Chanin Clinic :Specialized mental health clinic

Chanin Clinic :Specialized mental health clinic คลินิกเฉพาะทางด้านจิตเวช เปิดให้บริการมานานกว่า 15 ปี โดยทีมจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกผู้เชี่ยวชาญ เน้นการดูแลด้วยความเข้าใจในความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

Private Specialized Psychiatric clinic -คลินิกเวขกรรมเฉพาะทางจิตเวช
Tel:092-248-2462 Line :

19/08/2025

#ปรึกษาจิตแพทย์ #กำลังใจ #ไม่ไหวบอกไม่ไหว #เพราะใจต้องการการดูแล #สุขภาพจิตดี #รักตัวเอง #ชนินทร์คลินิก

เคยสับสนไหมคะ?  จิตแพทย์, นักจิตวิทยาคลินิก, ประสาทอายุรแพทย์... ใครเป็นใครกันนะ?สวัสดีค่ะทุกคน... เวลาที่ใจเรารู้สึกเหน...
19/08/2025

เคยสับสนไหมคะ? จิตแพทย์, นักจิตวิทยาคลินิก, ประสาทอายุรแพทย์... ใครเป็นใครกันนะ?

สวัสดีค่ะทุกคน...

เวลาที่ใจเรารู้สึกเหนื่อยล้า สับสน หรือไม่สบายเหมือนเคย การจะเอื้อมมือไปขอความช่วยเหลือก็อาจมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว "เราต้องไปหาใคร?" "แต่ละคุณหมอแตกต่างกันยังไง?"
วันนี้... เรามานั่งพักสบายๆ แล้วค่อยๆ ทำความเข้าใจเรื่องนี้ไปด้วยกันค่ะ

1. จิตแพทย์คือ "คุณหมอ" จริงไหม? ต่างจากหมอสาขาอื่นอย่างไร?

ตอบอย่างชัดเจนเลยว่า "ใช่ค่ะ จิตแพทย์คือคุณหมอ"
คุณหมอเรียนจบคณะแพทยศาสตร์ 6 ปีเต็มเหมือนคุณหมอสาขาอื่นๆ จากนั้นจึงเรียนต่อเฉพาะทางด้าน "จิตเวชศาสตร์" อีกหลายปี
ทำไมต้องเรียนหมอ?: เพราะร่างกายและจิตใจเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งค่ะ โรคทางกายบางอย่าง เช่น ไทรอยด์ แม้แต่โรคที่เรารู้จักันดีอย่าง เบาหวาน ความดัน และการใช้ยาปฏิชีวนะ ก็ส่งผลต่ออารมณ์ได้ การเป็นหมอทำให้จิตแพทย์มองเห็นภาพรวมทั้งหมด และที่สำคัญคือ สามารถสั่งยา เพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมองซึ่งเป็นต้นตอของความรู้สึกหลายๆ อย่างได้ค่ะ

2. "ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์" vs "ผู้เชี่ยวชาญด้านแอพพลิเคชั่น" ของสมอง

หลายคนสับสนระหว่าง จิตแพทย์ กับ ประสาทอายุรแพทย์ (Neurologist) ให้ลองนึกภาพคอมพิวเตอร์นะคะ
ประสาทอายุรแพทย์: เหมือน "ช่างซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์" ค่ะ คุณหมอจะดูแลโครงสร้างสมองและระบบประสาทที่จับต้องได้ เช่น เส้นเลือดในสมอง, เนื้องอก, โรคพาร์กินสัน, ลมชัก
จิตแพทย์: เหมือน “ผู้เชี่ยวชาญด้านแอพลิเคชั่นค่ะ" ค่ะ คุณหมอจะดูแลการทำงานของสมอง ทั้งสารสื่อประสาท หรือ การทำงานของคลื่นไฟฟ้า ที่ส่งผลต่อความคิด, อารมณ์, พฤติกรรม (ซึมเศร้า, วิตกกังวล, ไบโพลาร์) ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีหรือวงจรการทำงานของสมอง

3. โลกของเด็ก vs โลกของผู้ใหญ่ (จิตเวชเด็ก vs จิตเวชผู้ใหญ่)

จิตเวชเด็กและวัยรุ่น: จะมองเด็กเป็นศูนย์กลางของ "ระบบนิเวศ" คือดูทั้งครอบครัว โรงเรียน เพื่อน เพราะสมองเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ และมักแสดงปัญหาผ่านพฤติกรรม การรักษาจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนรอบตัวเด็กค่ะ การรักษาจิตเวชเด็กมักเป็นการปรับเปลี่ยนที่ ”ระบบนิเวศ” เป็นหลักค่ะ
จิตเวชผู้ใหญ่: จะเน้นที่ตัวบุคคลเป็นหลัก เพราะมีความสามารถในการสื่อสารและเข้าใจตัวเองที่ซับซ้อนกว่า บริบทปัญหาก็จะต่างออกไป เช่น เรื่องงาน, ความสัมพันธ์, เป้าหมายชีวิต การรักษาในวิชาจิตเวชของผู้ใหญ่ จึงเน้นที่การเปลี่ยนแปลี่ยนแปลงตนเองและความเข้าใจที่ลึกซึ้งเป็นหลักค่ะ

4. ทีมเวิร์คดูแลใจ: จิตแพทย์ & นักจิตวิทยาคลินิก

สองคุณหมอนี้คือทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในการดูแลใจเราค่ะ แต่มีบทบาทต่างกัน
จิตแพทย์: เป็น "หมอ" วินิจฉัยโรคและ สั่งยาได้
นักจิตวิทยาคลินิก: ไม่ใช่หมอ จบปริญญาตรี/โทด้านจิตวิทยาคลินิก สั่งยาไม่ได้ แต่เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการทำ "จิตบำบัด" หรือการพูดคุยเพื่อค้นหาต้นตอและปรับเปลี่ยนวิธีคิด (Talk Therapy) รวมถึงทำแบบประเมินทางจิตวิทยาเชิงลึก
ทำงานร่วมกันอย่างไร?: เหมือนคนแขนหักค่ะ จิตแพทย์ อาจเปรียบเหมือนหมอกระดูกที่จ่ายยาแก้ปวดและดูแลเรื่องกระดูกให้เข้าที่ (ปรับสมดุลเคมีในสมอง) ส่วน นักจิตวิทยาคลินิก ก็เหมือนนักกายภาพบำบัด ที่จะช่วยออกแบบท่าบริหารและสอนวิธีฟื้นฟูให้แขนกลับมาแข็งแรง (สอนทักษะและปรับวิธีคิดเพื่อรับมือปัญหา)

5. สำคัญมาก: นักจิตวิทยา "คลินิก" ต่างจากนักจิตวิทยาสาขาอื่นอย่างไร?

นี่คือจุดที่หลายคนอาจยังไม่ทราบค่ะ
นักจิตวิทยาสาขาอื่น: มีหลากหลายมากค่ะ เช่น จิตวิทยาองค์กร (ดูแลคนในที่ทำงาน), จิตวิทยาพัฒนาการ (ส่งเสริมพัฒนาการเด็ก), จิตวิทยาการปรึกษา (ช่วยแก้ปัญหาชีวิตทั่วไป) ซึ่งจะเน้นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ
นักจิตวิทยาคลินิก: คือผู้เชี่ยวชาญที่เรียนมาโดยตรง และที่สำคัญที่สุดคือ "มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ" ทำให้สามารถทำงานในโรงพยาบาล เพื่อประเมิน วินิจฉัย และบำบัด "ความเจ็บป่วยทางจิตใจ" (Mental Illness) ได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาชีพค่ะ และสำคัญต้องมีใบอนุญาตด้วยนะคะ
พูดง่ายๆ คือ หากคุณกำลังรับมือกับภาวะซึมเศร้า, แพนิค, ไบโพลาร์ หรือความเจ็บปวดทางใจที่รุนแรง "นักจิตวิทยาคลินิก" คือนักจิตวิทยาสายตรงที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ค่ะ โดยนักจิตวิทยาสาขาอื่นไม่สามารถทำงานบำบัดรักษาความเจ็บป่วยได้ ถ้าไม่มีใบอนุญาตตามกฏหมายค่ะ

6. ในเมื่อเราเข้าใจตัวเองได้... ทำไมการมีที่ปรึกษาถึงดีกว่า?

จริงที่สุดค่ะว่าไม่มีใครรู้จักเราดีเท่าตัวเราเอง แต่บางครั้ง...
เราเห็นแต่ทางตัน: ผู้เชี่ยวชาญเหมือนคนที่มีแผนที่ เขาจะช่วยชี้ "เส้นทางใหม่ๆ" ที่เราไม่เคยมองเห็น
พื้นที่ที่ปลอดภัยจริงๆ: เราสามารถวางความรู้สึกทุกอย่างลงได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสิน หรือทำให้ใครกังวลใจ
ประหยัดเวลาและพลังงานใจ: แทนที่จะลองผิดลองถูกจนเหนื่อยล้า การมี "ผู้นำทาง" ที่เชี่ยวชาญ จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้ตรงจุดและเร็วกว่ามากค่ะ
การดูแลใจไม่ใช่เรื่องของความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญที่จะทำความเข้าใจและรักตัวเองอย่างแท้จริงนะคะ
มีเรื่องไหนที่ยังสงสัย หรืออยากแลกเปลี่ยนกันอีกไหมคะ? คอมเมนต์คุยกันได้เลยนะ มาสร้างพื้นที่แห่งความเข้าใจนี้ไปด้วยกันค่ะ หรือหากต้องการพูดคุยสามารถโทรสอบถามข้อมูลกับ admin ของเราได้นะคะ
#สุขภาพใจ #จิตแพทย์ #นักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาคลินิก #จิตบำบัด #รักตัวเอง #คุณไม่ได้อยู่คนเดียว

“พยามต่อไป” ดีต่อใจจริงๆหรือ?_________________________“พยายามต่อไป” อาจไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป และในบางครั้ง… มันอ...
18/08/2025

“พยามต่อไป” ดีต่อใจจริงๆหรือ?
_________________________

“พยายามต่อไป” อาจไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป และในบางครั้ง… มันอาจคือการทำร้ายตัวเองอย่างช้าๆ

ในสังคมที่เชิดชูความสำเร็จและยกย่องคนที่ไม่เคยยอมแพ้ ประโยคอมตะอย่าง “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ได้กลายเป็นสูตรสำเร็จที่เราต่างท่องจำขึ้นใจ เราถูกสอนให้กัดฟันสู้ ให้ล้มแล้วลุก ให้ผลักดันตัวเองไปข้างหน้าเสมอ แต่เราอาจไม่เคยถูกสอนให้ตั้งคำถามว่า… การพยายามนั้น กำลังพาเราไปในทิศทางที่ถูกต้องจริงหรือ?

หากความพยายามอย่างไม่สิ้นสุดคือคำตอบของทุกสิ่ง โลกใบนี้คงไม่มีคนที่ลมลงกลางทาง คงไม่มีธุรกิจที่ทุ่มเททุกอย่างแล้วต้องปิดตัวลง ไม่มีความสัมพันธ์ที่พยายามประคับประคองแล้วต้องจบสิ้นด้วยน้ำตา และคงไม่มีใครที่รู้สึกว่างเปล่าเดียวดาย หรือแม้แต่จุดจบของชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่อต้องยืนอยู่บนยอดเขาแห่งความสำเร็จที่ใครๆ ต่างใฝ่ฝัน

ความจริงอันน่าเจ็บปวดก็คือ การ “พยายามต่อไป” อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ต่างอะไรกับการขับรถยนต์ลงสู่หุบเหวโดยไม่หยุดพัก ไม่ใช่แค่เสี่ยงที่จะไปไม่ถึง แต่ยังอาจหมายถึงการพังทลายลงกลางทาง หรือแม้แต่ไม่มีอะไรเหลือเลยที่ปลายทาง

ชีวิตคือการเดินทางไกล ที่ร่างกายและจิตใจคือรถยนต์คู่ใจของคุณ
__________________________________________________

ลองจินตนาการว่าชีวิตคือการเดินทางไกล จิตใจของคุณคือผู้ขับขี่ และ "ความพยายาม" คือคันเร่งที่ส่งรถให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า

การเหยียบคันเร่งเพื่อทำความเร็วเป็นสิ่งจำเป็น แต่การเหยียบคันเร่งจมมิดอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาที่หลงทาง หรือแม้แต่เมื่อต้องขับผ่านเส้นทางที่พายุฝนโหมกระหน่ำหรือถนนที่ขรุขระเป็นหลุมบ่อ มันคือการนำรถทั้งคันไปสู่ความเสี่ยงสูงสุด สัญญาณไฟเตือนบนหน้าปัดที่กะพริบถี่ๆ เปรียบเสมือนเสียงเตือนจากร่างกายและจิตใจที่ถูกละเลย ทั้งความเหนื่อยล้าสะสม

ความเครียดที่กัดกิน หรือความวิตกกังวลที่ไม่เคยจางหาย การเพิกเฉยต่อสัญญาณเหล่านี้แล้วยังฝืนเหยียบคันเร่งต่อไป มีแต่จะนำไปสู่การเสื่อสลายที่ซ่อมแซมไม่ได้อีก

วันนี้ คุณได้กลับมาสำรวจจิตใจของคุณเองแล้วหรือยัง?
__________________________________________

* หมุดหมายที่กำลังอยากไปถึง จุดหมายคือที่ที่คุณอยากไปจริงๆ หรือไม่? ปลายทางที่คุณกำลังไล่ตามอย่างสุดกำลังนั้น เป็นสิ่งที่ไปถึงแล้วมีความสุขจริงๆ หรือไม่ หรือต้องจ่ายอะไรมากเกินกว่าจะรับไหวหรือเปล่า หรือเป็นเพียงเสียงสะท้อนจากความคาดหวังของสังคม พ่อแม่ หรือคนรอบข้าง หรือแม้แต่เป็นเพียงแบบแผนของสังคมที่เรียนรู้มา โดยไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับตัวคุณเองแม้แต่น้อย?

* คุณกอดหัวใจตัวเองไว้แน่นพอหรือเปล่า? การไม่ได้เฝ้าดูหัวใจของตนเอง เหมือนขับรถโดยไม่จับพวงมาลัย บางครั้งแม้จุดหมายชัดเจนและเป็นจริง แต่ความเหนื่อนล้า หรือแม้แต่เรี่ยวแรงลดลง ตามอายุอายุก็เป็นประเด็นสำคัญ ในแต่ละวันที่ผ่านไป คุณได้ใช้เวลาเพื่อวิเคราะห์ทบทวนการตัดสินใจของตัวเองบ้างไหม ร่างกาย จิตใจ และเส้นทางชีวิตของคุณ ได้เปลี่ยนไปจากวันแรกแค่ไหน วัย และ เวลา สุขภาพ ยังเหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าคุณละเลยไม่ได้สังเกตุสิ่งเหล่านี้ และคุณอาจกำลังหลงทาง หรือแม้แต่ล้มลงกลางทาง ก็เป็นได้

* คุณกำลังเหยียบคันเร่งจนลืมเหยียบเบรกหรือเปล่า? เมื่อเจอหลุ่มบ่อแห่งความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นทางธุรกิจ ทางสุขภาพร่างกาย หรือสุขภาพจิต คุณได้หยุดพักเพื่อมองดูมันหรือไม่ บางครั้งเราเห็นหุบเหว หรือ อันตรายเบื้องหน้า เราจำเป็นต้องแตะเบรคลดความเร็วลง และแม้แต่อาจจะต้องหยุดพักเพื่อพิจารณา การครุ่นคิดกับความเสี่ยงอย่างมีแบบแผนและหาทางออกอย่างเป็นรูปธรรมไม่ใช่ความกังวลแต่คือความฉลาดทางอารมณ์ในสภาวะที่ต้องจัดการความเสี่ยง แต่การตะบี้ตะบันคิดบวก และพยามคิดบวกโดยไม่มองความจริงหรือบริบทตรงหน้าต่างหากคือหนทางแห่งการเสื่อมสลายที่ไม่อาจฟื้นคืน

ความพยายามคือศิลปะแห่งการดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาด
_____________________________________________

การเดินทางที่เปี่ยมด้วยความหมายและความสุข ไม่ได้วัดกันที่ว่าใครไปถึงได้เร็วกว่า แต่คือการขับเคลื่อนไปอย่างเข้าใจ สมดุล และสามารถชื่นชมทิวทัศน์ระหว่างทางได้

* ตั้งเป้าหมายให้เหมือนการปักหมุดหมาย ที่ยืดหยุ่นได้ตามความเป็นจริง: เป้าหมายคือเครื่องนำทาง ไม่ใช่โซ่ตรวน ก่อนออกเดินทาง ให้ถามใจตัวเองให้ชัดเจนว่า ‘หมุดหมาย’ นั้นเติมเต็มชีวิตคุณอย่างไร และจงจำไว้เสมอว่า จุดหมาย สามารถตั้งค่าใหม่ได้เสมอ หากเส้นทางเดิมไม่สามารถไปต่อได้ หรือหากหัวใจของคุณค้นพบจุดหมายใหม่ที่น่าสนใจกว่า การเปลี่ยนเป้าหมายไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือการเติบโต แต่จงมีสติทุกครั้งกับที่ตั้งเป้าหมายไว้และกำลังทำลงไป เพราะเราทุกคนล้วนมีชีวิตเพียงชีวิตเดียว

* ใช้สติเป็น ‘พวงมาลัย’ เพื่อควบคุมและนำทาง: พวงมาลัยที่มั่นคงไม่ได้หมายถึงการขับตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่คือความสามารถในการเลี้ยวหลบหลีกอุปสรรค, การเปลี่ยนเลนเพื่อหาโอกาสใหม่ๆ, และการชะลอความเร็วเมื่อเจอทางโค้งอันตราย การทบทวนความเสี่ยง และภาวะคุกคามในทุกๆ สัปดาห์หรือทุกเดือน คือการจับพวงมาลัยให้มั่น เพื่อให้แน่ใจว่ารถของคุณยังคงมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องและปลอดภัย

* เรียนรู้จังหวะของคันเร่งและเบรก: ไม่มีนักขับที่เก่งคนไหนเหยียบคันเร่งตลอดเวลา พวกเขารู้ว่าเมื่อไหร่ควรเร่ง เมื่อไหร่ควรรักษาระดับความเร็ว และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อไหร่ควรแตะเบรกเพื่อชะลอหรือหยุด จงทำให้การพักผ่อนเป็นส่วนหนึ่งของตารางเวลา ไม่ใช่สิ่งที่ทำเมื่อหมดแรงแล้วเท่านั้น สุขภาพร่างกาย และ สุขภาพจิต ของคุณคือสิ่งสำคัญที่สุด ความสำเร็จและความสุขควรค่าแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตไม่ใช่กับคนที่จากไปแล้ว การหยุดพักคือการลงทุนเพื่อให้คุณเดินทางได้ไกลขึ้นในระยะยาว และยั่งยืน

* เป็นนักฟังเสียงเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม: อย่ารอจนกระทั่งควันขึ้นหรือรถดับไปเองจึงค่อยหันมาสนใจ สัญญาณเล็กๆ น้อยๆ เช่น การนอนไม่หลับ, ความหงุดหงิดง่าย, หรือความรู้สึกไม่อยากตื่นในตอนเช้า คือเสียงกระซิบจากเครื่องยนต์ที่กำลังบอกคุณว่ามีบางอย่างผิดปกติ จงเรียนรู้ที่จะฟังเสียงเหล่านี้ และหยุดเพื่อตรวจสอบและดูแล "รถ" คือร่างกายและจิตใจของของคุณ ก่อนที่ปัญหาเล็กน้อยจะลุกลามจนเกินเยียวยา

วันนี้ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจอดรถพักในจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ปิดเครื่องยนต์ แล้วก้าวออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ มองย้อนกลับไปบนเส้นทางที่ขับผ่านมา แล้วถามตัวเองด้วยความรักว่า… การเดินทางที่ผ่านมานี้ ทำให้เราเติบโตและมีความสุข หรือกำลังกัดกินและบั่นทอนเราลงทุกวัน?

เพราะเราควรพยายามเพื่อสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด ไม่ใช่การฝืนทนเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่ว่างเปล่า ความพยามควรเต็มไปด้วยความเข้าใจชีวิตเข้าใจและเมตตาต่อตนเองอย่างที่เราเป็นและอยากเป็นจริงๆ เพื่อให้เราสามารถขับเคลื่อนชีวิตนี้ต่อไปได้อย่างมีความสุข สง่างาม และเติบโตอย่างยั่งยืนบนเส้นทางของเราเอง

#ความพยายาม #เป้าหมายชีวิต #กำลังใจ #หมดไฟ #สติ #สมดุลชีวิต

"คิดบวก" อาจไม่ใช่การใจดีกับตัวเองอย่างแท้จริง______________________________________เราต่างเคยได้ยินคำแนะนำให้ "คิดบวก" ...
17/08/2025

"คิดบวก" อาจไม่ใช่การใจดีกับตัวเองอย่างแท้จริง
______________________________________

เราต่างเคยได้ยินคำแนะนำให้ "คิดบวก" อยู่เสมอ โดยเฉพาะในยามที่ชีวิตต้องเผชิญกับความท้าทาย แต่เคยรู้สึกไหมว่าบางครั้งคำแนะนำนี้กลับสร้างแรงกดดันมากกว่ากำลังใจ? หากคุณเคยรู้สึกเช่นนั้น คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง บทความนี้อยากชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใดการ "คิดบวก" เพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป และการหันกลับมาทำความเข้าใจตนเองอย่างอ่อนโยนนั้น สำคัญต่อสุขภาวะทางใจที่ยั่งยืนของเราขนาดไหน

"การคิดบวกที่แท้จริง" เป็นอย่างไร?
____________________________

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราพูดถึงการคิดบวก เรามักนึกถึงการมองโลกในแง่ดีและมีความสุขและความหวังอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ในมุมมองทางจิตวิทยา การคิดบวกอย่างมีวุฒิภาวะ (Mature Positive Thinking) นั้นลึกซึ้งกว่า

การคิดบวกอย่างมีวุฒิภาวะ คือการยอมรับความจริงตามที่มันเป็น ทั้งด้านที่สวยงามและด้านที่เจ็บปวด แล้วเลือกที่จะมุ่งมั่นหาทางแก้ไขและเติบโตจากประสบการณ์นั้น

ในทางกลับกัน การคิดบวกแบบเพ้อฝัน (Toxic Positivity) คือการพยายามกดทับหรือปฏิเสธความรู้สึกที่ยากลำบาก เช่น ความผิดหวัง หรือความเศร้า การบังคับให้ตัวเองหรือคนอื่นต้อง "รู้สึกดี" ตลอดเวลา ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่อาจทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวจากความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง

การคิดบวกช่วยแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องจริงหรือ?
__________________________________

เป็นคำถามที่น่าคิด และคำตอบอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวังเสมอไป ในความเป็นจริง ชีวิตเต็มไปด้วยความซับซ้อน การบอกตัวเองให้ "คิดบวก" เพียงอย่างเดียว ในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่หนักหนา อาจเปรียบเสมือนการหลับตาข้างหนึ่งต่อความจริง และอาจทำให้เราละเลยการวางแผนรับมือกับปัญหาอย่างจริงจัง จนนำไปสู่ความรู้สึกผิดหวังในตนเองเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่หวัง และการปิดตาปิดหัวใจตนเองต่อความเป็นจริงตรงหน้า อาจนำมาซึ่งความเสียหายและอันตรายทางจิตใจมากมายก็เป็นได้

โอบกอด "ความคิดลบ" ในฐานะผู้ส่งสาร
_______________________________

บ่อยครั้งที่เรามองว่าความคิดลบเป็นสิ่งไม่ดี เป็นศัตรูที่ต้องกำจัดออกไป แต่หากเราลองหยุดและรับฟังเสียงเหล่านั้นอย่างอ่อนโยน เราอาจค้นพบว่ามันไม่ใช่ศัตรูเลย แต่เป็น "สัญญาณ" ที่จิตใจส่งมาบอกอะไรบางอย่างกับเรา ความกังวลอาจกำลังบอกให้เราเตรียมพร้อม ความเศร้าอาจสะท้อนถึงสิ่งที่มีความหมายกับเรา การทำความเข้าใจที่มาของความรู้สึกเหล่านี้ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญยิ่งกว่าการพยายามกลบเสียงนั้นทิ้งไป

การรู้จักและยอมรับตัวเองในทุกมิติ คือหัวใจของการมองโลกตามความเป็นจริง และนำไปสู่การปฏิบัติต่อตนเองด้วยความเมตตา

เมื่อไหร่ "การคิดบวก" อาจเป็นปัญหา
_____________________________

สัญญาณแรกของความคิดบวกที่เป็นพิษ คือการพยายาม "คิดบวก" โดยไม่มองบริบทหรือความจริง รอบๆ ตัว เมื่อไหร่ก็ตามการคิดบวกนั้นทำให้คุณต้องอยู่ห่างจากความเป็นจริงมากขึ้นนั่นแปลว่าการคิดบวกแบบนั้นน่าจะไม่ใช่ความคิดที่ดี

ยิ่งคิดบวกยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด เหนื่อยล้า หรือเหมือนกำลังฝืนหรือบังคับความรู้สึกของตัวเองให้คิดบวก โดยละเลยสำรวจอารมณ์ลบหรือที่มาความรู้สึก ยิ่งทำให้เรารักตนเองน้อยลง หรือ รู้จักตนเองน้อยลง ระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต และ ความสัมพันธ์ได้

คิดบวกอย่างล่องลอยและมีความสุขโดยไม่มองหนทางแก้ไข การคิดว่า "ไม่มีอะไรหรอก" หรือ "มันจะไม่เกิดขึ้น" เมื่อปัญหา ความเสี่ยงหรือภัยคุกคามอยู่ตรงหน้า อาจเป็นผลร้ายโดยตรงต่อสุขภาพจิต โดยเฉพาะกับ ปัญหา หรือ ความเสี่ยง ที่เห็นได้ชัดเจน การคิดบวกเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างมาก

ค้นพบพื้นที่ปลอดภัยในการเป็นตัวของตัวเอง
__________________________________

หากคุณกำลังมองหาพื้นที่ปลอดภัยเพื่อทำความเข้าใจตนเองให้ลึกซึ้งขึ้น และปราศจากการคิดบวกเป็นพิษ ที่เป็นผลเสียต่อสภาพจิตใจ เรียนรู้วิธีที่จะโอบกอดทุกอารมณ์ความรู้สึก และสร้าง "ความเมตตาต่อตนเอง" (Self-compassion) อย่างแท้จริง การปรึกษาจิตแพทย์และ นักจิตวิทยาอาจเป็นก้าวแรกที่เปี่ยมด้วยความหมาย

จิตแพทย์และนักจิตวิยาทำอะไร
________________________

จิตแพทย์และนักจิตวิทยา จะเป็น "กระจกเงา" ที่จะสะท้อนให้คุณมองเห็นและเข้าใจตัวตนของคุณอย่างที่เป็น ในพื้นที่ที่อบอุ่นและปราศจากการตัดสิน

สำรวจรากเหง้าของความคิดและความรู้สึก เพื่อให้คุณเข้าใจที่มาของสภาวะอารมณ์ต่างๆ

เรียนรู้ที่จะยอมรับและจัดการกับอารมณ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ
จะไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่จะเป็นการพัฒนาทักษะในการเผชิญปัญหาอย่างสร้างสรรค์และเป็นจริง และเหมาะสมที่สุดกับปัญหาของคนแต่ละคน

ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตนเอง นำไปสู่การเติบโตภายในและเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง

จิตใจที่มั่นคง เติบโตงอกงามนั้น ไม่ได้เกิดจากการปฏิเสธความทุกข์ แต่เกิดจากการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเข้าใจ หากคุณรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มต้นการเดินทางที่เปี่ยมด้วยความหมายนี้ โปรดจำไว้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะเป็นเพื่อนร่วมทางและมอบการสนับสนุนให้คุณเสมอ ให้คุณโอบกอดหัวใจตัวเองอย่างเมตตา และรักและเข้าใจตัวเองอย่างที่คุณเป็นจริงๆ

คนเราห้ามไม่ให้โกรธได้จริงๆ หรือ? :ถอดรหัสอารมณ์เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีกว่า________________________________คำถามที่ว่า “เ...
12/08/2025

คนเราห้ามไม่ให้โกรธได้จริงๆ หรือ?
:ถอดรหัสอารมณ์เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีกว่า
________________________________

คำถามที่ว่า “เราห้ามตัวเองไม่ให้โกรธได้ไหม?” อาจเป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนเคยถามตัวเอง โดยเฉพาะในวันที่อารมณ์พลุ่งพล่านจนเผลอทำร้ายความรู้สึกของคนรอบข้างไป

คำตอบสั้นๆ คือ “ไม่ได้” แต่อย่าเพิ่งหมดหวังครับ

ความโกรธเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์เหมือนกับความสุขหรือความเศร้า มันคือสัญญาณเตือนจากธรรมชาติที่บอกเราว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีบางสิ่งกำลังคุกคามเรา หรือมีเส้นบางอย่างที่ถูกล้ำเข้ามา อารมณ์โกรธเปรียบเสมือน "พายุ" เราไม่สามารถสั่งให้พายุหยุดก่อตัวได้ แต่เราเรียนรู้ที่จะเป็นนักเดินเรือที่ชำนาญ สามารถอ่านทิศทางลม ตั้งใบเรือ และประคองเรือของเราให้ผ่านพายุไปได้โดยไม่ล่มสลาย

ดังนั้น เป้าหมายที่แท้จริงจึงไม่ใช่การ "ห้าม" ไม่ให้โกรธ แต่คือการ "จัดการ" อารมณ์โกรธอย่างเข้าใจ เพื่อไม่ให้พายุลูกนี้มาทำลายบ้านที่เรียกว่า "ความสัมพันธ์" ของเรา

การเดินทางเพื่อทำความเข้าใจและจัดการอารมณ์โกรธ แบ่งออกเป็นขั้นตอนต่างๆ ง่ายๆดังนี้ครับ

ขั้นที่ 1: หน้ากากของความโกรธ
: นั่นใช่ 'ความโกรธ' จริงๆ หรือ?
=====================

หลายครั้งเหลือเกินที่ความโกรธเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ แต่ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำนั้นคืออารมณ์ที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ ความโกรธนั้นเป็นหน้ากากที่สวมใส่ง่ายดายและมิดชิด เพื่อปกปิดความรู้สึกที่เปราะบางกว่า เช่น:

ความวิตกกังวล:
____________
การที่คุณตะคอกใส่คนรักที่กลับบ้านดึก อาจไม่ได้มาจากความโกรธที่เขาผิดเวลา แต่อาจมาจาก "ความกังวล" ว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับเขาระหว่างทาง ทว่าความกลัวหรือความกังวลเหล่านี้เกินควบคุมได้

ความเสียใจ/น้อยใจ:
_______________
การที่คุณเงียบขรึมใส่เพื่อนที่ลืมนัด อาจไม่ได้โกรธจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วคุณกำลัง "น้อยใจ" และ "เสียใจ" ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ และอาจจะอายเกินกว่าจะขอความสนใจหรือเวลากับเพื่อน

ความกลัว:
________
การที่คุณหงุดหงิดใส่ลูกที่กำลังจะไปเข้าค่าย อาจเป็นเพราะคุณ "กลัว" ว่าเขาจะดูแลตัวเองไม่ได้ กลัวตัวเองจะร้องไห้ออกมาเมื่อต้องแยกจากลูก
ก่อนจะจัดการความโกรธ ลองหยุดถามตัวเองด้วยความจริงใจก่อนว่า “ ความโกรธนี้ มีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า? เรากำลังเสียใจ กังวล หรือกลัวอยู่หรือเปล่า?” การยอมรับและเรียกชื่ออารมณ์ที่แท้จริงได้ คือก้าวแรกที่ทรงพลังที่สุดในการควบคุมทุกอารมณ์รวมถึงความโกรธ

ขั้นที่ 2: การจัดการอารมณ์โกรธฉับพลัน
=========================

เมื่อรู้ตัวว่าความโกรธกำลังก่อตัวขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือการดึงสติกลับมาก่อนที่ทุกอย่างจะระเบิดออกไป ขั้นตอนนี้คือการบริหารจัดการตนเองในภาวะฉุกเฉิน

รับรู้สัญญาณร่างกาย:
________________
สังเกตตัวเอง หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นไหม? มือเริ่มกำแน่นหรือยัง? รู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าหรือไม่? การรู้ทันสัญญาณเหล่านี้คือการเตือนภัยด่านแรกที่จะทำให้เราจัดการสถานการณืก่อนจะเกิดเรื่องรุนแรง

หยุดชั่วขณะ :
___________
หากรับรู้ถึงอารมณ์ที่มีผลกระทบต่อร่างกายแล้ว ลองหยุดนิ่งๆ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องทำอะไร แค่ 3 วินาทีก็มีค่ามหาศาล หรือแม้แต่การถอยออกจากสถานการณ์ อาจช่วยสร้างช่องว่างของเวลาเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาได้ ถ้าสถานการณ์ตรงหน้าคือเชื้อไฟ ให้เดินออกมาจากตรงนั้นก่อน ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า หรือเดินไปริมหน้าต่างเพื่อเปลี่ยนจุดสนใจ

หายใจลึกๆ:
_________
หายใจเข้าทางจมูกช้าๆ นับ 1-4 กลั้นไว้ นับ 1-2 แล้วผ่อนลมหายใจออกทางปากยาวๆ นับ 1-6 ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง ออกซิเจนจะช่วยให้สมองส่วนเหตุผลกลับมาทำงานได้ดีขึ้น แม้เพียง 1 นาทีก็ตาม

ขั้นที่ 3: ในใจกลางความโกรธ
=====================
หลังจากที่เราสำรวจอารมณ์เบื้องต้นแล้ว หากพบว่าความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความเศร้าหรือความกังวลที่ปลอมตัวมา แต่เป็น "ความโกรธที่แท้จริง" ที่มีลักษณะของความอาฆาตแค้น ความรู้สึกนี้มักจะแตกต่างออกไป

มันคือความรู้สึกร้อนรุ่มที่เกิดจากการถูกล่วงละเมิดอย่างรุนแรง ถูกหักหลัง หรือถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม ความโกรธประเภทนี้มักไม่หายไปง่ายๆ และบ่อยครั้งมาพร้อมกับความคิดที่อยากจะแก้แค้นหรือเห็นอีกฝ่ายได้รับผลกรรม ความรู้สึกนี้จะชัดเจนและพุ่งเป้าไปที่บุคคลหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ

________________________

การพูดเสียง “ต่ำ” และจังหวะที่ “ช้า” ลง การพูดเสียงต่ำในจังหวะที่ช้าและมีการเว้นวรรคเมื่อสิ้นสุดประโยค ช่วยให้การแสดงออกทรงพลัง และอาจะช่วยควบคุมน้ำเสียงได้ง่ายกว่าเดิม แม้จะต้องสื่อสารด้วยอารมณ์โกรธก็ยังคงสงบนิ่งได้ และ เยือกเย็นได้

_________________________

ข้อสังเกตสำคัญ: หากคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า "ไม่ใช่แบบนี้" ความรู้สึกของคุณไม่ได้รุนแรงหรือมุ่งร้ายขนาดนั้น ให้ลองย้อนกลับไปอ่านหัวข้อแรกอีกครั้ง เพราะเป็นไปได้สูงว่าอารมณ์ที่คุณกำลังเผชิญเป็นเพียงหน้ากากที่ซ่อนความรู้สึกอื่นไว้

ขั้นที่ 4: ร่างกายก็มีส่วน:
================

เหตุผลที่ทำให้เราโกรธง่ายกว่าที่คิด

บางครั้งการเป็นคนขี้หงุดหงิด โกรธง่าย อาจไม่ได้มาจากสภาพจิตใจเพียงอย่างเดียว แต่ร่างกายของเราก็ส่งสัญญาณเตือนได้เช่นกัน สาเหตุทางกายภาพที่ทำให้เรากลายเป็นคนจุดเดือดต่ำ ได้แก่:

การพักผ่อนไม่เพียงพอ:
การอดนอนทำให้สมองส่วนควบคุมอารมณ์ (Prefrontal Cortex) ทำงานได้แย่ลง

ความหิว: ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือที่เรียกกันว่า "โมโหหิว" (Hangry) เป็นเรื่องจริง

ความไม่สมดุลของฮอร์โมน: เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน (PMS) วัยทอง หรือปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์

อาการเจ็บปวดเรื้อรัง: ความเจ็บปวดที่ต่อเนื่องทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่และไวต่อสิ่งกระตุ้น

ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด หรือ สุราและสารเสพติดก็ทำให้ความโกรธรุนแรงมากขึ้นได้

การเดินทางระยะยาวสู่การเปลี่ยนแปลง
=========================

เมื่อเราจัดการกับอารมณ์โกรธฉับพลันได้แล้ว การรับมือในระยะยาวคือการดูแลหัวใจใจไม่ให้ต้องร้อนรนทุกข์ทรมานจนพร้อมจะติดไฟได้ทุกเมื่อ มันคือการเดินทางที่ต้องอาศัยความอดทน ความเข้าใจ และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

1. ยอมรับและทำความเข้าใจ "บาดแผล"
เบื้องหลังความโกรธแค้น
____________________

ความอาฆาตแค้นมักมีรากมาจาก "บาดแผลทางใจ" ที่ลึกซึ้ง ลองหาเวลาเงียบๆ ถามตัวเองว่า "เหตุการณ์นั้นทำให้ฉันรู้สึกอย่างไรจริงๆ?" (เจ็บปวด, ไร้ค่า, อับอาย?) และ "การแบกความโกรธนี้ไว้ให้อะไรกับฉัน และมันพรากอะไรไปจากชีวิตฉัน?” “เหตุการณืนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่” “ฉันรู้สึกกับเหตุการณ์ตรงหน้าจริง หรือ ฉันรู้สึกถึงเหตุการณ์ในอดีต" ความแค้นเปรียบเสมือนการที่เราดื่มยาพิษแล้วหวังให้คนอื่นตาย แต่คนที่เจ็บปวดคือตัวเราเอง

2.ย้อนรอยสู่การจัดการอารมณ์
_______________________

เมื่อารมณ์สงบลงขอให้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของตัวเองที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ และก้าวต่อไปสู่การเป็น "ผู้เรียนรู้" โดยถามว่า “ฉันเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้เพื่อปกป้องตัวเองในอนาคต?" หลายครั้งเราเพลี่ยงพล้ำในสงครามอารมณ์ การย้อนกลับไปในเหตุการณ์หลังจิตใจสงบแล้ว และวางแผนเพื่อจัดการความรู้สึก หรือแม้แต่การสื่อสารความโกรธของตัวเอง หรือแม้แต่การรับมือคู่กรณีอย่างวางแผนที่ดีมาก่อน ไม่เพียงทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้น แต่ยังทำให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นอีกด้วย และทำให้ลดความรู้สึกผิดหลังอารมณ์โมโหได้เป็นอย่างดี

3. เรียนรู้ที่จะสื่อสารความโกรธ
_________________________

นี่อาจเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด และเป็น ศิลปะขั้นสูงสุดของการจัดการอารมณ์ เพราะการจัดการอารมณ์ทั้งหมดที่ทำมา จะไร้ความหมายหากเราไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกของเราออกไปได้อย่างสร้างสรรค์ การเก็บความโกรธไว้จะกลายเป็นความขุ่นเคือง ส่วนการระเบิดความโกรธออกไปก็จะทำลายความสัมพันธ์ ทางสายกลางคือการสื่อสารอย่างมีเหตุผลและไม่กล่าวโทษ
___________________________

หัวใจสำคัญคือการใช้ "I-Statement" (ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย 'ฉัน') แทนที่จะใช้ "You-Statement" (ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย 'คุณ' ซึ่งฟังเหมือนการกล่าวหา)

___________________________

สูตรการสื่อสาร: "เมื่อ [บรรยายพฤติกรรมที่เป็นจริง โดยไม่ตัดสิน] ฉันรู้สึก [บอกอารมณ์ของตัวเอง] เพราะ [อธิบายผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคุณ] และฉันต้องการ/อยากให้ [เสนอทางออกหรือความต้องการอย่างสร้างสรรค์]"
ตัวอย่าง:

แบบกล่าวโทษ (ที่ควรเลี่ยง): “คุณมันเป็นสามีห่วยๆ ไม่เคยสนใจฉันเลย ไปไหนมาไหนไม่บอกกลับบ้านดึกตลอด!"

แบบสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ (ที่ควรใช้): "เวลาคุณกลับบ้านดึกโดยบอกฉันก่อน [พฤติกรรม], ฉันเป็นห่วงคุณมากนะคะ [อารมณ์] ฉันกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับคุณ [ผลกระทบ]. ครั้งหน้าคุณช่วยส่งข้อความมาบอกหน่อยนะคะว่ากำลังจะกลับช้าหรือไปที่ไหน [เสนอทางออก]"

การสื่อสารด้วยวิธีนี้ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าเราจะได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไป แต่มันจะช่วยรักษาความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย และเปลี่ยนบทสนทนาจากการทะเลาะวิวาทให้เป็นการร่วมมือกันแก้ปัญหา ซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาสัมพันธภาพที่ดีในระยะยาว

4. ฝึกฝน "การให้อภัย"
_________________

หลังจากสื่อสารและได้จัดการทุกอย่างแล้ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเกินขึ้น และความโกรธนั้นยั่งคงอยู่แม้แยกทางหรือเลิกรากันไป การให้อภัยอาจเป็นทางออกหนึ่ง การให้อภัยนั้น ไม่ได้หมายถึง การลืม, การคืนดี, หรือการยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถูก แต่คือ การปลดปล่อยตัวเองออกจากโซ่ตรวนของความแค้น เพื่อไม่ให้อดีตมาทำลายความสุขในปัจจุบันของเรา การให้อภัยก็เหมือนการปล่อยลูกโป่งที่บรรจุความแค้นไว้ในมือ เมื่อเราปล่อยมันไป มือของเราก็จะเป็นอิสระที่จะไปคว้าจับสิ่งดีๆ ในชีวิตได้อีกครั้ง

และเมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
========================

การเดินทางนี้อาจยาวไกลและมีอุปสรรค การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ หรือนักจิตบำบัด ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ แต่คือ "ความกล้าหาญและความรักตัวเอง" คุณควรพิจารณาขอความช่วยเหลืออย่างจริงจังเมื่อ:

ความโกรธและความแค้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์ และการงาน

คุณรู้สึก "ติดอยู่" ไม่สามารถก้าวข้ามได้ด้วยตัวเอง

มีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น

ต้องการพื้นที่ปลอดภัยในการสำรวจบาดแผลโดยปราศจากการตัดสิน
การไปพบผู้เชี่ยวชาญคือการที่เรา "รักตัวเองมากพอที่จะเลือกใช้เครื่องมือที่ดีที่สุด" เพื่อซ่อมแซมและสร้างชีวิตใหม่ที่มีความสุขและสงบสุขอย่างแท้จริง

บทสรุป: โกรธได้ แต่ไม่จำเป็นต้องทำร้ายกัน
_________________________________

สำหรับทุกคนที่กำลังต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเอง และปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ความรู้สึกผิด หรือการกล่าวโทษตัวเองหลังจากการระเบิดอารมณ์ คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าลึกๆ แล้วคุณเป็นคนจิตใจดีและอยากเปลี่ยนแปลงครับ

อารมณ์โกรธก็เหมือน "ไฟ" มันสามารถให้ความอบอุ่น เป็นแสงสว่างนำทางให้เราลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง หรือเป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีได้ แต่หากเราควบคุมมันไม่ได้ ไฟกองเดียวกันนี้ก็สามารถแผดเผาทำลายทุกสิ่งรอบตัวเรา โดยเฉพาะ "ความสัมพันธ์" ที่เราใช้เวลาสร้างมาทั้งชีวิต

การที่คุณกำลังพยายามทำความเข้าใจและจัดการอารมณ์โกรธของตัวเอง คือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่คุณกำลังมอบให้กับคนที่คุณรักและตัวคุณเอง มันคือการบอกพวกเขาว่า "เธอมีความสำคัญกับฉันมากพอที่ฉันจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง"

จงภูมิใจในความตั้งใจนี้ และค่อยๆ ก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ควบคุมไฟ ไม่ใช่ทาสของเปลวเพลิง แล้ววันหนึ่ง คุณจะพบว่าตัวเองสามารถโกรธได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำร้ายใครอีกต่อไปครับ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านในการเดินทางสู่ความสัมพันธ์ที่ดีครับ

วันแม่ ที่ไม่มี "แม่" อีกแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่วันแม่เป็นวันที่ทุกคนรอคอยและจะได้กลับไปพบหน้ากันอีกครั้ง แต่สำหรับหลายๆคนอ...
10/08/2025

วันแม่ ที่ไม่มี "แม่" อีกแล้ว

สำหรับคนส่วนใหญ่วันแม่เป็นวันที่ทุกคนรอคอยและจะได้กลับไปพบหน้ากันอีกครั้ง แต่สำหรับหลายๆคนอาจไม่มีโอกาศได้คุยได้พบ “แม่” อีกแล้ว
การใช้ชีวิตหรือเดินทางไปทุกที่หรือแม้แต่ร้านอาหารหรือ Event ที่เกี่ยวกับวันแม่ กลับทำให้ชีวิตยากกว่าที่เคย อาหารโปรดที่แม่เคยทำ.. บทสนทนา เสียงหัวเราะ หรือเสียงบ่นว่าด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ขาดหายไป มีเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่อาจโทรหา ได้อีกแล้ว ช่วงเวลาแห่งอ้อมกอด และความอบอุ่นที่อยู่ในทุกขณะของความคิดถึง กลับกลายเป็นอารมณ์ที่ไม่สามารถจัดการได้

การจัดการกับอารมณ์ความรู้สึก

การปล่อยให้ความรู้สึกได้ทำงานอย่างเป็นธรรมชาติคือสิ่งสำคัญ และในขณะเดียวกัน เราสามารถประคองและสร้างภูมิคุ้มกันให้หัวใจตัวเองอย่างอ่อนโยนได้ด้วยแนวทางเหล่านี้ครับ

ให้เกียรติทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น: วันนี้คุณอาจคิดถึงจนอยากจะร้องไห้, อาจจะรู้สึกโกรธ, หรืออาจจะรู้สึกว่างเปล่าจนชาชิน...ไม่ว่าความรู้สึกไหนจะเกิดขึ้น ขอให้ยอมรับและให้เกียรติมัน อย่าตัดสินตัวเองที่รู้สึกเช่นนั้น ความรู้สึกเหล่านี้คือภาษาของหัวใจที่กำลังบอกเล่าถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่คุณมี ลองคุยกับตัวเองว่าเหตุการณ์อะไรที่จดจำ และเป็นที่มาของความรู้สึก การรับรู้และคัดแยกความรู้สึกให้ดี เป็นเรื่องสำคัญมาก เราควรคิดถึงคนที่รักได้ โดยไม่ต้องรู้สึกผิด หรือโศฏเศร้า และทุกความรู้สึกผิดควรถูกจัดการ เพื่อให้เหลือแต่คุณค่าและการระลึกถึงทุกช่วงเวลาที่มีความหมาย

เก็บรวมและทบทวนความทรงจำอันล้ำค่า ในใจกลางของความเศร้า มักมีกล่องสมบัติแห่งความทรงจำซ่อนอยู่ ลองใช้เวลาในวันนี้ค่อยๆ เปิดมันออกทีละนิด ไม่ใช่เพื่อตอกย้ำความสูญเสีย แต่เพื่อ "เก็บรวม" ความรักและความอบอุ่นกลับมาสู่หัวใจอีกครั้ง ลองหลับตาแล้วนึกถึงเรื่องตลกที่ท่านเคยเล่า, สัมผัสของมือที่เคยลูบหัว, หรือคำชมที่ทำให้เราใจฟูในวันนั้น... การอนุญาตให้ตัวเองได้กลับไปรู้สึกถึงความสุข ณ เสี้ยววินาทีเหล่านั้นอีกครั้ง คือการยืนยันว่าความรักของท่านยังคงเป็นพลังงานบวกที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราอยู่เสมอ

ฝึกระลึกถึงอย่างสม่ำเสมอ: สร้างภูมิคุ้มกันให้หัวใจ: ความเศร้ามักรุนแรงในวันพิเศษ เพราะเป็นวันที่เราถูกกระตุ้นให้คิดถึงท่านอย่างฉับพลัน เราสามารถทำให้ความรู้สึกนี้อ่อนโยนลงได้ ด้วยการ "ฝึกระลึกถึงท่านในทุกๆ วัน" ไม่จำเป็นต้องเป็นพิธีการใหญ่โตครับ อาจเป็นเพียงการนึกถึงรอยยิ้มของท่านตอนจิบกาแฟยามเช้า, เปิดเพลงที่ท่านชอบฟังระหว่างวัน, หรือมองรูปถ่ายแล้วกระซิบว่า "ฝันดี" ก่อนนอน... การทำเช่นนี้เป็นประจำ จะช่วยให้ความทรงจำของท่านกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่อบอุ่น แทนที่จะเป็นคลื่นความเศร้าที่ซัดเข้ามาอย่างรุนแรง ทำให้เราคุ้นเคยและจัดการความรู้สึกได้ง่ายขึ้นเมื่อวันสำคัญเวียนมาถึง

การจัดการกับความรู้สึกผิด และ ความอยากแก้ไข : ลองแยกแยะ ความรู้สึกผิด ออกจากการพยามเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง หรือ การพยายามเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง โดยทั่วไปในสถานการณ์คับขัน ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เราไม่สามารถจัดการทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบได้ หรือแม้แต่เราไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งที่ทำลงไปได้ ทว่าเราสามารถเลือกใช้มันเป็นบทเรียนให้หัวใจเติบโต แทนที่จะปล่อยให้ความรู้สึกผิดกัดกิน เราอาจค่อยๆ ให้อภัยตัวเอง มองเห็นคุณค่าของสิ่งดีที่ยังทำได้ในวันนี้ และใช้พลังจากบาดแผลนั้น เป็นแรงขับเคลื่อนสร้างสิ่งงดงามที่มีความหมายต่อไป

เชื่อมต่อกับคนที่เข้าใจ และเมตตาต่อตัวเอง: แบ่งปันเรื่องราวกับคนที่เข้าใจความสูญเสีย คนที่เข้าใจจะรู้สึกถึงความล้ำค่าของความสัมพันธ์ การสูญเสีย และการเก็บมันไว้ในใจ การแบ่งปันไม่เพียงสร้างความสบายใจ แต่ยังสร้างสังคมแห่งการเยียวยากันและกัน ได้สังคมแต่เติบโตอย่างลึกซึ้งจากการแบ่งปันความรู้สึก

การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างเหมาะสม อย่าลืมที่จะดูแลตัวเองให้ดีในวันที่ต้องวนอยู่กับความคิด ควรหลีกเลี่ยงจากสุราและยาเสพติด รวมถึงปกป้องใจตัวเองจากสิ่งกระตุ้น เช่น การพักจากโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่ Event วันแม่ ถ้าไม่สามารถร่วมงานไหว การยอมรับ และหลีกเลี่ยงเมื่อตำเป็น คือความเข้มแข็งอย่างหนึ่ง

เมื่อใดที่ความรู้สึกเกินกว่าจะจัดการคนเดียว

การจัดการความโศกเศร้า ความโกรธ หรือความรู้สึกผิด จากการจากลา คือกระบวนการเยียวยาที่ต้องใช้เวลามาก แต่หากระหว่างทางนั้น ความรู้สึกต่างๆรุนแรงต่อเนื่องจนบั่นทอนพลังชีวิต อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังแบกรับมันไว้หนักเกินไป และต้องการผู้ช่วย

หากคุณรู้สึกว่าไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้, แยกตัวจากสังคมอย่างสิ้นเชิง, จมอยู่กับความรู้สึกหรือสิ้นหวังในการจัดการ หรือแม้แต่มีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่...อาการเหล่านี้ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็น สัญญาณว่าหัวใจของคุณกำลังต้องการความช่วยเหลือ

ให้เราได้ดูแลคุณ

การมาพบจิตแพทย์ไม่ใช่การยอมแพ้ จิตพแพทย์และนักบำบัด มีหน้าที่รับฟัง และสรุปสะท้อนเรื่องราวต่างให้คุณ ได้เข้าใจ และมองเห็นกระบวนการความคิดและอารมณ์ของตนเองอย่างลึกซึ้ง ให้คุณได้รักตัวเองแบบที่เป็นจริงๆ ไม่ใช้การปัดผ่านความต้องการ รวมทั้งการจัดการอารมณ์และรู้สึกเป็นก้าวสำคัญมากๆ ของการเติบโตทางจิตใจ การเฝ้ามองความคิดและจิตใจของตนคือการตัดสินใจอย่างกล้าหาญว่าจะไม่ปล่อยให้ความคิดหรือความโศกเศร้าถึงนี้กัดกินชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณโดยไร้การควบคุม

การบำบัดรักษาคือการอนุญาตให้ใครสักคน เข้ามาช่วยคุณรับฟัง เก็บเกี่ยวความหนักหนานั้นไว้ชั่วคราว เพื่อที่คุณจะได้มีแรงหายใจและเรียนรู้ที่จะนำความรักและความทรงจำเกี่ยวกับคุณแม่มาเป็นพลังในการก้าวเดินต่อไปได้อย่างงดงามและมั่นคง

หากคุณรู้สึกว่าความคิดถึงในวันนี้มันหนักเหลือเกิน โปรดรู้ไว้ว่าที่นี่คือพื้นที่ปลอดภัยเสมอสำหรับทุกความรู้สึกและทุกหยดน้ำตาของคุณ เราพร้อมที่จะรับฟังและเดินเคียงข้างคุณในเส้นทางนี้

ความคิดถึงไม่ใช่ความอ่อนแอ หรือเรื่องผิดปรกติใดๆ การสูญเสียคนที่เรารักที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง "ก้าวข้าม" ให้ได้ในเร็ววัน แต่เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่จะ "โอบกอด" และ "ใช้ชีวิตไปกับมัน" อย่างเข้าใจ

ความรักไม่ได้หายไปไหน หากแต่เปลี่ยนรูปไปเป็น "ความทรงจำ" ที่จะคอยโอบกอดเรา และแปรเปลี่ยนเป็น "ความแข็งแกร่ง" ที่ซ่อนอยู่ และ “ความเข้าใจโลก”ในตัวเราโดยไม่รู้ตัว และเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่ภาพความทรงจำอันแสนสุข จะมาพร้อมกับความจริงอันเจ็บปวดที่ว่า…มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่จะอยู่ในทุกความทรงจำของเราตลอดไป

#เรียนรู้อยู่กับน้ำตา #เก็บรวมความทรงจำ #การจัดการความโศกเศร้า #แด่ใจที่คิดถึงแม่ #วันแม่ #สูญเสีย #สุขภาพจิต #พื้นที่ปลอดภัย #ปรึกษาจิตแพทย์

ที่อยู่

89/3 ถนน เลี่ยงเมืองปาเกร็ด ต. บางตลาด อ. ปากเกร็ด จ. นนทบุรี 11120
Nonthaburi
11120

เวลาทำการ

จันทร์ 14:00 - 20:00
อังคาร 14:00 - 20:00
พุธ 14:00 - 20:00
พฤหัสบดี 14:00 - 20:00
เสาร์ 10:00 - 16:00
อาทิตย์ 10:00 - 16:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Chanin Clinic :Specialized mental health clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Chanin Clinic :Specialized mental health clinic:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท

ชนินทร์คลินิก คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางจิตเวช

Private Specialized Psychiatric clinic -คลินิกเวขกรรมเฉพาะทางจิตเวช Tel:092-248-2462 Line : @chaninclinic