ศูนย์ยาตานี By เภสัชกรโซฟียา

ศูนย์ยาตานี By เภสัชกรโซฟียา ร้านขายยา อาหารเสริม เวชสำอาง เครื่?

08/03/2025

ใครเป็นไมเกรนมาดูคลิปนี้ 👇👇

07/03/2025

วิตามินรวมบำรุงร่างกาย แก้อ่อนล้าอ่อนเพลีย

เกร็ดความรู้ การถือศีลอดกับการแพทย์ :)
01/03/2025

เกร็ดความรู้ การถือศีลอดกับการแพทย์ :)

📣แจ้งลูกค้าที่รัก🫧🫧
27/02/2025

📣แจ้งลูกค้าที่รัก🫧🫧

ยาพ่นจมูก รู้จัก เข้าใจ ใช้ให้ถูก ขอบคุณเพจ เรื่องเด็กๆ by หมอแอม ค่ะ
18/01/2025

ยาพ่นจมูก
รู้จัก เข้าใจ ใช้ให้ถูก

ขอบคุณเพจ เรื่องเด็กๆ by หมอแอม ค่ะ

13/01/2025

ของเข้าแล้วน้า สินค้าขายดี หมดไว🔥🔥🔥

โรคฮิตในเด็กดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ
11/01/2025

โรคฮิตในเด็ก
ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ

07/01/2025

แบรนด์ Pharmanod
ศูนย์ยาตานีมีจำหน่ายนะคะ
คุณหมอรีวิวไว้หลายตัวเลย ❤️

เรื่องน่ารู้ | “ขมิ้นชัน” กินนานเท่าไหร่ ถึงควรหยุด❓“ขมิ้นชัน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa L. เป็นพืชในวงศ์ขิง (Z...
02/01/2025

เรื่องน่ารู้ | “ขมิ้นชัน” กินนานเท่าไหร่ ถึงควรหยุด❓

“ขมิ้นชัน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa L. เป็นพืชในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) มีสารสำคัญหลัก ๆ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (essential oils) และสารสีเหลืองกลุ่ม curcuminoids ประกอบด้วย เคอร์คิวมิน�(curcumin), ดีเมทอกซีเคอร์คิวมิน (demethoxycurcumin) และบิสดีเมทอกซีเคอร์คิวมิน (bisdemethoxycurcumin)

🔎มีการศึกษาการใช้ขมิ้นชันในผู้ป่วยมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยในการศึกษาดังกล่าวมีการใช้สารสกัดขมิ้นชัน ตั้งแต่ 200-400 มก. โดยไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ และมีผู้ป่วยที่ใช้ได้จนถึง 9 เดือน โดยไม่พบอาการไม่พึ่งประสงค์ใด ๆ

🔎อีกการศึกษาที่ทำในผู้ป่วยมะเร็งเช่นกัน พบการใช้สารสกัดขมิ้นชันขนาดตั้งแต่ 0.5-8 กรัม/วัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งไม่พบการเกิดพิษจากการใช้

‼️ถ้าใช้มากกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้น❓
▪️มีการศึกษาที่ศึกษาเรื่องของเภสัชจลนศาสตร์ของสารสกัดขมิ้นชันในอาสาสมัครที่มีสขภาพดี โดยให้รับประทานแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน ขนาด 10 กรัม/วัน หรือ 12 กรัม/วัน
▪️อาการไม่พึงประสงค์ที่พบส่วนใหญ่ไม่รุนแรงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดแขน ถ่ายเหลวสีเหลือง

✅ โดยสรุปคือ ขมิ้นชัน ค่อนข้างปลอดภัยในการใช้ แม้จะรับประทานเป็นระยะเวลานาน แต่จากการศึกษาที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างที่ทดลองมีจำนวนน้อย และความไวในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ไม่เท่ากัน จึงควรรับประทานเป็นระยะสั้น ๆ พอให้อาการที่ต้องการรักษาดีขึ้น แล้วจึงหยุดใช้เพื่อป้องกันการสะสมจนเกิดพิษ

🔖ข้อมูลอ้างอิง
1. Kanai M, Otsuka Y, Otsuka K, Sato M, Nishimura T, Mori Y, et al. A phase I study investigating the safety and pharmacokinetics of highly bioavailable curcumin (Theracurmin®) in cancer patients. Cancer Chemotherapy and Pharmacology. 2013;71(6):1521-30.
2. Cheng AL. Hsu C-H. Lin JK. Hsu M. Ho Y-F. Shen TS. et al. Phase I clinical trial of curcumin, a chemopreventive agent. in patients with hiah-risk or ore-malianant lesions. Anticancer research. 2000:21:2895-900
3. Vareed, S. K., Kakarala, M., Ruffin, M. T., Crowell, J. A., Normolle, D. P., Diuric, Z., et al. (2008). Pharmacokinetics of curcumin conjugate metabolites in healthy human subjects. Cancer Epidemiol. Biomarkers Prev. 17, 1411-1417. doi: 10.1158/ 1055-9965.EPI-07-2693

🔖เรื่องโดย ธีทัต เกษมสุขไพศาล ชั้นปีที่ 6 มหาวิทยาลัยมหิดล

#เรื่องน่ารู้ #การใช้ขมิ้นชัน #ขมิ้นชัน #สมุนไพรอภัยภูเบศร #อภัยภูเบศร

เรื่องน่ารู้ | “ขมิ้นชัน” กินนานเท่าไหร่ ถึงควรหยุด❓

“ขมิ้นชัน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa L. เป็นพืชในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) มีสารสำคัญหลัก ๆ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (essential oils) และสารสีเหลืองกลุ่ม curcuminoids ประกอบด้วย เคอร์คิวมิน (curcumin), ดีเมทอกซีเคอร์คิวมิน (demethoxycurcumin) และบิสดีเมทอกซีเคอร์คิวมิน (bisdemethoxycurcumin)

🔎มีการศึกษาการใช้ขมิ้นชันในผู้ป่วยมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยในการศึกษาดังกล่าวมีการใช้สารสกัดขมิ้นชัน ตั้งแต่ 200-400 มก. โดยไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ และมีผู้ป่วยที่ใช้ได้จนถึง 9 เดือน โดยไม่พบอาการไม่พึ่งประสงค์ใด ๆ

🔎อีกการศึกษาที่ทำในผู้ป่วยมะเร็งเช่นกัน พบการใช้สารสกัดขมิ้นชันขนาดตั้งแต่ 0.5-8 กรัม/วัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งไม่พบการเกิดพิษจากการใช้

‼️ถ้าใช้มากกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้น❓
▪️มีการศึกษาที่ศึกษาเรื่องของเภสัชจลนศาสตร์ของสารสกัดขมิ้นชันในอาสาสมัครที่มีสขภาพดี โดยให้รับประทานแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน ขนาด 10 กรัม/วัน หรือ 12 กรัม/วัน
▪️อาการไม่พึงประสงค์ที่พบส่วนใหญ่ไม่รุนแรงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดแขน ถ่ายเหลวสีเหลือง

✅ โดยสรุปคือ ขมิ้นชัน ค่อนข้างปลอดภัยในการใช้ แม้จะรับประทานเป็นระยะเวลานาน แต่จากการศึกษาที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างที่ทดลองมีจำนวนน้อย และความไวในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ไม่เท่ากัน จึงควรรับประทานเป็นระยะสั้น ๆ พอให้อาการที่ต้องการรักษาดีขึ้น แล้วจึงหยุดใช้เพื่อป้องกันการสะสมจนเกิดพิษ

🔖ข้อมูลอ้างอิง
1. Kanai M, Otsuka Y, Otsuka K, Sato M, Nishimura T, Mori Y, et al. A phase I study investigating the safety and pharmacokinetics of highly bioavailable curcumin (Theracurmin®) in cancer patients. Cancer Chemotherapy and Pharmacology. 2013;71(6):1521-30.
2. Cheng AL. Hsu C-H. Lin JK. Hsu M. Ho Y-F. Shen TS. et al. Phase I clinical trial of curcumin, a chemopreventive agent. in patients with hiah-risk or ore-malianant lesions. Anticancer research. 2000:21:2895-900
3. Vareed, S. K., Kakarala, M., Ruffin, M. T., Crowell, J. A., Normolle, D. P., Diuric, Z., et al. (2008). Pharmacokinetics of curcumin conjugate metabolites in healthy human subjects. Cancer Epidemiol. Biomarkers Prev. 17, 1411-1417. doi: 10.1158/ 1055-9965.EPI-07-2693

🔖เรื่องโดย ธีทัต เกษมสุขไพศาล ชั้นปีที่ 6 มหาวิทยาลัยมหิดล

#เรื่องน่ารู้ #การใช้ขมิ้นชัน #ขมิ้นชัน #สมุนไพรอภัยภูเบศร #อภัยภูเบศร

การเลือกใช้ัแผ่นแปะแก้ปวด
22/12/2024

การเลือกใช้ัแผ่นแปะแก้ปวด

"น้องเภสัชช่วยเลือกแผ่นแปะแก้ปวดให้หน่อยได้ไหม"
ประโยคนี้เจอบ่อยเลยค่ะ วันนี้เภสัชจะเล่าเรื่องประเภทของแผ่นบรรเทาปวดในโพสต์นะคะ
#แผ่นแปะบรรเทาปวด หรือ Pain relief patch แบ่งออกได้หลายแบบ เพื่อลดความสับสน เภสัชแยกเป็นหมวดๆให้นะคะ
1. แบ่งประเภทตามสารสำคัญในแผ่นแปะ
1.1 สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น เมนทอล การบูร น้ำมันยูคาลิปตัส ไกลคอลซาลิไซเลต กลุ่มนี้ ใช้กลไกในการออกฤทธิ์คือ ลดการอักเสบ/ปวด เพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณปวด
แบ่งได้ 2 สูตร คือ
- สูตรร้อน เหมาะสำหรับการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและอาการปวดเรื้อรัง โดยออกฤทธิ์เน้นการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- สูตรเย็น เหมาะสำหรับการอักเสบและบาดเจ็บเฉียบพลัน เน้นการลดการอักเสบและอาการบวม
ตัวอย่างเช่น พลาสเตอร์ตราเสือ นีโอบัน ซาลอนพาส เคาต์เตอร์เพน ซึ่งจะมีทั้งสูตรร้อนและสูตรเย็นให้เลือกค่ะ
1.2 สารสกัดจากธรรมชาติที่ออกฤทธิ์เหมือนยา เช่น สารสกัดจากพริก ชื่อ Capsicin แผ่นแปะชนิดนี้ จะให้ความรู้สึกร้อนกว่าแผ่นแปะสูตรร้อนทั่วไป โดยสารสกัดนี้จะออกฤทธิ์โดยไปลดความไวของเซลล์ประสาทที่ทำให้รู้สึกปวด จะได้ผลดีในคนไข้ที่ปวดปลายประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคเบาหวาน (Diabetic neuropathy) หรือที่คนไข้มักจะพูดว่า ปวดเหมือนมีเข็มตำ แผ่นแปะประเภทนี้มีข้อจำกัดคือไม่ควรติดนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และในผู้ป่วยบางรายอาจจะแพ้สารตัวนี้ หรือระคายเคืองผิวหนังในผู้ป่วยแพ้ง่าย มักจะพบแผ่นแปะสูตรนี้ในพลาสเตอร์แก้ปวดที่ขายจากเมืองจีนค่ะ (พลาสเตอร์ม้วนๆในกระป๋องที่อากงอาม่าชอบใช้) ซึ่งต้องระวังให้ดี เพราะของปลอมเยอะ และยาไม่ได้ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยจึงไม่มีคนตรวจสอบคุณภาพให้ค่ะ

1.3 ตัวยาแผนปัจจุบัน
1.3.1 Diclofenac เป็นยากลุ่มลดการอักเสบกล้ามเนื้อ เหมือนยากิน แต่ออกแบบมาในรูปแบบแผ่นแปะ ค่อยๆปลดปล่อยตัวยารักษาเฉพาะกล้ามเนื้อที่อักเสบ มีงานวิจัยพบว่า แผ่นแปะชนิดนี้ให้ผลการรักษาดีเทียบเท่ากับยากิน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ทานยาลดอักเสบไม่ได้ หรือคนไข้ที่มีโรคกระเพาะ
อย่างไรก็ตาม มีข้อห้ามใช้ และข้อควรระวังคือ
- ห้ามใช้แผ่นแปะชนิดนี้ในคนไข้ที่มีประวัติหอบหืดจากการใช้ยากลุ่มแอสไพริน, ผู้ที่แพ้ยากลุ่มลดการอักเสบ
- ห้ามใช้หากมีบาดแผลบริเวณที่จะปิด หรือมีการอักเสบแดง คัน
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสสุดท้าย
- ยังไม่มีข้อมูลเรื่องความปลอดภัยในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
ตัวอย่างแผ่นแปะ เช่น เฟตัส

1.3.2 Lidocane เป็นแผ่นแปะผสมยาชา มักใช้กับอาการปวดเล็กๆน้อยๆ หรืออาการปวดหลังจากหายจากโรคงูสวัด กลไกการออกฤทธิ์คือ ตัวยาไปหยุดเส้นประสาทในการส่งสัญญาณความเจ็บปวด ตัวยาไม่ได้ออกฤทธิ์ในการรักษา จึงเหมาะกับการบรรเทาอาการปวดชั่วคราว ในประเทศไทย เภสัชเห็นแต่แผ่นแปะยาชาที่ใช้กับริมฝีปาก ก่อนสักปาก แต่ไม่แน่ใจเรื่องการขึ้นทะเบียนยา, และมีร้านรับหิ้วแผ่นแปะผสมยาชาจากต่างประเทศในเน็ต ดังนั้น ถ้าเจอใครบอกว่า ยี่ห้อนี้ดีใช้แล้วหายเลย เราต้องรู้ให้ทันว่า มันไม่ได้หายค่ะ แค่มันชาเฉยๆ

1.3.3 Fentanyl เป็นแผ่นแปะแก้ปวดที่รุนแรง ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นๆได้ เช่นการปวดจากโรคมะเร็ง ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้อาเจียน แผ่นแปะชนิดนี้ มีเฉพาะในโรงพยาบาลและต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้นค่ะ

จริงๆต่างประเทศยังมีตัวยาอื่นๆอีก ซึ่งเภสัชนำมาเฉพาะบางส่วนที่เราเจอกันในประเทศไทยค่ะ
ตอนนี้การแบ่งประเภทด้วยสารสำคัญ ก็ยาวแล้วค่ะ โพสต์หน้าเภสัชจะมาลงเรื่อง แบ่งแผ่นแปะแก้ปวดตามวิธีใช้กันนะคะ
ถ้าอ่านแล้วยังเลือกไม่ถูก แวะมาร้านยาให้เภสัชกรช่วยเลือกแผ่นแปะแก้ปวดที่เหมาะสมให้ได้นะคะ
#แสงทองเภสัชหาดใหญ่

แผ่นแปะตอนที่2 มาแล้วค่ะ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1161821969277307&id=100063485442875

22/12/2024

2.ทำไมหน้าหนาวถึงเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น?
อากาศเย็นมีผลต่อระบบหลอดเลือดและการไหลเวียนเลือดมากกว่าที่คิด มาดูกันว่าเพราะอะไรหน้าหนาวถึงทำให้โรคนี้น่ากลัวขึ้น
2.1 หลอดเลือดหดตัว(Vasoconstriction)
เมื่ออากาศเย็น ร่างกายจะพยายามเก็บความร้อนด้วยการหดตัวของหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง การหดตัวนี้ทำให้หลอดเลือดแคบลงและเพิ่มความดันโลหิต หากคุณมีหลอดเลือดที่เปราะหรือแคบอยู่แล้ว ความเสี่ยงที่หลอดเลือดจะแตกหรืออุดตันก็เพิ่มขึ้น
2.2 เลือดข้นหนืดขึ้น (Hyperviscosity)
อากาศหนาวทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว เพราะเราดื่มน้ำน้อยลงกว่าปกติ เลือดจึงมีความเข้มข้นและไหลเวียนช้าลง ซึ่งเพิ่มโอกาสเกิดลิ่มเลือดที่อาจไปอุดตันหลอดเลือดสมอง
2.3 สมองขาดออกซิเจน
หน้าหนาวมักทำให้เลือดไหลเวียนไปที่อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจและปอดมากขึ้น สมองอาจได้รับเลือดและออกซิเจนน้อยลงในช่วงเวลาสั้น ๆ หากหลอดเลือดมีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว อาจเกิดภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราวหรือถาวรได้
2.4 ระบบประสาทถูกกระตุ้น
อากาศเย็นจะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และหลอดเลือดหดตัวมากกว่าเดิม สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง เป็นตัวกระตุ้นที่อันตราย อันนี้ต้องระวังนะครับ
2.5 พฤติกรรมเปลี่ยนไป
ในช่วงหน้าหนาว หลายคนดื่มน้ำน้อยลง ออกกำลังกายน้อยลง และกินอาหารไขมันสูงเพื่อสร้างพลังงานและความอบอุ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง

ที่อยู่

Pattani

เวลาทำการ

จันทร์ 07:30 - 23:00
อังคาร 07:30 - 23:00
พุธ 07:30 - 23:00
พฤหัสบดี 07:30 - 23:00
ศุกร์ 07:30 - 23:00
เสาร์ 07:30 - 23:00
อาทิตย์ 07:30 - 23:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์ยาตานี By เภสัชกรโซฟียาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ศูนย์ยาตานี By เภสัชกรโซฟียา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram