ReGen Center ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข

ReGen Center ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข ReGenCenter ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข

"อายุเป็นเพียงตัวเลข" เป็นคำพูดที่ใช้ได้กับคนในหลายๆ Generations
เเต่ในสังคมปัจจุบัน คำพูดนี้อาจช่วยให้ประเทศเราเเก้ปัญหาระดับชาติได้

ปัญหาที่ว่านั้นคือ การที่ประเทศไทยเราเข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปเเบบ หรือ Aged Society" อันเนื่องมาจากการมีประชากรที่อายุมากกว่า 60 ปี เกิน 20% ของประชากรทั้งหมด ปัญหานี้จะนำมาซึ่งการลดลงของประชากร การขาดเเคลนจำนวนเเรงงาน การเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านความเป็นอยู่เเละสาธารณสุขเพื่อดูเเลผู้สูงอายุดังกล่าว

ดังนั้นการปรับปรุงทัศนคติ การเตรียมพร้อม การปรับรูปเเเบบการดำเนินชีวิต เเละการดูเเลตนเองของผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในการที่จะช่วยให้ตัวผู้สูงอายุนั้นใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข สุขภาพที่เเข็งเเรง เเละความเป็นอยู่ที่ดี

กระดูกสะโพกหักในผู้สูงวัย ปล่อยไว้อันตรายกระดูกสะโพกหัก เป็นหนึ่งในภาวะที่พบบ่อยในผู้สูงวัย และเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบอ...
06/07/2025

กระดูกสะโพกหักในผู้สูงวัย ปล่อยไว้อันตราย
กระดูกสะโพกหัก เป็นหนึ่งในภาวะที่พบบ่อยในผู้สูงวัย และเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่มีผลเสียต่อการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ หรืออันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ ปัจจัยเสี่ยง และแนวทางการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

กระดูกสะโพกหัก คืออะไร ?
กระดูกสะโพกหัก คือ การแตกหักของกระดูกบริเวณข้อสะโพก ซึ่งประกอบด้วยกระดูกโคนขา และกระดูกเชิงกราน โดยส่วนใหญ่กระดูกที่หักจะเป็นส่วนหัวของกระดูกโคนขาที่เชื่อมต่อกับเบ้าสะโพก การหักของกระดูกสะโพกอาจเกิดจากอุบัติเหตุที่มีแรงกระแทกสูง หรือการล้มธรรมดาก็ได้ โดยเฉพาะในผู้สูงวัยที่มวลกระดูกลดลงและมีภาวะกระดูกพรุน

กระดูกสะโพกหัก อาการเป็นอย่างไร ?
อาการของกระดูกสะโพกหักอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของการบาดเจ็บ แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีอาการดังต่อไปนี้

ปวดบริเวณสะโพกหรือโคนขาอย่างรุนแรง
ไม่สามารถยืนหรือเดินได้ตามปกติ มีอาการเจ็บมาก
ขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บมีลักษณะสั้นลงหรือบิดผิดรูป
บวม ช้ำ หรือมีรอยแดงบริเวณสะโพกหรือต้นขา
มีอาการปวดที่รุนแรงขึ้นเมื่อพยายามขยับขาหรือสะโพก
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้กระดูกสะโพกหักในผู้สูงวัย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้กระดูกสะโพกหักในผู้สูงวัย

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกสะโพกหักในผู้สูงวัย ได้แก่

อายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเพศหญิง
โรคกระดูกพรุน ทำให้กระดูกเปราะและแตกหักได้ง่าย
การขาดวิตามินดี และแคลเซียม ส่งผลให้กระดูกอ่อนแอลง
ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้ควบคุมการทรงตัวได้ไม่ดี เพิ่มโอกาสล้ม
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับหรือยาลดความดันเลือดที่อาจทำให้เวียนศีรษะและเสี่ยงต่อการล้ม
ภาวะทางสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ หรือพาร์กินสัน ที่ส่งผลต่อการควบคุมร่างกาย
สิ่งแวดล้อมภายในบ้าน เช่น พื้นลื่น แสงสว่างไม่เพียงพอ หรือขอบพรมที่ทำให้สะดุดล้มได้ง่าย
อาการหลังการล้มที่ควรพบแพทย์ด่วน
อาการหลังการล้มที่ควรพบแพทย์ด่วน

หากผู้สูงวัยล้มและมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที

ปวดสะโพกอย่างรุนแรงและขยับตัวไม่ได้
รู้สึกชาหรืออ่อนแรงบริเวณขาหรือสะโพก
มีรอยฟกช้ำหรือบวมผิดปกติ
เดินหรือยืนไม่ได้หลังจากล้ม
มีภาวะหน้ามืดหรือหมดสติ
หากละเลยอาการเหล่านี้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

แนวทางการรักษากระดูกสะโพกหัก
การรักษากระดูกสะโพกหักมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยแนวทางการรักษาหลัก ได้แก่

1. การผ่าตัด
ผ่าตัดยึดกระดูก
ผ่าตัดใส่ข้อเทียม
2. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะร่างกายไม่แข็งแรงพอสำหรับการผ่าตัด แพทย์อาจใช้ยาบรรเทาอาการปวดและหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักขาที่บาดเจ็บจนกว่ากระดูกจะติด อย่างไรก็ตามสามารถพบภสวะกระดูกไม่ติดหรือผิดรูปได้มาก

การฟื้นฟูหลังการรักษา
หลังการรักษา ผู้ป่วยต้องได้รับการฟื้นฟูเพื่อกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้

กายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดินหรือยืดเหยียดภายใต้การดูแลของแพทย์
โภชนาการที่เหมาะสม รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อย และผักใบเขียว
ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมในบ้าน เช่น ติดราวจับในห้องน้ำ ใช้รองเท้ากันลื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการล้มซ้ำ
การป้องกันกระดูกสะโพกหัก
ตรวจสุขภาพ เช่น ตรวจสายตาและสภาพเท้า
จัดบ้านให้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงการพลัดตกหกล้ม
กินอาหารที่มีวิตามินดีและแคลเซียมอย่างพอเหมาะ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ออกกำลังกายเป็นประจำ
กระดูกสะโพกหัก ในผู้สูงวัยเป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง หากมีอาการปวดสะโพกหลังจากการล้ม ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาทันที นอกจากนี้ การป้องกันโดยการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะนี้ในผู้สูงวัย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/กระดูกสะโพกหักในผู้สูง/

#สังคมสูงวัย #โจทย์ใหญ่ด้านนโยบาย #โอกาสทางธุรกิจ #ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้ #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #กระดูกสะโพกหักในผู้สูงวัย

ปฐมพยาบาลเบื้องต้น โรคลมแดด หรือฮีทสโตรกโรคลมแดด หรือที่เรียกว่า ฮีทสโตรก (heat stroke) เป็นหนึ่งในภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพท...
01/07/2025

ปฐมพยาบาลเบื้องต้น โรคลมแดด หรือฮีทสโตรก
โรคลมแดด หรือที่เรียกว่า ฮีทสโตรก (heat stroke) เป็นหนึ่งในภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพที่อันตรายถึงชีวิต ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย เมื่อร่างกายต้องเผชิญกับอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อง จนไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน อุณหภูมิภายในร่างกายจึงพุ่งสูงเกินระดับปกติอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของอวัยวะสำคัญโดยตรง

โรคลมแดดไม่ใช่แค่เรื่องของการ “ร้อนจัด” เท่านั้น แต่ยังอาจทำให้หมดสติ สมองถูกทำลาย หรือแม้แต่เสียชีวิตได้หากไม่รีบดูแลอย่างทันท่วงที บทความนี้จะไปรู้จักกับภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในอากาศร้อน พร้อมแนะนำวิธีสังเกตอาการ กลุ่มเสี่ยง ปัจจัยกระตุ้น และแนวทางการป้องกันอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักผ่านหน้าร้อนนี้ไปอย่างปลอดภัยและสุขภาพดี
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผู้ป่วยโรคลมแดด หรือฮีทสโตรก
หากพบว่ามีอาการของโรคลมแดด ควรรีบดูแลอย่างเร่งด่วน ดังนี้

พาเข้าที่ร่มหรือห้องแอร์ ทันที
ถอดเสื้อผ้าชั้นนอก และช่วยระบายอากาศ
ใช้น้ำเย็นเช็ดตัว หรือพัดลมช่วยลดอุณหภูมิ
ดื่มน้ำเปล่า หลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
หากเจอผู้ป่วยที่หมดสติและไม่หายใจ โทร. 1669 หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อเข้ารักษาผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว และทำการ CPR ผู้ป่วย ณ บริเวณนั้น
โรคลมแดด หรือฮีทสโตรก ไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่อุณหภูมิสูงมากกว่าปกติ การรู้เท่าทันอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงและปกป้องชีวิตคุณและคนรอบข้างจากภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดี ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนในที่ร่ม และสังเกตอาการอยู่เสมอ

เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มต้นได้จากความเข้าใจและการใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ ที่อาจช่วยชีวิตคุณได้ในเวลาคับขัน
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/ปฐมพยาบาลเบื้องต้น-โรคล/

#สังคมสูงวัย
#โจทย์ใหญ่ด้านนโยบาย #โอกาสทางธุรกิจ
#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ฮีทสโตรก

ฮีทสโตรก (Heat Stroke) อันตรายจากอากาศร้อนที่ไม่ควรมองข้ามฮีทสโตรก (heat stroke) หรือที่เรียกว่าโรคลมแดด เป็นภาวะรุนแรงท...
12/06/2025

ฮีทสโตรก (Heat Stroke) อันตรายจากอากาศร้อนที่ไม่ควรมองข้าม
ฮีทสโตรก (heat stroke) หรือที่เรียกว่าโรคลมแดด เป็นภาวะรุนแรงที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูง ทำให้เกิดการสูญเสียการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้อาจหมดสติ ชัก และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
อาการของฮีทสโตรก สามารถแบ่งออกได้ตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้:
อาการเบื้องต้น
• ปวดศีรษะ และมีอาการเวียนหัว
• ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
• เหงื่อออกมาก หรือบางครั้งเหงื่อไม่ออกเลยในบางกรณีที่ร่างกายร้อนเกินไปจนระบบขับเหงื่อหยุดทำงาน
อาการรุนแรง
• ขาดน้ำจากการสูญเสียความร้อน
• ฮีทสโตรกหรือโรคลมแดด มีภาวะชัก หมดสติ หรือการเต้นของหัวใจผิดปกติ
ฮีทสโตรก อันตรายแค่ไหน
ความร้ายแรงของฮีทสโตรก คือ ร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจะทำให้ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติไป โดยความผิดปกติเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ มึนศีรษะ ปวดศีรษะ อันนี้เป็นอาการเริ่มต้น หลังจากนั้น ถ้าเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ก็จะทำให้เกิดอาการฮีทสโตรก ก็จะมีอาการที่มีความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไป อาจจะมีภาวะชัก หรือว่าการหมดสติจากการที่หัวใจเราเต้นผิดจังหวะได้ และสุดท้ายคือเสียชีวิตได้
สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคลมแดด
1. อุณหภูมิที่สูง
2. ความชื้น ความชื้นที่สูงทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นได้
3. ภาวะแรงลม ถ้าไม่มีลม ก็ไม่สามารถพัดความร้อนได้
กลุ่มเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะโรคลมแดด
1. ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว :
3. ผู้ทำงานกลางแจ้งหรือออกกำลังกายหนัก
4. ผู้ที่ดื่มน้ำน้อยในหน้าร้อน:

การปฐมพยาบาล
ฮีทสโตรก ปฐมพยาบาลอย่างแรกคือ ต้องดูว่าคนไข้มีภาวะความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไปหรือเปล่า ถ้ามีภาวะความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไป ให้ไปคลำชีพจรดูว่าการหายใจเขาผิดปกติหรือเปล่า ถ้ามีการหายใจที่ผิดปกติ ต้องทำ CPR และโทร 1669 เพื่อเรียกรถพยาบาลมารับผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ในกลุ่มผู้ป่วยที่ยังมีความรู้สึกตัวที่ปกติดีอยู่ ก็สามารถนำผู้ป่วยเข้ามาในที่ร่มได้ และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เยอะ ๆ และรีบลดอุณหภูมิกายโดยการใช้น้ำแข็ง หรือการใช้ cool blanket คือการใช้ผ้ายาง ใส่น้ำแข็งลงไป แล้วให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในตรงนั้น ถ้ามีพัดลม สามารถเปิดพัดลมได้
ถ้าใช้เป็นผ้าชุบน้ำ ในคนไข้ที่เป็นโรคกลุ่มฮีทสโตรก มักจะไม่ค่อยได้ผล แต่สามารถใช้ได้ โดยการเช็ดตัวให้เช็ดตัวเหมือนผู้ป่วยที่เป็นไข้ คือเช็ดสวนขึ้นมาเข้าทางหัวใจ เช็ดทางเดียว และเปิดพัดลม

วิธีป้องกันฮีทสโตรก
ฮีทสโตรก (Heat Stroke) เกิดจากอุณหภูมิร่างกายสูงเกินไปจากอากาศร้อน ทำให้หมดสติและอันตรายถึงชีวิต ควรป้องกันด้วยการดื่มน้ำและหลีกเลี่ยงแดดจัด
การดูแลตัวเองในหน้าร้อน คือ
ดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติ : โดยเฉพาะเมื่อต้องออกกำลังกายหรือทำงานในที่กลางแจ้ง
หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน : หากต้องออกกลางแจ้ง ควรใส่หมวกหรือกางร่มเพื่อป้องกันความร้อน
ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถระบายความร้อนได้ง่ายขึ้น
พักในที่ร่มและมีลมพัดผ่าน : ควรหาที่พักในที่ที่มีการระบายอากาศดี เช่น ห้องที่มีพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ
ไม่ควรออกกำลังกายหนักในช่วงที่ อากาศร้อนจัด : เลือกช่วงเวลาที่อากาศเย็นลง หรือทำกิจกรรมในช่วงเช้าหรือเย็นแทน
ไม่ควรอยู่ในห้องปิด : เปิดประตู หน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/articleฮีทสโตรก-heat-stroke-อันตรายจากอา
#สังคมสูงวัย
#โจทย์ใหญ่ด้านนโยบาย #โอกาสทางธุรกิจ
#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ฮีทสโตรก Stroke

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ดูแลตัวเองดี ต่อชีวิตได้อีกไกลโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (coronary artery disease: CAD) เป็นอีกหนึ่งโรคที...
05/06/2025

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ดูแลตัวเองดี ต่อชีวิตได้อีกไกล
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (coronary artery disease: CAD) เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ ภาวะที่หลอดเลือดแดงที่ส่งเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการแคบลงหรือตีบตัน สาเหตุมาจากการสะสมของไขมัน คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ที่ผนังหลอดเลือด เมื่อหลอดเลือดตีบจะทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง กล้ามเนื้อหัวใจจะได้รับเลือดและออกซิเจนน้อยลง จนเกิดอาการเจ็บหน้าอก หรือในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการ
อาการหลอดเลือดหัวใจตีบอาจไม่แสดงจนกว่าโรคจะอยู่ในระยะรุนแรง อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่:
• เจ็บแน่นหน้าอก
• เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
• หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันและเรื้อรัง
• ความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
• หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง โดยสามารถแบ่งได้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ ดังนี้
1. ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
• อายุ : อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น
• เพศ : เพศชายเป็นได้มากกว่าเพศหญิง หากในวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเป็นเท่ากับเพศชาย
• ประวัติครอบครัว : พ่อ แม่ พี่ น้อง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ
2. ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เปลี่ยนแปลงได้
• สูบบุหรี่
• ไขมันในเลือดสูง
• โรคความดันโลหิตสูง
• ไม่ออกกำลังกาย
• น้ำหนักมากหรืออ้วน
• โรคเบาหวาน
• กินอาหารไม่มีประโยชน์
• ความเครียด
ผลกระทบหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้หรือรู้ตัวช้า ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตามเวลา เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง ไขมันจะเริ่มเกาะที่ผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้หลอดเลือดตีบหรือแคบลง ส่งผลต่อเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการปริแตกของหลอดเลือด เกล็ดเลือดหลุดเข้าไปอุดตันทางเดินของหลอดเลือด และเมื่อมีการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเกินร้อยละ 50 คนไข้จะเริ่มมีอาการแสดง
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ
หากคนไข้พบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอก หรืออาการอื่นที่กล่าวมาข้างต้น คนไข้จะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที และเจาะเลือดเพื่อดูเอนไซม์ของหัวใจ หากสูงขึ้นแสดงว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ ร่วมกับซักประวัติคนไข้ สอบถามระยะเวลาที่เจ็บแน่นหน้าอก หากมากกว่า 20 นาที อาจเกี่ยวข้องกับอาการหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รักษาอย่างไร
• หากหลอดเลือดตีบตันเพียงบางส่วน รักษาด้วยยา
• หากหลอดเลือดตันมาก รักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจ
• หากไม่สามารถทำบอลลูนหัวใจได้ รักษาด้วยการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ
การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
• หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง (ควบคุมอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม ลดน้ำหนักตัว)
• กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
• กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
• กินอาหารแต่พออิ่ม หลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังกินอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอก
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลังการรักษาแพทย์จะให้คนไข้ฝึกเดิน จากนั้นควรเพิ่มระยะเวลาทีละน้อย
• ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน ลดความเครียด
• ไม่สูบบุหรี่
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ผ่านการดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม ดังนี้
• หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และอาหารเค็มจัด
• กินอาหารที่มีไขมันน้อย
• ออกกำลังกายเป็นประจำ
• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
• นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
• ควบคุมน้ำหนัก
• ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
สรุป
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีความเสี่ยงสูงและอันตราย หากไม่ดูแลตนเองอย่างถูกต้อง แต่หากปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม การรักษาโรคนี้สามารถยืดอายุการใช้งานของหัวใจได้อีกยาวนาน ควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ-ดู/
#สังคมสูงวัย
#โจทย์ใหญ่ด้านนโยบาย #โอกาสทางธุรกิจ
#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ไวรัส RSV ในผู้สูงอายุ คืออะไร?RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหาย...
29/05/2025

ไวรัส RSV ในผู้สูงอายุ
คืออะไร?
RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ
ระบาดในฤดูฝนถึงฤดูหนาว อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
กลุ่มเสี่ยง
• เด็กเล็ก
• อายุมากกว่า 65 ปี
• ภูมิคุ้มกันต่ำ
• โรคปอด โรคหัวใจ
ติดต่อผ่านสารคัดหลั่ง
• น้ำมูก
• น้ำลาย
• เสมหะ
การรักษา
• มีเสมหะมาก
• หายใจมีเสียงหวีด
• หอบ หายใจเร็ว
• เบื่ออาหาร
• ไข้หวัดธรรมดา
• ตัวเขียว
ข้อแนะนำการฉีดวัคซีน
• ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส RSV ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
• ลดความรุนแรงของโรคและความเสี่ยงต่อการรักษาในโรงพยาบาล
• ป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงจากการติดเชื้อ RSV เช่น ปอดบวม และหลอดลมฝอยอักเสบ
• ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจาก RSV
• ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่จำเพาะต่อเชื้อ ส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการและพักผ่อนให้เพียงพอ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/infographic/ไวรัส-rsv-ในผู้สูงอายุ-ลัดค /

#สังคมสูงวัย
#โจทย์ใหญ่ด้านนโยบาย #โอกาสทางธุรกิจ
#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ไวรัสRSVในผู้สูงอายุ #ไวรัสRSV

เตรียมตัวรับมือวัยทองอย่างเหมาะสมภาวะ วัยทองคืออะไร ?ภาวะที่สตรีเข้าสู่วัย หมดประจำเดือน รังไข่หยุดการผลิตไข่ทำให้ไม่มีป...
20/05/2025

เตรียมตัวรับมือวัยทองอย่างเหมาะสม
ภาวะ วัยทอง
คืออะไร ?
ภาวะที่สตรีเข้าสู่วัย หมดประจำเดือน รังไข่หยุดการผลิตไข่ทำให้ไม่มีประจำเดือนอีกต่อไป ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจิตใจ
อาการ
• ประจำเดือนมาไม่ปกติ
• ร้อนวูบวาบ
• อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
• นอนไม่หลับ
• ช่องคลอดแห้ง
เคล็ดลับ ! ความเยาว์วัย.. ✨
• ผ่อนคลายความเครียด
• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
• กินอาหารที่มีประโยชน์ ผักใบเขียว ผลไม้
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
ข้อมูลจาก: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/infographicเตรียมตัวรับมือ-วัยทอง-อ/


#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ภาวะวัยทอง

วางแผนเกษียณยังไง ให้มีเงินใช้ไปทั้งชาติ 💰💸สำหรับการเริ่มต้นวางแผนเกษียณก็ไม่ยากเลยเพียงนำ 4 ขั้นตอนต่อไปนี้ไปปรับใช้ ขั...
06/05/2025

วางแผนเกษียณยังไง ให้มีเงินใช้ไปทั้งชาติ 💰💸
สำหรับการเริ่มต้นวางแผนเกษียณก็ไม่ยากเลยเพียงนำ 4 ขั้นตอนต่อไปนี้ไปปรับใช้
ขั้นตอนที่ 1 คำนวณค่าใช้จ่ายยามเกษียณ
แม้เรื่องในอนาคตเราจะไม่สามารถฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็น แต่เราสามารถประเมินคร่าวๆ ได้ว่า เมื่อเกษียณอายุเราจำเป็นต้องใช้เงินมากแค่ไหน ซึ่งต้องคำนวณเผื่ออัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย สมมติว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ต่อปี เมื่อคำนวณแล้วจะได้ค่าใช้จ่ายที่เราต้องเตรียมในยามเกษียณทั้งหมด 10,836,480 บาท
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบเงินออมที่มีอยู่
เมื่อเราได้จำนวนเงินซึ่งเป็นเป้าหมายแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับถัดไป คือ สำรวจว่าปัจจุบันเรามีเงินออมเพื่อเกษียณจากอะไรบ้าง เช่น บัญชีเงินฝาก เงินทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันออมทรัพย์ หรือเงินลงทุนในหุ้น และกองทุนรวมต่างๆ การตรวจสอบเงินออมที่มีอยู่ก็เพื่อให้เราสามารถคำนวณได้ว่ายังขาดเงินที่ต้องออมเพิ่มอีกเท่าไหร่ เพื่อให้ได้จำนวนเงินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ขั้นตอนที่ 3 วางแผนลงทุน สร้างเงินออม
เมื่อรู้จำนวนเงินที่ยังขาดแล้ว ก็ให้เรานำตัวเลขนั้นมาวางแผน โดยเริ่มจากการทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อให้เกิดเงินออมในแต่ละเดือน ซึ่งเราจะนำเงินออมเหล่านั้นมาวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ ดังนั้น ควรจัดสรรพอร์ตลงทุนแบบเชิงรุกที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย

ขั้นตอนที่ 4 ทบทวนเป้าหมายสม่ำเสมอ
เมื่อเราได้แผนการลงทุนที่เหมาะสมแล้ว ก็เริ่มต้นออมเงินได้เลย ที่สำคัญต้องตรวจสอบแผนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย บริหารพอร์ตลงทุนให้ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง รวมทั้งเมื่อเวลาผ่านไปต้องพิจารณาว่าระดับความเสี่ยงที่เรารับได้เปลี่ยนไปหรือไม่ เพื่อประเมินและปรับเปลี่ยนแผนการออมให้เหมาะสมกับตัวเองมากยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.setinvestnow.com/th/financialplanning/retirement-planning
#โปรตีนเสริม #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #สูงวัยเตือนภัย #วางแผนเกษียณ #วางแผนเกษียณยังไงให้มีเงินใช้ไปทั้งชาติ

ผู้ป่วยโรคหัวใจ ดูแลอย่างไรให้ใจแข็งแรงโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด  คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจสามาร...
26/04/2025

ผู้ป่วยโรคหัวใจ ดูแลอย่างไรให้ใจแข็งแรง
โรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจสามารถแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลายกลุ่ม ผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่มักไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองมีภาวะของโรคหัวใจ และมักจะเริ่มรู้ตัวเมื่ออาการของโรคหัวใจเข้าสู่ระยะรุนแรง ซึ่ง ผู้ป่วยโรคหัวใจ เหล่านี้ควรได้รับการดูแลอย่างถูกต้องต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยสามารถแบ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
เพศ เพศชายมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากกว่าเพศหญิง
อายุ ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
พันธุกรรม หากคนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดก็มีโอกาสถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้
ปัจจัยที่ควบคุมได้
โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักตัวเกิน
โรคความดันโลหิตสูง
ระดับไขมันในเลือดสูง
ผู้เป็นโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
การสูบบุหรี่เป็นประจำ
ความเครียด การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
การขาดการออกกำลังกาย ขยับร่างกายน้อย
อาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ป่วยโรคหัวใจ
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าอาการเริ่มต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดจะไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในระยะแรกแต่จะเริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ เมื่ออาการของโรคหัวใจเข้าสู่ระยะรุนแรงหรืออาการของโรคหัวใจกลับมากำเริบซ้ำ ได้แก่
อาการเจ็บแน่นบริเวณหน้าอกคล้ายกับมีบางอย่างมากดทับที่บริเวณทรวงอกเยื้องไปทางด้านซ้าย โดยผู้ป่วยมักมีอาการแน่นหน้าอกติดต่อกันนานเกิน 20 นาที
ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดบางรายอาจรู้สึกแน่นร้าวไปยังบริเวณอื่น เช่น หัวไหล่ แขน รู้สึกจุกแน่นที่บริเวณลิ้นปี่ คอ และกรามด้านซ้าย
หายใจเหนื่อยหอบ หายใจไม่ทั่วท้องโดยเฉพาะเมื่อต้องออกแรง
มีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน
มือเย็นเท้าเย็น เหงื่อไหลออกมากผิดปกติ
วิธีตรวจวินิจฉัยและรักษา ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG)
- การใช้คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram)
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiovascular MRI: CMR)
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography: CT Scan)
- การเดินสายพาน (Exercise stress test: EST)
- เดินบนสายพาน (treadmill)
-
การรักษาโรคหัวใจด้วยการใช้ยา แพทย์จะใช้ยาเพื่อการรักษาและควบคุมโรคให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
การรักษาโรคหัวใจด้วยการผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจและใส่ขดลวด (stent) เพื่อช่วยขยายขนาดหลอดเลือดหัวใจและทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก
การผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft: CABG) เพื่อต่อเส้นเลือดที่เป็นทางเบี่ยงขึ้นมาใหม่ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยโรคหัวใจควรดูแลตัวเองอย่างไร
สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและผู้ป่วยโรคหัวใจที่ได้รับการรักษาด้วยการใช้ยา การผ่าตัดบอลลูนหัวใจและการทำบายพาสหัวใจมาแล้วนั้น ควรดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดังนี้
ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องรักษาตัวด้วยการใช้ยาจะต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และเข้าพบแพทย์ทุกครั้งตามกำหนดนัดหมาย
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยโรคหัวใจควรจำกัดปริมาณอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล ไขมันและเกลือสูง หันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
งดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีค่า BMI อยู่ในช่วง 18.5-22.90
นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส พยายามไม่เครียดมากจนเกินไป
หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยแนะนำว่าควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 20-40 นาที เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับหัวใจ
ผู้ป่วยโรคหัวใจ สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่ ?
คำถามที่ผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นกังวลคือ ผู้ป่วยโรคหัวใจออกกำลังกายได้ไหม ? จะเป็นอันตรายต่อหัวใจหรือเปล่า ? โดยทั่วไปแล้วนั้นผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดยังสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ รวมถึงผู้ป่วยโรคหัวใจยังสามารถเล่นกีฬาได้เหมือนคนทั่วไป เช่นเดียวกันแต่จะต้องเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ไม่ควรออกกำลังกายหนัก ๆ หรือหักโหมเกินไปเพราะอาจส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก

ยกเว้นในกรณีของผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบอุดตันเฉียบพลัน ภาวะหัวใจโต หัวใจล้มเหลว ที่ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายด้วยตนเองแต่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของนักกายภาพบำบัดที่ดูแลเกี่ยวกับโรคหัวใจอย่างใกล้ชิดเท่านั้น

สรุป
ผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังรุนแรงที่ไม่สามารถตรวจพบอาการของโรคได้อย่างเด่นชัดในช่วงแรกแต่จะเริ่มแสดงอาการของโรคเมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกคล้ายกับมีวัตถุหนัก ๆ กดทับที่ทรวงอกเยื้องไปทางด้านซ้าย ผู้ป่วยบางรายอาจปวดร้าวไปยังบริเวณไหล่ แขน และกรามซ้าย หายใจเหนื่อยหอบ อ่อนเพลียง่าย หน้ามืด เมื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคและรับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ผู้ป่วยโรคหัวใจควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยควบคุมโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดให้อยู่ในระยะสงบรวมถึงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/ดูแลป่วยหัวใจ/

#ผู้ป่วยโรคหัวใจ #โรคหัวใจ #อาหารเสริมภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
#โปรตีนเสริม #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #สูงวัยเตือนภัย

มวลกล้ามเนื้อน้อย ร่างกายกำลังขาดโปรตีน🥦ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย คืออะไรภาวะที่เจอได้ตามวัยของผู้สูงอายุ กล้ามเนื้อและกระดู...
09/04/2025

มวลกล้ามเนื้อน้อย ร่างกายกำลังขาดโปรตีน🥦
ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย คืออะไร
ภาวะที่เจอได้ตามวัยของผู้สูงอายุ กล้ามเนื้อและกระดูกจะมีความคล้ายกันคือทั้งคู่จะสร้างขึ้นไปถึงจุดที่มีความแข็งแรงสูงสุดที่อายุ 25 ปี เมื่อเรามีอายุมากขึ้นเกิน 30 ปี กล้ามเนื้อจะเริ่มมีการสูญสลาย จนสูญเสียมวลของกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
สาเหตุของภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
อายุเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญของภาวะนี้ แต่มีปัจจัยเสริมอื่น ๆ อีก เช่น มีภาวะขาดสารอาหาร รับประทานอาหารที่มีพลังงานไม่เพียงพอ รับประทานโปรตีนที่ไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อสูญสลายเร็วขึ้น หากไม่ได้มีอายุที่เยอะอาจเกิดจากโรคประจำตัว เช่น การอักเสบจากโรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ โรคเหล่านี้จะทำให้กล้ามเนื้อสูญสลายเร็วยิ่งขึ้น
ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยสังเกตได้อย่างไร
ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ทำให้สมรรถภาพทางกายแย่ลง สังเกตจากบางคนรู้สึกไม่ค่อยแข็งแรง ไม่มีแรง ซึ่งอาการเหล่านี้พอเป็นบ่อยขึ้นก็มีความเสี่ยงที่อาจทำให้หกล้มจนกระดูกหัก 🦴
วิธีป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ได้รับพลังงานเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รักษาน้ำหนักให้ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และเน้นออกกำลังกายแบบเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ฝึกงอสะโพก เหยียดขาไปด้านข้าง เขย่งฝ่าเท้า อย่างน้อย 2-3 วันต่อสัปดาห์ 🥬🍌🚴‍♀️
ข้อแนะนำสำหรับผู้สูงวัยในภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
หากผู้สูงวัยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ควรเริ่มดูแลตนเอง ด้วยการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และฝึกการทรงตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการหกล้ม ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนอย่างเพียงพอ แต่สำหรับผู้สูงวัยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยขั้นรุนแรง ควรได้รับการประเมินและการดูแลรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงหาสาเหตุหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก มวลกล้ามเนื้อน้อย ร่างกายกำลังขาดโปรตีน - รามา Sharing - รามา แชนแนล
#วิธีป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย #ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย #อาหารเสริมภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
#โปรตีนเสริม #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง #อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #สูงวัยเตือนภัย

โรคกระดูกพรุน คืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่มวลกระดูกมีความหนาแน่นน้อยลง และเปราะบางมากขึ...
02/04/2025

โรคกระดูกพรุน คืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็น
โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่มวลกระดูกมีความหนาแน่นน้อยลง และเปราะบางมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย การรู้จักสัญญาณเตือน และปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนจะช่วยให้สามารถป้องกัน และชะลอโอกาสในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
ใครบ้างที่เสียงเป็นโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากผู้สูงอายุจะมีการทำลายของมวลกระดูกที่ค่อนข้างเร็ว และมีการสร้างมวลกระดูกใหม่น้อย โดยเฉพาะในเพศหญิงวัยหมดประจำเดือน ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนมีดังนี้
• ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
• ผู้ที่มีรูปร่างผอมบาง
• คนเอเชีย และคนผิวขาวจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนผิวดำ
• ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
• ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับฮอร์โมนบางชนิด
• ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ เช่น ยาสเตียรอยด์ ฮอร์โมนบางชนิด
จะรู้ได้อย่างไรว่ากำลังเป็นโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกมักไม่มีอาการที่แสดงชัดเจน ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุนมักไม่รู้ตัว จะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อกระดูกแตกหรือหักไปแล้ว เบื้องต้นอาจสังเกตอาการได้ ดังนี้
1. สังเกตปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน
2. ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรหมั่นสังเกตอาการ เช่น วัดส่วนสูงเป็นประจำ หากส่วนสูงลดลงอย่างรวดเร็วเกิน 2 ซม. ในเวลา 2 ปี หรือวัดแล้วลดลงมากกว่า 6 ซม. จากส่วนสูงเดิม อาจมีความเสี่ยงว่ากระดูกทรุดลงจากการเป็นกระดูกพรุน
ปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน
การเกิดโรคกระดูกพรุนมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพกระดูก ได้แก่:
• พันธุกรรม: พ่อ แม่ เป็นโรคกระดูกพรุน หรือมีประวัติกระดูกสะโพกหักง่าย
• ยา: ใช้ยาสเตียรอยด์ ยาลดกรดในกระเพาะเป็นประจำ
การออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับคนอายุ 30+
การออกกำลังกายเช่น การวิ่ง เดิน หรือแอโรบิก จะทำให้กระดูกได้รับน้ำหนัก จะทำให้มวลกระดูกคงสภาพได้ดีกว่า การไม่ออกกำลังกายเลย
โรคกระดูกพรุนอันตรายแค่ไหน
เมื่อเป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกจะหักได้ง่าย ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สะดุดล้ม ใช้มือยันพื้น ตกจากเตียง ก็ทำให้กระดูกแตกหักได้
ใครบ้างที่ต้องรีบตรวจโรคกระดูกพรุน
• ผู้ที่มีอาการปกติไม่มีภาวะเสี่ยง : ควรเริ่มตรวจความหนาแน่นของกระดูกเมื่ออายุ 60
• ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง : ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจความหนาแน่นของกระดูกเร็วขึ้น
การป้องกัน
• ลดปัจจัยเสี่ยง
• ออกกำลังกาย
• ควบคุมน้ำหนัก
• ตราวจเช็กปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน รับประทานยาบ่อย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
อาหารบำรุงกระดูกให้แข็งแรง
• วิตามินดี : มีส่วนช่วยดูดซึมแคลเซียม
• นม : เด็กและวัยรุ่นควรบริโภคนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุควรบริโภคนมวันละ 1-2 แก้ว
• แหล่งอาหารจากเนื้อสัตว์ : ได้แก่ ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก และสัตว์ชนิดอื่น สัตว์ตัวเล็ก หรือผักใบเขียว
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก : โรคกระดูกพรุน คือ อะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็น - รามา แชนแนล
#โรคกระดูกพรุน #โรคสมองเสื่อม #ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้ #สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง #คนรักสุขภาพ
#ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย #ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์ #วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #สูงวัยเตือนภัย

อันตรายจาก ภาวะการกลืนลำบาก ในผู้สูงอายุ• ภาวะการกลืนลำบาก คืออะไรการที่มีความผิดปกติของการกลืน ไม่ว่าจะเป็นการกลืนน้ำลา...
27/03/2025

อันตรายจาก ภาวะการกลืนลำบาก ในผู้สูงอายุ
• ภาวะการกลืนลำบาก คืออะไร
การที่มีความผิดปกติของการกลืน ไม่ว่าจะเป็นการกลืนน้ำลาย หรือการกลืนอาหาร การรับประทานอาหารแล้วติดคอ หรือรับประทานอาหารแล้วต้องใช้ความพยายามมากขึ้น
• อาการของภาวะการกลืนลำบาก มีลักษณะอย่างไร
อาการที่สังเกตได้ง่าย คือเวลารับประทานอาหาร จะสำลักบ่อย บางทีกลืนแล้วเศษอาหารหรือน้ำ ค้างอยู่ในคอ เวลาพูดจะมีเสียงเครือในคอ มีอาการเสียงไม่ใสเหมือนเดิม หรือว่าบางทีกินแล้วเจ็บอยู่ในคอ เจ็บอยู่กลางอก
• สาเหตุของภาวะการกลืนลำบากเกิดจากอะไร
สาเหตุเกิดได้จากหลายสาเหตุตั้งแต่อายุที่มากขึ้น กล้ามเนื้อแขนขาก็จะอ่อนแรง เดินไม่ค่อยไหว กล้ามเนื้อการกลืนก็เหมือนกัน เมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อการกลืนก็มีการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน เพราะฉะนั้นจะส่งผลต่อการกลืนได้ หรือผู้สูงอายุบางคนไม่มีฟัน ทำให้การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พอเคี้ยวไม่ละเอียด อาหารที่ลงไปก็ติดคอ โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองและระบบประสาทหรือคนที่เป็นมะเร็ง คนที่ได้รับการฉายแสงบริเวณช่องปากและลำคอ ก็มีโอกาสเกิดภาวะการกลืนลำบากได้
• การรักษาและป้องกันภาวะการกลืนลำบากได้อย่างไร
หากเกิดอาการควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย จะได้เข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี เพราะวิธีการรักษาแต่ละกรณีไม่เหมือนกัน แต่ถ้าภาวะการกลืนลำบากเกิดจากตัวโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ผู้สูงอายุ ก็จะมีการฝึกบริหารกล้ามเนื้อช่องปากและลำคอ ปรับอาหารให้นิ่ม ราดซอสเยอะขึ้น ทำให้กลืนได้ง่ายมากขึ้น เมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้นต้องคอยบริหารกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%A5/

#ตัวช่วยรักษามะเร็ง #มะเร็งหายได้
#สูงวัย #สูงอายุ #มะเร็ง
#คนรักสุขภาพ #ภูมิคุ้มกันบำบัด #ชาวสูงวัย
#ให้อายุเป็นเพียงตัวเลข #สูงวัยอย่างไรให้สุขสันต์
#วัยเก๋า #วัยเก๋า #เเรงบันดาลใจ #ข้อมูลมะเร็ง
#อาหารเสริม #อาหารเสริมนำเข้า #ข้อมูลสุขภาพ #สูงวัยใส่ใจสุขภาพ #ยาชุด #สูงวัยเตือนภัย #ภาวะการกลืนลำบาก

ที่อยู่

56 Krungthep-nont Soi 4, Krungthep-nont Road, Bangkhaen, Muang
Nonthaburi
11000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 18:00
อังคาร 09:00 - 18:00
พุธ 09:00 - 18:00
พฤหัสบดี 09:00 - 18:00
ศุกร์ 09:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+66928789142

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ReGen Center ให้อายุเป็นเพียงตัวเลขผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram