รับดูแลผู้มีอาการทางจิตและผู้สูงอายุ บ้านบำรุงรัก

รับดูแลผู้มีอาการทางจิตและผู้สูงอายุ บ้านบำรุงรัก ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก รับดูแลผู้มีอาการทางจิตและผู้สูงอายุ บ้านบำรุงรัก, บ้านพักฟื้นผู้ติดแอลกอฮอล์, 125/3 ซอย ติวานนท์ 18 ต. ตลาดขวัญ อ. เมือง, Nonthaburi.

ศูนย์ดูแลและฟื้นฟูผู้ป่วยทางจิตเวช ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทีมผู้ช่วยพยาบาลและผู้ดูแลมืออาชีพ ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยซึมเศร้า ไบโพลาร์ สมาธิสั้น และภาวะทางจิตเวชต่าง ๆ ผู้สูงอายุ "บ้านบำรุงรัก"

เรามุ่งเน้นพัฒนาการสร้างคุณภาพชีวิต สุขภาพ สังคม และ ความเป็นอยู่ที่ดี ให้กับสมาชิกที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิตและการดูแลตัวเอง ที่ได้รับการรักษาจากทางโรงพยาบาลจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ตามปกติ จึงได้เกิด บ้านบำรุงรักขึ้นมาเพื่อตอบสนองชีวิตในสังคมปัจุบันที่คุณต้องการที่จะอยู่ดูแลคนที่คุณรักตลอดเวลาแต่ด้วยภารกิจ การงาน หรือ ปัจจัยอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถดูแลเขาได้อย่างเต็มที่ เราจึงขอเป็นตัวแทนและรับช่วงต่อจากโรงพยาบาลที่จะ"ดูแลคนที่คุณรักแทนคุณให้เหมือนกับครอบครัวเดียวกัน" ที่มีทั้งความรัก เวลา และการเอาใจใส่เป็นพิเศษ

ดูแลผู้ป่วย อัลไซเมอร์ ติดยาเสพติด จิตเวช ผู้สูงอายุ

"สถาพจิตใจที่ผ่อนคลาย"
บรรยากาศร่มรื่น สะดวก ปลอดภัย ภายใต้การดูแลของ บ้านบำรุงรัก
เรามีกิจกรรมให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน
มุมพักผ่อน อ่านหนังสือ ฟังดนตรี และ อีกหลากหลายมุมนันทนาการ

"ไว้วางใจเรา บ้านบำรุงรัก"
การดูแลจากผู้มีประสบการณ์ที่มีความเข้าใจเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดที่จะคอยดูแล
ห้องนอนโล่งโปร่งสบายพร้อมเครื่องปรับอากาศ
อาหารที่สด สะอาด และ ถูกหลักอนามัย เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี
กิจกรรมฝึกทักษะต่างๆเพื่อให้เกิดการพัฒนาดีขึ้นของสมาชิก "บ้านบำรุงรัก"

เรารับดูแล และ พักฟื้น ผู้ป่วยจิตเวช ด้วยหัวใจ

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ข้าพระพุทธเจ้า คณะทีมงานผู้ให้บริการ บ้านบ...
25/10/2025

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้

ข้าพระพุทธเจ้า คณะทีมงานผู้ให้บริการ บ้านบำรุงรัก

21/10/2025

ทักษะที่สำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีคือ การเข้าใจว่าบางคนที่มีบาดแผลทางใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์อาจจะใช้กลไกป้องกันตนเองแบบแบ่งแยก (Splitting)

ซึ่งหมายถึงการมองโลกและคนรอบตัวแบบสุดโต่ง ถ้าดีก็ดี ถ้าแย่ก็แย่ทั้งหมด ซึ่งกลไกเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง หรือความสับสน แต่เมื่อเติบโตขึ้น การมองแบบนี้จะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ เพราะไม่มีใครดีได้ทุกวันหรือแย่ได้ทุกวัน หากเรายังใช้กลไกนี้อยู่ เราจะผิดหวัง เสียใจ หรือโกรธได้ง่าย

การลดการใช้กลไกป้องกันตนเองแบบแบ่งแยก คือ การฝึกมองคนๆ หนึ่งแบบเทาๆ โดยไม่สุดโต่งไปทางด้านดำสุด หรือขาวสุด คือการที่เราค่อยๆ ยอมรับว่า คนที่เรารักอาจทำให้เราผิดหวังได้ โดยที่เขาก็ยังรักเราอยู่ และตัวเราเองก็อาจเผลอทำร้ายใครบางคนไป ทั้งที่เรามีเจตนาที่ดี

ความสัมพันธ์ที่ดีจึงเป็นการเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เขาไม่จำเป็นต้องดีหมดทุกอย่าง เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติความเทาๆ ของมนุษย์ เราจะโอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้น

การฝึกมองคนแบบเทาๆ คือการเข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดนะครับ โดยเฉพาะการที่เราต้องยอมรับว่าคนที่สำคัญในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ แฟน เพื่อน หรือคนรัก ก็เป็นคนเทาๆ เหมือนกัน

มันเจ็บปวดเพราะเรามักคาดหวังว่าคนเหล่านี้ควรจะสมบูรณ์แบบ และเมื่อเขามีข้อบกพร่องหรือทำให้เราผิดหวัง ก็เหมือนกับโลกที่เราเคยยึดถือสั่นคลอน แต่ในขณะเดียวกัน นี่คือก้าวสำคัญของการเติบโต

การที่เราสามารถเห็นทั้งความรักและข้อบกพร่องในตัวคนเหล่านั้นได้พร้อมกัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีความสัมพันธ์ที่แท้จริงและลึกซึ้งกับผู้คนรอบตัว

อ่านบทความ แม้แผลใจจะยังไม่หายดี แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีได้นะ https://thepotential.org/life/healthy-relationship/

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์
Illustration ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

“เคยมั้ย…หลังดูไลฟ์ของใครบางคน แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกในใจมันพัง ชีวิตคนอื่นดู ‘สำเร็จ’ จนเรารู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเหมือนค...
14/10/2025

“เคยมั้ย…หลังดูไลฟ์ของใครบางคน แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกในใจมันพัง ชีวิตคนอื่นดู ‘สำเร็จ’ จนเรารู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า

เหมือนคืนนี้ — ดู เจนนี่ไลฟ์ คนเข้าดูเป็นล้าน รายได้มหาศาล
แล้วนั่งเงียบ ๆ คิดกับตัวเองว่า “ทำไมเราไม่ถึงจุดนั้นบ้าง”

— เมื่อเราตั้งมาตรฐานของตัวเองให้เทียบกับคนที่เขา โชว์เฉพาะจุดที่ดีที่สุด
— เราเลยอาจกลายเป็นผู้ชมที่รู้สึกอัดอั้น อิจฉา หรือหมดกำลังใจ

🔬 งานวิจัยพูดอะไรบ้าง?
• เมื่อคนใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป งานวิจัยพบว่า social comparisons (การเปรียบเทียบทางสังคม) เป็นกลไกเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับภาวะซึมเศร้า
• การเปรียบเทียบเชิง “มองขึ้นไป (upward comparison)” บน Instagram พบว่ามีความสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้าเพิ่มขึ้น
• งานศึกษา “Envy, Social Comparison, and Depression” สรุปว่า การ “อิจฉา” + “เปรียบเทียบ” บนโซเชียลมีเดียมักมีความสัมพันธ์กับการเกิดซึมเศร้า
• ในกลุ่มวัยรุ่น มีผลวิจัยที่บ่งชี้ว่า ระดับการเสพติด (addiction) โซเชียลมีเดียสัมพันธ์กับ ระดับความนับถือตนเอง (self-esteem) ที่ต่ำลง

💔 ผลที่อาจเกิดขึ้นกับเรา
• รู้สึกไม่มีคุณค่า รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า
• เครียด วิตก หยุดความก้าวหน้า
• มองโลกในแง่ร้ายกับช่องทางของตัวเอง

🌱 ทางออก (ไม่ใช่ละทิ้ง แต่ “ปรับมุมมอง”)
1. ตรวจสอบ “นิสัยเปรียบเทียบ” — เมื่อไหร่ที่เรากำลังเอาตัวเองไปเทียบ
2. ฝึก social savoring — คือการดีใจและยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น แทนที่จะอิจฉา
3. กำหนดขอบเขตการใช้โซเชียลมีเดีย — มีงานที่ทดลองให้ผู้เข้าใช้ลดเวลาเล่น พบว่ายิ่งลด ยิ่งเครียดและซึมเศร้าน้อยลง
4. ฝึกเขียนบันทึก “สิ่งที่ดีในตัวเรา / สิ่งที่เราได้ทำแล้ว” เพื่อย้ำคุณค่าตัวเอง

💬 สรุป
โลกออนไลน์มัก “โชว์เฉพาะด้านที่ดีที่สุด” ของใครบางคน — พอเรามองเทียบกับภาพนั้น ก็เสี่ยงถูกดูถูกโดยตัวเอง
แต่เรา ไม่ใช่ผู้ชม passively — เราเลือกว่าจะเอามุมมองไหนมาใช้กับชีวิตเรา

❓ คุณมีวิธีจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ยังไงบ้าง? ถ้าคุณเคยรู้สึกแบบนี้ มาแชร์กัน — เผื่อคนอื่นจะได้กำลังใจ ☀️”

“อย่าเครียดมาก” …ฟังดูพูดง่าย แต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะ  เวลามีใครบอกเราว่าอย่าเครียดเลย เหมือนเขายื่นประโยคปลอบ...
26/09/2025

“อย่าเครียดมาก” …ฟังดูพูดง่าย แต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะ
เวลามีใครบอกเราว่าอย่าเครียดเลย เหมือนเขายื่นประโยคปลอบใจให้ แต่ไม่ได้ยื่นคู่มือมาด้วย
วันนี้ไปเจอเครื่องมือที่เรียกว่า 4A’s Model มา (เป็นสิ่งที่ McGraw-Hill Education, Mayo Clinic และ American Psychological Association เคยเผยแพร่) เลยอยากมาชวนลองจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระบบ

4 A ที่ว่านั้นคือ

1. Avoid (หลีกเลี่ยง) กล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่จำเป็น ลดงานที่เกินกำลัง และไม่ฝืนแบกปัญหาที่ไม่ใช่ของเรา
2. Alter (เปลี่ยนแปลง) ปรับวิธี เช่น สื่อสารกับคนรอบตัวให้ชัดเจน หรือแบ่งงานใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อไม่ให้รู้สึกท่วมท้น
3. Accept (ยอมรับ) เรื่องบางเรื่องเราเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ การยอมรับไม่ได้หมายถึงแพ้ แต่คือการปล่อยให้ใจได้หายใจ
4. Adapt (ปรับตัว) เปลี่ยนมุมมอง ฝึกขอบคุณสิ่งเล็กๆ และลดความคาดหวังที่สูงเกินไป

ค่อยๆ ลองทำแต่ละ A ไปในแต่ละวัน

แต่ถ้าถึงจังหวะที่เครียดจนร่างกายเริ่มส่งสัญญาณขึ้นมาจริงๆ เช่น ใจเต้นแรง หายใจถี่ ปวดหัว เราก็มี ‘อุปกรณ์ช่วยชีวิตจิตใจ’ ที่ทำได้ทันทีมาเผื่อลองหยิบใช้

1. หายใจ 4-7-8
– สูดลมหายใจเข้าลึกๆ นับในใจ 1…2…3…4
– กลั้นหายใจไว้ นับ 1 ถึง 7
– ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก นับยาวๆ จนถึง 8
ทำซ้ำ 4 รอบ จะช่วยให้หัวใจเต้นช้าลงและสมองสงบ

2. Progressive Muscle Relaxation (คลายกล้ามเนื้อทีละส่วน)
– เลือกกล้ามเนื้อส่วนหนึ่ง เช่น มือ กำแน่นๆ ไว้ 5 วินาที
– แล้วปล่อย…รู้สึกถึงความผ่อนคลาย
– ไล่ไปทีละส่วน แขน ไหล่ หน้าอก ขา จนทั่วร่างกาย
มันเหมือนกดปุ่ม reset ให้ร่างกายรู้ว่า ปลอดภัยแล้ว

3. Digital Detox
– ตั้งเวลา เช่น หลังสองทุ่ม ปิดแจ้งเตือนหรือวางมือถือให้ไกลตัว
– ใช้เวลาอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือคุยกับคนตรงหน้าแทน
– แค่คืนเดียวจะรู้เลยว่าสมองโล่งขึ้นแค่ไหน

4. 5-Second Rule ของ Mel Robbins
– เวลาลังเล กลัว หรือผัดวันประกันพรุ่ง ให้เริ่มนับถอยหลัง 5-4-3-2-1
– พอถึง 1 ลุกขึ้นทำเลย เช่น ลุกจากเตียง ส่งข้อความ หรือเริ่มงาน
มันเหมือนกดปุ่มสตาร์ทที่ไม่ให้สมองคิดเยอะเกินไปจนถอย

5. Box Breathing
– สูดลมหายใจเข้า 4 วินาที
– กลั้นไว้ 4 วินาที
– ผ่อนลมหายใจออก 4 วินาที
– กลั้นอีก 4 วินาที
ทำเป็น “สี่เหลี่ยม” ของลมหายใจ ช่วยให้หัวใจและอารมณ์กลับมาเสถียร

6. ABC Technique
– เขียนลงกระดาษว่า A = เหตุการณ์ที่ก่อเครียด, B = ความเชื่อที่เรามีต่อมัน, C = ผลลัพธ์ทางอารมณ์
– จากนั้นลองถามตัวเองว่า ความเชื่อในข้อ B นั้นจริงเสมอไหม หรือเราคิดเกินจริงไปเอง
– การจับผิดความเชื่อที่ไม่สมเหตุผล จะช่วยให้เราคลายเครียดได้

ถ้าลองเอาวิธีพวกนี้มาใส่ในชีวิตประจำวัน มันเหมือนมี first aid kit สำหรับอารมณ์ติดตัวตลอดเวลา
ตอนเช้า ลองทำ Box Breathing ก่อนเริ่มงาน
ช่วงกลางวัน เครียดจากประชุมก็ใช้ 5-Second Rule กดเริ่มทำสิ่งที่ค้าง
ตอนเย็นกลับบ้าน คลายกล้ามเนื้อทีละส่วน
ก่อนนอน ปิดจอมือถือ ทำ Digital Detox แล้วหายใจ 4-7-8


ความเครียดไม่ใช่ศัตรูเสมอไป มันคือแรงกดที่ถ้าใช้ถูกทางก็ทำให้เราแข็งแรงขึ้น แต่ถ้าแบกไว้จนเกินไปก็จะกลายเป็นภาระ การมีวิธีเทน้ำออกจากแก้วจึงสำคัญ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแอนเจลิส เผยผลการวิจัยใหม่ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นสมองอย่างแม่นยำ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าแล...
25/09/2025

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแอนเจลิส เผยผลการวิจัยใหม่ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นสมองอย่างแม่นยำ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้ยา และมีผลข้างเคียงแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อ่านต่อในคอมเมนต์

#โรคซึมเศร้า

อย่าคิดว่า แค่ขี้ลืมเคสหญิงวัยกลางคนมาพบแพทย์ด้วยอาการ “ลืมง่าย” โดยเฉพาะเมื่อต้องนึกชื่อเพื่อนที่คุ้นเคย กลับนึกไม่ออกท...
22/09/2025

อย่าคิดว่า แค่ขี้ลืม

เคสหญิงวัยกลางคน

มาพบแพทย์ด้วยอาการ “ลืมง่าย” โดยเฉพาะเมื่อต้องนึกชื่อเพื่อนที่คุ้นเคย กลับนึกไม่ออกทั้ง ๆ ที่ใบหน้าและบุคลิกยังจำได้ชัดเจน เวลาพิมพ์ข้อความก็ทำได้ แต่ช้า เหมือนสมองติดขัด ไม่คล่องเหมือนก่อน

นี่ชั้นโง่ไปหรือเปล่า เสพข่าวเยอะไป หรือคิดมากเรื่องเขมร อ้าววว มาตรวจ

เจอ สมองกลีบขมับซีกซ้าย (left temporal lobe infarction) ขาดเลือด เรียกอัมพฤต ก็ได้

ส่วนนี้ เป็นบริเวณสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจดจำชื่อบุคคล และการเชื่อมโยงเสียงกับคำพูด

ถ้าเปรียบสมองเป็น “ห้องสมุด” กลีบขมับซ้ายก็เหมือน “ตู้บัตรดัชนี” ที่เก็บชื่อ คำศัพท์ ความหมาย เวลาเราจะเรียกชื่อใคร สมองต้องไปค้นจากตู้ดัชนีนั้น

เมื่อกลีบขมับซ้ายเสียหาย ตู้ดัชนีบางส่วนหายไป ทำให้คนไข้นึกชื่อไม่ออก แม้จะรู้จักคนนั้นดี

โอ้โหเลย
อาการที่ดูเหมือน “เรื่องเล็กน้อย” เช่น นึกชื่อเพื่อนไม่ออก พูดช้าลง พิมพ์อืด ๆ ถ้าเกิดขึ้นเฉียบพลันในผู้ใหญ่ ต้องนึกถึงโรคหลอดเลือดสมองเสมอ เพราะบางครั้งสิ่งเล็กน้อยอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคใหญ่

- อจ สุรัตน์

14/09/2025

5 อาการที่เกิดก่อนสมองเสื่อม (Alzheimer’s)

หลายคนคิดว่า “สมองเสื่อม = ลืมความจำ”
แต่ความจริงแล้ว โรค Alzheimer’s ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าเป็น ปี ๆ อาจถึง 10 ปี ก่อนที่เราจะเห็นอาการหลงลืมชัดเจน นั่นเราเรียก prodrome อาการเตือน สำคัญ เพราะตอนนี้ มันมีการตรวจระยะแรกได้แล้ว เช่นตรวจเลือด หรือ น้ำไขสันหลัง

วันนี้เรามาดู 5 อาการสำคัญที่มักเกิดขึ้น ก่อนเข้าสู่ระยะสมองเสื่อม กันครับ

1. ความจำคำพูดเริ่มถดถอย (Verbal memory decline)
• มักเกิด ประมาณ 8 ปีก่อน ระยะ MCI (Mild Cognitive Impairment สมองเสี่ยงเสื่อม ขั้นต้น )
• ลืมบทสนทนาที่เพิ่งคุยไป หรือจำคำพูดบางอย่างไม่ได้

คนรอบข้างมักยังไม่ทันสังเกตเห็น เพราะอาการยังไม่รุนแรง

2. การหาคำพูดยากขึ้น เราเนียก word finding difficulty
• เวลาจะพูดหรืออธิบายอะไร มักจะ “นึกไม่ออก”
• ใช้คำง่าย ๆ แทนคำที่เฉพาะเจาะจง เช่น บอกว่า “ไอ้นั่น ๆ” แทนที่จะพูดชื่อสิ่งของตรง ๆ น้อยๆ ไม่เป็นไร บ่อยๆ ต้องสงสัย

เป็นอาการที่มักเริ่มชัดขึ้นใน 2–3 ปีก่อน MCI อันนี้เสี่ยง

3. การตัดสินใจและการคิดวิเคราะห์ถดถอย
• ทำงานที่เคยง่ายกลับรู้สึกยุ่งยากขึ้น เช่น การวางแผนการเงิน การขับรถในเส้นทางเดิม
• ตัดสินใจผิดพลาดบ่อยขึ้น หรือทำอะไรช้า

อันนี้ สะท้อนถึง “ความยืดหยุ่นในการคิด” ที่เริ่มลดลง การประมวลผลจะเสีย เคยเฉียบคม เริ่มโง่ทึบ

4. อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนไป
• บางคนอาจมีอาการ วิตกกังวลมากขึ้น หงุดหงิดง่าย หรืออารมณ์แกว่ง
• ไม่ค่อยสนุกกับกิจกรรมที่เคยชอบ
• อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในสมอง เรียกว่า Mild Behavioral impairment (MBI)

5. ความสับสนเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน
• เช่น ลืมว่าวางของไว้ที่ไหน ลืมขั้นตอนเล็ก ๆ ในการทำงาน งง ๆ นี่ชั้นทำอะไรอยู่

บางคน หลงสถานที่

แม้ยังไม่ถึงขั้นรบกวนการใช้ชีวิตมาก แต่เป็น สัญญาณเริ่มต้น ที่ควรจับตา

อาการก่อนสมองเสื่อมอาจเริ่มขึ้นตั้งแต่ 8–10 ปีก่อน ที่คนรอบข้างจะสังเกตเห็น โดยเริ่มจาก ความจำคำพูดถดถอย → หาคำพูดยาก → ตัดสินใจไม่ดีเหมือนเดิม → อารมณ์เปลี่ยน → เริ่มสับสนในชีวิตประจำวัน

อันนี้ สงสัย ต้องเจอหมอหรือติดตาม ตรวจสมอง จะให้ดี ก็ มา test ดีไปอีก ก็เจาะเลือด หาสาร amyloid ขยะ อัลไซล์เมอร์ ในสมอง

/ อจ สุรัตน์

 #ยาทางจิตเวชกินแล้วติดไหม ตอนที่1  #ยาหลักยาต้านโรคจิต (antipsychotic) , ยาต้านเศร้า (antidepressant) และยาทำให้อารมณ์ค...
02/09/2025

#ยาทางจิตเวชกินแล้วติดไหม
ตอนที่1

#ยาหลัก
ยาต้านโรคจิต (antipsychotic) , ยาต้านเศร้า (antidepressant) และยาทำให้อารมณ์คงที่ (mood stabilizer)

\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|•\•|

การรักษาภาวะทางจิตใจหรือโรคทางจิตเวชนั้น มีหลักการรักษาไม่แตกต่างจากการรักษาโรคทางกายที่เราคุ้นเคยกันทั่วไป ซึ่งมักจะประกอบไปด้วย การทานยา (เช่น ยาคุมระดับน้ำตาลในเลือด) และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (การคุมอาหารและออกกำลังกาย)

บางครั้งคนไข้ก็มาหาหมอด้วยอาการที่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ กรณีนี้ยาก็คงจะไม่จำเป็น
แต่อาการที่ถือว่าเกินปกติหรือจัดว่าเป็นโรค ยาก็จะมีความสำคัญมาก

ในส่วนของยาทางจิตเวชนั้น หมอขอแบ่งยาที่ใช้บ่อย ๆ เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ “ #ยาหลัก” และ “ #ยาตัวช่วย”

ในตอนนี้ จะพูดถึงยาหลัก ได้แก่ ยาต้านโรคจิต (antipsychotic) , ยาต้านเศร้า (antidepressant) และยาทำให้อารมณ์คงที่ (mood stabilizer)

(1) ยาต้านเศร้า (antidepressant)
แม้ว่าชื่อยาจะบอกว่าต้านเศร้าแต่ก็ไม่ได้ใช้กับโรคซึมเศร้าเพียงอย่างเดียว ยังสามารถใช้กับโรคอื่นได้ด้วย เช่น โรควิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคแพนิค เป็นต้น
นอกจากนี้ยาต้านเศร้าบางตัวยังใช้ได้ดีในการช่วยเลิกบุหรี่ ช่วยลดอาการปวดบางประเภท

(2) ยาต้านโรคจิต (antipsychotic) เป็นยาหลักในโรคจิตเภท แต่ก็มีข้อบ่งชี้ในการรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เช่น โรคไบโพลาร์ , เป็นยาเสริมในโรคซึมเศร้า

(3) ยาทำให้อารมณ์คงที่ (mood stabilizer) เป็นยาหลักสำหรับโรคไบโพลาร์ บางตัวเป็นยากันชัก บางคนจึงแปลกใจว่าทำไมมาหาจิตแพทย์แล้วได้ยากันชักมาทาน

จากที่เล่ามาคร่าวๆนี้ ก็พอจะเห็นได้ว่า

* โรค ๆ หนึ่ง มีหลายอาการ
* อาการบางอย่างเหมือนกัน แต่อาจจะเกิดจากคนละโรค
* ยาตัวหนึ่ง รักษาได้หลายอาการ หลายโรค
* ยาหลักในโรค ๆ หนึ่ง อาจเป็นยาตัวช่วยในโรคอื่น
* โรค ๆ หนึ่ง อาจต้องใช้ยาหลายตัวช่วยกัน

>>> ดังนั้น เมื่อโรคและยามีความซับซ้อน จึงไม่ควรปรับยาหรือหยุดยาเองค่ะ
หากมีผลข้างเคียงจากยา ควรเล่าให้แพทย์ฟังเพื่อวางแผนการรักษาร่วมกันค่ะ

📣 แข็งแรงทั้งสุขภาพกายและใจ! 🪪👩🏻‍⚕️ สิทธิใหม่! ยกระดับ  #บัตรทอง ดูแลสุขภาพกาย-จิต ครบวงจร! พร้อมจัดตั้ง ‘ศูนย์ให้การปรึ...
23/08/2025

📣 แข็งแรงทั้งสุขภาพกายและใจ! 🪪👩🏻‍⚕️ สิทธิใหม่! ยกระดับ #บัตรทอง ดูแลสุขภาพกาย-จิต ครบวงจร! พร้อมจัดตั้ง ‘ศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต’ ❤️ ให้บริการทั้งปรึกษาเบื้องต้น คัดกรองผูู้มีความเสี่ยง ไปจนถึงการติดตามผลการดูแล 📝 เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพจิตในปัจจุบัน ตั้งเป้าให้บริการครอบคลุมกว่า 470,000 ครั้ง บอกเลยว่าถือเป็นข่าวดีเลย สำหรับผู้ถือบัตรทอง 🥰💕

👨🏻‍⚕️ เปิดโอกาสให้ องค์กรภาคประชาชนและภาคเอกชน ที่มีความเชี่ยวชาญ
🏥 สามารถขึ้นทะเบียนเป็น ‘หน่วยบริการมาตรา 3’ ได้
👉🏻 ช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ และขยายบริการให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทั้งในและนอกระบบสาธารณสุข

🙏🏻 ขอบคุณข้อมูลจาก รัฐบาลไทย, กรุงเทพธุรกิจ

#เซลเฮียร์ #สิทธิบัตรทอง #สุขภาพจิต #30บาท #30บาทรักษาทุกที่

คำเตือนจากจิตแพทย์ คลื่น "AI Psychosis" กำลังมา เมื่อแชตบอตกลายเป็น "กระจกหลอน" ทำลายชีวิตผู้ใช้ในยุคที่ AI Chatbot อย่า...
15/08/2025

คำเตือนจากจิตแพทย์ คลื่น "AI Psychosis" กำลังมา เมื่อแชตบอตกลายเป็น "กระจกหลอน" ทำลายชีวิตผู้ใช้
ในยุคที่ AI Chatbot อย่าง ChatGPT กลายเป็นผู้ช่วยและเพื่อนคุยแก้เหงาของใครหลายคน คำเตือนครั้งใหม่จากวงการแพทย์กำลังสั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยี เมื่อผู้เชี่ยวชาญพบคลื่นผู้ป่วยที่ดิ่งสู่ภาวะวิกฤตทางจิตอย่างรุนแรงจากการมีปฏิสัมพันธ์กับ AI ซึ่งถูกขนานนามว่า "AI Psychosis" หรือ "ภาวะจิตเภทจาก AI"

Keith Sakata จิตแพทย์ด้านการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก (UCSF) คือผู้ที่ออกมาตีแผ่เรื่องนี้ โดยเปิดเผยว่าเขาได้พบผู้ป่วยนับสิบรายที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หลังจาก "สูญเสียการรับรู้ความจริง" เพราะแชตบอต AI

อ่านต่อได้ที่: https://techsauce.co/news/ai-psychosis-psychiatrist-warning-chatbot

ที่อยู่

125/3 ซอย ติวานนท์ 18 ต. ตลาดขวัญ อ. เมือง
Nonthaburi
11000

เบอร์โทรศัพท์

0863538849

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ รับดูแลผู้มีอาการทางจิตและผู้สูงอายุ บ้านบำรุงรักผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram