The best medical Lab Co.,Ltd.

The best medical Lab Co.,Ltd. รับตรวจสุขภาพรายบุคคล บริษัท โรงงาน ติดต่อสอบถามได้เลยนะคะ

มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ชื่อว่าเป็นมะเร็งที่พบบ่อยมาก ยิ่งอายุมากยิ่งเสี่ยง จุดที่คนไม่ค่อยทราบคือ เป็นมะเร็งอันดับต้นๆ ที่ได้...
24/09/2025

มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ชื่อว่าเป็นมะเร็งที่พบบ่อยมาก ยิ่งอายุมากยิ่งเสี่ยง จุดที่คนไม่ค่อยทราบคือ เป็นมะเร็งอันดับต้นๆ ที่ได้รับการป้องกันมากสุด หากออกกำลังกาย ซึ่งตัวเลขที่ป้องกันสูงเกือบถึง 40% เลย (โคตรเยอะ)

ตัวเลขนี้ไม่ได้มาด้วยความบังเอิญ
แต่ออกกำลังกายแก้แทบทุกจุดของกระบวนการเกิดเลยค่ะ


ลำไส้ใหญ่เป็นหนึ่งในอวัยวะที่น่าสงสารนะคะ เพราะ
▪️ ต้องเผชิญหน้ากับกากอาหารที่กินมาตลอด มีอะไรก็โดนก่อน
▪️ ต้องผสานการทำงานร่วมกับแบคทีเรียในลำไส้ หากแบคทีเรียแปรพักตร์ก็โดนก่อน ซึ่งมักจะพบในกลุ่มคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย กับดื่มสุราเรื้อรัง
▪️ หากมีภาวะอ้วน เนื้อเยื่อไขมันรอบๆ ลำไส้ใหญ่ก็แผ่ขยายก่อน ผลิตสารก่ออักเสบ ‘แผดเผาลำไส้ใหญ่’ แบบจ่อๆ
▪️ หากมีภาวะดื้ออินซูลิน อินซูลินที่หลั่งมากขึ้น ก็กระตุ้นให้เซลล์ที่ผิดปกติแบ่งตัวไวขึ้นก่อน

เจอแบบนี้วนไปวนมาตลอดชีวิตของเรา สาย DNA ของเซลล์ผิวลำไส้สะสมความเสียหายเรื่อยมา แต่ข่าวดีคือ จริงๆ เซลล์ลำไส้ใหญ่มีระบบป้องกันมะเร็งเยอะค่ะ ทำให้การจะเกิดมะเร็งขึ้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาสะสมความเสียหายระดับหนึ่ง


มักเริ่มต้นด้วยรหัสชื่อ APC เสียไป เซลล์กลุ่มนั้นจะเริ่มสูญเสียการควบคุมการแบ่งตัว แต่ไม่รุนแรงนัก แบ่งตัวเยอะขึ้น จนเป็น ‘ติ่งเนื้อ’ (Polyp) ซึ่งสิ่งนี้ สามารถส่องกล้องเห็นค่ะ จึงเป็นที่มาว่าอายุ 45-50 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองมะเร็ง

แต่ถ้าความเสียหายยังเกิดต่อไป แล้วเริ่มโดนรหัสอื่นๆ เช่น KRAS เสียหาย จนมันเปิดใช้เองได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งให้แบ่งเซลล์ ติ่งเนื้อนั้นก็ยิ่งแบ่งตัวมากๆ จนเริ่มมีลักษณะมะเร็งแล้ว

หลังจากรหัส DCC และ p53 เริ่มเสียหายตาม เซลล์นั้นก็จะเป็นต้นแบบการเป็นมะเร็งโดยสมบูรณ์ คือปิดผนึกกลไกการทำลายตัวเองโดยสมบูรณ์ แบ่งตัวได้เรื่อยๆ ลุกลามได้ กลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในที่สุด


ซึ่งก็ขอย้ำอีกทีว่า ไอ้ที่เล่าไปใช้เวลาค่ะ
ถ้าเราชิงจังหวะ ลุกขึ้นมาออกกำลังกายสม่ำเสมอก่อน
แทบจะกันได้ทุกจุดเลยค่ะ

เพราะอะไร?


1️⃣ ออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อปล่อยสาร IL-6, IL-15 เรียกเม็ดเลือดขาวสายต้านอักเสบ (Treg, MDSC) มาประจำอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ค่ะ หากมีการทำร้ายลำไส้เกิดขึ้น เม็ดเลือดขาวพวกนี้จะทำงาน และต้านทันที

2️⃣ เปลี่ยนเซลล์ไขมันจากชนิดเก็บอย่างเดียว (White adipocyte) เป็นชนิดเตาเผาไขมัน (Beige adipocyte) ทำให้สลายไขมันได้รวดเร็วมากกก ไขมันในช่องท้องเนี่ย หายไปก่อนเลย ก่อนที่พุงจะหายอีก ดังนั้นเนื้อเยื่อไขมันรอบๆ ลำไส้ใหญ่ก็ลดขนาดลง หยุดหลั่งสารก่ออักเสบ ลำไส้ปลอดภัย

3️⃣ เมื่อเนื้อเยื่อไขมันทั้งร่างลดขนาดลง เซลล์ไขมันก็ไม่เบียดกันเองอีกต่อไป ไม่เกิดความเครียด มันเลยไม่หลั่งสารก่ออักเสบไปรบกวนการทำงานของอินซูลิน เลยทำให้แก้ภาวะดื้ออินซูลิน ตับอ่อนก็ไม่จำเป็นต้องหลั่งอินซูลินมากผิดปกติแล้ว ลำไส้ใหญ่ก็เลยไม่ต้องโดนอินซูลินกระตุ้นจนแบ่งตัวไว

4️⃣ ออกกำลังกายผลิต Lactate ส่งให้ลำไส้ ซึ่งแบคทีเรียในลำไส้หลายสายพันธุ์ชอบมากกก จะทำให้น้องแบคทีเรียโต สร้างกรดไขมันสายสั้น/สายต้านอักเสบ ดูแลผนังลำไส้ให้แข็งแรง และยับยั้งการเกิดมะเร็งได้โดยตรง


และถึงแม้คุณจะมีก้อนติ่งเนื้อหรือถึงขั้นก้อนมะเร็งแล้ว…

1️⃣ ออกกำลังกายยังช่วยก๊าซ nitric oxide กระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดที่โครงสร้างปกติ ทะลวงก้อนมะเร็ง ทำให้มะเร็งได้รับออกซิเจนเพียงพอ อาณาจักรมะเร็งเลย ‘ขาด stress’ ที่ใช้บีบให้เซลล์มะเร็งแข่งขันกัน ทำให้มะเร็งลดความดุร้ายลง

2️⃣ หลอดเลือดที่งอกมากขึ้น ยังพาระบบภูมิคุ้มกันทะลวงถึงใจกลางอาณาจักรมะเร็งเลย กองทัพมะเร็งแพ้โดยง่าย

3️⃣ ออกกำลังกายเสริมฤทธิ์เม็ดเลือดขาว NK cell และ CD8+ T cell โดยตรง ทำให้ดุร้าย กำจัดมะเร็งได้โหดขึ้นมาก


หรือเอาแบบไม่ต้องอารัมภบทอะไรมาก
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปรับแทบทุกแวดล้อมให้มะเร็งลำไส้เกิดยากขึ้นมากๆ และต่อให้คุณมีมะเร็งแล้วโดยไม่รู้ตัว ก็ช่วยให้ภูมิคุ้มกันเร่งกำจัดได้ง่ายขึ้น

และถ้ายิ่งคุณเพิ่มการกินอาหารที่มีเส้นใย เช่น ผัก ผลไม้ (ที่หวานน้อยนะ) ยิ่งป้องกันมากขึ้นไปอีก และถ้ายิ่งคุณตรวจคัดกรองมะเร็งสม่ำเสมอ ยิ่งการันตีว่า ถ้าพบก่อนก็กำจัดได้ก่อนค่ะ


ดังนั้นในเบื้องต้น ลุกมาออกกำลังกายเถอะค่ะ
ท่ามกลางคนที่เสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวันนี้
แต่เราจะประหลาดกว่าเพื่อน คือความเสี่ยงลดลงฮวบๆ เลย

เป็นหนึ่งในการลงทุนที่โคตรคุ้มค่า ที่ควรลงทุนตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ

16/09/2025

🩸 เม็ดเลือดแดงแตกสลาย (Hemolysis): คืออะไร เกิดได้อย่างไร รบกวนการตรวจอะไรบ้าง⁉️

เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมบางครั้งผลเลือดที่เราเจาะไปถึงใช้ไม่ได้? หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่พบบ่อยที่สุดในห้องปฏิบัติการก็คือ "ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก" หรือ Hemolysis นั่นเองค่ะ ภาพที่เห็นคือตัวอย่างเลือดที่เกิด Hemolysis ซึ่งส่วนน้ำใสๆ ที่เรียกว่าพลาสมา (Plasma) หรือซีรั่ม (Serum) แทนที่จะเป็นสีเหลืองฟางข้าว กลับกลายเป็นสีแดงสดใสเหมือนน้ำหวานเฮลซ์บลูบอย ซึ่งนี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยค่ะ วันนี้เราจะมาไขทุกข้อข้องใจว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมมันถึงเป็น "ตัวร้าย" ในงานแล็บได้ขนาดนี้

🩸 1. Hemolysis คืออะไร? ทำไมเม็ดเลือดแดงถึง "แตก"?

Hemolysis คือภาวะที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte) ฉีกขาดหรือถูกทำลาย ทำให้ส่วนประกอบที่อยู่ภายในเซลล์ทะลักออกมาปนเปื้อนในน้ำเลือด (Plasma/Serum) ค่ะ

🔬 เจาะลึกระดับเซลล์และโมเลกุล:
โดยปกติแล้ว เม็ดเลือดแดงมีเยื่อหุ้มเซลล์ที่แข็งแรงแต่ก็ยืดหยุ่น ประกอบด้วยไขมันสองชั้น (Lipid bilayer) และมีโปรตีนโครงสร้างที่สำคัญอย่าง สเปกตริน (Spectrin) และ แอนไคริน (Ankyrin) คอยพยุงให้คงรูปร่างกลมแบนและเว้าตรงกลางเอาไว้ แต่เมื่อมีปัจจัยบางอย่างมากระทบกระเทือน ไม่ว่าจะเป็นแรงกล (Mechanical stress) การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารละลาย (Osmotic stress) หรือสารเคมีบางชนิด ก็จะทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ที่บอบบางนี้เสียหายและฉีกขาดได้ค่ะ

เมื่อเซลล์แตก สิ่งที่ถูกปล่อยออกมาเปรียบเสมือน "ระเบิดชีวเคมี" ในหลอดเลือดเลยทีเดียว สารสำคัญที่ทะลักออกมาคือ:

▪️ ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin): โปรตีนที่ทำให้เลือดมีสีแดง ซึ่งจะทำให้น้ำเลือดกลายเป็นสีแดง
▪️โพแทสเซียม (Potassium, K+): ความเข้มข้นของโพแทสเซียมในเซลล์เม็ดเลือดแดงสูงกว่าในพลาสมาถึง 25 เท่า!
▪️ เอนไซม์ต่างๆ: เช่น Lactate dehydrogenase (LDH), Aspartate aminotransferase (AST) ซึ่งมีปริมาณสูงมากภายในเซลล์

🔬 2. กลไกและสาเหตุการเกิด: แตกจากในกาย หรือแตกตอนนอกกาย?

การเกิด Hemolysis แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

‼️In vivo Hemolysis (การแตกในร่างกาย)
เป็นการแตกที่เกิดขึ้นภายในหลอดเลือดของผู้ป่วย ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติบางอย่าง เช่น:

▪️โรคทางพันธุกรรม: เช่น โรค G6PD, Thalassemia, Sickle cell anemia ที่ทำให้เม็ดเลือดแดงมีโครงสร้างผิดปกติและแตกง่าย
▪️ภาวะติดเชื้อ: เชื้อโรคบางชนิด เช่น มาลาเรีย หรือแบคทีเรียบางสายพันธุ์ สามารถสร้างสารพิษที่ทำลายเม็ดเลือดแดงได้โดยตรง
▪️ระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune): ร่างกายสร้างแอนติบอดีมาจับและทำลายเม็ดเลือดแดงของตัวเอง
▪️ ได้รับสารพิษหรือยาบางชนิด: เช่น พิษงู, ตะกั่ว
In vitro Hemolysis (การแตกนอกร่างกาย)

‼️เป็นการแตกที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการเก็บตัวอย่างเลือด การขนส่ง หรือการเตรียมสิ่งส่งตรวจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด (Pre-analytical error) และเป็นสิ่งที่นักเทคนิคการแพทย์ต้องเผชิญอยู่เสมอค่ะ สาเหตุหลักๆ ได้แก่:

▪️ การเจาะเลือด (Phlebotomy):
➖ ใช้เข็มเบอร์เล็กเกินไป: ทำให้เกิดแรงเสียดสีสูงขณะเลือดไหลผ่าน
➖ เจาะเลือดยาก: ต้องขยับเข็มไปมา ทำให้เซลล์ช้ำ
➖ ดึงกระบอกฉีดยาแรงและเร็วเกินไป: สร้างแรงดูดมหาศาล
➖ รัดสายรัดแขน (Tourniquet) นานเกินไป: ทำให้เลือดคั่งและเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เซลล์
▪️ การจัดการหลังเจาะ:
➖ เขย่าหลอดเลือดแรงเกินไป: แทนที่จะคลุกเคล้าเบาๆ (invert) 8-10 ครั้ง กลับเขย่าเหมือนทำค็อกเทล
➖ ถ่ายเลือดจากกระบอกฉีดยาเข้าหลอดสุญญากาศโดยใช้เข็ม: แรงดันที่ต่างกันทำให้เซลล์แตก
➖ การขนส่งที่ไม่เหมาะสม: การกระแทกอย่างรุนแรง หรืออุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นจัด
▪️การเตรียมในห้องปฏิบัติการ:
➖ ปั่นเลือดด้วยความเร็วสูงหรือนานเกินไป (การใช้แรง g-force ที่สูงเกินไป เป็นระยะเวลานานเกินความจำเป็น หรือมีการตั้งค่าการเบรกที่ไม่เหมาะสม)
➖ การแยกซีรั่มหรือพลาสมาที่ไม่ถูกวิธี เช่น วางเลือดไว้เกิน24ชั่วโมงไม่ปั่นแยก (ควรปั่นแยกทันที), ใช้ปิเปตต์ดูดและปล่อยซีรั่ม/พลาสมาอย่างรวดเร็วจนรบกวนชั้นเม็ดเลือดแดง, ใช้ไม้/แท่งแก้วกวนลิ่มเลือด หรือบดขยี้และฉีกทำลายโครงสร้างของลิ่มเลือด เป็นต้น

🔬3. ผลกระทบต่อผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ: ทำไมถึงอันตราย?

นี่คือหัวใจสำคัญของปัญหาค่ะ การที่สารภายในเซลล์เม็ดเลือดแดงรั่วไหลออกมา จะรบกวนการตรวจวิเคราะห์ทางเคมีคลินิกอย่างรุนแรง ทำให้ผลที่ได้ สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง จนอาจนำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาที่ผิดพลาดได้

กลไกการรบกวนผลแล็บ (Interference Mechanisms):
🩸การรบกวนทางชีวเคมี (Biochemical Interference): เกิดจากการที่สารที่ปล่อยออกมามีความเข้มข้นสูง จนไปเพิ่มค่าการตรวจวัดโดยตรง
🔥โพแทสเซียม (K+): ค่าสูงเกินจริง (Falsely elevated)
▪️กลไก: ดังที่กล่าวไป ความเข้มข้น K+ ในเม็ดเลือดแดงสูงกว่าพลาสมา 25 เท่า เมื่อเซลล์แตก K+ จะทะลักออกมาในพลาสมา ทำให้เครื่องวัดค่า K+ ได้สูงกว่าที่ผู้ป่วยมีอยู่จริง ซึ่งอันตรายมาก เพราะภาวะโพแทสเซียมสูง (Hyperkalemia) เป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ หากแพทย์รักษาตามผลที่ผิดพลาดนี้ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
🔥Lactate Dehydrogenase (LDH) และ Aspartate Aminotransferase (AST): ค่าสูงเกินจริง
▪️ กลไก: เอนไซม์ LDH และ AST มีความเข้มข้นในเม็ดเลือดแดงสูงกว่าในพลาสมาถึง 160 เท่า และ 40 เท่า ตามลำดับ การแตกของเซลล์เพียงเล็กน้อยก็ทำให้ค่าเหล่านี้พุ่งสูงขึ้นมาก ซึ่งอาจทำให้แพทย์วินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคตับหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
🔥 แมกนีเซียม (Mg2+) และ ฟอสเฟต (Phosphate): ค่าสูงเกินจริง
▪️ กลไก: มีความเข้มข้นภายในเซลล์สูงกว่าภายนอกเช่นกัน

🩸การรบกวนการวัดค่าเชิงแสง (Spectrophotometric Interference): เกิดจากสีแดงของฮีโมโกลบินที่ปล่อยออกมา ไปบดบังหรือรบกวนการวัดการดูดกลืนแสงของสารที่ต้องการตรวจ

💥 บิลิรูบิน (Bilirubin), ครีเอตินิน (Creatinine), เอนไซม์ต่างๆ: ค่าอาจผิดเพี้ยนไป (สูงขึ้นหรือต่ำลงขึ้นกับวิธีทดสอบ)
▪️ กลไก: เครื่องวิเคราะห์ทางเคมีส่วนใหญ่ใช้วิธีวัดการดูดกลืนแสง (Spectrophotometry) โดยจะยิงแสงผ่านตัวอย่างที่ความยาวคลื่นจำเพาะสำหรับสารนั้นๆ แต่ฮีโมโกลบินเองก็ดูดกลืนแสงได้ดีที่หลายช่วงความยาวคลื่น โดยเฉพาะช่วง 415, 540 และ 570 นาโนเมตร ซึ่งอาจซ้อนทับกับช่วงคลื่นที่ใช้วัดสารอื่น ทำให้เครื่อง "สับสน" และอ่านค่าออกมาผิดพลาด
💥โทรโปนิน (Troponin): ค่าต่ำเกินจริง (Falsely decreased)
▪️ กลไก: นี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่อันตรายมาก! เอนไซม์โปรติเอส (Proteases) ที่ถูกปล่อยออกมาจากเม็ดเลือดแดงที่แตก สามารถย่อยสลายโมเลกุลของโทรโปนินได้ ทำให้ค่าที่วัดได้ต่ำกว่าความเป็นจริง อาจทำให้แพทย์พลาดการวินิจฉัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Acute Myocardial Infarction) ได้

🔬 4. การจัดการ, การแก้ไข และการป้องกัน
เมื่อเจอเลือด Hemolysis ควรทำอย่างไร?

กฎเหล็กคือ "ปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ (Reject Sample)" ค่ะ สำหรับค่าที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง (เช่น K+, LDH, AST) ห้ามรายงานผลโดยเด็ดขาด! ต้องรีบแจ้งไปยังหน่วยงานที่ดูแลผู้ป่วยเพื่อ ขอเก็บตัวอย่างเลือดใหม่ (Recollection) โดยอธิบายถึงสาเหตุและความสำคัญของการได้มาซึ่งผลที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย

แล้วมีผลแล็บไหนที่ยังพอตรวจได้บ้าง?
ค่าบางอย่างอาจยังพอรายงานผลได้หากการเกิด Hemolysis ไม่รุนแรงมากนัก เช่น:
▪️โซเดียม (Sodium, Na+)
▪️คลอไรด์ (Chloride, Cl-)
▪️กลูโคส (Glucose)
▪️ยูเรีย (BUN)
▪️ฮอร์โมนบางชนิด เช่น hCG

อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของ Hemolysis และวิธีการทดสอบของแต่ละห้องปฏิบัติการ ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงาน (SOP) อย่างเคร่งครัดค่ะ

🔬การป้องกัน: หัวใจสำคัญที่สุด

การป้องกันคือทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ:

🩸กระบวนการก่อนการวิเคราะห์ (Pre-analytical phase)

▪️ ใช้เทคนิคการเจาะเลือดที่ถูกต้อง (Proper Venipuncture Technique): เลือกตำแหน่งเส้นเลือดที่เหมาะสม ใช้เข็มขนาดมาตรฐาน (เบอร์ 21-22G สำหรับผู้ใหญ่) หลีกเลี่ยงการใช้เข็มเล็กเกินไป
▪️ปล่อยให้แอลกอฮอล์ที่เช็ดผิวหนังแห้งสนิทก่อนเจาะ
▪️หลีกเลี่ยงการรัดสายรัดแขนนานเกิน 1 นาที
▪️เมื่อใช้กระบอกฉีดยา ให้ดึงก้านสูบช้าๆ อย่างนุ่มนวล และเมื่อจะถ่ายเลือดเข้าหลอด ให้ถอดเข็มออกก่อน แล้วค่อยๆ ปล่อยให้เลือดไหลไปตามข้างหลอด
▪️ คลุกเคล้าสารกันเลือดแข็งกับเลือดอย่างนุ่มนวล โดยการพลิกหลอดขึ้นลง (Invert) 8-10 ครั้ง ห้ามเขย่า!
▪️ขนส่งและจัดเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการกระแทก

🩸กระบวนการวิเคราะห์ (analytical phase)

▪️ปั่นเลือดด้วนความเร็วและระยะเวลามาตรฐาน ตามคำแนะนำมาตรฐานสากล (เช่น CLSI - Clinical and Laboratory Standards Institute) การตั้งค่าโดยทั่วไปคือ:
• ความเร็ว (Speed): 1,500 - 2,000 x g
• ระยะเวลา (Time): 10 - 15 นาที
• อุณหภูมิ (Temperature): อุณหภูมิห้อง (ประมาณ 20-25 °C)
(โดยปกติเป็นมาตรฐานการปั่นของห้องแล็ปทุกแห่งอยู่แล้ว)
▪️เจาะเสร็จปั่นแยกทันที
▪️ ค่อยๆ จุ่มปลายทิปปิเปตลงไปในชั้นบนสุดของซีรั่ม/พลาสมา แล้วดูดขึ้นมาอย่างช้าๆ และนุ่มนวล โดยรักษาระยะห่างจากชั้น Buffy coat และชั้นเม็ดเลือดแดงไว้เสมอ
▪️ไม่ใช้ไม้/แท่งแก้วกวนหรือบดขยี้ลิ่มเลือด

ท้ายที่สุดนี้ ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในหลอดทดลอง แต่ผลกระทบของมันกลับยิ่งใหญ่และส่งผลโดยตรงต่อการวินิจฉัยและชีวิตของผู้ป่วย การใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การเจาะเลือดจนถึงการวิเคราะห์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งค่ะ

#เม็ดเลือดแดงแตก #เทคนิคการแพทย์ #ห้องปฏิบัติการ #เจาะเลือด #ผลแล็บ #ความปลอดภัยของผู้ป่วย #วิทยาศาสตร์การแพทย์ #สาระความรู้ #เรื่องน่ารู้ #นักเทคนิคการแพทย์

อ้างอิง:
1. Lippi, G., Salvagno, G. L., Montagnana, M., Brocco, G., & Guidi, G. C. (2006). Influence of hemolysis on routine clinical chemistry testing. Clinical Chemistry and Laboratory Medicine, 44(3), 311–316.
2. Jay, D. W., & Provasek, D. (1993). Characterization and validation of a hemolyzed serum quality-control material. Clinical Chemistry, 39(9), 1799–1805.
3. Koseoglu, M., Hur, A., Atay, A., & Cuhadar, S. (2011). Effects of hemolysis interference on routine biochemistry parameters. Biochemia Medica, 21(1), 79–85.

Cr.ห้องแล็บลึกลับ👍

14/09/2025

📌การตรวจ AFP คืออะไร ใช้บ่งชี้มะเร็งร้ายได้อย่างไร⁉️

เคยสงสัยไหมคะว่าโปรตีนเพียงตัวเดียว จะสามารถบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันสุดขั้วได้อย่างไร? ในโลกของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ Alpha-fetoprotein (AFP) คือหนึ่งในโปรตีนที่มีบทบาทหลากหลายและน่าทึ่งที่สุด มันคือตัวละครเอกที่ปรากฏตัวในสองช่วงเวลาสำคัญของชีวิต คือ "การก่อกำเนิด" และ "การเกิดโรค" ค่ะ

📌1. AFP คืออะไร? เจาะลึกถึงระดับโมเลกุล‼️

AFP เป็นโปรตีนในกลุ่มไกลโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งหมายถึงโปรตีนที่จับกับคาร์โบไฮเดรต มีหน้าที่คล้ายคลึงกับ อัลบูมิน (Albumin) ซึ่งเป็นโปรตีนหลักในเลือดของผู้ใหญ่ แต่ AFP จะทำหน้าที่เป็นโปรตีนหลักในเลือดของทารกในครรภ์ค่ะ

▪️แหล่งผลิตในภาวะปกติ: ในช่วงพัฒนาการของตัวอ่อน จะถูกสร้างขึ้นโดย ถุงไข่แดง (Yolk sac) จากนั้นเมื่อตัวอ่อนเติบโตขึ้น ตับของทารก (Fetal liver) จะรับหน้าที่ผลิตเป็นหลัก นอกจากนี้ยังพบการสร้างได้เล็กน้อยจากทางเดินอาหารของทารก
▪️หน้าที่ในทารก:
➖ควบคุมแรงดันออสโมติก (Oncotic pressure): ช่วยรักษาสมดุลของเหลวในหลอดเลือดของทารก
➖ ตัวขนส่งสาร (Carrier protein): ทำหน้าที่ขนส่งสารต่างๆ เช่น บิลิรูบิน, กรดไขมัน และยาบางชนิด
➖ปกป้องทารก: ป้องกันทารกเพศหญิงจากฮอร์โมนเอสโตรเจนของแม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการได้

หลังคลอด ตับของทารกจะค่อยๆ ลดการสร้าง AFP ลง และเปลี่ยนไปสร้างอัลบูมินเป็นหลักแทน ทำให้ระดับ AFP ในเลือดลดลงอย่างรวดเร็วจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก (น้อยกว่า 10 ng/mL) ตลอดช่วงชีวิตของคนปกติค่ะ

📌2. พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology): ทำไมเซลล์มะเร็งถึงกลับมาสร้าง AFP⁉️

นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทึ่งค่ะ! การที่เซลล์มะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งตับ กลับมาสร้าง AFP ได้อีกครั้ง เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "การถดถอยกลับไปสู่ลักษณะดั้งเดิม" (Dedifferentiation)

💥ในระดับยีนและเซลล์ อธิบายได้ดังนี้ค่ะ:
▪️ การปลุกยีนที่หลับใหล: ยีนที่ควบคุมการสร้าง AFP จะทำงานอย่างแข็งขันในช่วงชีวิตของตัวอ่อน แต่จะถูก "ปิด" หรือ "กดการแสดงออก" (Gene silencing) ไว้หลังคลอดโดยกระบวนการทางชีวเคมีที่ซับซ้อน
▪️ ความผิดปกติในเซลล์มะเร็ง: เมื่อเซลล์ตับปกติเกิดการกลายพันธุ์และพัฒนาไปเป็น เซลล์มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma - HCC) กระบวนการควบคุมยีนภายในเซลล์จะรวนไปหมด หนึ่งในยีนที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาทำงานอีกครั้งก็คือยีน AFP นี่เองค่ะ เซลล์มะเร็งจึงมีลักษณะบางอย่างย้อนกลับไปคล้ายเซลล์ตัวอ่อน และเริ่มผลิตโปรตีนที่มันไม่ควรจะผลิตแล้ว
▪️กลไกระดับโมเลกุล: มีการศึกษาพบว่าเส้นทางการส่งสัญญาณในเซลล์ (Signaling pathway) ที่ผิดปกติไปในเซลล์มะเร็ง เช่น Wnt/β-catenin pathway มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้ยีน AFP กลับมาแสดงออกอีกครั้ง

ดังนั้น การตรวจพบ AFP ในระดับสูงในผู้ใหญ่ (ที่ไม่ตั้งครรภ์) จึงเปรียบเสมือน "สัญญาณทางชีวภาพ" ที่บ่งชี้ว่าอาจมีเซลล์ที่ทำงานผิดปกติและย้อนกลับไปมีพฤติกรรมเหมือนเซลล์ตัวอ่อนซ่อนอยู่ในร่างกายค่ะ

📌3. ตรวจเจอ AFP สูงได้ในภาวะใดบ้าง⁉️

การมีค่า AFP สูงไม่ได้แปลว่าเป็นมะเร็งเสมอไปนะคะ เราต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยสามารถแบ่งกลุ่มได้ดังนี้ค่ะ

✨ภาวะที่ไม่ใช่มะเร็ง (Non-malignant Conditions)
▪️การตั้งครรภ์ (Pregnancy): เป็นภาวะที่พบ AFP สูงได้ตามปกติ เนื่องจากทารกในครรภ์เป็นผู้สร้างและปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ ค่านี้จะถูกนำไปใช้ในการตรวจคัดกรองความผิดปกติของทารก
⬆️ AFP สูงเกินเกณฑ์: อาจสัมพันธ์กับภาวะหลอดประสาทของทารกเปิด (Neural Tube Defects - NTDs), ผนังหน้าท้องไม่ปิด (Abdominal wall defects) หรือการคำนวณอายุครรภ์ผิดพลาด
⬇️ AFP ต่ำเกินเกณฑ์: อาจสัมพันธ์กับกลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome) หรือ Trisomy 18
▪️ โรคตับอักเสบ (Hepatitis): ทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง เซลล์ตับที่บาดเจ็บและกำลังซ่อมแซมตัวเอง (Regeneration) อาจผลิต AFP ออกมาได้ชั่วคราว
▪️โรคตับแข็ง (Cirrhosis): ภาวะตับแข็งซึ่งเป็นแผลเป็นในตับ ก็สามารถกระตุ้นให้เซลล์ตับบางส่วนผลิต AFP สูงขึ้นได้เช่นกัน

🔥ภาวะมะเร็ง (Malignant Conditions)
▪️มะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma - HCC): นี่คือภาวะที่สัมพันธ์กับค่า AFP สูงบ่อยที่สุด ประมาณ 60-70% ของผู้ป่วย HCC จะมีค่า AFP สูงในเลือด
▪️มะเร็งของเซลล์สืบพันธุ์ (Germ Cell Tumors): มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ต้นกำเนิดของอสุจิหรือไข่ เช่น มะเร็งอัณฑะ (ชนิด Non-seminomatous) และมะเร็งรังไข่บางชนิด (Yolk sac tumor)
▪️มะเร็งตับในเด็ก (Hepatoblastoma): เป็นมะเร็งตับชนิดที่พบบ่อยในเด็กเล็ก ซึ่งมักจะมีการสร้าง AFP ในระดับที่สูงมาก
▪️ มะเร็งชนิดอื่นที่แพร่กระจายมายังตับ: เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งปอดที่ลุกลามมาที่ตับ ก็อาจทำให้ค่า AFP สูงขึ้นได้

📌4. Criteria & History: เมื่อไหร่แพทย์ถึงสั่งตรวจ AFP?

แพทย์จะพิจารณาสั่งตรวจ AFP ตามข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน ไม่ได้ตรวจพร่ำเพรื่อค่ะ

🔎การคัดกรองเฝ้าระวัง (Screening & Surveillance):
▪️ ประวัติ: ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งตับ เช่น ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีเรื้อรัง, ผู้ป่วยตับแข็งจากทุกสาเหตุ (เช่น แอลกอฮอล์, ไขมันพอกตับ)
▪️ Criteria: แพทย์จะแนะนำให้ตรวจ AFP ร่วมกับการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบนทุกๆ 6-12 เดือน เพื่อค้นหามะเร็งตับในระยะเริ่มต้น

🔎 การช่วยวินิจฉัย (Diagnosis):
▪️ ประวัติ: เมื่อผู้ป่วยมีอาการที่น่าสงสัย หรือเมื่อตรวจพบก้อนในตับจากการตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี (Imaging) เช่น อัลตราซาวนด์, CT scan หรือ MRI
▪️ Criteria: ค่า AFP ที่สูงมาก (เช่น > 400 ng/mL) ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงและมีก้อนที่ตับ จะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัย HCC ได้อย่างยิ่ง

🔎การติดตามการรักษา (Monitoring Treatment):
▪️ ประวัติ: ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับหรือมะเร็งเซลล์สืบพันธุ์และกำลังรับการรักษา (เช่น ผ่าตัด, เคมีบำบัด, การให้ยาเฉพาะจุด)
▪️ Criteria: การตรวจวัดระดับ AFP เป็นระยะๆ จะช่วยประเมินการตอบสนองต่อการรักษาได้ หากค่า AFP ลดลงสู่ระดับปกติ แสดงว่าการรักษาได้ผลดี แต่หากค่ากลับสูงขึ้น อาจหมายถึงการกลับมาของโรค

🔎 การพยากรณ์โรค (Prognosis):
▪️Criteria: ระดับ AFP เริ่มต้นที่สูงมาก มักจะสัมพันธ์กับพยากรณ์โรคที่ไม่ดีนัก เช่น ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ หรือมีการลุกลามไปแล้ว

📌5. การนำไปใช้ และการตรวจร่วมกับค่าอื่นๆ (Application & Co-testing)

สิ่งสำคัญที่สุดคือ AFP ไม่ใช่เครื่องมือวินิจฉัยมะเร็งแบบเดี่ยวๆ แต่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ต้องนำมาประกอบกับข้อมูลอื่นเสมอค่ะ

🔎ในการวินิจฉัยมะเร็งตับ (HCC):
▪️ต้องใช้ร่วมกับ ภาพถ่ายทางรังสี (Ultrasound, CT, MRI) เสมอ
▪️ปัจจุบันมีการตรวจร่วมกับตัวบ่งชี้อื่นเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ได้แก่
🩸 AFP-L3% (Lens culinaris agglutinin-reactive fraction of AFP): เป็นสัดส่วนของ AFP รูปแบบหนึ่งที่เชื่อว่าสร้างจากเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ มีความจำเพาะต่อ HCC มากกว่า AFP รวม
🩸 DCP (Des-gamma-carboxy prothrombin) หรือ PIVKA-II: เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดที่สร้างขึ้นอย่างผิดปกติในเซลล์มะเร็งตับ
▪️ มีการนำค่าทั้ง 3 (AFP, AFP-L3, DCP) มาคำนวณเป็นคะแนนที่เรียกว่า GALAD score เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับได้ดียิ่งขึ้น

🔎 ในการวินิจฉัยมะเร็งเซลล์สืบพันธุ์ (Germ Cell Tumors):
▪️มักจะตรวจร่วมกับ β-hCG (Beta-human chorionic gonadotropin) และ LDH (Lactate dehydrogenase) ซึ่งรูปแบบของค่าที่สูงขึ้นจะช่วยจำแนกชนิดของมะเร็งได้

6. ข้อจำกัดและข้อควรระวัง (Limitations & Precautions)
➕ผลบวกลวง (False Positive): อย่างที่กล่าวไป ภาวะตับอักเสบหรือตับแข็งสามารถทำให้ AFP สูงขึ้นได้ชั่วคราว แพทย์อาจต้องนัดตรวจซ้ำเพื่อดูแนวโน้มของค่า
➖ ผลลบลวง (False Negative): ผู้ป่วยมะเร็งตับประมาณ 30-40% มีระดับ AFP ปกติ! ดังนั้น แม้ค่า AFP จะไม่สูง ก็ยังไม่สามารถตัดมะเร็งตับออกไปได้หากผลตรวจทางรังสีสงสัย

▪️ ค่าครึ่งชีวิต (Half-life): AFP มีค่าครึ่งชีวิตประมาณ 5-7 วัน ซึ่งมีความสำคัญในการติดตามการรักษา หลังการผ่าตัดก้อนมะเร็งออกหมด ค่า AFP ควรจะลดลงตามค่าครึ่งชีวิตนี้ หากลดลงช้าหรือกลับเพิ่มขึ้น แสดงว่าอาจยังมีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่

▪️ ค่ามาตรฐานแตกต่างกัน: ค่าปกติของ AFP อาจแตกต่างกันไปในแต่ละห้องปฏิบัติการ ขึ้นอยู่กับชุดน้ำยาและเครื่องมือที่ใช้ จึงควรดูค่าอ้างอิง (Reference range) ของแล็บนั้นๆ ประกอบเสมอ

โดยสรุป AFP คือตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่มีคุณค่ามหาศาล แต่ก็เปรียบเหมือนดาบสองคมที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในการแปลผลอย่างถูกต้อง การนำไปใช้ต้องพิจารณาจากประวัติผู้ป่วย การตรวจร่างกาย และผลการตรวจอื่นๆ ประกอบกันเสมอ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลรักษาสุขภาพค่ะ

#ตัวบ่งชี้มะเร็ง #มะเร็งตับ #นักเทคนิคการแพทย์ #ห้องแล็บ #ความรู้สู้มะเร็ง #วิทยาศาสตร์การแพทย์ #มะเร็งเซลล์สืบพันธุ์ #ตรวจสุขภาพ #สาระสุขภาพ #เรื่องเล่าจากห้องแล็บ #ไวรัสตับอักเสบ #ตับแข็ง

แหล่งอ้างอิง:
1. Mizejewski, G. J. (2001). Alpha-fetoprotein structure and function: relevance to isoforms, epitopes, and conformational variants. Experimental Biology and Medicine, 226(5), 377–408. https://journals.sagepub.com/doi/10.1177/153537020122600503
2. Singal, Amit G.1; Llovet, Josep M.2,3,4; Yarchoan, Mark5; Mehta, Neil6; Heimbach, Julie K.7; Dawson, Laura A.8; Jou, Janice H.9; Kulik, Laura M.10; Agopian, Vatche G.11; Marrero, Jorge A.12; Mendiratta-Lala, Mishal13; Brown, Daniel B.14; Rilling, William S.15; Goyal, Lipika16; Wei, Alice C.17; Taddei, Tamar H.18,19. AASLD Practice Guidance on prevention, diagnosis, and treatment of hepatocellular carcinoma. Hepatology 78(6):p 1922-1965, December 2023. | DOI: 10.1097/HEP.0000000000000466
3. Wong, R. J., Ahmed, A., & Gish, R. G. (2015). Elevated alpha-fetoprotein: differential diagnosis - hepatocellular carcinoma and other disorders. Clinics in liver disease, 19(2), 309–323. https://doi.org/10.1016/j.cld.2015.01.005

 #เรียนเชิญมาตรวจสุขภาพกันนะคะ❤️ #ด้วยรักและห่วงใยมาใส่ใจสุขภาพกันคะ❤️ #เดอะเบสท์แล็บ คุณภาพมาตราฐาน ISO15189,15190และระ...
11/09/2025

#เรียนเชิญมาตรวจสุขภาพกันนะคะ❤️
#ด้วยรักและห่วงใยมาใส่ใจสุขภาพกันคะ❤️
#เดอะเบสท์แล็บ คุณภาพมาตราฐาน ISO15189,15190และระบบห้องปฏิบัติการคุณภาพ LA👍

#ยินดีให้คำปรึกษาทักทายกันมาได้เลยนะคะ🫶🏻🫶🏻🫶🏻
#คุณปุณและทีมงานยินดีให้บริการด้วย🤟🤟🤟

 #ความใส่ใจของเราต่อคุณลูกค้า❤️ #มาตรวจสุขภาพประจำปีกันนะคะ☺️ #ให้โอกาสเดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บและนักเทคนิคการแพทย์คนนี้ได...
30/06/2025

#ความใส่ใจของเราต่อคุณลูกค้า❤️
#มาตรวจสุขภาพประจำปีกันนะคะ☺️
#ให้โอกาสเดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บและนักเทคนิคการแพทย์คนนี้ได้ดูแลคุณนะคะ❤️

 #เดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บ ยินดีต้อนรับนะคะ♥️ #มาตรวจสุขภาพประจำปีในสถานที่ดีๆและมีคุณภาพได้ทุกวันคะพร้อมให้บริการด้วยใจ♥️...
06/05/2025

#เดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บ ยินดีต้อนรับนะคะ♥️

#มาตรวจสุขภาพประจำปีในสถานที่ดีๆและมีคุณภาพได้ทุกวันคะพร้อมให้บริการด้วยใจ♥️

#การันตรีด้วยระบบคุณภาพ 2 ระบบ ISO15189,15190 และ ระบบมาตราฐานห้องปฏิบัติการ LAlaboratoryAccreditation💪👏🎉

#ติดต่อสอบถามข้อมูล 099-2942462💓

 #ที่สุดของเดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บแล้วคะ👍👍👍 #ฉันภูมิใจที่สุดLAรอบ2💪
26/11/2024

#ที่สุดของเดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บแล้วคะ👍👍👍

#ฉันภูมิใจที่สุดLAรอบ2💪

 #ความภูมิใจของฉันและเดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บของฉัน #รับใบประกาศบริหารงานคุณภาพห้องปฏิบัติการรอบ 2 #ภูมิใจในตัวเองมากๆในวิ...
20/11/2024

#ความภูมิใจของฉันและเดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บของฉัน

#รับใบประกาศบริหารงานคุณภาพห้องปฏิบัติการรอบ 2

#ภูมิใจในตัวเองมากๆในวิชาชีพนี้คะ♥️👍💓

#ฉันทำได้นะเธอ👏👏👏

 #เริ่ดมากคร๊า…ผ่านแล้วจร้าระบบบริหารงานคุณภาพห้องปฏิบัติการ👏👏👏  รับรองรอบ2👍👍👍
31/10/2024

#เริ่ดมากคร๊า…ผ่านแล้วจร้าระบบบริหารงานคุณภาพห้องปฏิบัติการ👏👏👏
รับรองรอบ2👍👍👍

 #ฉันเรียกมันว่าความสำเร็จในวิชาชีพนักเทคนิคการแพทย์คะ👍👍👍รับรองมาตรฐานรอบที่2👍👍👍 #ขอบคุณตัวฉันเก่งที่สุดและขอบคุณทุกความ...
29/10/2024

#ฉันเรียกมันว่าความสำเร็จในวิชาชีพนักเทคนิคการแพทย์คะ👍👍👍รับรองมาตรฐานรอบที่2👍👍👍

#ขอบคุณตัวฉันเก่งที่สุดและขอบคุณทุกความร่วมมือในทีมวันนี้ทีมเราทำได้ด้วยตัวพวกเราเองคะ..ปรบมือสิค่า👏👏

#ระบบมาตรฐานห้องปฏิบัติการ💉🩸🧬
#ระบบบริหารห้องปฏิบัติการ LA LabAccreditation🔬🔬
#เดอะเบสท์เม็ดดิคอลแล็บคลินิกเทคนิคการแพทย์ 💪👍
#เดอะเบสท์ให้สมชื่อนะคะ👏👏👏

 💓💓💓 -27-10-67😍😍😍
27/10/2024

💓💓💓
-27-10-67😍😍😍

 #มีใจให้มาก็ได้ใจไปคะ❤️❤️❤️ #ทีมที่ดีคือทีม work💪💪💪❤️Thebestlabteam❤️
08/10/2024

#มีใจให้มาก็ได้ใจไปคะ❤️❤️❤️

#ทีมที่ดีคือทีม work💪💪💪

❤️Thebestlabteam❤️

ที่อยู่

601/35 หมู่7 ต. คูคต อ. ลำลูกกา จ. ปทุมธานี
Pathum Thani
12130

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 18:00
อังคาร 09:00 - 18:00
พุธ 09:00 - 18:00
พฤหัสบดี 09:00 - 18:00
ศุกร์ 09:00 - 18:00
เสาร์ 09:00 - 14:00

เบอร์โทรศัพท์

+66942942265

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The best medical Lab Co.,Ltd.ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง The best medical Lab Co.,Ltd.:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท