22/10/2024
#เล่าไปเรื่อย
เว้นไปหลายวันไม่ได้มาเล่าต่อเพราะติดลูกค้าเข้าร้าน วันนี้ว่างหน่อยก็ขอมาเล่าตอนต่อของเรื่องความดันโลหิตสูงกันนะครับ ต่อกันเลย...
ในตอน 1 ได้เล่าไปเกี่ยวกับเกณฑ์ใหม่ที่วิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจ(American College of Cardiology:ACC)และสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน(American Heart Association:AHA) ได้ขยับตัวเลขเกณฑ์ความดันโลหิตสูงลงมาเมื่อปี 2017 จากเดิมต้องสูงตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ขยับเกณฑ์ลงมาเป็นต้องสูงตั้งแต่ 130/80 มิลิเมตรปรอทขึ้นไป ก็นับเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว
อย่างไรก็ดีก่อนหน้านั้นนิดหน่อย คือ ปี 2014 หน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดทำคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการโรคความดันโลหิตสูงอีกค่ายนึง คือ คณะกรรมการร่วมความดันโลหิตสูงอเมริกัน(The Joint National Committee on the Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure; JNC) ได้ออกคำแนะนำฉบับล่าสุด คือ JNC 8 ซึ่งยังคงเกณฑ์ตัวเลขความดันโลหิตสูงไว้อยู่ที่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปจึงจะนับว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง เกณฑ์นี้สำหรับผู้ที่อายุยังไม่ถึง 60 ปีซึ่งอาจไม่เป็นหรือเป็นโรคเบาหวานด้วยก็ได้ (แต่ต้องไม่เป็นโรคไตเรื้อรังด้วย)
จะเห็นว่าเกณฑ์ของทั้ง 2 หน่วยงานกำหนดตัวเลขไว้ไม่เท่ากัน แต่สุดท้ายผู้ชนะคือฝั่งวิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจ(American College of Cardiology:ACC)และสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน(American Heart Association:AHA)ครับ
แต่ที่ยกเอาคำแนะนำ JNC 8 นี้ขึ้นมาในตอนนี้ เพราะมีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจมากและอยากเอามาเล่าให้ฟังวันนี้นี่แหละ
ประเด็นสำคัญ คือว่า JNC 8 นี้ยังได้กำหนดเกณฑ์ความดันโลหิตสูงสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปไว้ว่า ถ้าความดันโลหิตระดับตั้งแต่ 150/90 มิลลิเมตรปรอทเป็นต้นไป จึงค่อยให้เริ่มใช้ยาลดความดันโลหิต
อ่านแล้วแปลกมั้ยครับ???
เกณฑ์ดังกล่าวนี้มีที่มาจากผลสรุปของงานวิจัยที่น่าเชื่อถือหลายฉบับนั่นเอง จะขอยกขึ้นมา 2 ฉบับนะครับ
งานวิจัยแรกชื่อว่า "JATOS" เป็นงานวิจัยขนาดใหญ่ทำในประเทศญี่ปุ่น โดยศึกษาในคนไข้ชาวญี่ปุ่นที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 4,400 คน เอามาแบ่งเป็น 2 กลุ่มเท่าๆกัน
- กลุ่ม 1 (2,200 คน) คุมความดันโลหิตตัวบนอย่างเข้มงวดไม่ให้เกิน 139 มิลิเมตรปรอท
- กลุ่ม 2 (2,200 คนเท่ากัน) คุมความดันโลหิตตัวบนไม่เข้มงวดมาก โดยให้อยู่ในช่วง 141-150 มิลลิเมตรปรอท
และผลการศึกษาที่ได้ ชี้ว่าทั้ง 2 กลุ่มมีอัตราการป่วยหรือตายเท่ากัน ไม่ต่างกัน แต่ช่วงท้ายๆของการศึกษาเริ่มพบว่ากลุ่ม 2 กลับเริ่มมีอัตราการป่วยหรือตายน้อยกว่ากลุ่มที่ 1
งานวิจัยอันที่ 2 ชื่อ "VALISH" ศึกษาในคนไข้ชาวญี่ปุ่นที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเช่นกัน จำนวน 3,260 คน เอามาแบ่งเป็น 2 กลุ่มเท่าๆกัน
- กลุ่ม 1 (1,630 คน) คุมความดันโลหิตตัวบนไว้ไม่ให้เกิน 140 มิลิเมตรปรอท
- กลุ่ม 2 (อีก 1,630 คน) ปล่อยให้ความดันโลหิตตัวบนขึ้นไปได้ถึง 150 มิลลิเมตรปรอท
ผลการศึกษานี้ยิ่งชัดเจนกว่าอันแรก คือ พบว่ากลุ่ม 2 มีอัตราการป่วยหรือตายน้อยกว่ากลุ่มที่ 1 ตั้งแต่เริ่มการศึกษาได้ไม่กี่เดือนและเห็นได้ตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่ทำการศึกษา
จากผลของการศึกษา 2 ฉบับที่ยกมา แปลความได้ว่า สำหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปนั้น การยอมให้ความดันโลหิตตัวบนสูงขึ้นไปซักนิดคือไม่เกิน 150 มิลลิเมตรปรอท จะเป็นผลดีมากกว่าการกดความดันโลหิตไว้ที่ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และนี่เองจึงเป็นที่มาของคำแนะนำ JNC 8 ที่ยกมาวันนี้แหละครับ
😅ยาวอีกแล้ว แต่ยังไม่จบจนได้ ขอยกไปจบตอนหน้าแล้วกันนะครับ จะมาเฉลยว่าทำไมถึงต้องยอมให้ความดันโลหิตตัวบนเพิ่มขึ้นไปในผู้สูงอายุ และค่อยจบด้วยวิธีการทำให้หายจากโรคความดันโลหิตสูงแบบที่เลิกกินยาความดันกันไปเลยครับ
#ความดันโลหิตสูง
#ร้านยาเอ็มแคร์ฟาร์ม่า #ร้านยาใกล้ฉัน #ร้านยาใกล้เซ็นทรัลเวสต์วิลล์ #ร้านยาแถวราชพฤกษ์ #ร้านยาปิดดึก