ReGen Center ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข

ReGen Center ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข ReGenCenter ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข

"อายุเป็นเพียงตัวเลข" เป็นคำพูดที่ใช้ได้กับคนในหลายๆ Generations
เเต่ในสังคมปัจจุบัน คำพูดนี้อาจช่วยให้ประเทศเราเเก้ปัญหาระดับชาติได้

ปัญหาที่ว่านั้นคือ การที่ประเทศไทยเราเข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปเเบบ หรือ Aged Society" อันเนื่องมาจากการมีประชากรที่อายุมากกว่า 60 ปี เกิน 20% ของประชากรทั้งหมด ปัญหานี้จะนำมาซึ่งการลดลงของประชากร การขาดเเคลนจำนวนเเรงงาน การเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านความเป็นอยู่

เเละสาธารณสุขเพื่อดูเเลผู้สูงอายุดังกล่าว

ดังนั้นการปรับปรุงทัศนคติ การเตรียมพร้อม การปรับรูปเเเบบการดำเนินชีวิต เเละการดูเเลตนเองของผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในการที่จะช่วยให้ตัวผู้สูงอายุนั้นใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข สุขภาพที่เเข็งเเรง เเละความเป็นอยู่ที่ดี

ฮีทสโตรก (Heat Stroke) อันตรายจากอากาศร้อนที่ไม่ควรมองข้ามฮีทสโตรก (heat stroke) หรือที่เรียกว่าโรคลมแดด เป็นภาวะรุนแรงท...
12/06/2025

ฮีทสโตรก (Heat Stroke) อันตรายจากอากาศร้อนที่ไม่ควรมองข้าม
ฮีทสโตรก (heat stroke) หรือที่เรียกว่าโรคลมแดด เป็นภาวะรุนแรงที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูง ทำให้เกิดการสูญเสียการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้อาจหมดสติ ชัก และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
อาการของฮีทสโตรก สามารถแบ่งออกได้ตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้:
อาการเบื้องต้น
• ปวดศีรษะ และมีอาการเวียนหัว
• ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
• เหงื่อออกมาก หรือบางครั้งเหงื่อไม่ออกเลยในบางกรณีที่ร่างกายร้อนเกินไปจนระบบขับเหงื่อหยุดทำงาน
อาการรุนแรง
• ขาดน้ำจากการสูญเสียความร้อน
• ฮีทสโตรกหรือโรคลมแดด มีภาวะชัก หมดสติ หรือการเต้นของหัวใจผิดปกติ
ฮีทสโตรก อันตรายแค่ไหน
ความร้ายแรงของฮีทสโตรก คือ ร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจะทำให้ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติไป โดยความผิดปกติเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ มึนศีรษะ ปวดศีรษะ อันนี้เป็นอาการเริ่มต้น หลังจากนั้น ถ้าเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ก็จะทำให้เกิดอาการฮีทสโตรก ก็จะมีอาการที่มีความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไป อาจจะมีภาวะชัก หรือว่าการหมดสติจากการที่หัวใจเราเต้นผิดจังหวะได้ และสุดท้ายคือเสียชีวิตได้
สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคลมแดด
1. อุณหภูมิที่สูง
2. ความชื้น ความชื้นที่สูงทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นได้
3. ภาวะแรงลม ถ้าไม่มีลม ก็ไม่สามารถพัดความร้อนได้
กลุ่มเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะโรคลมแดด
1. ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว :
3. ผู้ทำงานกลางแจ้งหรือออกกำลังกายหนัก
4. ผู้ที่ดื่มน้ำน้อยในหน้าร้อน:

การปฐมพยาบาล
ฮีทสโตรก ปฐมพยาบาลอย่างแรกคือ ต้องดูว่าคนไข้มีภาวะความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไปหรือเปล่า ถ้ามีภาวะความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไป ให้ไปคลำชีพจรดูว่าการหายใจเขาผิดปกติหรือเปล่า ถ้ามีการหายใจที่ผิดปกติ ต้องทำ CPR และโทร 1669 เพื่อเรียกรถพยาบาลมารับผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ในกลุ่มผู้ป่วยที่ยังมีความรู้สึกตัวที่ปกติดีอยู่ ก็สามารถนำผู้ป่วยเข้ามาในที่ร่มได้ และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เยอะ ๆ และรีบลดอุณหภูมิกายโดยการใช้น้ำแข็ง หรือการใช้ cool blanket คือการใช้ผ้ายาง ใส่น้ำแข็งลงไป แล้วให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในตรงนั้น ถ้ามีพัดลม สามารถเปิดพัดลมได้
ถ้าใช้เป็นผ้าชุบน้ำ ในคนไข้ที่เป็นโรคกลุ่มฮีทสโตรก มักจะไม่ค่อยได้ผล แต่สามารถใช้ได้ โดยการเช็ดตัวให้เช็ดตัวเหมือนผู้ป่วยที่เป็นไข้ คือเช็ดสวนขึ้นมาเข้าทางหัวใจ เช็ดทางเดียว และเปิดพัดลม

วิธีป้องกันฮีทสโตรก
ฮีทสโตรก (Heat Stroke) เกิดจากอุณหภูมิร่างกายสูงเกินไปจากอากาศร้อน ทำให้หมดสติและอันตรายถึงชีวิต ควรป้องกันด้วยการดื่มน้ำและหลีกเลี่ยงแดดจัด
การดูแลตัวเองในหน้าร้อน คือ
ดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติ : โดยเฉพาะเมื่อต้องออกกำลังกายหรือทำงานในที่กลางแจ้ง
หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน : หากต้องออกกลางแจ้ง ควรใส่หมวกหรือกางร่มเพื่อป้องกันความร้อน
ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถระบายความร้อนได้ง่ายขึ้น
พักในที่ร่มและมีลมพัดผ่าน : ควรหาที่พักในที่ที่มีการระบายอากาศดี เช่น ห้องที่มีพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ
ไม่ควรออกกำลังกายหนักในช่วงที่ อากาศร้อนจัด : เลือกช่วงเวลาที่อากาศเย็นลง หรือทำกิจกรรมในช่วงเช้าหรือเย็นแทน
ไม่ควรอยู่ในห้องปิด : เปิดประตู หน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/articleฮีทสโตรก-heat-stroke-อันตรายจากอา
#สังคมสูงวัย
#โจทย์ใหญ่ด้านนโยบาย #โอกาสทางธุรกิจ
#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ฮีทสโตรก Stroke

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ดูแลตัวเองดี ต่อชีวิตได้อีกไกลโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (coronary artery disease: CAD) เป็นอีกหนึ่งโรคที...
05/06/2025

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ดูแลตัวเองดี ต่อชีวิตได้อีกไกล
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (coronary artery disease: CAD) เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ ภาวะที่หลอดเลือดแดงที่ส่งเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการแคบลงหรือตีบตัน สาเหตุมาจากการสะสมของไขมัน คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ที่ผนังหลอดเลือด เมื่อหลอดเลือดตีบจะทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง กล้ามเนื้อหัวใจจะได้รับเลือดและออกซิเจนน้อยลง จนเกิดอาการเจ็บหน้าอก หรือในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการ
อาการหลอดเลือดหัวใจตีบอาจไม่แสดงจนกว่าโรคจะอยู่ในระยะรุนแรง อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่:
• เจ็บแน่นหน้าอก
• เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
• หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันและเรื้อรัง
• ความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
• หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง โดยสามารถแบ่งได้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ ดังนี้
1. ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
• อายุ : อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น
• เพศ : เพศชายเป็นได้มากกว่าเพศหญิง หากในวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเป็นเท่ากับเพศชาย
• ประวัติครอบครัว : พ่อ แม่ พี่ น้อง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ
2. ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เปลี่ยนแปลงได้
• สูบบุหรี่
• ไขมันในเลือดสูง
• โรคความดันโลหิตสูง
• ไม่ออกกำลังกาย
• น้ำหนักมากหรืออ้วน
• โรคเบาหวาน
• กินอาหารไม่มีประโยชน์
• ความเครียด
ผลกระทบหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้หรือรู้ตัวช้า ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตามเวลา เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง ไขมันจะเริ่มเกาะที่ผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้หลอดเลือดตีบหรือแคบลง ส่งผลต่อเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการปริแตกของหลอดเลือด เกล็ดเลือดหลุดเข้าไปอุดตันทางเดินของหลอดเลือด และเมื่อมีการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเกินร้อยละ 50 คนไข้จะเริ่มมีอาการแสดง
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ
หากคนไข้พบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอก หรืออาการอื่นที่กล่าวมาข้างต้น คนไข้จะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที และเจาะเลือดเพื่อดูเอนไซม์ของหัวใจ หากสูงขึ้นแสดงว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ ร่วมกับซักประวัติคนไข้ สอบถามระยะเวลาที่เจ็บแน่นหน้าอก หากมากกว่า 20 นาที อาจเกี่ยวข้องกับอาการหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รักษาอย่างไร
• หากหลอดเลือดตีบตันเพียงบางส่วน รักษาด้วยยา
• หากหลอดเลือดตันมาก รักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจ
• หากไม่สามารถทำบอลลูนหัวใจได้ รักษาด้วยการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ
การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
• หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง (ควบคุมอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม ลดน้ำหนักตัว)
• กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
• กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
• กินอาหารแต่พออิ่ม หลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังกินอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอก
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลังการรักษาแพทย์จะให้คนไข้ฝึกเดิน จากนั้นควรเพิ่มระยะเวลาทีละน้อย
• ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน ลดความเครียด
• ไม่สูบบุหรี่
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ผ่านการดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม ดังนี้
• หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และอาหารเค็มจัด
• กินอาหารที่มีไขมันน้อย
• ออกกำลังกายเป็นประจำ
• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
• นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
• ควบคุมน้ำหนัก
• ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
สรุป
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีความเสี่ยงสูงและอันตราย หากไม่ดูแลตนเองอย่างถูกต้อง แต่หากปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม การรักษาโรคนี้สามารถยืดอายุการใช้งานของหัวใจได้อีกยาวนาน ควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ-ดู/
#สังคมสูงวัย
#โจทย์ใหญ่ด้านนโยบาย #โอกาสทางธุรกิจ
#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ไวรัส RSV ในผู้สูงอายุ คืออะไร?RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหาย...
29/05/2025

ไวรัส RSV ในผู้สูงอายุ
คืออะไร?
RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ
ระบาดในฤดูฝนถึงฤดูหนาว อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
กลุ่มเสี่ยง
• เด็กเล็ก
• อายุมากกว่า 65 ปี
• ภูมิคุ้มกันต่ำ
• โรคปอด โรคหัวใจ
ติดต่อผ่านสารคัดหลั่ง
• น้ำมูก
• น้ำลาย
• เสมหะ
การรักษา
• มีเสมหะมาก
• หายใจมีเสียงหวีด
• หอบ หายใจเร็ว
• เบื่ออาหาร
• ไข้หวัดธรรมดา
• ตัวเขียว
ข้อแนะนำการฉีดวัคซีน
• ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส RSV ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
• ลดความรุนแรงของโรคและความเสี่ยงต่อการรักษาในโรงพยาบาล
• ป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงจากการติดเชื้อ RSV เช่น ปอดบวม และหลอดลมฝอยอักเสบ
• ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจาก RSV
• ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่จำเพาะต่อเชื้อ ส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการและพักผ่อนให้เพียงพอ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/infographic/ไวรัส-rsv-ในผู้สูงอายุ-ลัดค /

#สังคมสูงวัย
#โจทย์ใหญ่ด้านนโยบาย #โอกาสทางธุรกิจ
#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ไวรัสRSVในผู้สูงอายุ #ไวรัสRSV

เตรียมตัวรับมือวัยทองอย่างเหมาะสมภาวะ วัยทองคืออะไร ?ภาวะที่สตรีเข้าสู่วัย หมดประจำเดือน รังไข่หยุดการผลิตไข่ทำให้ไม่มีป...
20/05/2025

เตรียมตัวรับมือวัยทองอย่างเหมาะสม
ภาวะ วัยทอง
คืออะไร ?
ภาวะที่สตรีเข้าสู่วัย หมดประจำเดือน รังไข่หยุดการผลิตไข่ทำให้ไม่มีประจำเดือนอีกต่อไป ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจิตใจ
อาการ
• ประจำเดือนมาไม่ปกติ
• ร้อนวูบวาบ
• อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
• นอนไม่หลับ
• ช่องคลอดแห้ง
เคล็ดลับ ! ความเยาว์วัย.. ✨
• ผ่อนคลายความเครียด
• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
• กินอาหารที่มีประโยชน์ ผักใบเขียว ผลไม้
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
ข้อมูลจาก: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/infographicเตรียมตัวรับมือ-วัยทอง-อ/


#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ภาวะวัยทอง

วางแผนเกษียณยังไง ให้มีเงินใช้ไปทั้งชาติ 💰💸สำหรับการเริ่มต้นวางแผนเกษียณก็ไม่ยากเลยเพียงนำ 4 ขั้นตอนต่อไปนี้ไปปรับใช้ ขั...
06/05/2025

วางแผนเกษียณยังไง ให้มีเงินใช้ไปทั้งชาติ 💰💸
สำหรับการเริ่มต้นวางแผนเกษียณก็ไม่ยากเลยเพียงนำ 4 ขั้นตอนต่อไปนี้ไปปรับใช้
ขั้นตอนที่ 1 คำนวณค่าใช้จ่ายยามเกษียณ
แม้เรื่องในอนาคตเราจะไม่สามารถฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็น แต่เราสามารถประเมินคร่าวๆ ได้ว่า เมื่อเกษียณอายุเราจำเป็นต้องใช้เงินมากแค่ไหน ซึ่งต้องคำนวณเผื่ออัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย สมมติว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ต่อปี เมื่อคำนวณแล้วจะได้ค่าใช้จ่ายที่เราต้องเตรียมในยามเกษียณทั้งหมด 10,836,480 บาท
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบเงินออมที่มีอยู่
เมื่อเราได้จำนวนเงินซึ่งเป็นเป้าหมายแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับถัดไป คือ สำรวจว่าปัจจุบันเรามีเงินออมเพื่อเกษียณจากอะไรบ้าง เช่น บัญชีเงินฝาก เงินทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันออมทรัพย์ หรือเงินลงทุนในหุ้น และกองทุนรวมต่างๆ การตรวจสอบเงินออมที่มีอยู่ก็เพื่อให้เราสามารถคำนวณได้ว่ายังขาดเงินที่ต้องออมเพิ่มอีกเท่าไหร่ เพื่อให้ได้จำนวนเงินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ขั้นตอนที่ 3 วางแผนลงทุน สร้างเงินออม
เมื่อรู้จำนวนเงินที่ยังขาดแล้ว ก็ให้เรานำตัวเลขนั้นมาวางแผน โดยเริ่มจากการทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อให้เกิดเงินออมในแต่ละเดือน ซึ่งเราจะนำเงินออมเหล่านั้นมาวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ ดังนั้น ควรจัดสรรพอร์ตลงทุนแบบเชิงรุกที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย

ขั้นตอนที่ 4 ทบทวนเป้าหมายสม่ำเสมอ
เมื่อเราได้แผนการลงทุนที่เหมาะสมแล้ว ก็เริ่มต้นออมเงินได้เลย ที่สำคัญต้องตรวจสอบแผนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย บริหารพอร์ตลงทุนให้ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง รวมทั้งเมื่อเวลาผ่านไปต้องพิจารณาว่าระดับความเสี่ยงที่เรารับได้เปลี่ยนไปหรือไม่ เพื่อประเมินและปรับเปลี่ยนแผนการออมให้เหมาะสมกับตัวเองมากยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.setinvestnow.com/th/financialplanning/retirement-planning
#โปรตีนเสริม #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #สูงวัยเตือนภัย #วางแผนเกษียณ #วางแผนเกษียณยังไงให้มีเงินใช้ไปทั้งชาติ

ผู้ป่วยโรคหัวใจ ดูแลอย่างไรให้ใจแข็งแรงโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด  คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจสามาร...
26/04/2025

ผู้ป่วยโรคหัวใจ ดูแลอย่างไรให้ใจแข็งแรง
โรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจสามารถแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลายกลุ่ม ผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่มักไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองมีภาวะของโรคหัวใจ และมักจะเริ่มรู้ตัวเมื่ออาการของโรคหัวใจเข้าสู่ระยะรุนแรง ซึ่ง ผู้ป่วยโรคหัวใจ เหล่านี้ควรได้รับการดูแลอย่างถูกต้องต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยสามารถแบ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
เพศ เพศชายมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากกว่าเพศหญิง
อายุ ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
พันธุกรรม หากคนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดก็มีโอกาสถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้
ปัจจัยที่ควบคุมได้
โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักตัวเกิน
โรคความดันโลหิตสูง
ระดับไขมันในเลือดสูง
ผู้เป็นโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
การสูบบุหรี่เป็นประจำ
ความเครียด การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
การขาดการออกกำลังกาย ขยับร่างกายน้อย
อาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ป่วยโรคหัวใจ
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าอาการเริ่มต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดจะไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในระยะแรกแต่จะเริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ เมื่ออาการของโรคหัวใจเข้าสู่ระยะรุนแรงหรืออาการของโรคหัวใจกลับมากำเริบซ้ำ ได้แก่
อาการเจ็บแน่นบริเวณหน้าอกคล้ายกับมีบางอย่างมากดทับที่บริเวณทรวงอกเยื้องไปทางด้านซ้าย โดยผู้ป่วยมักมีอาการแน่นหน้าอกติดต่อกันนานเกิน 20 นาที
ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดบางรายอาจรู้สึกแน่นร้าวไปยังบริเวณอื่น เช่น หัวไหล่ แขน รู้สึกจุกแน่นที่บริเวณลิ้นปี่ คอ และกรามด้านซ้าย
หายใจเหนื่อยหอบ หายใจไม่ทั่วท้องโดยเฉพาะเมื่อต้องออกแรง
มีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน
มือเย็นเท้าเย็น เหงื่อไหลออกมากผิดปกติ
วิธีตรวจวินิจฉัยและรักษา ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG)
- การใช้คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram)
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiovascular MRI: CMR)
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography: CT Scan)
- การเดินสายพาน (Exercise stress test: EST)
- เดินบนสายพาน (treadmill)
-
การรักษาโรคหัวใจด้วยการใช้ยา แพทย์จะใช้ยาเพื่อการรักษาและควบคุมโรคให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
การรักษาโรคหัวใจด้วยการผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจและใส่ขดลวด (stent) เพื่อช่วยขยายขนาดหลอดเลือดหัวใจและทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก
การผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft: CABG) เพื่อต่อเส้นเลือดที่เป็นทางเบี่ยงขึ้นมาใหม่ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยโรคหัวใจควรดูแลตัวเองอย่างไร
สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและผู้ป่วยโรคหัวใจที่ได้รับการรักษาด้วยการใช้ยา การผ่าตัดบอลลูนหัวใจและการทำบายพาสหัวใจมาแล้วนั้น ควรดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดังนี้
ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องรักษาตัวด้วยการใช้ยาจะต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และเข้าพบแพทย์ทุกครั้งตามกำหนดนัดหมาย
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยโรคหัวใจควรจำกัดปริมาณอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล ไขมันและเกลือสูง หันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
งดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีค่า BMI อยู่ในช่วง 18.5-22.90
นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส พยายามไม่เครียดมากจนเกินไป
หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยแนะนำว่าควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 20-40 นาที เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับหัวใจ
ผู้ป่วยโรคหัวใจ สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่ ?
คำถามที่ผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นกังวลคือ ผู้ป่วยโรคหัวใจออกกำลังกายได้ไหม ? จะเป็นอันตรายต่อหัวใจหรือเปล่า ? โดยทั่วไปแล้วนั้นผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดยังสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ รวมถึงผู้ป่วยโรคหัวใจยังสามารถเล่นกีฬาได้เหมือนคนทั่วไป เช่นเดียวกันแต่จะต้องเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ไม่ควรออกกำลังกายหนัก ๆ หรือหักโหมเกินไปเพราะอาจส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก

ยกเว้นในกรณีของผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบอุดตันเฉียบพลัน ภาวะหัวใจโต หัวใจล้มเหลว ที่ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายด้วยตนเองแต่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของนักกายภาพบำบัดที่ดูแลเกี่ยวกับโรคหัวใจอย่างใกล้ชิดเท่านั้น

สรุป
ผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังรุนแรงที่ไม่สามารถตรวจพบอาการของโรคได้อย่างเด่นชัดในช่วงแรกแต่จะเริ่มแสดงอาการของโรคเมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกคล้ายกับมีวัตถุหนัก ๆ กดทับที่ทรวงอกเยื้องไปทางด้านซ้าย ผู้ป่วยบางรายอาจปวดร้าวไปยังบริเวณไหล่ แขน และกรามซ้าย หายใจเหนื่อยหอบ อ่อนเพลียง่าย หน้ามืด เมื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคและรับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ผู้ป่วยโรคหัวใจควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยควบคุมโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดให้อยู่ในระยะสงบรวมถึงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/ดูแลป่วยหัวใจ/

#ผู้ป่วยโรคหัวใจ #โรคหัวใจ #อาหารเสริมภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
#โปรตีนเสริม #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #สูงวัยเตือนภัย

มวลกล้ามเนื้อน้อย ร่างกายกำลังขาดโปรตีน🥦ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย คืออะไรภาวะที่เจอได้ตามวัยของผู้สูงอายุ กล้ามเนื้อและกระดู...
09/04/2025

มวลกล้ามเนื้อน้อย ร่างกายกำลังขาดโปรตีน🥦
ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย คืออะไร
ภาวะที่เจอได้ตามวัยของผู้สูงอายุ กล้ามเนื้อและกระดูกจะมีความคล้ายกันคือทั้งคู่จะสร้างขึ้นไปถึงจุดที่มีความแข็งแรงสูงสุดที่อายุ 25 ปี เมื่อเรามีอายุมากขึ้นเกิน 30 ปี กล้ามเนื้อจะเริ่มมีการสูญสลาย จนสูญเสียมวลของกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
สาเหตุของภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
อายุเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญของภาวะนี้ แต่มีปัจจัยเสริมอื่น ๆ อีก เช่น มีภาวะขาดสารอาหาร รับประทานอาหารที่มีพลังงานไม่เพียงพอ รับประทานโปรตีนที่ไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อสูญสลายเร็วขึ้น หากไม่ได้มีอายุที่เยอะอาจเกิดจากโรคประจำตัว เช่น การอักเสบจากโรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ โรคเหล่านี้จะทำให้กล้ามเนื้อสูญสลายเร็วยิ่งขึ้น
ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยสังเกตได้อย่างไร
ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ทำให้สมรรถภาพทางกายแย่ลง สังเกตจากบางคนรู้สึกไม่ค่อยแข็งแรง ไม่มีแรง ซึ่งอาการเหล่านี้พอเป็นบ่อยขึ้นก็มีความเสี่ยงที่อาจทำให้หกล้มจนกระดูกหัก 🦴
วิธีป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ได้รับพลังงานเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รักษาน้ำหนักให้ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และเน้นออกกำลังกายแบบเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ฝึกงอสะโพก เหยียดขาไปด้านข้าง เขย่งฝ่าเท้า อย่างน้อย 2-3 วันต่อสัปดาห์ 🥬🍌🚴‍♀️
ข้อแนะนำสำหรับผู้สูงวัยในภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
หากผู้สูงวัยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ควรเริ่มดูแลตนเอง ด้วยการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และฝึกการทรงตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการหกล้ม ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนอย่างเพียงพอ แต่สำหรับผู้สูงวัยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยขั้นรุนแรง ควรได้รับการประเมินและการดูแลรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงหาสาเหตุหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก มวลกล้ามเนื้อน้อย ร่างกายกำลังขาดโปรตีน - รามา Sharing - รามา แชนแนล
#วิธีป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย #ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย #อาหารเสริมภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
#โปรตีนเสริม #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #สูงวัยเตือนภัย

โรคกระดูกพรุน คืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่มวลกระดูกมีความหนาแน่นน้อยลง และเปราะบางมากขึ...
02/04/2025

โรคกระดูกพรุน คืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็น
โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่มวลกระดูกมีความหนาแน่นน้อยลง และเปราะบางมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย การรู้จักสัญญาณเตือน และปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนจะช่วยให้สามารถป้องกัน และชะลอโอกาสในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
ใครบ้างที่เสียงเป็นโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากผู้สูงอายุจะมีการทำลายของมวลกระดูกที่ค่อนข้างเร็ว และมีการสร้างมวลกระดูกใหม่น้อย โดยเฉพาะในเพศหญิงวัยหมดประจำเดือน ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนมีดังนี้
• ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
• ผู้ที่มีรูปร่างผอมบาง
• คนเอเชีย และคนผิวขาวจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนผิวดำ
• ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
• ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับฮอร์โมนบางชนิด
• ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ เช่น ยาสเตียรอยด์ ฮอร์โมนบางชนิด
จะรู้ได้อย่างไรว่ากำลังเป็นโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกมักไม่มีอาการที่แสดงชัดเจน ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุนมักไม่รู้ตัว จะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อกระดูกแตกหรือหักไปแล้ว เบื้องต้นอาจสังเกตอาการได้ ดังนี้
1. สังเกตปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน
2. ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรหมั่นสังเกตอาการ เช่น วัดส่วนสูงเป็นประจำ หากส่วนสูงลดลงอย่างรวดเร็วเกิน 2 ซม. ในเวลา 2 ปี หรือวัดแล้วลดลงมากกว่า 6 ซม. จากส่วนสูงเดิม อาจมีความเสี่ยงว่ากระดูกทรุดลงจากการเป็นกระดูกพรุน
ปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน
การเกิดโรคกระดูกพรุนมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพกระดูก ได้แก่:
• พันธุกรรม: พ่อ แม่ เป็นโรคกระดูกพรุน หรือมีประวัติกระดูกสะโพกหักง่าย
• ยา: ใช้ยาสเตียรอยด์ ยาลดกรดในกระเพาะเป็นประจำ
การออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับคนอายุ 30+
การออกกำลังกายเช่น การวิ่ง เดิน หรือแอโรบิก จะทำให้กระดูกได้รับน้ำหนัก จะทำให้มวลกระดูกคงสภาพได้ดีกว่า การไม่ออกกำลังกายเลย
โรคกระดูกพรุนอันตรายแค่ไหน
เมื่อเป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกจะหักได้ง่าย ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สะดุดล้ม ใช้มือยันพื้น ตกจากเตียง ก็ทำให้กระดูกแตกหักได้
ใครบ้างที่ต้องรีบตรวจโรคกระดูกพรุน
• ผู้ที่มีอาการปกติไม่มีภาวะเสี่ยง : ควรเริ่มตรวจความหนาแน่นของกระดูกเมื่ออายุ 60
• ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง : ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจความหนาแน่นของกระดูกเร็วขึ้น
การป้องกัน
• ลดปัจจัยเสี่ยง
• ออกกำลังกาย
• ควบคุมน้ำหนัก
• ตราวจเช็กปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน รับประทานยาบ่อย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
อาหารบำรุงกระดูกให้แข็งแรง
• วิตามินดี : มีส่วนช่วยดูดซึมแคลเซียม
• นม : เด็กและวัยรุ่นควรบริโภคนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุควรบริโภคนมวันละ 1-2 แก้ว
• แหล่งอาหารจากเนื้อสัตว์ : ได้แก่ ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก และสัตว์ชนิดอื่น สัตว์ตัวเล็ก หรือผักใบเขียว
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก : โรคกระดูกพรุน คือ อะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็น - รามา แชนแนล
#โรคกระดูกพรุน #โรคสมองเสื่อม #ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้ #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ
#ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #สูงวัยเตือนภัย

อันตรายจาก ภาวะการกลืนลำบาก ในผู้สูงอายุ• ภาวะการกลืนลำบาก คืออะไรการที่มีความผิดปกติของการกลืน ไม่ว่าจะเป็นการกลืนน้ำลา...
27/03/2025

อันตรายจาก ภาวะการกลืนลำบาก ในผู้สูงอายุ
• ภาวะการกลืนลำบาก คืออะไร
การที่มีความผิดปกติของการกลืน ไม่ว่าจะเป็นการกลืนน้ำลาย หรือการกลืนอาหาร การรับประทานอาหารแล้วติดคอ หรือรับประทานอาหารแล้วต้องใช้ความพยายามมากขึ้น
• อาการของภาวะการกลืนลำบาก มีลักษณะอย่างไร
อาการที่สังเกตได้ง่าย คือเวลารับประทานอาหาร จะสำลักบ่อย บางทีกลืนแล้วเศษอาหารหรือน้ำ ค้างอยู่ในคอ เวลาพูดจะมีเสียงเครือในคอ มีอาการเสียงไม่ใสเหมือนเดิม หรือว่าบางทีกินแล้วเจ็บอยู่ในคอ เจ็บอยู่กลางอก
• สาเหตุของภาวะการกลืนลำบากเกิดจากอะไร
สาเหตุเกิดได้จากหลายสาเหตุตั้งแต่อายุที่มากขึ้น กล้ามเนื้อแขนขาก็จะอ่อนแรง เดินไม่ค่อยไหว กล้ามเนื้อการกลืนก็เหมือนกัน เมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อการกลืนก็มีการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน เพราะฉะนั้นจะส่งผลต่อการกลืนได้ หรือผู้สูงอายุบางคนไม่มีฟัน ทำให้การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พอเคี้ยวไม่ละเอียด อาหารที่ลงไปก็ติดคอ โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองและระบบประสาทหรือคนที่เป็นมะเร็ง คนที่ได้รับการฉายแสงบริเวณช่องปากและลำคอ ก็มีโอกาสเกิดภาวะการกลืนลำบากได้
• การรักษาและป้องกันภาวะการกลืนลำบากได้อย่างไร
หากเกิดอาการควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย จะได้เข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี เพราะวิธีการรักษาแต่ละกรณีไม่เหมือนกัน แต่ถ้าภาวะการกลืนลำบากเกิดจากตัวโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ผู้สูงอายุ ก็จะมีการฝึกบริหารกล้ามเนื้อช่องปากและลำคอ ปรับอาหารให้นิ่ม ราดซอสเยอะขึ้น ทำให้กลืนได้ง่ายมากขึ้น เมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้นต้องคอยบริหารกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%A5/

#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ภาวะการกลืนลำบาก

ภาวะเบาหวานขึ้นตา อันตรายถึงตาบอดตลอดชีวิต“หวานจนขึ้นตา” คำนี้หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่รู้ไหมว่า ภาวะเบาหวานขึ้นจอตามีอยู่จ...
19/03/2025

ภาวะเบาหวานขึ้นตา อันตรายถึงตาบอดตลอดชีวิต
“หวานจนขึ้นตา” คำนี้หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่รู้ไหมว่า ภาวะเบาหวานขึ้นจอตามีอยู่จริง เป็นภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคเบาหวาน หากเป็นหนักส่งผลให้หลอดเลือดฝอยเสื่อมทั่วร่างกาย ร้อยละ 2 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานมักจะสูญเสียดวงตาในภาวะแทรกซ้อนนี้ โดยภาวะเบาหวานขึ้นจอตา ก็มีวิธีการรักษาที่หลากหลาย แต่ถ้าเป็นถึงขั้นรุนแรงแล้ว อาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และจะตาบอดไปตลอดชีวิต
“ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา” เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติจากเบาหวาน โรคยอดฮิตของผู้สูงอายุ ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดฝอยเสื่อมทั่วร่างกายรวมทั้งหลอดเลือดที่จอตา ทำให้เลือดและสารต่าง ๆ รั่วซึมออกมา ทำให้เส้นเลือดตรงจอประสาทตาได้รับความเสียหาย หากปล่อยไว้ไม่รักษาจะทำให้สูญเสียการมองเห็นได้
อาการของภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
• ในช่วงระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ
• มีจุดเลือดออกในจอตา ทำให้เห็นภาพพร่ามัว
• มีไขมันรั่วในจอตา ทำให้จอประสาทตาบวม
• เลือดออกในน้ำวุ้นตา
• จอประสาทหลุดลอก
การป้องกันภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
• ไม่กินอาหารที่มีแป้งและไขมันมากเกินไป
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• ควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ (ระหว่าง 70-100 mg/dL)
การรักษาภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
• หากผู้ป่วยเป็นในระยะแรก แพทย์จะให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ
• ใช้แสงเลเซอร์ ใช้ในระยะที่เลือดออกในตายังไม่มาก
• ฉีดยาเข้าไปในดวงตา ในกรณีผู้ป่วยจอประสาทตาบวม เพื่อลดการบวมขอจอประสาทตา
• การผ่าตัด ในกรณีผู้ป่วยมีเลือดเต็มจอประสาทตาหรือจอประสาทตาหลุดลอก

#เบาหวาน #เบาหวานขึ้นตา #ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้ #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย

ท้องผูกในผู้สูงอายุ ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม● ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ คืออะไร ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ เกิดจากความเสื่อมของร...
11/03/2025

ท้องผูกในผู้สูงอายุ ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม

● ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ คืออะไร
ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ เกิดจากความเสื่อมของระบบขับถ่าย พบได้บ่อยมากในผู้สูงอายุ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญเริ่มทำงานช้าลง ระบบย่อยอาหารจึงมีปัญหา ส่งผลให้ผู้สูงอายุท้องผูก ขับถ่ายไม่ออก ซึ่งปัญหาดังกล่าว นอกจากจะเป็นปัญหาสุขภาพกายแล้ว ก็ยังส่งผลต่อสุขภาพใจของผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน อาจเป็นสาเหตุให้ผู้สูงอายุรู้สึกกังวล เครียด และรับประทานอาหารได้น้อยลง จนก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพอื่น ๆ ตามมา ฉะนั้นปัญหาเรื่องผู้สูงอายุท้องผูกจึงเป็นเรื่องที่คนในครอบครัวต้องให้ความสำคัญ
● ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ มีอาการอย่างไร
เริ่มจากถ่ายอุจจาระยาก ต้องใช้เวลานานในการถ่าย อุจจาระแข็งกว่าปกติ การขับถ่ายต้องใช้การเบ่ง หรือถ่ายไม่สุด ยังปวดท้องอยากถ่ายอยู่ตลอดเวลา ถ่ายอุจจาระเพียง 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ถือว่ามีภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุแล้ว
● การดูแลและป้องกันภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ
วิธีป้องกันที่ง่ายที่สุดคือการดื่มน้ำ 1.5–2 ลิตรต่อวัน รับประทานอาหารที่มีกากใยให้เพียงพอ วันละประมาณ 20–25 กรัม เพื่อช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น การฝึกเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลาเพื่อสร้างความคุ้นชินให้ร่างกายจดจำ ออกกำลังกาย เช่น การลุกขึ้นเดิน ขยับตัวเล็กน้อยให้กล้ามเนื้อได้ใช้งาน เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแลและป้องกันภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุได้

#ท้องผูกในผู้สูงอายุ #ท้องผูก #ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย

25/02/2025

เปิดเรทราคา 10 บ้านพักคนชรา ถ้าจะอยู่ต้องใช้เงินเท่าไหร่?💙👨‍🦳👩‍🦳🏥🏚

#ความดันโลหิตสูง #เบาหวาน #ข้อเข่าเสื่อม #กระดูกพรุน #สมองเสื่อม #ซึมเศร้า #ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้ #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #บ้านบางแค #สวางคนิเวศ #บ้านเย็นจิต #คุณตาคุณยายเนอร์สซิ่งโฮม #โกลเด้นแคร์เนอร์สซิ่งโฮม #แสนสิริโฮมแคร์ #เถาจือโฮม #ดิษฐ์ราเนอสซิ่งโฮม #โรงพยาบาลผู้สูงอายุกล้วยน้ําไท2 #บ้านพักคนชราโรงพยาบาลเปาโล

ที่อยู่

Nonthaburi

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 18:00
อังคาร 09:00 - 18:00
พุธ 09:00 - 18:00
พฤหัสบดี 09:00 - 18:00
ศุกร์ 09:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+66928789142

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ReGen Center ให้อายุเป็นเพียงตัวเลขผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์