกล้ามเนื้อ
👉 พบว่า กล้ามเนื้อเหยียดเข่า–สะโพก ค่อนข้าง “อ่อนแรง” → ทำให้ขาอาม่าไม่มีแรงถีบตัวขึ้นบันได
👉 กล้ามเนื้อใต้เข่า “เกร็งค้าง” เป็นก้อนเลย → เจ็บทันทีเวลาพยายามเหยียดขาสุด

📍 สันนิษฐานได้ว่า ปัญหาการขึ้นบันได เกิดจาก
1. กล้ามเนื้อเหยียดสะโพกและเข่าไม่มีแรง
2. กล้ามเนื้อใต้เข่าเกร็งจนเจ็บขณะเคลื่อนไหว

สิ่งที่เราทำเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้คือ
✔️ คลายกล้ามเนื้อใต้เข่าชั่วคราวด้วยปืนนวดเบาๆ 1 นาที
✔️ กระตุ้นกล้ามเนื้อเหยียดสะโพก ผ่านการออกกำลังกาย 10 ที

🔁 ประเมินความสามารถการขึ้นบันได ซ้ำอีกรอบ
👉 ผล: อาม่ายกตัวขึ้นบันไดได้ โดยไม่ใช้แขนช่วยรั้ง และมีอาการเจ็บเหลือแค่ 3/10
ตอนนั้นอาม่าพูด “เฮ้ย!!” ออกมาดังจนลูกชายและกภ.ตกใจ
อาม่างง และหันมามองว่า “ทำอะไรกับอาม่า ทำไมขึ้นบันไดได้?”

(ตอนนั้นถ้ากภ.แพ้เสียงในหัวคงบอกไปแล้วว่า “เป่าคาถาค่ะ 😆 นี้แค่รักษาผิวๆนะคะ ของจริงยังไม่ได้เริ่มเลยค่ะ” แต่ยังดีที่ชนะเสียงในหัวได้)

อย่างน้อยตอนนี้ การทำให้อาม่าที่ “จะลุกกลับบ้าน” ตั้งแต่5นาทีแรก ทำหน้า “เซอร์ไพรส์” ได้ ก็ถือว่า mission สำเร็จไปบางส่วนแล้ว ✅

📌 สาเหตุหลัก:
อาการเคสอาม่าไม่มีอะไรซับซ้อนเลยค่ะ
ปัญหาหลักอยู่ที่ “กล้ามเนื้อใต้เข่า” ที่เกร็งตัวไว้เยอะมาก จนถูกกระตุ้นให้เจ็บได้ง่าย
➡️ กล้ามเนื้อส่วนนี้มีขนาดเล็ก ทำหน้าที่งอเข่าช่วงองศาแรกๆ
➡️ การเกร็งค้างไว้ทำให้เข่าของอาม่างอเล็กน้อยตลอดเวลา
➡️ และเมื่ออาม่าต้องขึ้นบันไดด้วยการพยายามเหยียดขาสุด กล้ามเนื้อตัวเล็กๆ ที่เกร็งอยู่นี้จะถูก “กระชาก” ด้วยแรงมากๆ → ผลคือ “เจ็บ” ค่ะ 😣

เจ็บมาก–น้อยขึ้นอยู่กับ ปริมาณการเกร็ง ว่ามากหรือน้อย ซึ่งของอาม่าเกร็งค้างเยอะมาก → อาการเจ็บเลยหนัก จนขึ้นบันไดไม่ได้

📌 แล้วอาการเกร็งนี้เกิดได้จากอะไร??
ธรรมชาติของกล้ามเนื้อเป็นแบบนี้ค่ะ
- เมื่อกล้ามเนื้อ “พัก” → จะเกิดการคลายตัว หรือ “การยืด”
- เมื่อกล้ามเนื้อ “ทำงาน” → จะเกิดการ “หดตัว”
#แต่ถ้า “ทำงานซ้ำๆ” จนเกร็งค้างไว้ → จะถูกกระตุ้นให้บาดเจ็บได้ง่าย
นี่เลยเป็นเหตุผลว่าเราควรให้กล้ามเนื้อได้พักการใช้งาน ผ่าน “การยืด” เพื่อลดการเกร็งค้าง

💪 การรักษาของเคสนี้จะเน้นไปที่:
1️⃣ การคลายตัวกล้ามเนื้อใต้เข่า
- ด้วยUltrasound
- คลายกล้ามเนื้อด้วยเทคนิดการใช้ “Blade” ขูดเพื่อคลายพังผืด
- เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มนิ่มแล้ว เราจะใช้เทคนิคการยืดแบบลึก เพื่อให้คลายมากที่สุด

2️⃣ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า–สะโพก
ถึงแม้ว่าอาม่าจะลุกขึ้นได้หลังจากการคลายกล้ามเนื้อแล้ว แต่ความแข็งแรงก็ยังสำคัญอยู่
- เริ่มจากท่า single leg bridge เพื่อออกกำลังกายกล้ามเนื้อก้นให้แข็งแรง
- จบด้วยท่าฝึกขึ้นบันไดขั้นเตี้ย โดยไม่ใช้มือช่วยจับ เพื่อฝึกการขึ้นบันได

👑 ศักดิ์ศรีของอาม่า
อาม่าเล่าว่า ที่จริงห้องนอนอาม่าอยู่ชั้น3 → เลี่ยงที่จะไม่ขึ้นบันไดไม่ได้เลย
ตอนแรกลูกชายจะย้ายห้องนอนลงมาชั้น 1 แต่อาม่าไม่ยอม เพราะ…
“จะให้ย้ายลงมา แล้วให้ลูกน้อง เพื่อนอาม่า คนอื่นๆ มาถามตลอดเวลาหรอว่าย้ายลงมาทำไม? เป็นอะไรรึป่าว? เสียเส้นหมด อาม่ายังต้องคุมลูกน้องอยู่นะ”

แล้วอาม่าก็ขอลงนัดต่อเนื่องทันที เพราะอยากรีบหาย และเล่าต่อว่า…
“ทุกวันนี้อาม่าต้องพาคู่ค้าเดินโกดัง ขึ้นชั้น 2 อยู่บ่อยๆ แล้วคิดภาพที่ผ่านมาต้องมาดึงตัวขึ้นบันไดแบบนี้ทุกรอบ แล้วลูกน้องก็ทำท่าว่าจะวิ่งมาช่วยจับ ช่วยดู เสียเชิงมากเลย อาม่ารับตัวเองไม่ได้”

ในเมื่ออาม่า "เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ยอม" แบบนี้ ได้เลย เดี๋ยวกภ.จะดูแลอย่างเต็มที่ค่ะ 🤭

✅ หลังจากรักษาต่อเนื่อง 4 รอบ
อาการอาม่าหายดี 🎉 และ ไม่บ่นถามหายาอีกเลย (นอกจากครั้งแรกที่อยากกินยาให้ได้)

📍 บทเรียนจากเคสนี้
💊 “ยา” ไม่ใช่คำตอบของทุกอาการ
💡 ถ้ารู้ต้นเหตุจริงๆ ว่ามาจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง + เกร็งค้าง แล้วแก้ถูกจุด อาการปวดก็หายได้
🙌 การกายภาพไม่เพียงทำให้หายปวด แต่ยังช่วยให้อาม่ากลับไปใช้ชีวิตได้เต็มที่อีกครั้ง

ปล.ในเคสนี้ คนไข้เรียกแทนตัวเองว่า “อาม่า” กภ.เลยเรียกตาม
แต่จริงๆแล้วเขายังดูสาว ดูแซ่บ อยู่เลยนะ 🤭

09/09/2025
29/08/2025

😊 Dr. W EP. 199: "ปวดหลัง-ขา จาก 'โพรงกระดูกสันหลังตีบ'... ไม่ได้มีแค่แบบเดียว! 🗺️ ส่อง 6 รูปแบบการปวดที่พบบ่อย"

สวัสดีครับ! Dr. W กลับมาอีกครั้งครับ! ภาวะโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (LSS) เป็นภาวะความเสื่อมที่พบบ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ มันคือการที่ช่องว่างภายในกระดูกสันหลัง (Central canal) หรือช่องทางออกของรากประสาท (Lateral recess/Foramen) ตีบแคบลง ซึ่งมักเกิดจากกระดูกงอก, หมอนรองกระดูกโป่งนูน, หรือเอ็นที่หนาตัวขึ้น จนไปกดเบียดเส้นประสาทที่อยู่ภายใน

ตามตำราแพทย์แบบดั้งเดิม เรามักจะแบ่งลักษณะอาการปวดหลักๆ ออกเป็น 2 แบบ:

➡️ Central canal stenosis: มักจะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่าง และร้าวลงไปที่ ด้านหลังของขาทั้งสองข้าง อาการแย่ลงเมื่อเดินหรือยืนนานๆ (Neurogenic claudication)

➡️ Lateral recess/Foraminal stenosis: มักจะทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขา ข้างเดียว ในแนวของเส้นประสาทที่ถูกกดทับ (Radicular pain)

แต่ในโลกความเป็นจริง... อาการของผู้ป่วยนั้นซับซ้อนและหลากหลายกว่านั้นมากครับ

โดยมีงานวิจัยที่น่าสนใจมากโดย Young และคณะ (อ้างอิง Young et al.) ที่ใช้เทคโนโลยี "แผนที่ความเจ็บปวดแบบดิจิทัล (Digital Pain Diagrams)" จากผู้ป่วย LSS กว่า 2,379 คน! แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยเทคนิคทางสถิติที่เรียกว่า Latent Class Analysis (LCA) เพื่อค้นหา "กลุ่ม" หรือ "รูปแบบ" การปวดที่พบบ่อยจริงๆ ครับ

🔬 เจาะลึกงานวิจัย - ค้นหารูปแบบการปวดที่ซ่อนอยู่ (Young et al.)

➡️ Aim (เขาอยากรู้อะไร?):

เพื่อระบุและจำแนกรูปแบบการกระจายตัวของอาการปวดที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น LSS

➡️ Who participated? (ใครเข้าร่วม?):

ผู้ป่วย 2,379 คน จากฐานข้อมูลทางคลินิกในเดนมาร์ก (SpineData registry)

🗺️ 6 รูปแบบการปวดที่พบบ่อยในผู้ป่วยโพรงกระดูกสันหลังตีบ (The 6 Common Pain Patterns of LSS)

ผลการวิเคราะห์ได้แบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็น 6 กลุ่ม (Classes) ที่มีรูปแบบการปวดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งท้าทายความเข้าใจแบบเดิมๆ ของเราอย่างมากครับ:

➡️ Class 1: ปวดขาสองข้างด้านหลัง (Bilateral posterior leg pain) - พบ 11.4%

นี่คือรูปแบบ "คลาสสิก" ของ Central stenosis ที่สุดครับ มีอาการปวดร้าวลงไปที่ด้านหลังของขาทั้งสองข้าง

➡️ Class 2: ปวดขาสองข้างทั้งด้านหน้าและหลัง (Bilateral posterior & anterior leg pain) - พบ 8.7%

เป็นรูปแบบสองข้างที่ซับซ้อนขึ้น โดยมีอาการปวดทั้งที่ต้นขา/หน้าแข้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมๆ กัน

➡️ Class 3: ปวดขาข้างเดียวด้านหลัง (Unilateral posterior leg pain) - พบ 26.1%

นี่คือรูปแบบ "คลาสสิก" ของ Foraminal stenosis หรือ Radicular pain ที่สุด และเป็น รูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด ในบรรดากลุ่มย่อยทั้งหมด

➡️ Class 4: ปวดขาข้างเดียวด้านหลังร่วมกับปวดหลัง (Unilateral posterior leg pain with low back pain) - พบ 21.0%

เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยมากๆ เช่นกัน คือมีอาการปวดร้าวลงขาข้างเดียวร่วมกับมีอาการปวดที่หลังส่วนล่างอย่างชัดเจน

➡️ Class 5: ปวดขาข้างเดียวทั้งด้านหน้าและหลัง (Unilateral anterior & posterior leg pain) - พบ 22.9%

นี่คือข้อค้นพบที่น่าสนใจมาก! รูปแบบนี้ซึ่ง "ไม่ค่อยตรงตามตำรา" กลับพบได้บ่อยเกือบที่สุด! คือมีอาการปวดที่ขาข้างเดียว แต่ปวดทั้งด้านหน้าและด้านหลังของขา

➡️ Class 6: ปวดหลายตำแหน่ง/กระจาย (Multisite pain) - พบ 9.9%

เป็นรูปแบบการปวดที่กระจายตัวกว้างกว่ากลุ่มอื่น และมักจะสัมพันธ์กับระยะเวลาการปวดที่นานกว่าและปัจจัยทางจิตสังคมที่มากกว่า

💡 Dr. W's Take: ข้อคิดจาก Dr. W และการนำไปใช้ทางคลินิก

➡️ อาการปวดของผู้ป่วยหลากหลายกว่าที่ตำราเขียน! (Pain is Heterogeneous!)

บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากงานวิจัยนี้คือ LSS ไม่ได้มีรูปแบบการนำเสนออาการแค่ 1-2 แบบตามที่เราเคยเข้าใจ แต่มีความหลากหลายอย่างมาก การยึดติดกับรูปแบบ "คลาสสิก" เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เราวินิจฉัยพลาดได้

➡️ ทลายความเชื่อเดิมๆ:

งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่ารูปแบบ "ที่ไม่ค่อยตรงตามตำรา" นั้น พบได้บ่อยมาก! ตัวอย่างเช่น รูปแบบที่ปวดขาข้างเดียวแต่ปวดทั้งด้านหน้าและหลัง (Class 5) นั้น พบได้บ่อยกว่า รูปแบบคลาสสิกอย่างการปวดขาสองข้างด้านหลัง (Class 1) เสียอีก

➡️ ความท้าทายในการวินิจฉัย:

ความเข้าใจนี้เพิ่มความท้าทายในการวินิจฉัยแยกโรคอย่างมาก เช่น ผู้ป่วยที่มาด้วยอาการปวดต้นขาด้านหน้าข้างเดียว (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Class 5) อาจจะถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นปัญหาจาก "ข้อสะโพก" หรือ "เส้นประสาท Femoral" ได้ง่าย หากไม่ได้ทำการตรวจประเมินกระดูกสันหลังส่วนเอวอย่างละเอียด

ดังนั้น เมื่อเจอผู้ป่วยที่มีอาการปวดขาในรูปแบบที่ไม่ชัดเจน เราจำเป็นต้องพิจารณา LSS เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เป็นไปได้เสมอ

➡️ อนาคตของการวินิจฉัยและการรักษา:

การจำแนกกลุ่มอาการตามรูปแบบการปวดเหล่านี้ อาจจะเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่ "การแพทย์ที่จำเพาะเจาะจงมากขึ้น (Personalized medicine)"

เป็นไปได้ว่าในอนาคต เราอาจจะพบว่าผู้ป่วยในแต่ละกลุ่มการปวด ตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันได้ดีกว่า (เช่น กลุ่มหนึ่งอาจจะตอบสนองดีต่อการทำกายภาพบำบัดที่เน้นการก้มตัว, อีกกลุ่มอาจจะตอบสนองดีต่อการแอ่นตัว, หรือบางกลุ่มอาจจะต้องการการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดที่แตกต่างกัน)

➡️ เครื่องมือสื่อสารชั้นยอด:

แผนที่การปวดเหล่านี้สามารถเป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยมในการสื่อสารกับผู้ป่วย ช่วยยืนยันประสบการณ์ความเจ็บปวดของพวกเขา ("เห็นไหมครับว่ารูปแบบการปวดของคุณ ถึงจะดูแปลกๆ แต่มันเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยในคนที่มีภาวะนี้นะครับ") และช่วยสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ป่วยและผู้รักษา

✨ เคสตัวอย่างจากคลินิก: เมื่ออาการปวด "หน้าขา" และ "ขาหนีบ"... แท้จริงแล้วมาจาก "หลัง"! ✨

คุณสมพร อายุ 68 ปี เป็นข้าราชการเกษียณที่รักการเดินออกกำลังกายในสวนสาธารณะเป็นประจำ มาที่คลินิกด้วยปัญหาหลักคือ อาการปวดบริเวณขาหนีบและต้นขาด้านหน้าข้างขวา ที่เป็นมาเกือบปี

การประเมิน (Assessment):

➡️ Subjective:

คุณสมพรเล่าว่า: "พอเดินไปได้สัก 5-10 นาที ขาหนีบกับหน้าขามันจะเริ่มปวดหนักๆ ตื้อๆ จนต้องหยุดหาที่นั่งพักค่ะ พอนั่งพักสักครู่ก็จะดีขึ้นแล้วก็เดินต่อได้อีกหน่อย นอกจากนี้ก็มีปวดเมื่อยๆ ที่ก้นกับหลังต้นขวาบ้างแต่ไม่มากเท่าด้านหน้า"

ประเด็นสำคัญ (History of Misdiagnosis): "เคยไปหาหมอที่คลินิกกระดูกแถวบ้าน เขา X-ray ดูแล้วบอกว่าน่าจะเป็น 'ข้อสะโพกเริ่มเสื่อม' ให้ยาแก้ปวดกับยาลดอักเสบมากิน ก็ไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ ยังเดินได้ไม่ไกลเหมือนเดิม กังวลมากว่าจะเดินออกกำลังกายที่ชอบไม่ได้อีก"

➡️ Objective (การตรวจร่างกาย):

Hip Examination: เริ่มต้นด้วยการตรวจข้อสะโพกอย่างละเอียด เพราะเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับแรกตามตำแหน่งที่ปวด แต่กลับพบว่า:

องศาการเคลื่อนไหวของข้อสะโพก (Hip ROM) อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่ได้ติดขัดมากนัก

การขยับข้อสะโพกในท่านอน ไม่ได้กระตุ้นอาการปวดที่หน้าขาที่คุณสมพรเป็นเวลาเดินอย่างชัดเจน

Lumbar Spine Examination (การตรวจหลังส่วนล่าง - จุดเปลี่ยน!):

เมื่อให้นั่งแล้ว ก้มตัวไปข้างหน้า (Lumbar Flexion) คุณสมพรบอกว่ารู้สึก "สบายขึ้น"

เมื่อให้ลอง แอ่นหลัง (Lumbar Extension) ในท่ายืน พบว่าสามารถ กระตุ้นให้เกิดอาการปวดตื้อๆ ที่ขาหนีบและหน้าขา ที่คุ้นเคยได้!

➡️ Connecting to EP 199 (การเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่):

Dr Wตระหนักว่ารูปแบบการปวดของคุณสมพร (ปวดขาข้างเดียวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง - Unilateral anterior & posterior leg pain) ตรงกับ "Class 5" จากงานวิจัยของ Young และคณะ ซึ่งเป็น รูปแบบการปวดที่พบได้บ่อยมาก (22.9%) ในผู้ป่วย LSS แต่ไม่ตรงตามตำราแบบดั้งเดิม

การตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของหลัง (แอ่นแล้วปวด, ก้มแล้วสบาย) ยิ่งเพิ่มความมั่นใจว่าต้นตอของปัญหาน่าจะมาจาก "กระดูกสันหลังส่วนเอว" ไม่ใช่ "ข้อสะโพก"

➡️ NKT/NMI Assessment (Neuromuscular Integration/Neurokinetic Therapy):

พบการทำงานที่ถูกยับยั้ง (Inhibited) ของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยรากประสาทส่วนเอวระดับบน (เช่น L2, L3, L4) ซึ่งรวมถึง Quadriceps (โดยเฉพาะ Re**us Femoris) และ Iliopsoas

พบการทำงานที่หนักเกินไป (Facilitated) ของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Lumbar Paraspinals) ที่พยายามจะพยุงกระดูกสันหลังที่เสื่อมสภาพ

แผนการรักษา (Treatment Plan - เปลี่ยนโฟกัสจากสะโพกไปที่หลัง):

🧠 1. Pain Science Education (PSE) - สร้างความเข้าใจใหม่:

The "Aha!" Moment: Dr W "แผนที่การปวด" (Pain Diagram) จากงานวิจัย (เหมือนใน EP 199) มาอธิบายให้คุณสมพรดู

"คุณสมพรครับ ที่ผ่านมาเราอาจจะคิดว่าปวดหน้าขาต้องมาจากสะโพกใช่ไหมครับ แต่จากงานวิจัยใหม่ๆ เขาเจอว่าในคนที่มีภาวะ 'โพรงกระดูกสันหลังตีบ' แบบที่คุณสมพรน่าจะเป็นเนี่ย รูปแบบการปวดที่ร้าวมาที่หน้าขาและขาหนีบแบบนี้ พบได้บ่อยมาก เลยครับ (ชี้ไปที่ Class 5)"

อธิบายกลไกง่ายๆ: "มันเกิดจากการที่ช่องทางออกของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงหน้าขามันตีบแคบลง พอยืนหรือเดินนานๆ (ซึ่งเป็นท่าที่หลังแอ่น) มันเลยถูกกดเบียดจนเกิดอาการปวดครับ การก้มตัวหรือนั่งพักมันช่วย 'เปิด' ช่องนั้น อาการเลยดีขึ้น"

การให้ความรู้นี้ช่วย สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้กับคุณสมพร และเปลี่ยนความกังวลจาก "ข้อสะโพกเสื่อม" ที่อาจจะต้องผ่าตัด ไปสู่ "ภาวะของหลัง" ที่สามารถจัดการได้ด้วยกายภาพบำบัด

📈 2. Load Management (การจัดการภาระงาน):

สอนกลยุทธ์ในการจัดการอาการระหว่างวัน

"Flexion Bias": แนะนำให้ใช้รถเข็นจ่ายตลาดเวลาเดินซื้อของ เพื่อให้ได้ "เอนตัวไปข้างหน้า" เล็กน้อย ซึ่งจะช่วยเปิดช่องว่างกระดูกสันหลังและทำให้เดินได้นานขึ้น

แนะนำให้มี "การนั่งพัก" เป็นระยะๆ ก่อนที่อาการปวดจะรุนแรงขึ้น

⚙️ 3. NKT/NMI Corrective Strategy:

Release: คลายกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Lumbar Paraspinals) ที่ตึงและทำงานหนักเกินไป

Activate: กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core stabilizers) และกล้ามเนื้อสะโพก (Gluteals) ในท่าที่ไม่กระตุ้นอาการปวด (เช่น ท่านอน) เพื่อสร้างความมั่นคงจากภายใน

💪 4. Targeted Exercise Program (เน้นการเคลื่อนไหวที่ช่วย "เปิด" ช่องว่าง):

ให้โปรแกรมการออกกำลังกายที่เน้น "การก้มตัว (Flexion-based exercises)" เป็นหลัก

เช่น ท่านอนหงายกอดเข่าชิดอก (Single/Double Knee-to-Chest), ท่านั่งก้มตัว (Seated Lumbar Flexion)

การปั่นจักรยานอยู่กับที่ (Stationary Cycling): เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ดีมากสำหรับผู้ป่วย LSS เพราะลำตัวจะอยู่ในท่างอไปข้างหน้าเล็กน้อย

ค่อยๆ เพิ่มการออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและสะโพกตามความทนได้

ผลลัพธ์ (Outcome):

หลังจากปรับแนวทางการรักษาโดยมุ่งเน้นไปที่กระดูกสันหลังส่วนเอว อาการปวดขาหนีบและหน้าขาของคุณสมพร ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ระยะทางในการเดินออกกำลังกายของเธอเพิ่มขึ้นจาก 5-10 นาที เป็น 20-30 นาที โดยมีอาการน้อยลงมาก

คุณสมพรมีความเข้าใจในภาวะของตัวเองอย่างถ่องแท้ และมีเครื่องมือ (ท่าออกกำลังกายและการปรับพฤติกรรม) ในการจัดการอาการด้วยตัวเอง

เธอหลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่ตรงจุดซึ่งอาจจะเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น

ข้อสังเกต: เคสนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการมีความรู้เกี่ยวกับ "รูปแบบการปวดที่หลากหลาย" ของ LSS สามารถช่วยให้นักกายภาพบำบัด "ไม่หลงทาง" ไปกับการรักษาที่บริเวณสะโพก และสามารถตั้งสมมติฐานและตรวจประเมินเพื่อหา "ต้นตอที่แท้จริง" ของปัญหาที่หลังได้ ซึ่งนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพและตรงจุดมากขึ้นครับ!

📖 References :

➡️ Young, J. J., et al. (2025). Digital pain diagrams to identify common lumbar spinal stenosis pain distribution patterns: a latent class analysis of 2,379 patients. The Spine Journal.

➡️ Jensen, R. K., Jensen, T. S., Koes, B., & Hartvigsen, J. (2020). Prevalence of lumbar spinal stenosis in general and clinical populations: a systematic review and meta-analysis. European Spine Journal, 29(9), 2143–2163.

➡️ Tomkins-Lane, C., Melloh, M., Lurie, J., et al. (2016). Consensus on the clinical diagnosis of lumbar spinal stenosis: results of an international Delphi study. Spine, 41(15), 1239–1246.

➡️ Jensen, R. K., Harhangi, B. S., Huygen, F., & Koes, B. (2021). Lumbar spinal stenosis. BMJ, 373, n1581.

➡️ Chang, N. H. S., Nim, C., Harsted, S., et al. (2024). Data-driven identification of distinct pain drawing patterns and their association with clinical and psychological factors: a study of 21,123 patients with spinal pain. Pain, 165(10), 2291–2304.

➡️ Shaballout, N., Aloumar, A., Neubert, T. A., et al. (2019). Digital pain drawings can improve doctors’ understanding of acute pain patients: survey and pain drawing analysis. JMIR mHealth and uHealth, 7(1), e11412.

📞 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้ารับบริการกายภาพบำบัดได้ที่:

❤️ บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด (JR Physio)

เว็บไซต์: www.jrphysio.com

📍 สาขาเยาวราช:

⏰ เปิดทุกวัน (ปิดวันอังคาร)

📞 080-425-9900

💬 Line: .cn (หรือสแกน QR Code ที่หน้าเพจ/เว็บไซต์)

💻 Facebook: https://www.facebook.com/jrphysiochinatown

🗺️ แผนที่: (ค้นหา "บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเยาวราช" บน Google Maps) หรือ https://maps.app.goo.gl/mAwdMtETvgrW2yYT9

📍 สาขาเพชรเกษม 81:

⏰ เปิดทุกวัน (ปิดวันพุธ)

📞 094-654-2460

💬 Line: (หรือสแกน QR Code ที่หน้าเพจ/เว็บไซต์)

💻 Facebook: https://www.facebook.com/jrphysioth

🗺️ แผนที่: (ค้นหา "บ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเพชรเกษม 81" บน Google Maps) หรือ https://maps.app.goo.gl/7XdgGKqzXQ3qfsDeA

😊 เรายินดีให้คำปรึกษาและดูแลสุขภาพของคุณครับ!

⚡ “อาการชา” ไม่ได้เกิดจากต้นเหตุเดียวเสมอไป! อาจมีต้นเหตุอื่นๆมากกว่านั้น และการหาสาเหตุแท้จริงจะนำไปสู่การรักษาที่ถูกทา...
28/08/2025

⚡ “อาการชา” ไม่ได้เกิดจากต้นเหตุเดียวเสมอไป! อาจมีต้นเหตุอื่นๆมากกว่านั้น และการหาสาเหตุแท้จริงจะนำไปสู่การรักษาที่ถูกทาง
วันนี้ กภ.คิตตี้ จะมาเล่าหนึ่งในเคสที่ทำให้เห็นว่า อาการชาเกิดได้จากหลายสาเหตุ และการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงเจอ จะทำให้อาการทุเลาลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำกายภาพ

👨‍💼 เคสนี้เป็นนักธุรกิจชาวสเปน อายุ 56 ปี
ทุกเช้าจะตื่นมาด้วยอาการปวดคอและไหล่ต่อเนื่องมานาน 3 ปี โดยอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่างมารักษาเพราะงานยุ่งมาก อาศัยกินยาแก้ปวดเอา
>> ต่อมาไม่นานอาการค่อยๆ รุนแรงขึ้น จนเช้าวันหนึ่งมี “อาการชาตั้งแต่หลังคอลงไปถึงมือ” และ “ปวดเกร็ง” คออย่างรุนแรง
คนไข้จึง walk in มากายภาพบำบัดที่คลินิก

แต่ด้วยความที่วันนั้นคิวเต็มทั้งวัน จึงทำได้แค่พูดคุย เคสนี้แจ้งอาการว่า
🤕 ปวดบริเวณต้นคอ → หัวไหล่ส่วนบนทั้ง 2 ข้างเป็นพักๆ
🫱‍🫲 ชา จากคอ → ศอกด้านข้าง, ข้อพับทั้ง 2 ข้าง
👉 ชาที่นิ้วก้อยแค่ข้างขวา
⏰ อาการจะมากขึ้นหลังตื่นนอนทุกวัน

จากอาการที่กล่าวมา สิ่งที่ชัดที่สุดคือ “ลักษณะการชาที่เป็นตามแนวเส้นประสาท” และด้วยอายุที่มาก
📍 ทำให้เราตั้งสมมุติฐานที่มั่นใจได้ว่า ต้องมี “อะไรสักอย่าง” เกิดขึ้นที่กระดูกคอแน่นอน

จึงแนะนำให้ไป X-ray เพื่อดูกระดูกสันหลังส่วนคอ พร้อมทั้งแทรกคิวรักษาด่วนให้
🩻 ผล X-ray พบว่า
🔸️ มีการตีบแคบของช่องว่างระหว่างกระดูกหลายข้อ
🔸️ มีการเสื่อมของกระดูก และร่องรอยการซ่อมแซมกระดูกจนเกิด “กระดูกงอก”
🔸️ ซึ่งข้อที่พบการกดทับมากคือ
- กระดูกคอที่ C3-4
- กระดูกคอที่ C5-6
👉 จากผล X-ray ไม่แปลกเลย ถ้าจะเกิดการกดทับที่เส้นประสาท
👉 เมื่อมีการกดทับต่อเส้นประสาทที่มาก ร่างกายจะพยายามปรับตัวโดย
→ ทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ คอทำงานมากขึ้น เพื่อช่วยรับแรงและลดการกดทับต่อเส้นประสาท แต่การทำงานเกินขีดจำกัดนี้กลับทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตลอดเวลา จนทำให้เกิดอาการเจ็บปวดตามมา
ซึ่งนี่คืออาการที่เกิดขึ้นกับคอคนไข้ตอนนี้

📌 ประวัติการใช้งานร่างกายในอดีต
เคสนี้ในสมัยหนุ่มๆ ทำงานหนักมาก ทั้งแบกกระสอบหนักโดยวางไว้ที่หลังคอ แล้วยกม้วนผ้าหลายม้วนไว้เหนือคอมาโดยตลอด จนปัจจุบันนี้คุณลุงมาเป็นเจ้าของร้านแล้วค่ะ หน้าที่คือแค่ก้มดูเอกสาร และสั่งลูกน้องแทน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการทำงานที่หนักมากๆ ในวัยหนุ่มส่งผลต่อ “กระดูกคอ” ของเคสนี้อย่างมาก

🧠 เราแวะมาคุยกันเกี่ยวกับหน้าที่ของ “เส้นประสาท” กันก่อน
1. ทำหน้าที่ “สั่งการ” → เมื่อมีปัญหาตรงส่วนนี้ จะทำให้คำสั่งจากสมองส่งไปไม่ถึงกล้ามเนื้อ เกิดการ “อ่อนแรง” ขึ้นได้
2. ทำหน้าที่ “รับความรู้สึก” → ถ้ามีปัญหาส่วนนี้จะทำให้ “ปวด” และ “ชา” ตามแนวที่เส้นประสาทไปเลี้ยง

📍 โดย “อาการชา” เกิดได้จากหลักๆ 2 เหตุการณ์คือ
1️⃣ “รากประสาท” (ต้นขั้วประสาท) ถูกกดทับ
- ลักษณะเด่นคือ จะชา “ตามแนวรากประสาท” เริ่มชาจาก “คอ” → “จุดปลาย” เรียกอีกอย่างว่า “Dermatome”
- ลักษณะชาประเภทนี้ จะมีลักษณะเฉพาะตัว ทำให้กภ.บางคนแค่ฟังอาการก็สามารถตั้งสมมติฐาน ระบุข้อกระดูกที่มีปัญหาได้
เช่นในเคสนี้ ที่มีการกดทับที่รากประสาทระดับ 4,5,6 ซึ่งทำให้ชาเริ่มจาก “คอ” → “ศอก”
2️⃣ “เส้นประสาทส่วนปลาย” ถูกกดทับ
- ลักษณะเด่นคือชาเฉพาะส่วน มักจะไม่ได้เริ่มจาก “คอ” เช่น อยู่ๆก็ชามือเลย คอไม่มีอาการ

🔎 ปูพื้นฐานกันมาประมาณหนึ่งแล้ว เรามาวิเคราะห์ “อาการชา” เคสนี้กันค่ะ
- อาการชาเริ่มจาก “คอ”→ “ศอก” ลงมาเป็นเส้นเดียว
👉 แปลว่า เกิดจาก “รากประสาท” ถูกกดทับ คาดว่าเป็นตัวที่ 4,5,6 ซึ่งเกิดจากการตีบแคบของช่องระหว่างกระดูกสันหลัง
- แต่จุดที่แปลกในเคสนี้คือ
✅️คนไข้มีการชาที่ “มือฝั่งนิ้วก้อยข้างขวา”ขึ้นมาเฉยๆ
❌️ไม่ใช่ชาจาก “คอ”ลงมาที่ “มือ” เป็นเส้นยาวๆ
👉 หมายความว่า!!! การชาตรงนี้ เกิดจาก “เส้นประสาทส่วนปลาย”
ในกรณีนี้คาดว่าจะกดทับ Ulnar nerve (เส้นประสาทที่เลี้ยงด้านนิ้วก้อย)
👉 หลังจากเช็คจุดที่มีความเป็นไปได้แต่ละส่วน พบว่าเกิดกดทับจาก ข้อมือ (Guyon canal syndrome)

🛠️ การดูแลจัดการเคสนี้
1️⃣ กระดูกเสื่อมและกระดูกงอก
ต้องบอกว่าการเสื่อมที่เกิดนั้น เสื่อมแล้วเสื่อมเลยค่ะ กายภาพไม่สามารถจัดการย้อนเวลาให้จากเสื่อมกลายเป็นปกติได้ค่ะ
แต่!!!! สิ่งที่กภ.ทำได้คือทำให้คนไข้อยู่กับกระดูกที่เสื่อมได้โดย “ไม่มีอาการปวด หรือชา”
💪 ด้วยการสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อคอมัดลึก ที่ทำหน้าที่สร้างความมั่นคงให้แก่กระดูกคอ

โดยปกติกล้ามเนื้อคอจะมี 2 ส่วนค่ะ
➡️ กล้ามเนื้อคอมัด “ลึก” → ในเคสนี้ “อ่อนแอมาก” กล้ามเนื้อแทบไม่ทำงานเลย
➡️ กล้ามเนื้อคอมัด “ตื้น” → ในเคสนี้ “เกร็งตัวสูงมาก” เพื่อช่วยพยุงคอให้มั่นคง !!แต่การเกร็งตัวสูงก็ทำให้ปวดมากเช่นกัน
➡️ เคสนี้จึงต้องเริ่มจาก
- คลายกล้ามเนื้อคอมัด “ตื้น” ที่เกร็งตัวสูง (แต่!!! เราจะคลายเพียงแค่ 50% ให้กล้ามเนื้อยังทำหน้าที่พยุงคอต่อได้)
- กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อคอมัดลึก เพื่อสร้างความมั่นคงมากขึ้นให้คอ

2️⃣ การกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ
เมื่อมีบางอย่างไปกดเส้นประสาท จะทำให้การส่งสัญญาณประสาทได้ยาก
➡️ ดังนั้นเราจะเน้นที่ลดการกดทับบริเวณข้อมือ
➡️ และดูแลเส้นประสาทที่โดนกดทับ ผ่านการยืดเส้นประสาทที่ตึงตัวด้วยท่าเฉพาะ
เพื่อให้เส้นประสาทสามารถกลับมาส่งสัญญาณประสาทได้ดีขึ้น
ในเคสนี้ หลังจากที่ยืดเส้นประสาทไป 5 รอบ อาการชาที่นิ้วก้อยข้างขวาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และหลังจากรักษากัน2รอบอาการชาที่มือหายไปสนิท
ผลลัพท์ของการรักษา
⏳ หลังจากกายภาพผ่านไป3เดือน
✅ เคสนี้ไม่มีอาการปวดแล้ว
✅ อาการชาลดลงไป 90%
⚠️ อาการชาเหลือแค่บริเวณคอลงมาไหล่

✨ เคสนี้ทำให้เราเห็นว่า
- แม้ “กระดูกเสื่อม” จะย้อนเวลากลับไม่ได้ แต่กายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คุณ “อยู่กับมันได้”
- “อาการชา” ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียวเสมอไป การตรวจอย่างละเอียดจึงสำคัญมาก เพราะถ้าเจอต้นเหตุที่แท้จริง เราจะสามารถดูแลได้ตรงจุด ลดทั้งความปวด ความกังวลของคนไข้ลงตั้งแต่ครั้งแรก และเพิ่มคุณภาพการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น 🙏

📌 วันที่ 25 สิงหา 68นี้ คลินิกจะ ปิดทำการ 1 วัน และจะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 26 สิงหาคม 68✨เนื่องจากทีมบ้านใจ...
21/08/2025

📌 วันที่ 25 สิงหา 68นี้ คลินิกจะ ปิดทำการ 1 วัน และจะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 26 สิงหาคม 68

✨เนื่องจากทีมบ้านใจอารีย์คลินิกกายภาพบำบัด ได้จัดอบรม และแบ่งปันความรู้กับเพื่อนนักกายภาพ แพทย์ และเทรนเนอร์ท่านอื่นๆ 🧑‍⚕️👩‍⚕️

เพราะเราเชื่อว่า.... การรักษาที่นี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ประสบการณ์เดิม แต่เรายังคงพัฒนาเพื่อคนไข้ทุกคนเสมอ

🔥“เจ็บไหล่นาน10 ปี…เพราะกล้ามเนื้อทำงานผิดตัว!”รักษามาเป็น10ปี แต่มาจบที่เราใน 2สัปดาห์ เกิดขึ้นได้ยังไง?วันนี้ กภ.คิตตี...
13/08/2025

🔥“เจ็บไหล่นาน10 ปี…เพราะกล้ามเนื้อทำงานผิดตัว!”
รักษามาเป็น10ปี แต่มาจบที่เราใน 2สัปดาห์ เกิดขึ้นได้ยังไง?

วันนี้ กภ.คิตตี้ จะมาเล่าหนึ่งในเคสที่แสดงให้เห็นว่า
การหาจุดเริ่มต้นของปัญหาได้ จะสามารถกำจัดปัญหาที่เรื้อรังได้อย่างรวดเร็ว🤯
👮‍♂️เคสนี้คือ ตำรวจอเมริกา ที่ทำงานลุยกับคนร้ายมาตลอดอายุงาน ทั้งชีวิตใช้ร่างกายเต็มที่แบบไม่รู้จักคำว่า ถนอม
→ หลังเกษียณ เขาย้ายมาอยู่ที่ไทย แต่สิ่งที่ย้ายตามมาด้วยคือ “อาการเจ็บไหล่” ที่อยู่ด้วยกันมา 10 กว่าปี

🤧อาการที่ทำเรามาเจอกัน คือ
🔹ยกแขนไปด้านหน้า 90° → เจ็บหัวไหล่ด้านข้าง ตลอด
🔹กางแขนสูงเกิน 100° → เจ็บหัวไหล่ด้านหลัง ตลอด
🔹ยิ่งถ้าถือของหนัก → ทั้ง2ข้างจะเจ็บมากขึ้นชัดเจน
เอาจริงๆความเจ็บมันแค่ 4/10 ซึ่งน้อยนะคะ แต่ลองคิดภาพดู… ถ้าทุกครั้งที่ยกแขนจะต้องเจ็บไหล่แบบนี้ตลอด 10 ปี 😱 ยังไงก็ไม่ Happy ค่ะ

💬ประวัติการรักษาเดิม
เคสนี้เคยผ่านการทำกายภาพ, ไคโรแพคติก, ฝังเข็ม, ครอบแก้ว ที่บ้านเกิดมาหมดแล้ว
ทุกครั้งหลังทำ อาการจะดีขึ้นชั่วคราว… แต่ไม่นานอาการ ก็กลับมาเหมือนเดิม
แปลว่า… ต้นเหตุของปัญหายังไม่เคยถูกแก้ไขจริง ๆ

🔬การประเมินร่างกาย
→ จากประวัติการรักษาเดิม ถามว่า “ตรวจ, รักษาแบบเดิมแล้วไม่หาย เราจะทำแบบเดิมอีกมั้ย❓”
→ คำตอบคือ “ไม่ค่ะ!!” เราจะตรวจกันใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น
→ เราจะมาค่อยๆตรวจไปทีละจุด แยกความเป็นไปได้ทีละข้อ พร้อมจะที่ชี้จุดที่มี “ความเอ๊ะ🤔” ซ่อนอยู่

ค่อยๆ ตามกันมาช้าๆนะคะ การประเมินอาจจะสับสนจุดกล้ามเนื้อกันหน่อย

👉3 อาการที่มีความเป็นไปได้ในเคสนี้

1️⃣Biceps tendinopathy
→ อาการนี้มักเกิดจาก ยกแขนในมุมเดิมซ้ำๆ หรือโดนกระแทกจุดเดิมๆมา
(เชื่อมไปกับอาชีพตำรวจของเคสนี้ จึงมีความเป็นไปได้)
🔹ตรวจยืนยันอาการ โดยกระตุ้นกล้ามเนื้อ “ต้นแขน” ให้หดตัว ซึ่งควรจะเจ็บที่ “ไหล่ด้านหน้า” ที่เป็นจุดเกาะปลายของเส้นเอ็น
🔹ผล : พบว่าคนไข้เจ็บค่ะ แต่!!! เจ็บที่ “ไหล่ด้านข้าง” แทน ซึ่งไม่ใช่ที่ที่ควรจะเจ็บ
🧐นี้คือ “เอ๊ะแรก” ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เราจะลิสต์ส่วนนี้เอาไว้ก่อนนะคะ
→ ดังนั้นจากการตรวจ นี้ไม่ใช่อาการของ Bicep tendinopathy ❌

2️⃣Subacromial impingement syndrome (SIS)
→ ลักษณะเด่นอาการนี้คือ จะเจ็บแค่ตอนกางแขนช่วง 60-120° เท่านั้น!!
แต่… เคสนี้เจ็บตอนกางแขน ตั้งแต่ 100° ขึ้นไปจนสุด → ความเป็นไปได้ว่านี้คือสาเหตุก็น้อยลงไป
🔹ตรวจยืนยันอาการ โดยจัดท่าให้ช่องว่างระหว่างข้อไหล่แคบลงแล้วขยับเอ็นรอบๆข้อไหล่
🔹ผล : ไม่พบสัญญาณของการกดทับใดๆ
→ จากการตรวจยืนยัน นี้ไม่ใช่อาการของ SIS ❌

เมื่อ… ให้ต้านแรงขณะกางแขน จุดที่ควรจะรู้สึกเจ็บคือ “ด้านล่างของสะบัก”
แต่!! พบว่ามีอาการปวดบริเวณของ “ไหล่ด้านหลัง” แทน
( 🧐และนี้เป็นอีก “เอ๊ะ” ที่เราจะลิสต์เอาไว้)

3️⃣Shoulder muscle imbalance
→ ภาวะที่ลำดับการทำงานและหน้าที่ของกล้ามเนื้อรอบหัวไหล่สับสนและผิดเพี้ยนไปจากเดิม
🔹เมื่อทดสอบ ด้วยเทคนิคเฉพาะNeuromuscular Integration
🔹ผล : พบว่า กล้ามเนื้อทำงาน ผิดหน้าที่จนบาดเจ็บ
⚠️ ดังนั้น!! นี้คือสาเหตุที่แท้จริงของเคสนี้ ที่ตำรวจคนนี้ ที่กำลังเผชิญอยู่ ✅

ตอนนี้ทุกคนยังตาม กภ.คิตตี้ ทันกันอยู่นะคะ
อีกนิดหนึ่งคะ เราจะมาขยาย Shoulder muscle imbalance กัน

🔍วิเคราะห์จากจุดที่เราลิสต์ไว้เมื่อกี้ เราพบว่า…

🟡ลิสต์ที่ 1
➡️โดยปกติ “ไหล่ด้านข้าง”→ จะทำหน้าที่ :กางแขน
➡️และปกติ “ต้นแขน”→ ทำหน้าที่ :ยกแขนไปด้านหน้า
➡️ การที่ร่างกาย ยกแขนไปข้างหน้า แต่ใช้กล้ามเนื้อ"ไหล่ด้านข้าง" แทนจึงเป็นจุดที่ทำให้บาดเจ็บ

⚠️ ถ้าใช้กล้ามเนื้อผิดแบบนี้ซ้ำๆ เป็นเวลานาน
มันจะทำให้เกิด “ความเคยชินที่ผิด”
ยิ่งถ้าใช้งานร่างกายหนักด้วยความเคยชินที่ผิด เป็นเวลานาน → “ไหล่ด้านข้าง” ถูกใช้งานเกินหน้าที่ → จะล้า → เกิดการบาดเจ็บสะสม

💢 นี่จึงเป็นเหตุผลที่อาการในเคสนี้ ไม่หายสนิทสักที
เพราะนี้ไม่ใช่ “การบาดเจ็บเรื้องรัง”แบบเดิมๆ
แต่เป็น “การบาดเจ็บใหม่ซ้ำๆ ที่จุดเดิม” วนไปเรื่อยๆ
- “บาดเจ็บเก่ายังไม่ทันหาย บาดเจ็บใหม่ก็เกิดขึ้นอีกแล้ว”

🪫ในส่วนของ “ต้นแขน” ที่ถูกลดการใช้งาน ก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกลายเป็น “จุดอ่อน” ที่ร่างกายไม่เลือกมาใช้งานอีกต่อไป

🔍สถานการณ์นี้ยังเกิดในทิศทางเดียวกันกับ

🟡ลิสต์ที่2 คือ
➡️โดยปกติ "ไหล่ด้านหลัง" →จะทำหน้าที่ :ยื่นแขนไปด้านหลัง
➡️และ"สะบักด้านล่าง" → จะทำหน้าที่ ส่งสะบักออกเพื่อ “กางแขน”
➡️แต่ร่างกายใช้ “ไหล่ด้านหลัง” แทนเมื่อกางแขน ซึ่งผิด

สรุปค่ะ สรุป! ก่อนที่จะงงกันไปมากกว่านี้
🤝กล้ามเนื้อมักทำงานกันเป็นกลุ่มค่ะ 🤝
การยกแขน1ครั้ง มีหลายกล้ามเนื้อมากๆช่วยกันทำ
แต่ละตัวก็มี “ความสามารถเฉพาะ” ที่แตกต่างกันไป

🚑การรักษาจึงต้องเข้าใจธรรมชาติของกล้ามเนื้อว่า “ตัวไหนทำงานเมื่อไร และในองศาไหน”
จึงจะหา “ต้นเหตุ” ที่แท้จริงได้
เพราะร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักรค่ะ ที่เสียที่ไหนซ่อมที่นั้น หรือซ่อมตามที่เขียนในตำราแป๊ะๆ

🤔ปัญหาเคสนี้ แก้ไม่ยากเลยค่ะ แค่เราต้องเข้าใจและปรับที่ “ต้นเหตุ”
ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจ แล้วไปเน้นแก้แต่อาการเจ็บปลายทาง😔 ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันหาย

🧠แผนการรักษาแบบ Advance
เราจะ “รีเซ็ตระบบ” การทำงานของกล้ามเนื้อใหม่ทั้งหมด → ให้สร้างความเคยชินในการเลือกหยิบกล้ามเนื้อที่ถูกต้องออกมา

1️⃣หยุดกล้ามเนื้อที่ทำงานผิดพลาด
→ ใช้ shockwave คลายตัวของ scar tissue
→ ใช้เทคนิคการคลาย Fascia ผ่าน Blade

2️⃣เสริมกำลังกล้ามเนื้อที่ถูกลดการทำงาน
→ ฝึกด้วยท่าเฉพาะ เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกลับมาทำหน้าที่หลักของมัน

3️⃣ฝึกการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อทั้งกลุ่ม
→ ป้องกันการ “ใช้งานผิด” ในอนาคตอีก
→ ให้กล้ามเนื้อทำงานร่วมกันได้ราบรื่นในทุกองศาการเคลื่อนไหว

👮‍♂️ตลอด10ปีที่มีอาการ ตำรวจคนนี้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ....รับรู้ได้จากบาดแผลและมัดกล้ามเนื้อที่เห็น ก็รู้ว่าคนร้ายคงจะไม่เหลือสภาพดีๆเข้าคุก😆 — ภาพในหัวคือ “The Rock วิ่งไล่จับคนร้าย” แน่นอน
➡️ แต่เมื่อร่างกาย “เคยชินกับการใช้งานแบบผิดๆ” มาตลอด อาการจึงยืดเยื้อมาถึง 10 ปี
➡️ถ้าไม่รีบสร้าง “ความเคยชินใหม่” ในการเรียกใช้งานกล้ามเนื้อที่ถูกต้องขึ้นมา อาการปวดก็จะวนกลับมาเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด😱

✅ ผลลัพธ์การกายภาพบำบัด
ภายใน 2 สัปดาห์ → อาการเจ็บไหล่ที่อยู่มานานกว่า 10 ปี ลดลงจนแทบไม่เหลือ
💬 คนไข้ถึงกับแซวว่าเหมือนโดนเปลี่ยน “ไหล่ใหม่”
💪 กลับมาเคลื่อนไหวแขนได้อย่างมั่นใจ และไม่กลัวการใช้งานหนักอีกต่อไป

📍บทเรียนจากเคสนี้

→ การรักษาที่ได้ผล เราจะไม่ได้มองแค่ ‘จุดที่เจ็บ หรือ ปลายเหตุ‘ แต่เรามองทั้งระบบการทำงานของร่างกาย เข้าใจธรรมชาติการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทุกตัว และตรวจพิสูจน์ จนเจอต้นเหตุของปัญหาจริงๆ …จึงปิดเคสที่เรื้อรัง 10ปีได้ในเพียง2สัปดาห์🙏
→ อาการเรื้อรังหลายปี ไม่ได้แปลว่ารักษาไม่ได้
→ บางครั้งต้นเหตุไม่ได้อยู่ที่จุดที่เจ็บ แต่เป็นที่ “ระบบการทำงานของร่างกายที่บิดเบี้ยวไปจากเดิม”
→ ถ้าไม่แก้ที่ระบบ อาการก็จะกลับมาซ้ำ ๆ ไม่ว่าคุณจะรักษากี่ครั้ง

ที่อยู่

256/1 Soi. Wuttisuk Near Nongkhaem Police Station, Nongkhaem
Nong Khaem
10160

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 20:00
อังคาร 09:00 - 20:00
พุธ 09:00 - 20:00
พฤหัสบดี 09:00 - 20:00
ศุกร์ 09:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 20:00
อาทิตย์ 09:00 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

+66946542460

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเพชรเกษม 81 JR Physio Clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด สาขาเพชรเกษม 81 JR Physio Clinic:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

มี 2 สาขา 1. เพชรเกษม 81 (094-6542460) 2. เยาวราช (080-4259900)

บ้านใจอารีย์ คลินิกกายภาพบำบัด รักษา บำบัด ฟื้นฟู อาการปวด โรคทางระบบกระดูก กล้ามเนื้อข้อต่อ แขน-ขาชา อ่อนแรง ด้วยเทคนิควิธีการทางกายภาพบำบัด และเครื่องมือที่ทันสมัย


  • ปวดหลัง ปวดเอว ปวดร้าวลงขา กระดูกทับเส้น

  • ปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดร้าวลงแขน ออฟฟิตซินโดรม ไหล่ติด

  • นิ้วล๊อค มือชา พังผืดฝ่ามือทับเส้นประสาท ปวดข้อ