รับดูแลผู้มีอาการทางจิตและผู้สูงอายุ บ้านบำรุงรัก

รับดูแลผู้มีอาการทางจิตและผู้สูงอายุ บ้านบำรุงรัก สถานรับดูแลและฟื้นฟูผู้ป่วยทางจิต?

"บ้านบำรุงรัก"

เรามุ่งเน้นพัฒนาการสร้างคุณภาพชีวิต สุขภาพ สังคม และ ความเป็นอยู่ที่ดี ให้กับสมาชิกที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิตและการดูแลตัวเอง ที่ได้รับการรักษาจากทางโรงพยาบาลจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ตามปกติ จึงได้เกิด บ้านบำรุงรักขึ้นมาเพื่อตอบสนองชีวิตในสังคมปัจุบันที่คุณต้องการที่จะอยู่ดูแลคนที่คุณรักตลอดเวลาแต่ด้วยภารกิจ การงาน หรือ ปัจจัยอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถดูแลเขาได้อย่างเต็มที่ เราจึงขอเป็นตัวแทนและรับช่วงต่อจากโรงพยาบาลที่จะ"ดูแลคนที่คุณรักแทนคุณให้เหมือนกับครอบครัวเดียวกัน" ที่มีทั้งความรัก เวลา และการเอาใจใส่เป็นพิเศษ

ดูแลผู้ป่วย อัลไซเมอร์ ติดยาเสพติด จิตเวช ผู้สูงอายุ

"สถาพจิตใจที่ผ่อนคลาย"
บรรยากาศร่มรื่น สะดวก ปลอดภัย ภายใต้การดูแลของ บ้านบำรุงรัก
เรามีกิจกรรมให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน
มุมพักผ่อน อ่านหนังสือ ฟังดนตรี และ อีกหลากหลายมุมนันทนาการ

"ไว้วางใจเรา บ้านบำรุงรัก"
การดูแลจากผู้มีประสบการณ์ที่มีความเข้าใจเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดที่จะคอยดูแล
ห้องนอนโล่งโปร่งสบายพร้อมเครื่องปรับอากาศ
อาหารที่สด สะอาด และ ถูกหลักอนามัย เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี
กิจกรรมฝึกทักษะต่างๆเพื่อให้เกิดการพัฒนาดีขึ้นของสมาชิก "บ้านบำรุงรัก"

เรารับดูแล และ พักฟื้น ผู้ป่วยจิตเวช ด้วยหัวใจ

“อย่าเครียดมาก” …ฟังดูพูดง่าย แต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะ  เวลามีใครบอกเราว่าอย่าเครียดเลย เหมือนเขายื่นประโยคปลอบ...
26/09/2025

“อย่าเครียดมาก” …ฟังดูพูดง่าย แต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะ
เวลามีใครบอกเราว่าอย่าเครียดเลย เหมือนเขายื่นประโยคปลอบใจให้ แต่ไม่ได้ยื่นคู่มือมาด้วย
วันนี้ไปเจอเครื่องมือที่เรียกว่า 4A’s Model มา (เป็นสิ่งที่ McGraw-Hill Education, Mayo Clinic และ American Psychological Association เคยเผยแพร่) เลยอยากมาชวนลองจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระบบ

4 A ที่ว่านั้นคือ

1. Avoid (หลีกเลี่ยง) กล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่จำเป็น ลดงานที่เกินกำลัง และไม่ฝืนแบกปัญหาที่ไม่ใช่ของเรา
2. Alter (เปลี่ยนแปลง) ปรับวิธี เช่น สื่อสารกับคนรอบตัวให้ชัดเจน หรือแบ่งงานใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อไม่ให้รู้สึกท่วมท้น
3. Accept (ยอมรับ) เรื่องบางเรื่องเราเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ การยอมรับไม่ได้หมายถึงแพ้ แต่คือการปล่อยให้ใจได้หายใจ
4. Adapt (ปรับตัว) เปลี่ยนมุมมอง ฝึกขอบคุณสิ่งเล็กๆ และลดความคาดหวังที่สูงเกินไป

ค่อยๆ ลองทำแต่ละ A ไปในแต่ละวัน

แต่ถ้าถึงจังหวะที่เครียดจนร่างกายเริ่มส่งสัญญาณขึ้นมาจริงๆ เช่น ใจเต้นแรง หายใจถี่ ปวดหัว เราก็มี ‘อุปกรณ์ช่วยชีวิตจิตใจ’ ที่ทำได้ทันทีมาเผื่อลองหยิบใช้

1. หายใจ 4-7-8
– สูดลมหายใจเข้าลึกๆ นับในใจ 1…2…3…4
– กลั้นหายใจไว้ นับ 1 ถึง 7
– ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก นับยาวๆ จนถึง 8
ทำซ้ำ 4 รอบ จะช่วยให้หัวใจเต้นช้าลงและสมองสงบ

2. Progressive Muscle Relaxation (คลายกล้ามเนื้อทีละส่วน)
– เลือกกล้ามเนื้อส่วนหนึ่ง เช่น มือ กำแน่นๆ ไว้ 5 วินาที
– แล้วปล่อย…รู้สึกถึงความผ่อนคลาย
– ไล่ไปทีละส่วน แขน ไหล่ หน้าอก ขา จนทั่วร่างกาย
มันเหมือนกดปุ่ม reset ให้ร่างกายรู้ว่า ปลอดภัยแล้ว

3. Digital Detox
– ตั้งเวลา เช่น หลังสองทุ่ม ปิดแจ้งเตือนหรือวางมือถือให้ไกลตัว
– ใช้เวลาอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือคุยกับคนตรงหน้าแทน
– แค่คืนเดียวจะรู้เลยว่าสมองโล่งขึ้นแค่ไหน

4. 5-Second Rule ของ Mel Robbins
– เวลาลังเล กลัว หรือผัดวันประกันพรุ่ง ให้เริ่มนับถอยหลัง 5-4-3-2-1
– พอถึง 1 ลุกขึ้นทำเลย เช่น ลุกจากเตียง ส่งข้อความ หรือเริ่มงาน
มันเหมือนกดปุ่มสตาร์ทที่ไม่ให้สมองคิดเยอะเกินไปจนถอย

5. Box Breathing
– สูดลมหายใจเข้า 4 วินาที
– กลั้นไว้ 4 วินาที
– ผ่อนลมหายใจออก 4 วินาที
– กลั้นอีก 4 วินาที
ทำเป็น “สี่เหลี่ยม” ของลมหายใจ ช่วยให้หัวใจและอารมณ์กลับมาเสถียร

6. ABC Technique
– เขียนลงกระดาษว่า A = เหตุการณ์ที่ก่อเครียด, B = ความเชื่อที่เรามีต่อมัน, C = ผลลัพธ์ทางอารมณ์
– จากนั้นลองถามตัวเองว่า ความเชื่อในข้อ B นั้นจริงเสมอไหม หรือเราคิดเกินจริงไปเอง
– การจับผิดความเชื่อที่ไม่สมเหตุผล จะช่วยให้เราคลายเครียดได้

ถ้าลองเอาวิธีพวกนี้มาใส่ในชีวิตประจำวัน มันเหมือนมี first aid kit สำหรับอารมณ์ติดตัวตลอดเวลา
ตอนเช้า ลองทำ Box Breathing ก่อนเริ่มงาน
ช่วงกลางวัน เครียดจากประชุมก็ใช้ 5-Second Rule กดเริ่มทำสิ่งที่ค้าง
ตอนเย็นกลับบ้าน คลายกล้ามเนื้อทีละส่วน
ก่อนนอน ปิดจอมือถือ ทำ Digital Detox แล้วหายใจ 4-7-8


ความเครียดไม่ใช่ศัตรูเสมอไป มันคือแรงกดที่ถ้าใช้ถูกทางก็ทำให้เราแข็งแรงขึ้น แต่ถ้าแบกไว้จนเกินไปก็จะกลายเป็นภาระ การมีวิธีเทน้ำออกจากแก้วจึงสำคัญ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแอนเจลิส เผยผลการวิจัยใหม่ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นสมองอย่างแม่นยำ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าแล...
25/09/2025

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแอนเจลิส เผยผลการวิจัยใหม่ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นสมองอย่างแม่นยำ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้ยา และมีผลข้างเคียงแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อ่านต่อในคอมเมนต์

#โรคซึมเศร้า

อย่าคิดว่า แค่ขี้ลืมเคสหญิงวัยกลางคนมาพบแพทย์ด้วยอาการ “ลืมง่าย” โดยเฉพาะเมื่อต้องนึกชื่อเพื่อนที่คุ้นเคย กลับนึกไม่ออกท...
22/09/2025

อย่าคิดว่า แค่ขี้ลืม

เคสหญิงวัยกลางคน

มาพบแพทย์ด้วยอาการ “ลืมง่าย” โดยเฉพาะเมื่อต้องนึกชื่อเพื่อนที่คุ้นเคย กลับนึกไม่ออกทั้ง ๆ ที่ใบหน้าและบุคลิกยังจำได้ชัดเจน เวลาพิมพ์ข้อความก็ทำได้ แต่ช้า เหมือนสมองติดขัด ไม่คล่องเหมือนก่อน

นี่ชั้นโง่ไปหรือเปล่า เสพข่าวเยอะไป หรือคิดมากเรื่องเขมร อ้าววว มาตรวจ

เจอ สมองกลีบขมับซีกซ้าย (left temporal lobe infarction) ขาดเลือด เรียกอัมพฤต ก็ได้

ส่วนนี้ เป็นบริเวณสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจดจำชื่อบุคคล และการเชื่อมโยงเสียงกับคำพูด

ถ้าเปรียบสมองเป็น “ห้องสมุด” กลีบขมับซ้ายก็เหมือน “ตู้บัตรดัชนี” ที่เก็บชื่อ คำศัพท์ ความหมาย เวลาเราจะเรียกชื่อใคร สมองต้องไปค้นจากตู้ดัชนีนั้น

เมื่อกลีบขมับซ้ายเสียหาย ตู้ดัชนีบางส่วนหายไป ทำให้คนไข้นึกชื่อไม่ออก แม้จะรู้จักคนนั้นดี

โอ้โหเลย
อาการที่ดูเหมือน “เรื่องเล็กน้อย” เช่น นึกชื่อเพื่อนไม่ออก พูดช้าลง พิมพ์อืด ๆ ถ้าเกิดขึ้นเฉียบพลันในผู้ใหญ่ ต้องนึกถึงโรคหลอดเลือดสมองเสมอ เพราะบางครั้งสิ่งเล็กน้อยอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคใหญ่

- อจ สุรัตน์

14/09/2025

5 อาการที่เกิดก่อนสมองเสื่อม (Alzheimer’s)

หลายคนคิดว่า “สมองเสื่อม = ลืมความจำ”
แต่ความจริงแล้ว โรค Alzheimer’s ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าเป็น ปี ๆ อาจถึง 10 ปี ก่อนที่เราจะเห็นอาการหลงลืมชัดเจน นั่นเราเรียก prodrome อาการเตือน สำคัญ เพราะตอนนี้ มันมีการตรวจระยะแรกได้แล้ว เช่นตรวจเลือด หรือ น้ำไขสันหลัง

วันนี้เรามาดู 5 อาการสำคัญที่มักเกิดขึ้น ก่อนเข้าสู่ระยะสมองเสื่อม กันครับ

1. ความจำคำพูดเริ่มถดถอย (Verbal memory decline)
• มักเกิด ประมาณ 8 ปีก่อน ระยะ MCI (Mild Cognitive Impairment สมองเสี่ยงเสื่อม ขั้นต้น )
• ลืมบทสนทนาที่เพิ่งคุยไป หรือจำคำพูดบางอย่างไม่ได้

คนรอบข้างมักยังไม่ทันสังเกตเห็น เพราะอาการยังไม่รุนแรง

2. การหาคำพูดยากขึ้น เราเนียก word finding difficulty
• เวลาจะพูดหรืออธิบายอะไร มักจะ “นึกไม่ออก”
• ใช้คำง่าย ๆ แทนคำที่เฉพาะเจาะจง เช่น บอกว่า “ไอ้นั่น ๆ” แทนที่จะพูดชื่อสิ่งของตรง ๆ น้อยๆ ไม่เป็นไร บ่อยๆ ต้องสงสัย

เป็นอาการที่มักเริ่มชัดขึ้นใน 2–3 ปีก่อน MCI อันนี้เสี่ยง

3. การตัดสินใจและการคิดวิเคราะห์ถดถอย
• ทำงานที่เคยง่ายกลับรู้สึกยุ่งยากขึ้น เช่น การวางแผนการเงิน การขับรถในเส้นทางเดิม
• ตัดสินใจผิดพลาดบ่อยขึ้น หรือทำอะไรช้า

อันนี้ สะท้อนถึง “ความยืดหยุ่นในการคิด” ที่เริ่มลดลง การประมวลผลจะเสีย เคยเฉียบคม เริ่มโง่ทึบ

4. อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนไป
• บางคนอาจมีอาการ วิตกกังวลมากขึ้น หงุดหงิดง่าย หรืออารมณ์แกว่ง
• ไม่ค่อยสนุกกับกิจกรรมที่เคยชอบ
• อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในสมอง เรียกว่า Mild Behavioral impairment (MBI)

5. ความสับสนเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน
• เช่น ลืมว่าวางของไว้ที่ไหน ลืมขั้นตอนเล็ก ๆ ในการทำงาน งง ๆ นี่ชั้นทำอะไรอยู่

บางคน หลงสถานที่

แม้ยังไม่ถึงขั้นรบกวนการใช้ชีวิตมาก แต่เป็น สัญญาณเริ่มต้น ที่ควรจับตา

อาการก่อนสมองเสื่อมอาจเริ่มขึ้นตั้งแต่ 8–10 ปีก่อน ที่คนรอบข้างจะสังเกตเห็น โดยเริ่มจาก ความจำคำพูดถดถอย → หาคำพูดยาก → ตัดสินใจไม่ดีเหมือนเดิม → อารมณ์เปลี่ยน → เริ่มสับสนในชีวิตประจำวัน

อันนี้ สงสัย ต้องเจอหมอหรือติดตาม ตรวจสมอง จะให้ดี ก็ มา test ดีไปอีก ก็เจาะเลือด หาสาร amyloid ขยะ อัลไซล์เมอร์ ในสมอง

/ อจ สุรัตน์

 #ยาทางจิตเวชกินแล้วติดไหม ตอนที่1  #ยาหลักยาต้านโรคจิต (antipsychotic) , ยาต้านเศร้า (antidepressant) และยาทำให้อารมณ์ค...
02/09/2025

#ยาทางจิตเวชกินแล้วติดไหม
ตอนที่1

#ยาหลัก
ยาต้านโรคจิต (antipsychotic) , ยาต้านเศร้า (antidepressant) และยาทำให้อารมณ์คงที่ (mood stabilizer)

\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|

การรักษาภาวะทางจิตใจหรือโรคทางจิตเวชนั้น มีหลักการรักษาไม่แตกต่างจากการรักษาโรคทางกายที่เราคุ้นเคยกันทั่วไป ซึ่งมักจะประกอบไปด้วย การทานยา (เช่น ยาคุมระดับน้ำตาลในเลือด) และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (การคุมอาหารและออกกำลังกาย)

บางครั้งคนไข้ก็มาหาหมอด้วยอาการที่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ กรณีนี้ยาก็คงจะไม่จำเป็น
แต่อาการที่ถือว่าเกินปกติหรือจัดว่าเป็นโรค ยาก็จะมีความสำคัญมาก

ในส่วนของยาทางจิตเวชนั้น หมอขอแบ่งยาที่ใช้บ่อย ๆ เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ “ #ยาหลัก” และ “ #ยาตัวช่วย”

ในตอนนี้ จะพูดถึงยาหลัก ได้แก่ ยาต้านโรคจิต (antipsychotic) , ยาต้านเศร้า (antidepressant) และยาทำให้อารมณ์คงที่ (mood stabilizer)

(1) ยาต้านเศร้า (antidepressant)
แม้ว่าชื่อยาจะบอกว่าต้านเศร้าแต่ก็ไม่ได้ใช้กับโรคซึมเศร้าเพียงอย่างเดียว ยังสามารถใช้กับโรคอื่นได้ด้วย เช่น โรควิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคแพนิค เป็นต้น
นอกจากนี้ยาต้านเศร้าบางตัวยังใช้ได้ดีในการช่วยเลิกบุหรี่ ช่วยลดอาการปวดบางประเภท

(2) ยาต้านโรคจิต (antipsychotic) เป็นยาหลักในโรคจิตเภท แต่ก็มีข้อบ่งชี้ในการรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เช่น โรคไบโพลาร์ , เป็นยาเสริมในโรคซึมเศร้า

(3) ยาทำให้อารมณ์คงที่ (mood stabilizer) เป็นยาหลักสำหรับโรคไบโพลาร์ บางตัวเป็นยากันชัก บางคนจึงแปลกใจว่าทำไมมาหาจิตแพทย์แล้วได้ยากันชักมาทาน

จากที่เล่ามาคร่าวๆนี้ ก็พอจะเห็นได้ว่า

* โรค ๆ หนึ่ง มีหลายอาการ
* อาการบางอย่างเหมือนกัน แต่อาจจะเกิดจากคนละโรค
* ยาตัวหนึ่ง รักษาได้หลายอาการ หลายโรค
* ยาหลักในโรค ๆ หนึ่ง อาจเป็นยาตัวช่วยในโรคอื่น
* โรค ๆ หนึ่ง อาจต้องใช้ยาหลายตัวช่วยกัน

>>> ดังนั้น เมื่อโรคและยามีความซับซ้อน จึงไม่ควรปรับยาหรือหยุดยาเองค่ะ
หากมีผลข้างเคียงจากยา ควรเล่าให้แพทย์ฟังเพื่อวางแผนการรักษาร่วมกันค่ะ

📣 แข็งแรงทั้งสุขภาพกายและใจ! 🪪👩🏻‍⚕️ สิทธิใหม่! ยกระดับ  #บัตรทอง ดูแลสุขภาพกาย-จิต ครบวงจร! พร้อมจัดตั้ง ‘ศูนย์ให้การปรึ...
23/08/2025

📣 แข็งแรงทั้งสุขภาพกายและใจ! 🪪👩🏻‍⚕️ สิทธิใหม่! ยกระดับ #บัตรทอง ดูแลสุขภาพกาย-จิต ครบวงจร! พร้อมจัดตั้ง ‘ศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต’ ❤️ ให้บริการทั้งปรึกษาเบื้องต้น คัดกรองผูู้มีความเสี่ยง ไปจนถึงการติดตามผลการดูแล 📝 เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพจิตในปัจจุบัน ตั้งเป้าให้บริการครอบคลุมกว่า 470,000 ครั้ง บอกเลยว่าถือเป็นข่าวดีเลย สำหรับผู้ถือบัตรทอง 🥰💕

👨🏻‍⚕️ เปิดโอกาสให้ องค์กรภาคประชาชนและภาคเอกชน ที่มีความเชี่ยวชาญ
🏥 สามารถขึ้นทะเบียนเป็น ‘หน่วยบริการมาตรา 3’ ได้
👉🏻 ช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ และขยายบริการให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทั้งในและนอกระบบสาธารณสุข

🙏🏻 ขอบคุณข้อมูลจาก รัฐบาลไทย, กรุงเทพธุรกิจ

#เซลเฮียร์ #สิทธิบัตรทอง #สุขภาพจิต #30บาท #30บาทรักษาทุกที่

คำเตือนจากจิตแพทย์ คลื่น "AI Psychosis" กำลังมา เมื่อแชตบอตกลายเป็น "กระจกหลอน" ทำลายชีวิตผู้ใช้ในยุคที่ AI Chatbot อย่า...
15/08/2025

คำเตือนจากจิตแพทย์ คลื่น "AI Psychosis" กำลังมา เมื่อแชตบอตกลายเป็น "กระจกหลอน" ทำลายชีวิตผู้ใช้
ในยุคที่ AI Chatbot อย่าง ChatGPT กลายเป็นผู้ช่วยและเพื่อนคุยแก้เหงาของใครหลายคน คำเตือนครั้งใหม่จากวงการแพทย์กำลังสั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยี เมื่อผู้เชี่ยวชาญพบคลื่นผู้ป่วยที่ดิ่งสู่ภาวะวิกฤตทางจิตอย่างรุนแรงจากการมีปฏิสัมพันธ์กับ AI ซึ่งถูกขนานนามว่า "AI Psychosis" หรือ "ภาวะจิตเภทจาก AI"

Keith Sakata จิตแพทย์ด้านการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก (UCSF) คือผู้ที่ออกมาตีแผ่เรื่องนี้ โดยเปิดเผยว่าเขาได้พบผู้ป่วยนับสิบรายที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หลังจาก "สูญเสียการรับรู้ความจริง" เพราะแชตบอต AI

อ่านต่อได้ที่: https://techsauce.co/news/ai-psychosis-psychiatrist-warning-chatbot

08/07/2025

ในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ อาจทำให้เรามักจะตั้งคำถามซ้ำๆ ว่าเพราะอะไรเรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นกับเรา และหากให้เลือกได้ ใครหลายคนอาจอยากเกิดเป็นคนที่โชคดีตลอดชีวิต เพราะแค่ความโชคดีที่ว่านั้นก็อาจทำให้เรามีแต่ความสุขไปทุกวัน จนกว่าชีวิตจะหมดสิ้นอายุขัย
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ ‘ความอยาก’ ของเราเท่านั้น เพราะที่จริงแล้วชีวิตเราย่อมเจอเหตุการณ์ที่หลากหลาย และสิ่งต่างๆ เหล่านั้นกลายมาเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่อาจหาจากที่ไหนไม่ได้
และไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราอาจลองมองด้วยความรัก ไม่จมปลักอารมณ์เสียใจ เศร้า และโกรธ เพราะอย่างไรก็ดีมันล้วนผ่านมาแล้ว และเราก็เก่งมากๆ ที่ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้
ในภาษาละติน มีวลีหนึ่งชื่อว่า ‘Amor Fati’ ซึ่ง ‘Amor’ แปลว่า ‘รัก’ และ ‘Fati’ ที่แปลว่า ‘โชคชะตา’ ดังนั้นมันจึงแปลอย่างตรงตัวว่า ‘รักในโชคชะตา’
ซึ่งหลายคนอาจเคยได้ยินคำนี้จาก ฟรีดริช นีตซ์เช นักปรัชญาชาวเยอรมันที่ได้เขียนถึงคำนี้หลายครั้งในงานของเขา โดยระบุว่าเป็น ‘สูตรแห่งความยิ่งใหญ่ของการเป็นมนุษย์’ ที่ขอให้เราเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตอย่างกล้าหาญ ไม่ว่าเรื่องต่างๆ เหล่านั้นจะดีหรือจะร้าย เพราะอย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น และมันอาจเป็นปัจจัยภายนอกที่เราต่อรองอะไรกับมันไม่ค่อยได้เท่าไร แต่นั่นก็อาจเป็นการทำให้เราเข้าถึงสัจธรรมบางอย่างของชีวิต
นอกเหนือไปจากนีตซ์เชแล้ว Amor Fati ยังเป็นหนึ่งในข้อคิดที่ปรัชญาสายสโตอิกมักนำมากล่าวถึงอยู่บ่อยๆ โดยมีที่มาจากที่จักรพรรดิมาร์คัส ออเรลิอุส ได้เขียนถึง Amor Fati ไว้ในสมุดบันทึกประจำวันส่วนตัวของเขา และเอพิกเททัส (Epictetus) หนึ่งในนักปรัชญาสายสโตอิกก็ระบุเอาไว้ว่า “อย่าแสวงหาสิ่งต่างๆ ในแบบที่คุณต้องการ แต่ลองมองว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นให้เกิดขึ้นในแบบที่มันเกิดขึ้น และจากการที่คุณยอมรับนั้นเอง คุณก็จะมีความสุข”
“ยอมรับอย่างไม่หลีกเลี่ยง”
“รักในโชคชะตาไม่ว่าจะดีหรือร้าย”
“มองอุปสรรคและความทุกข์ยากให้เป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้”
เหล่านี้ย่อมเป็นประโยคสำคัญที่เราอาจน้อมนำเอาไว้เตือนใจ โดยการยอมรับแต่ไม่ยอมแพ้ ทำความเข้าใจและเรียนรู้ผ่านทุกประสบการณ์ในวันวัยของเราเอง และน้อมรับในโชคชะตาชีวิตของเราไว้ด้วยความรัก
และอาจปรับมุมมองว่าในทุกโชคชะตาที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เรียนรู้และทบทวนความหมายของการเติบโตไปอีกขั้น
รวมถึงมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผล และความเป็นจริง
ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าความรักจะเป็นพลังให้เราเติบโตไปในทิศทางที่ดีในแบบที่ชีวิตพึงจะเป็นไป ไม่ว่าจะอีกกี่บาดแผลใดๆ ขอให้เราน้อมรับมันเอาไว้ด้วยความรักและไม่จมปลัก
และนั่นอาจเป็นจังหวะในการเรียนรู้และน้อมรับชีวิตได้อย่างแท้จริง
#ปรัชญาสโตอิก #ชะตาชีวิต #ปัจจุบันขณะ #การรักในโชคชะตา #ฟรีดริชนีตซ์เช

“มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่รู้จะคุยกับใครดี”“Therapist จิตอาสา” เป็นโครงการของชมรมจิตบำบัดความคิดและพฤติกรรมแห่งประเทศไทย (CBT ...
03/07/2025

“มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่รู้จะคุยกับใครดี”
“Therapist จิตอาสา” เป็นโครงการของชมรมจิตบำบัดความคิดและพฤติกรรมแห่งประเทศไทย (CBT Alliance of Thailand หรือ CAT) ร่วมกับหลักสูตรปริญญาบัณฑิตสาขาสุขภาพจิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ (Chula CBT) เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการบำบัดจิตใจด้วยจิตบำบัดแบบ CBT สำหรับประชาชนทั่วไป
CBT (cognitive behavioral therapy) คือจิตบำบัด (psychotherapy) ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับมากมายว่ามีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรคซึมเศร้า วิตกกังวล หรือปัญหาทางสุขภาพจิตอื่นๆ อีกหลากหลาย
ปัญหาของประเทศไทยคือการเข้าถึง CBT ยังต่ำมาก คือแม้จะรู้ว่าการรักษานี้ดีแต่ไม่รู้จะไปเข้ารับการบำบัดได้ที่ไหน รวมทั้งการบำบัดที่มีลักษณะต่อเนื่องคือใช้เวลาครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมงติดต่อกันทุกสัปดาห์ 12 ครั้ง ทำให้นักบำบัดที่มีอยู่ไม่สามารถบริการได้อย่างทั่วถึง
Chula CBT เริ่มรับนิสิตครั้งแรกตั้งแต่ปี 2557 ปัจจุบันผลิตนักบำบัดแบบ CBT ให้กับสังคมไทยมาแล้ว 7 รุ่นเป็นจำนวน 94 คน โดยนิสิตฝึกปฏิบัติการทำจิตบำบัดแบบ CBT ภายใต้การดูแลให้คำปรึกษาของอาจารย์ (clinical supervision) และเมื่อจบการศึกษาแล้ว หลายคนก็ยังอยากทำงานจิตบำบัดในลักษณะจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมต่อไป จึงเป็นที่มาของโครงการ “Therapist จิตอาสา”
โครงการ “Therapist จิตอาสา” เปิดรับสมัครประชาชนทั่วไปที่ต้องการทำจิตบำบัดแบบ CBT ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตึกภปร.ชั้น 12 หรือแบบออนไลน์ (ในช่วงโควิดนี้มีเฉพาะออนไลน์)
นักบำบัดหรือ therapist ในโครงการ คือนิสิตปัจจุบันและศิษย์เก่าของหลักสูตร Chula CBT ที่มีความยินดีอยากมาทำงานบำบัดในลักษณะจิตอาสา นักบำบัดจะได้รับ supervision จากอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน CBT อย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษามาตรฐานในการบำบัด
ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับชมรมฯ หรือนักบำบัด แต่ถ้ามารับบริการที่โรงพยาบาลก็จ่ายเฉพาะค่าบริการทั่วไปให้กับโรงพยาบาลครั้งละ 100-150 บาทเท่านั้น ส่วนการบริการออนไลน์นั้นไม่มีค่าใช้จ่าย
สนับสนุนโครงการ
โครงการนี้ดำเนินการด้วยกองทุนของชมรมจิตบำบัดความคิดและพฤติกรรมแห่งประเทศไทย (CBT Alliance of Thailand) ท่านสามารถสนับสนุนโครงการได้ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชี
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโรงพยาบาลบาลจุฬาลงกรณ์
เลขที่บัญชี 406-705278-3
ชื่อบัญชี “นายณัทธร พิทยรัตน์เสถียร/น.ส.ศิริรัตน์ อุฬารตินนท์/นายธันวรุจน์ บูรณสุขสกุล”
ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของโครงการที่ผ่านมาคือการลงทะเบียน online workshop CBT ในต่างประเทศให้กับนักบำบัด เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะของนักบำบัด

โรคหรือปัญหาที่เหมาะกับการเข้ารับการบำบัดด้วย CBT
- ปัญหาทางอารมณ์ต่างๆ เช่น เครียด วิตกกังวล ท้อแท้ ไม่มีความสุขในชีวิต หงุดหงิดง่าย ฯลฯ
- โรคซึมเศร้า
- โรควิตกกังวลแบบต่างๆ เช่น วิตกกังวลแบบทั่วไป (GAD) โรคแพนิค (panic) โรคกลัวสังคม (social anxiety) โรค PTSD โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ฯลฯ
โรคหรืออาการที่คลินิคยังไม่มีความชำนาญจะให้การบำบัดด้วย CBT
- ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและมีความเสี่ยงสูง
- โรคจิตเภท (schizophrenia) หรือกลุ่มอาการทางจิตแบบ psychotic เช่นหูแว่ว เห็นภาพหลอน มีความคิดหลงผิด (delusions)
- โรคไบโพลาร์ที่ยังควบคุมอาการด้วยยาได้ไม่คงที่
- ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการสมองเสื่อม (dementia)
- ปัญหาครอบครัว
- ปัญหาการเลี้ยงดูเด็ก
- ผู้ที่ต้องการมาปรึกษาปัญหาของคนอื่น (การบำบัดนี้มีจุดประสงค์เพื่อจัดการกับปัญหาของผู้มารับการบำบัดเอง)
- ฯลฯ
การรักษาเดิมที่มีอยู่
ถ้าท่านได้รับการรักษาทางจิตเวชอยู่ก่อนหน้านั้น การบำบัดด้วย CBT อาจเป็น "ตัวเสริม" ให้อาการดีขึ้นได้ แต่ไม่ได้เป็น "ตัวทดแทน" การรักษาเดิมที่ท่านได้รับอยู่ จึงควรไปติดตามการรักษา (follow-up) กับจิตแพทย์หรือสถานพยาบาลที่ดูแลท่านอยู่ด้วย ถ้าท่านรับประทานยาจิตเวชอยู่ก็ไม่ควรหยุดยาโดยพลการ
ผู้สนใจเข้ารับการบำบัดสามารถกรอกข้อมูลได้ตามลิงค์นี้
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScVyTMLZhuLf7GVYoA1cM77j6_Tbq1n5XOMr7H8s0HN7tn6vA/viewform
เมื่อได้รับใบสมัครทาง Case Manager ของโครงการจะติดต่อท่านไปตามลำดับคิวว่า 1) สามารถให้การดูแลท่านได้หรือไม่ 2) แจ้งวันเวลานัดหมายต่อไป

  #โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::เด็กๆส่วนใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่พามาปรึก...
16/06/2025


#โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

เด็กๆส่วนใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่พามาปรึกษาที่โรงพยาบาลเกือบครึ่งจะมาด้วยปัญหาการเรียน และโรคที่ถูกวินิจฉัยมากที่สุดโรคหนึ่ง ก็คือ โรคสมาธิสั้น ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยทางจิตเวชเด็กและวัยรุ่น

แต่หลายๆครั้งก็พบว่า ตัวคุณพ่อหรือคุณแม่ของเด็กที่เป็นสมาธิสั้นหลายๆคนก็ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นเช่นกัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เนื่องจากโรคสมาธิสั้นเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

แต่คำถามที่พบได้บ่อยๆก็คือ “ผู้ใหญ่ก็เป็นสมาธิสั้นได้หรือหมอ”

#ผู้ใหญ่ที่มีโรคสมาธิสั้นมักมีลักษณะเป็นอย่างไร?

ถ้าคุณมาทำงานสายเป็นประจำ ลืมนัดสำคัญกับลูกค้า ทำงานตกๆหล่นๆ ถูกเจ้านายตำหนิว่าไม่รับผิดชอบบ่อยครั้ง จัดระเบียบการทำงานไม่ได้ งานค้างส่งทันบ้างไม่ทันบ้าง บางครั้งเครียดจนนอนไม่หลับ

คุณไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง คนรอบข้างก็ไม่เข้าใจ จนทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว และ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือคนใกล้ชิด

จริงอยู่ว่าโรคสมาธิสั้นเป็นโรคที่ได้รับการวินิจฉัยในเด็กวัยเรียน แต่หลายๆครั้งที่โรคนี้ไม่ได้รับการวินิจฉัยในวัยเด็ก เพราะหลายเหตุผล
เช่น ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ในอดีต พ่อแม่หรือครูคิดว่าเด็กดื้อโดยนิสัย ขี้เกียจเอง หรือ เด็กสมาธิสั้นบางคนที่มีสติปัญญาดี ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเรียนเด่นชัด ทำให้ไม่ได้ถูกพามาพบแพทย์ในวัยเด็ก

หมอเคยได้ยินผู้ใหญ่ที่เป็นสมาธิสั้นคนหนึ่งเล่าว่า จริง ๆ ถ้าเขาไม่สะเพร่าเวลาทำข้อสอบ เขาน่าจะสอบติดมหาวิทยาลัยในคณะที่เค้าเลือกเป็นอันดับต้นๆ

ปัญหาที่พบในคนที่เป็นสมาธิสั้นที่ไม่ได้รับการดูแลรักษา คือมี
หมายความว่า การที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็นทั้งที่มีความสามารถจะทำได้

#สาเหตุ

สมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) เป็นโรคที่เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองที่ชื่อว่า Dopamine ทำงานบกพร่องหรือมีปริมาณน้อยกว่าปกติ ซึ่งเป็นโรคที่ #เกิดในวัยเด็กแต่จะเป็นต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่

โรคนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญา เด็กสมาธิสั้นหลายคนที่ได้รับการรักษาสามารถเรียนได้เหมือนเด็กปกติ

Dr. Russell Barkley ผู้ซึ่งทำงานวิจัยและมีความเชี่ยวชาญในเรื่องโรคสมาธิสั้น กล่าวว่า
โรคสมาธิสั้นเป็นโรคความบกพร่องของ executive functions ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน (Planning), การแก้ปัญหา (Problem solving), การควบคุมอารมณ์ (emotional regulation)
ซึ่งแม้คนที่เป็นสมาธิสั้นจะมีทักษะและความสามารถ แต่ด้วยความเป็นสมาธิสั้นทำให้การแสดงความสามารถที่มีอยู่ไม่ได้ผลเต็มที่

(ADHD is a disorder of “performance” not “skill”)

ลักษณะที่สำคัญของคนที่เป็นโรคสมาธิสั้น คือ ไม่สามารถจัดการกับเวลาได้เมื่อต้องทำงานที่มีกำหนดเวลา (Time-blindness) บางครั้งจะทำไม่ทัน หรือทันแบบจวนตัว
เช่น ถ้ามี project ที่ต้องทำให้เสร็จภายในวันจันทร์ ซึ่งต้องใช้เวลาทำอย่างน้อยสามวัน คนที่เป็นสมาธิสั้นจะไม่สามารถควบคุมหรือรู้ตัวเองว่าจะต้องเริ่มทำอย่างน้อยก็วันศุกร์ บางทีกว่าจะนึกได้อีกครั้งก็วันเสาร์แล้ว
( ❌ #ซึ่งปัญหาตรงนี้จะต้องไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจ หรือ #ปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ เช่น ความเครียด ❌)

ลองมาดู อาการที่พบบ่อยในผู้ใหญ่วัยทำงานที่เป็นโรคสมาธิสั้น

1) มีปัญหาในการทำอะไรที่ต้องการการจดจ่อและงานที่ต้องใช้สมาธิ
เช่น เหม่อลอยเวลาต้องคุยธุระกับลูกค้ายาวๆ วอกแวกง่าย ฟังอะไรยาว ๆ แล้วจับใจความไม่ค่อยได้ ทำงานผิดพลาดเพราะประมาทเลินเล่อเสมอๆ

2) ขี้ลืมและมีปัญหาในการจัดการงานให้เป็นระบบ
เช่น โต๊ะทำงาน รถที่ขับ ห้องพัก รกและไม่เป็นระเบียบอย่างมาก เวลาต้องหาอะไรจะหาไม่พบเสมอๆ มักผัดวันประกันพรุ่ง มาสายประจำ ทำของหายบ่อยๆหรือจำไม่ได้ว่าวางไว้ที่ไหน(เช่น กุญแจ, กระเป๋าเงิน, โทรศัพท์มือถือ, แฟ้มงาน) ไม่สามารถประมาณเวลาเพื่อให้งานเสร็จทันเวลาที่กำหนด

3) หุนหันพลันแล่น
เช่น พูดแทรกเวลาคนอื่นพูด ไม่ค่อยคิดก่อนทำและพูดทำให้เกิดปัญหากับตนเองหรือคนรอบข้างบ่อยครั้ง

4) เบื่อง่ายทำอะไรนานๆไม่ค่อยได้
เช่น มีความรู้สึกอึดอัดเวลานั่งเฉย ๆ นาน ๆ เช่น เวลาประชุมนานจะรู้สึกกระวนกระวายใจ ชอบอะไรแปลกใหม่และตื่นเต้น พูดเก่ง พูดมาก

5) มีปัญหาอารมณ์
เช่น ความรู้สึกไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เครียด หงุดหงิดง่าย บางคนมีปัญหาโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล นอนไม่หลับ เสี่ยงต่อปัญหาการติดสุราและยาเสพติดอื่นๆ

หากมีอาการตามที่อ่านมาข้างบน และเมื่อนึก #ย้อนไปในวัยเด็กแล้วพบว่าอาการต่างๆเหล่านี้เป็นมาตั้งแต่คุณยังเรียนหนังสืออยู่ บางทีคุณอาจกำลังเป็นสมาธิสั้นอยู่ก็ได้

หากลองคิดย้อนหลังไปในอดีตเมื่อยังเป็นเด็กและวัยรุ่น อาจพบว่าเวลาที่ผ่านมามักจะถูกดุว่าจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู เพื่อน บอกว่าเขาเป็นเด็กขี้เกียจ เด็กไม่ฉลาด เพราะมักจะทำงานไม่เสร็จ ส่งงานไม่ทัน สะเพร่า ขี้ลืมบ่อยๆ บางครั้งจะบอกว่าเมื่อเทียบกับความสามารถที่มีน่าจะเรียนหรือทำงานได้ดีกว่านี้

หากไม่ได้รับการรักษาก็จะส่งผลกระทบตามมาอย่างมาก ทั้งด้านส่วนตัว การงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

🙁 #ผลกระทบทางสุขภาพร่างกายและจิตใจ
คนที่เป็นสมาธิสั้นเมื่อทำงานไม่ประสบความสำเร็จ หรือ ทำอะไรผิดพลาดบ่อยๆ มักจะมีความเครียด และเกิดโรคซึมเศร้า วิตกกังวลตามมา บางคนหันไปหายาเสพติดเพื่อเป็นทางออกในการคลายความเครียด จึงมีความเสี่ยงในการติดบุหรี่ สุรา หรือยาเสพติดที่อันตรายอื่นๆ ไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพ

🙁 #ผลกระทบในการทำงาน
มักทำงานผิดพลาดบกพร่อง เพราะความประมาท ทำงานส่งไม่ทันกำหนด จัดระเบียบในการทำงานไม่ได้ ถูกเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าตำหนิอยู่เสมอ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่มีคุณค่าในตนเอง

🙁 #ผลกระทบในเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
เนื่องจากคนที่เป็นโรคสมาธิสั้น มักเป็นคนที่ใจร้อน หุนหันพลันแล่น ไม่คิดก่อนที่จะกระทำ จึงทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว ตามมาด้วยการถูกให้ออกจากงาน หรือ การหย่าร้าง

หากคุณกำลังสงสัยว่าตัวคุณหรือคนใกล้ตัวเป็นโรคสมาธิสั้น ทางที่ดีที่สุดคือ การไปพบจิตแพทย์เพื่อการวินิจฉัย / การแยกโรคจากภาวะที่คล้าย สมาธิสั้น
เช่น ภาวะไม่มีสมาธิ จาก โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล เครียดสะสม จนปรับตัวไม่ได้ และในบางรายก็เป็นผลของบุคลิกภาพของคนๆนั้นเอง

โรคสมาธิสั้นเป็นโรคที่รักษาได้ด้วยยาและการปรับพฤติกรรมซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

เครดิตบทความ : หมอมินบานเย็น
เตรดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/Sk4iaNiDaQVkbTVG9

เสียงดังเอะอะโวยวาย การถูกตะคอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว หรือเสียงร้องไห้โยเยจากเด็กข้างบ้าน… เราต่างมี “คน สถานที่ หรือเหตุ...
26/05/2025

เสียงดังเอะอะโวยวาย การถูกตะคอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว หรือเสียงร้องไห้โยเยจากเด็กข้างบ้าน… เราต่างมี “คน สถานที่ หรือเหตุการณ์” ที่กระตุ้นอารมณ์บางอย่างในตัวเราโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้เรียกว่า emotional triggers หรือตัวกระตุ้นอารมณ์ ซึ่งมักจะทำให้เราเกิดอาการ “หลุด” อย่างฉับพลัน⁣

— ลองจินตนาการว่าหากในแต่ละวันมีแต่เรื่องหนักๆ ถาโถมเข้ามากระตุ้นให้เรา “หลุด” อยู่ตลอดเวลา ผมนึกไม่ออกเลยว่าสภาพจิตใจของเราจะเป็นแบบไหน⁣

นักจิตวิทยา ดร.ซูซาน อัลเบอร์ส (Susan Albers, PsyD) กล่าวว่า การรับมือกับ emotional triggers เริ่มต้นจาก การเพิ่มระดับความตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) และจบลงที่ การเลือกลงมือทำอะไรบางอย่างในรูปแบบใหม่ที่สร้างสรรค์กว่าเดิม (Self-management) —ซึ่งทั้งสององค์ประกอบนี้เป็นแกนหลักของ SEL ตามกรอบแนวคิดของ CASEL⁣

──────⁣
📍 Emotional Triggers คืออะไร?⁣

Emotional triggers หรือตัวกระตุ้นทางอารมณ์ คือสถานการณ์รอบตัวที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์อย่างรุนแรงและฉับพลัน ซึ่งมักเป็นอารมณ์ด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ กลิ่น เสียง หรือแม้แต่ความคิดบางอย่าง ล้วนสามารถกระตุ้นสภาวะทางจิตใจและสุขภาพจิตของเราได้⁣

สิ่งที่กระตุ้นอารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลอย่างมาก บางคนอาจถูกกระตุ้นอารมณ์ทางลบด้วยกลิ่นน้ำหอมบางกลิ่น ในขณะที่อีกคนอาจ “หลุด” กับคำวิจารณ์เกี่ยวกับรูปลักษณ์หรือพฤติกรรม⁣

──────⁣
📍 ทำไม Emotional Triggers ถึงสำคัญใน SEL⁣

การเข้าใจตัวกระตุ้นทางอารมณ์ (emotional triggers) ถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทั้ง การตระหนักรู้ในตนเอง (self-awareness) และ การจัดการตนเอง (self-management) ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียนรู้ด้านสังคมและอารมณ์ (SEL)⁣

• Emotional triggers ไม่ใช่จุดอ่อน แต่คือประตูสู่ความเข้าใจตัวเอง⁣
• เมื่อเรารู้ทัน เราจะมี “อำนาจในการเลือก” ว่าจะตอบสนองอย่างไร⁣
• SEL เริ่มต้นจาก “การตระหนักรู้ (awareness)” ใจของตัวเองก่อนเสมอ⁣

──────⁣
📍 10 Triggers & Why They Matter⁣

1. การถูกวิจารณ์ส่วนตัว⁣
→ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ หรือโกรธทันที โดยไม่ทันฟังให้ครบ⁣

2. ความรู้สึกถูกหักหลัง⁣
→ กระตุ้นความโกรธ เจ็บใจ ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ อีก⁣

3. ความกลัวการถูกปฏิเสธ⁣
→ ทำให้ปิดใจ หรือพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ⁣

4. ความรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเรา⁣
→ อาจทำให้ถอยห่าง หรือเกิดความขัดแย้งในการสื่อสาร⁣

5. รู้สึกว่าไม่มีตัวตนในกลุ่ม⁣
→ กระตุ้นความรู้สึกด้อยค่า หรือไม่เป็นที่ต้องการ⁣

6. เมื่อขอบเขตส่วนตัวถูกละเลย⁣
→ ทำให้รู้สึกถูกคุกคาม หรือหมดความเชื่อใจ⁣

7. เมื่อความเห็นของเราถูกมองข้าม⁣
→ ส่งผลต่อความภาคภูมิใจ และทำให้ไม่อยากแสดงตัวตนอีก⁣

8. การถูก “เงียบใส่” (Ghosted)⁣
→ ทำให้เกิดความสับสน ไม่มั่นใจในคุณค่าของตัวเอง⁣

9. พฤติกรรมประชดประชัน (Passive-aggression)⁣
→ ทำให้รู้สึกอึดอัด โกรธ แต่ไม่สามารถตอบโต้อย่างตรงไปตรงมา⁣

10. การถูกตัดสินหรือวิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรม⁣
→ สร้างความรู้สึกละอาย หรือกลับมาซ้ำเติมความไม่มั่นใจในตัวเอง⁣

──────⁣
📍 5 วิธีหยุดวงจรอารมณ์ซ้ำซาก⁣

1. ฝึกหยุดและสังเกต (Pause & Notice)⁣
→ หยุดหนึ่งจังหวะ ถามตัวเองว่า “เกิดอะไรขึ้น ฉันรู้สึกยังไง”⁣

2. เขียนบันทึกความรู้สึก (Trigger Journal)⁣
→ จดว่าเกิดอะไรขึ้น อารมณ์ไหนเกิดซ้ำ และมันสะท้อนอะไร⁣

3. ตั้งชื่อความรู้สึก (Name It to Tame It)⁣
→ การรู้ว่า “นี่คือความโกรธ ไม่ใช่ความเศร้า” ทำให้จัดการอารมณ์ได้ตรงจุด⁣

4. พูดกับตัวเองอย่างเข้าใจ (Compassionate Self-talk)⁣
→ “ฉันรู้สึกปกป้องตัวเองเพราะเรื่องนี้สำคัญกับฉัน ไม่ใช่เพราะฉันผิด”⁣

5. สะท้อนร่วมกับเพื่อนหรือที่ปรึกษา (Reflect with Safe People)⁣
→ หาใครสักคนที่คุณไว้ใจ แล้วพูดคุยเรื่องความรู้สึกแบบไม่ตัดสิน⁣

ข้อมูลเวอร์ชั่นเต็ม ➾⁣ selminder.com/knowledge-hub/10-ตัวกระตุ้นอารมณ์-triggers/



ผู้เขียน: Armer Khanachang ⁣
───────⁣
#การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม⁣



— ถ้ายัง Aware ตัวเองไม่ได้🍀⁣
จะ Manage ตัวเองได้อย่างไร!?⁣

เคยไหม…อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงในหัวแว่บมาว่า“แกจะพลาดอีกแล้วแน่ ๆ” 😒“ทำไมพูดแบบนั้นวะ โง่ชะมัด” 😤“ไม่มีทางหรอก แกไม่เก่งพอ” 😞...
06/05/2025

เคยไหม…
อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงในหัวแว่บมาว่า
“แกจะพลาดอีกแล้วแน่ ๆ” 😒
“ทำไมพูดแบบนั้นวะ โง่ชะมัด” 😤
“ไม่มีทางหรอก แกไม่เก่งพอ” 😞
ไม่ต้องแปลกใจ นั่นไม่ใช่คุณหรอก
มันคือ “เสียงในหัว” ที่คอยวิจารณ์ตัวเองซ้ำ ๆ
จนนาน ๆ เข้า…เราเผลอคิดว่ามันคือเรื่องจริง
แต่นักจิตวิทยาบอกว่า ไม่ต้องเชื่อมันก็ได้นะ
เพราะมีเทคนิคน่ารัก ๆ ที่เรียกว่า…
🧠“ตั้งชื่อให้เสียงในหัว”
เพื่อแยกมันออกจากตัวเรา
ในแนวคิดของ Narrative Therapy
นักบำบัดจะชวนให้คนไข้
“ตั้งชื่อให้เสียงในหัว” เพื่อให้เห็นว่า...
เสียงนี้ ไม่ใช่ตัวเรา
แนวทางนี้ยังใช้จริงในแนวบำบัดแบบ ACT (Acceptance and Commitment Therapy) ด้วยนะ ซึ่งมีคอนเซปต์ที่ชื่อว่า Cognitive Defusion หรือ
“แยกตัวเองออกจากความคิด”
แทนที่จะพูดว่า
❌ "ฉันมันล้มเหลว" เปลี่ยนเป็น
✅ "ตอนนี้ฉันมีความคิดว่าฉันล้มเหลว"
ตัวอย่างชื่อเล่นที่คนตั้งให้เสียงในหัว
– เจ๊เพอร์เฟกต์
– ลุงขี้กลัว
– น้องเด๋อ
– ยัยเลิ่กลั่ก
หรือจะเป็นตั้งชื่อคนไปเลยก็ได้นะ เช่น พี่บัวขาว (เช่น เสียงในหัวอยากจะไฟต์ให้ได้เลย😅)
ลองเป็นชื่อขำ ๆ หน่อยก็ยิ่งดี เพราะว่า ถ้าเรามองเสียงในหัวอย่างมีอารมณ์ขัน
มันจะ “เบาแรง” ลงทันที
วิธีใช้ก็ง่ายมาก
1️⃣ สังเกตว่าเสียงนั้นมาอีกแล้ว
2️⃣ ตั้งชื่อให้มัน (จะน่ารัก หรือกวนก็ได้)
3️⃣ พูดกับมันเหมือนเพื่อนร่วมทาง เช่น...
“ขอบคุณนะ 'เจ๊เพอร์เฟกต์' แต่วันนี้ขอลองดูก่อน”
“โอเค 'พี่บัวขาว'มาอีกแล้ว ใจเย็น ๆ เดี๋ยวจัดการเอง”
ฟังดูเล็กน้อยเนอะ แต่จริง ๆ แล้ว
มันช่วยลดแรงกระแทกจากความคิดลบได้อย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ
#หมีสาระ
เราควบคุมไม่ได้หรอกว่า “เสียงในหัว” จะมาเมื่อไหร่
แต่เราเลือกได้ว่า…จะฟังมันหรือแค่ยิ้มให้มันเฉย ๆ
เพราะบางที เสียงในหัว มันก็แค่เพื่อนร่วมทางที่เข้ามาเตือนให้เราปลอดภัยมากขึ้นแค่นั้นเอง
แล้วทุกคนล่ะ ตั้งชื่อ"เสียงในหัว" ยังไงกันบ้าง? 🧠

ที่อยู่

125/3 ซอย ติวานนท์ 18 ต. ตลาดขวัญ อ. เมือง
Nonthaburi
11000

เบอร์โทรศัพท์

0863538849

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ รับดูแลผู้มีอาการทางจิตและผู้สูงอายุ บ้านบำรุงรักผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram