สมุนไพรเพื่อสุขภาพ สมุนไพรไ

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ สมุนไพรไ ทานอาหารอร่อย นอนหลับสนิท เลือดลมไหลเวียนดีปรับฮอร์โมนในร่างกายต้านไวรัสชื่อดังได้ผลดี

13/01/2022

สมุนไพรไทย 9 ชนิด สรรพคุณล้นๆ ยังมี V ๅ ย ปกตินะคะ

สมุนไพรไทย9ชนิด​ ยังส่งเรื่อยๆนะคะ
22/12/2021

สมุนไพรไทย9ชนิด​ ยังส่งเรื่อยๆนะคะ

22/12/2021
22/12/2021
สมุนไพรไทย สรรพคุณ ไปไกลทั่วโลก
28/09/2021

สมุนไพรไทย สรรพคุณ ไปไกลทั่วโลก

สมุนไพร ก็ยังส่งเรื่อยๆๆนะคะ ลอตเล็ก ลอตใหญ่ มีทุกวันคร้า  สรรพคุณแน่นๆๆ
25/09/2021

สมุนไพร ก็ยังส่งเรื่อยๆๆนะคะ ลอตเล็ก ลอตใหญ่ มีทุกวันคร้า สรรพคุณแน่นๆๆ

พนักงานกำลังเร่งแพค นะคะ
19/08/2021

พนักงานกำลังเร่งแพค นะคะ

🎯อย่างน้อย สมุนไพรไทย ก็พอมีสรรพคุณที่ดีหลายด้าน ไม่มากก็น้อย🎯สมุนไพรที่ร้านเรา ก็มีหลายชนิดที่มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภู...
05/05/2021

🎯อย่างน้อย สมุนไพรไทย ก็พอมีสรรพคุณที่ดีหลายด้าน ไม่มากก็น้อย
🎯สมุนไพรที่ร้านเรา ก็มีหลายชนิดที่มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานนะครับ
https://www.youtube.com/watch?v=KIU-7giA-3g

🎯ยังส่งอยู่ทุกวันนะครับ🎯โปรช่วงโควิด กระปุกละ150 + ปลายทางเพิ่ม 20📌สนใจสั่งซื้อทักแชท 🎯โทร0610938539
26/04/2021

🎯ยังส่งอยู่ทุกวันนะครับ
🎯โปรช่วงโควิด กระปุกละ150 + ปลายทางเพิ่ม 20
📌สนใจสั่งซื้อทักแชท
🎯โทร0610938539

04/03/2021

สนใจสั่งสมุนไพร​ คอมเม้นได้เลยครับ​ มียริการเก็บเงินปลายทาง
รอรับสินค้าหน้าบ้านได้เลยยย

รอรับสินค้า​ และชำระเงินปลายทางได้เลยคร้าบบบ
23/01/2021

รอรับสินค้า​ และชำระเงินปลายทางได้เลยคร้าบบบ

🎈🎈ความสำคัญ และ ความรู้ เกี่ยวกับ ตัวยาสมุนไพร9ชนิด🎯วันนี้ขอนำเสนอ ตัวยาสมุนไพรที่มีชื่อว่า  ☀☀ว่านหนอนตายยาก☀☀หนอนตายหย...
23/01/2021

🎈🎈ความสำคัญ และ ความรู้ เกี่ยวกับ ตัวยาสมุนไพร9ชนิด
🎯วันนี้ขอนำเสนอ ตัวยาสมุนไพรที่มีชื่อว่า ☀☀ว่านหนอนตายยาก☀☀

หนอนตายหยาก เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์หนอนตายหยาก (STEMONACEAE) เป็นพืชที่พบได้ามป่าทั่วไปในประเทศจีน ญีปุ่น อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย และไทย
โดยสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ หนอนตายหยากเล็ก และหนอนตายหยากใหญ่[6],[7]
• หนอนตายหยากเล็ก ชื่อวิทยาศาสตร์ Stemona tuberosa Lour. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Roxburghia gloriosa Pers., Roxburghia gloriosoides Roxb., Roxburghia viridiflora Sm.) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กะเพียด (ชลบุรี, ประจวบคีรีขันธ์), ป้งสามสิบ (คนเมือง), โปร่งมดง่าม ปงมดง่าม (เชียงใหม่), หนอนตายยาก (ลำปาง), หนอนตายหยาก (แม่ฮ่องสอน), กะเพียดหนู, สลอดเชียงคำ (อีสานโบราณ) เป็นต้น[1],[2],[6],[7],[8] ส่วนข้อมูลจากหนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ระบุว่ายังมีหนอนตายหยากเล็กอีกชนิด ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stemona japonica Blume Miq. และมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หนอนตายหยากเล็ก, โป่งมดง่าม, ป่ายปู้, ตุ้ยเย่ป่ายปู้ (จีนกลาง) ซึ่งตามตำราระบุไว้ว่าสามารถนำมาใช้แทนกันได้[3]
• หนอนตายหยากใหญ่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Stemona collinsiae Craib และมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หนอนตายหยาก, กะเพียดช้าง, ปงช้าง เป็นต้น[5],
ลักษณะของหนอนตายหยากเล็ก
• ต้นหนอนตายหยาก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก กึ่งเถาเลื้อยพัน มักเลื้อยพันกับต้นไม้อื่น ยาวได้ถึง 10 เมตร และมีความสูงได้ประมาณ 40-60 เซนติเมตร เถามีลักษณะกลม สีเขียว กิ่งที่กำลังจะออกดอกมักจะเลื้อยพัน มีรากเป็นเหง้าหรือหัวอยู่ใต้ดินลักษณะคล้ายกระชาย เป็นรูปกระสวย ออกเป็นกระจุก เนื้ออ่อนนิ่มมีสีเหลืองขาว ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและการใช้เหง้าปักชำ[1],[2],[7]
• ใบหนอนตายหยาก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับบริเวณใกล้กับโคนต้น และเรียงเป็นคู่ตรงกันข้ามบริเวณกลางต้นหรือยอด ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเว้า ส่วนขอบใบเรียบหรือบิดเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-14 เซนติเมตร และยาวประมาณ 9-20 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นคลื่น เส้นใบแตกออกจาโคนใบขนานกันไปด้านด้านปลายใบประมาณ 9-13 เส้น ก้านใบยาวประมาณ 1.5-7 เซนติเมตร ไม่มีหูใบและกาบใบ[1],[8]
• ดอกหนอนตายหยาก ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศออกดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจะประมาณ 2-6 ดอก โดยจะออกตามซอกใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 2-8 เซนติเมตร ใบประดับยาว 0.5-1.5 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกยาวประมาณ 0.5-3 เซนติเมตร กลีบรวมมี 4 กลีบ เรียงตัวเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 2 กลีบ กลีบเป็นรูปแถบยาวปลายแหลม มีขนาดกว้างประมาณ 0.4-1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร กลีบชั้นนอกเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอ่อนอมเหลือง มีลายเส้นสีเขียวแก่หรือม่วงเป็นลายประ ส่วนกลีบชั้นในเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมแดง มีลายเส้นประสีแดง ดอกมีเกสรเพศผู้ 4 อัน ยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร ก้านเกสรสั้น อับเรณูเป็นสีม่วงยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ปลายมีจะงอยยาวประมาณ 5-12 มิลลิเมตร ส่วนรังไข่จะอยู่เหนือฐานวงกลีบรวม ไม่มีก้านเกสร[1],[8]
• ผลหนอนตายหยาก ออกผลเป็นฝักห้อยลงเป็นพวง ปลายฝักแหลม ฝักมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร เมื่อแห้งแล้วจะแตกออกเป็น 2 ซีก ภายในมีเมล็ดอยู่หลายเมล็ด ประมาณ 10-20 เมล็ด เมล็ดยาวประมาณ 1-1.7 เซนติเมตร มีปลายเรียวแหลมยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร มีก้านเมล็ดยาวประมาณ 8 มิลิลเมตร มีเยื่อหุ้มที่โคนของเมล็ด[1],[8]
ลักษณะของหนอนตายหยากใหญ่
• ต้นหนอนตายหยากใหญ่ จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุได้หลายปี มีลำต้นตั้งตรง สูงได้ประมาณ 20-40 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านจำนวนมาก มีรากอยู่ใต้ดินจำนวนมาก รากเป็นแบบรากกลุ่มอยู่กันพวง ลักษณะคล้ายนิ้วมือ รากเป็นสีเหลืองอ่อนอวบน้ำ ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เมื่อถึงฤดูแล้งต้นเหนือดินจะโทรมหมดเหลือแต่รากใต้ดิน เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนใบจึงจะงอกออกมาพร้อมกับออกดอก พบได้ตามป่าดิบแล้ง ป่าดงดิบเขา และป่าเบญจพรรณทั่วไป[5],[6]
• ใบหนอนตายหยากใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 9-15 เซนติเมตร ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน มีเส้นใบประมาณ 10-15 เส้น ขนานกัน ระหว่างเส้นแขนงใบมีเส้นใบย่อยมาตัดขวาง ก้านใบนั้นยาวประมาณ 5-9 เซนติเมตร ส่วนโคนพองเป็นกระเปาะ[5]
• ดอกหนอนตายหยากใหญ่ ออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกตามซอกใบ ใบประดับมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานปลายมน กว้างประมาณ 0.25-0.3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.1-1.2 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ส่วนกลีบดอกมี 4 กลีบ กลีบดอกเป็นสีเหลืองแกมชมพู มีขนาดไม่เท่ากันเรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกมี 2 อัน ลักษณะเป็นรูปขอบขนานปลายแหลม กว้างประมาณ 0.4-0.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.9-2 เซนติเมตร มีเส้นแขนงประมาณ 9-11 เส้น ส่วนชั้นนอกมี 2 อัน ลักษณะเป็นรูปไข่ปลายแหลม กว้างประมาณ 0.6-0.7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.8-1.9 เซนติเมตร มีเส้นแขนงประมาณ 13-15 เส้น ดอกมีเกสรเพศผู้ 4 อัน ขนาดเท่ากัน ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนเป็นรูปหัวใจขอบเรียบ กว้างประมาณ 0.2-0.3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.5-1.6 เซนติเมตร ส่วนเกสรเพศเมีย มีรังไข่เหนือวงกลีบ รูปไข่ยาวประมาณ 0.3-0.4 เซนติเมตร และปลายเกสรเพศเมียมีขนาดเล็ก[5]
• ผลหนอนตายหยากใหญ่ ผลเค่อนข้างแข็งเป็นสีน้ำตาลและมีขนาดเล็ก[5]
ข้อสังเกต : ความแตกต่างระหว่างหนอนตายหยากเล็กและใหญ่คือ ลักษณะของใบหนอนตายหยากเล็กจะเป็นรูปหัวใจทรงกลม ส่วนใบของหนอนตายหยากจะเป็นรูปหัวใจทรงยาว และหนอนตายหยากใหญ่จะมีกลีบดอกใหญ่กว่า รากอวบใหญ่กว่าหนอนตายหยากเล็ก[6]
สรรพคุณของหนอนตายหยาก
1. เหง้าหรือรากมีรสขมชุ่ม เป็นยาร้อนเล็กน้อย มีพิษเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อปอดและม้าม ใช้เป็นยาแก้ไอเย็น ไอเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ อาการไออันเนื่องมาจากเป็นวัณโรค (ราก)[3]
2. ตำรับยาแก้อาการไอเนื่องมาจากวัณโรค ให้ใช้รากหรือเหง้าหนอนตายหยาก, เปลือกหอยแครงสะตุ, เกล็ดนิ่ม, จี๊ฮวง อย่างละเท่ากัน แล้วนำมาบดให้เป็นผง ใช้ชงกับน้ำรับประทานครั้งละ 5 กรัม วันละ 2-3 ครั้ง (ราก)[3]
3. ช่วยขับเสมหะ รักษาวัณโรค (ราก)[4]
4. บางข้อมูลระบุว่ามีการหนอนตายหยากเป็นยาแก้ภูมิแพ้ โดยใช้รากหนอนตายหยากและใบหนุมานประสานกาย (สดหรือแห้งก็ได้) อย่างละเท่ากัน นำมาต้มกับน้ำดื่มขณะยังอุ่นต่างน้ำทุกวัน จะช่วยแก้อาการของโรคภูมิแพ้ รวมถึงช่วยละลายเสมหะ และลดอาการไอได้ด้วย (ราก) (ข้อมูลจาก : tripod.com)
5. ชาวเขาเผ่าม้งและเย้าจะใช้รากหรือทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มและอาบแก้โรคโปลิโอ (ราก,ทั้งต้น)[8]
6. ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน ให้ใช้รากสด 1 ราก ที่ล้างสะอาดแล้ว นำมาหั่นตำให้ละเอียด เติมเกลือ 1/2 ช้อนชา ใช้อมประมาณ 10-15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง ทำแบบนี้ติดต่อกันประมาณ 2-4 ครั้งจะหายปวดฟัน (ให้เว้นระยะห่างกัน 4-5 ชั่วโมง) (ราก)[4] ส่วนอีกวิธีใช้ใบนำมาตำและอมแก้อาการปวดฟัน (ใบ)[8]
7. ในประเทศอินโดจีนจะใช้รากเป็นยารักษาโรคเจ็บหน้าอก (ราก)[7]
8. ในประเทศจีนจะใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นยาขับผายลม (ราก)[7]
9. ใช้เป็นยาแก้บิดอะมีบา ด้วยการใช้รากหรือเหง้าหนอนตายหยาก 5-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ราก)[3]
10. รากมีสรรพคุณเป็นยาฆ่าเชื้อพยาธิภายในลำไส้ พยาธิตัวกลม พยาธิตัวแบน พยาธิเส้นด้าย พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด ด้วยการใช้รากแห้ง 2 ราก นำมาต้มกับน้ำกินติดต่อกันประมาณ 15-20 วัน (ราก)[1],[3],[5],[8] ส่วนวิธีใช้ถ่ายพยาธิปากขอ ให้ใช้รากหรือเหง้า 100 กรัม แบ่งต้ม 4 ครั้ง จากนั้นนำมาสกัดจนเหลือ 30 ซีซี ใช้รับประทานครั้งละ 15 ซีซี โดยให้รับประทานติดกัน 2 วัน จึงจะสามารถถ่ายพยาธิปากขอออกมาได้ (ราก)[3]
11. ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี จะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาถ่ายพยาธิตัวจี๊ด โดยนำรากมาผสมกับหญ้าหวายนาและชะอม ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาถ่ายพยาธิตัวจี๊ด (ราก)[5]
12. ชาวเขาเผ่าม้งและเย้าจะใช้รากหรือทั้งต้นหนอนตายหยากต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ ขับนิ่ว แก้ปัสสาวะติดขัด (ราก,ทั้งต้น)[8]
13. รากและหัวมีสรรพคุณเป็นยารักษาริดสีดวงทวารหนัก ด้วยการใช้รากนำมาปรุงต้มรับประทาน พร้อมกับต้มกับยาฉุนใช้รมหัวริดสีดวง จะทำให้ริดสีดวงฝ่อและแห้งไป (หัว,ราก)[4],[5],[6]
14. รากใช้ปรุงเป็นยารักษามะเร็งตับ (ราก)[1],[5]
15. รากหรือหัวใช้ปรุงเป็นยารับประทานแก้น้ำเหลืองเสีย (ราก)[1],[5]
16. ใช้รักษาจี๊ด ให้ใช้รากสดประมาณ 3-4 ราก ที่ล้างน้ำสะอาดแล้ว นำมาหั่นตำให้ละเอียด ใช้พอกตรงที่มีตัวจี๊ด ซึ่งจะสังเกตได้โดยบริเวณนั้นจะบวมขึ้นมา โดยให้พอกหลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะหาย (ราก)[4]
17. รากใช้ปรุงเป็นยาแก้โรคผิวหนัง ผื่นคันตามร่างกาย และผิวหนังอักเสบ ด้วยการใช้รากประมาณ 50-100 กรัม นำมาต้มแล้วเอาน้ำใช้ล้างหรืออาบ (ราก)[1],[3],[5]
18. ตำรายาไทยจะใช้รากนำมาทุบหรือตำผสมกับน้ำหรือหมักกับน้ำแล้วเอาน้ำมาพอกทาฆ่าหิด เหา แมลง หนอน หรือศัตรูพืช (ราก)[1],[2],[5]
19. รากนำมาทุบให้ละเอียดแช่กับน้ำ ใช้พอกแผลต่าง ๆ ฆ่าหนอน และทำลายหิดได้ (ราก)[5]
20. รากหนอนตายหยากใหญ่ มีรสเย็น เป็นยาแก้อาการวัยทองทั้งชายและหญิง (รากหนอนตายหยากใหญ่)[6]
21. สมุนไพรหนอนตายหยากยังใช้เป็นส่วนผสมของตำรับยาไทยอีกหลายรายการ เช่น ยาตัดรากอุปะทม (แก้อุปะทมโรคสำหรับบุรุษ), ยาแก้นิ่วเนื้อด้วยอุปทุม, ยาต้มสมานลำไส้, ยาแก้ลมกำเริบ, ยาแก้ดีลมแลกำเดา, ยาแก้ดีกำเดาแผลงฤทธิ์ร้าย เป็นต้น[6]
22. นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่น ๆ ที่ระบุสรรพคุณนอกเหนือจากที่กล่าวมาไว้อีกหลายอย่าง เช่น ช่วยลดระดับน้ำตาลสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย (นันทวัน และอรนุช 2543) แก้มะเร็งในกระดูก แก้มะเร็งในมดลูก แก้โรคผิวหนังเป็นตุ่มหนอง (th.apoc12.com - ฐานข้อมูลพันธุกรรมพืช กรมวิชาการเกษตร), มะเร็งผิวหนัง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกและรังไข่ ฯลฯ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้เองผมก็ยังหาเอกสารอ้างอิงไม่เจอครับ จึงไม่แน่ใจว่าจะมีสรรพคุณดังที่กล่าวมาหรือไม่
หมายเหตุ : วิธีใช้ตาม [3] ให้ใช้รากแห้งครั้งละ 3-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน ถ้าใช้ภายนอกให้ใช้ประมาณ 50-100 กรัม นำมาต้มแล้วใช้น้ำล้างหรืออาบแก้โรคผิวหนังผดผื่นคัน[3]
ข้อควรระวังในการใช้หนอนตายหยาก
• รากหนอนตายหยากมีพิษ หากรับประทานเข้าไปจะทำให้มึนเมา และอาจถึงตายได้[5] มีข้อมูลระบุว่าการนำมาใช้เป็นยาจะต้องผ่านกรรมวิธีการทำลายพิษเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ได้ เช่น การนำรากมาล้างให้สะอาดแล้วลวกหรือนึ่งจนกระทั่งไม่เห็นแกนสีขาวในราก และต้องตากแดดก่อนนำไปใช้ปรุงยา หรือในบางตำราก็จะนำไปเชื่อมกับน้ำผึ้งก่อนนำไปใช้ (นันทวัน และอรนุช 2543)

🎈🎈ความสำคัญ และ ความรู้ เกี่ยวกับ ตัวยาสมุนไพร9ชนิด🎯วันนี้ขอนำเสนอ ตัวยาสมุนไพรที่มีชื่อว่า  ☀☀ว่านสากเหล็ก☀☀สมุนไพร : ว...
21/01/2021

🎈🎈ความสำคัญ และ ความรู้ เกี่ยวกับ ตัวยาสมุนไพร9ชนิด
🎯วันนี้ขอนำเสนอ ตัวยาสมุนไพรที่มีชื่อว่า ☀☀ว่านสากเหล็ก☀☀
สมุนไพร : ว่านสากเหล็ก
Molineria latifolia (W. T. Aiton) Herb. ex Kurz var. (W. T. Aiton) Herb. ex Kurz วงศ์ : HYPOXIDACEAE
ไม้ล้มลุก ลักษณะคล้ายพืชพวกปาล์ม ใบ เดี่ยว เรียงสลับติดกันที่โคนต้น รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก คล้ายใบปาล์ม ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบแคบ โคนแผ่กว้างหุ้มลำต้น
ดอก ช่อแบบช่อรูปทรงกระบอกปลายแหลม ดอกสีเหลือง มี 6 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน
ผล แก่สีขาวถึงแดง ขนาดยาว 4-5 เซนติเมตร ส่วนที่ด้านขั้วป่องออกเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร และค่อยๆ เรียวไปทางปลายผล
ประโยชน์ : ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ราก ฝนทา แก้สิวฝ้า ยาพื้นบ้านภาคใต้ใช้ เหง้า 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม วันละสามครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ลดอาการปวดประจำเดือน
ราก 10-15 กรัม ต้มน้ำดื่ม วันละสามครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น รับประทานเป็นยาชักมดลูก เช่น คลอดบุตรใหม่ๆ มดลูกลอย เพราะความอักเสบ เนื่องจากความเคลื่อนไหวของมดลูกจากที่เดิมให้เป็นปกติ วิธีใช้คือนำรากมาหั่นบางๆ ตากแห้ง ดองสุราหรือบดรับประทาน ชักมดลูกให้เข้าอู่ แก้มดลูกอักเสบ บำรุงกำลัง ปรุงยาขัดผิว แก้สิวฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า ทำให้หน้าขาว แต่เมื่อถูกแดดจะทำให้หน้าดำ
ดอก 100-150 กรัม
ผล แก่สีขาวถึงแดง ขนาดยาว 4-5 เซนติเมตร ส่วนที่ด้านขั้วป่องออกเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร และค่อยๆ เรียวไปทางปลายผล
ประโยชน์ : ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ราก ฝนทา แก้สิวฝ้า ยาพื้นบ้านภาคใต้ใช้ เหง้า 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม วันละสามครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ลดอาการปวดประจำเดือน
ราก 10-15 กรัม ต้มน้ำดื่ม วันละสามครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น รับประทานเป็นยาชักมดลูก เช่น คลอดบุตรใหม่ๆ มดลูกลอย เพราะความอักเสบ เนื่องจากความเคลื่อนไหวของมดลูกจากที่เดิมให้เป็นปกติ วิธีใช้คือนำรากมาหั่นบางๆ ตากแห้ง ดองสุราหรือบดรับประทาน ชักมดลูกให้เข้าอู่ แก้มดลูกอักเสบ บำรุงกำลัง ปรุงยาขัดผิว แก้สิวฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า ทำให้หน้าขาว แต่เมื่อถูกแดดจะทำให้หน้าดำ
ดอก 100-150 กรัม ราก 10-15 กรัม ต้มน้ำดื่ม วันละสามครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ
ว่านสากเหล็ก สรรพคุณและประโยชน์ของว่านสากเหล็ก 13 ข้อ !
ว่านสากเหล็ก
ว่านสากเหล็ก ชื่อวิทยาศาสตร์ Molineria latifolia (Dryand. ex W.T.Aiton) Herb. ex Kurz (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Curculigo latifolia Dryand. ex W.T.Aiton)[1],[3] จัดอยู่ในวงศ์ HYPOXIDACEAE[3]
สมุนไพรว่านสากเหล็ก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ว่านพร้าว จ๊าลาน (เชียงราย), มะพร้าวนกคุ่ม มะพร้าวนกคุ้ม (ยะลา), พญารากเดี่ยว (นราธิวาส), กูดพร้าว (ภาคเหนือ), ละโมยอ (มะลายู-นรา), ซีหนานเหวินสูหลาน (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[2]ลักษณะของว่านสากเหล็ก
• ต้นว่านสากเหล็ก มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางจังหวัดสระบุรี จัดเป็นพรรณไม้เตี้ยหรือไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี ลักษณะคล้ายกับพืชจำพวกปาล์ม มีความสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร ลำต้นเหนือดินมีลักษณะกลมชุ่มน้ำ มีหัวคล้ายรากแทงลึกลงไปในดินประมาณ 10-30 เซนติเมตร ตรงหัวจะมีรากเล็ก ๆ ลึกลงไปในดินอีกรากหนึ่ง ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับสากตำข้าว หรือเป็นรูปไข่กลมรี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยก
• ใบว่านสากเหล็ก ใบออกเรียงสลับติดกันที่โคนต้น ลักษณะของใบเป็นรูปยาวรีหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก แผ่นใบพับเป็นร่อง ๆ ตามยาวคล้ายกับใบปาล์ม ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3.5-6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 20-70 เซนติเมตร มีก้านใบยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร โคนแผ่กว้างหุ้มกับลำต้น[2],[3]
• ดอกว่านสากเหล็ก ดอกออกเป็นช่อแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน ดอกมีกลีบ 6 กลีบ สีเหลือง โคนดอกเชื่อมติดกัน ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ดอกออกรวมกันแน่น ลักษณะเป็นช่อรูปทรงกระบอกปลายแหลม มีขนาดกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร และยาวได้ประมาณ 5-7 เซนติเมตร[3]
• ผลว่านสากเหล็ก ผลมีลักษณะกลมมีสีเหลืองอมเขียวอ่อน ส่วนผลแก่เป็นสีขาวถึงแดง มีขนาดยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ส่วนที่ด้านขั้วป่องออก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร และค่อย ๆ เรียวไปทางปลายผล[3] ผลมีรสหวานถ้ากินน้ำหลังจากกินผลไม้นี้แล้ว จะทำให้สึกว่าน้ำมีรสหวานชุ่มคอดี[1]
สรรพคุณของว่านสากเหล็ก
1. ใบและรากมีรสเผ็ดขม เป็นยาเย็นมีพิษเล็กน้อย ใช้เป็นยาดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ (ใบและราก)[2]
2. ช่วยกระจายโลหิต ฟอกโลหิต และทำให้โลหิตไหลเวียนได้สะดวก (ใบและราก)[2]
3. ช่วยบำรุงกำลัง (ราก)[4]
4. ช่วยแก้อาการไอ เจ็บคอ ด้วยการใช้ยาแห้งประมาณ 3-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ใบและราก)[2]
5. หัวและรากของว่านสากเหล็ก นำมาหั่นบาง ๆ แล้วตากให้แห้ง ใช้ดองกับเหล้ากินเป็นยาชักมดลูก สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ๆ จะช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น และยังช่วยรักษามดลูกอักเสบเนื่องจากความเคลื่อนไหวของมดลูกจากที่เดิมให้เป็นปกติ (หัวและราก)[1],[2],[3]
6. หัวใช้ดองกับเหล้ารับประทานแก้มดลูกพิการ หรือเนื้องอกในมดลูกทำให้ฝ่อ ช่วยแก้กระบังลมพลัด (เรียกว่า "ดากโยนี" เวลานั่งโผล่ เวลานอนหดขึ้น) ทำให้ยุบเล็กและแห้งเหี่ยวไป (หัว)[6]
7. ช่วยแก้พิษงู แมลงกัดต่อย (ใบและราก)[2]
8. ช่วยรักษาฝีภายนอก (ใบและราก)[2]
9. ช่วยแก้อาหารฟกช้ำ โดยใช้รากแห้ง นำมาบดให้เป็นผง ใช้ครั้งละ 10 กรัม นำมาชงกับน้ำหรือเหล้ารับประทาน (ราก)[2]
10. ช่วยแก้อาการปวดข้อ เคล็ดขัดยอก แก้บวม (ใบและราก)[2]
11. ว่านสากเหล็กจัดอยู่ในตำรับยา "พิกัดเหล็กทั้งห้า" ซึ่งประกอบไปด้วยว่านสากเหล็ก แก่นขี้เหล็ก แก่นพญามือเหล็ก เถาวัลย์เหล็ก และสนิมเหล็ก มีสรรรพคุณเป็นยาแก้พิษโลหิตทั้งบุรุษและสตรี เป็นยาบำรุงกำลัง และแก้กษัย[6]
หมายเหตุ : การใช้ตาม [2] ให้ใช้ยาแห้งครั้งละ 3-10 กรัม ถ้าเป็นยาสดให้ใช้ครั้งละ 15-35 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เข้ากับตำรายาอื่นด้วยก็ได้ แต่ถ้านำมาใช้ภายนอกให้ใช้ต้นสดตำพอกบริเวณที่ต้องการ[2] ว่านสากเหล็กและพลับพลึง ต่างก็มีสรรพคุณที่คล้ายคลึงกัน สามารถนำมาใช้แทนกันได้ แต่ในตำรายาไทยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ว่านสากเหล็กเป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับมดลูกเป็นส่วนใหญ่ และก่อนจะนำมาใช้เป็นยาจะต้องนำไปกำจัดพิษออกก่อน และเวลาใช้ไม่ควรใช้ในปริมาณที่เกินกว่ากำหนด[2]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของว่านสากเหล็ก
• สารที่พบได้แก่ สาร Alkaloids หลายชนิด เช่น Lycorine, Narcissine, Crinamrine, Tazettine, Amino acid เป็นต้น[2]
• สาร Tazettine ที่สกัดได้จากว่านสากเหล็กในปริมาณ 5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มีฤทธิ์ในการกระตุ้นหัวใจที่อยู่นอกตัวของกล ทำให้มีการบีบตัวแรงขึ้น[2]
• ว่านสากเหล็กมีฤทธิ์ทางเภสัชที่สำคัญคือฤทธิ์การต้านการอักเสบ รักษาแผลพุพอง หนอง ลดอาการเจ็บปวด อาการบวม[5]
• สารสกัดหยาบด้วยน้ำอุณหภูมิห้องจากส่วนของรากและเหง้าจะให้ผลผลิตสูงสุด รองลงมาคือเอทานอลและสารสกัดหยาบจากส่วนใบและลำต้น จากการศึกษาฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ พบว่าสารสกัดหยาบทั้งส่วนเหนือดิน (รากและเหง้า) และส่วนใต้ดิน (ใบและลำต้น) มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูง โดยสารสกัดหยาบด้วยน้ำร้อนจากส่วนของใบและลำต้นจะมีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด[5]
• นอกจากนี้ว่านสากเหล็กยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มก่อโรคผิวหนัง Candida albicans, Pseudomonas aeruginosa, Stapphylococcus aureus ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้[5]
ประโยชน์ของว่านสากเหล็ก
• ผลใช้รับประทานได้ มีรสหวานถ้ากินน้ำหลังจากกินผลไม้นี้แล้ว จะทำให้สึกว่าน้ำมีรสหวานชุ่มคอ รับประทานอะไรก็หวานไปหมด[1]
• บางข้อมูลระบุว่ารากสามารถนำมาใช้ปรุงทำเป็นยาขัดผิว แก้สิวฝ้าจุดด่างดำได้[4],[5]

กำลังทะยอยส่งให้นะครับกินแล้วเห็นผล​ บอกต่อๆกันไปขอบคุณ​ลูกค้าที่อุดหนุนครับผม
19/01/2021

กำลังทะยอยส่งให้นะครับ
กินแล้วเห็นผล​ บอกต่อๆกันไป
ขอบคุณ​ลูกค้าที่อุดหนุนครับผม

🎈🎈ความสำคัญ และ ความรู้ เกี่ยวกับ ตัวยาสมุนไพร9ชนิด🎯วันนี้ขอนำเสนอ ตัวยาสมุนไพรที่มีชื่อว่า  ☀☀ม้ากระทืบโรง☀☀ม้ากระทืบโร...
19/01/2021

🎈🎈ความสำคัญ และ ความรู้ เกี่ยวกับ ตัวยาสมุนไพร9ชนิด
🎯วันนี้ขอนำเสนอ ตัวยาสมุนไพรที่มีชื่อว่า ☀☀ม้ากระทืบโรง☀☀

ม้ากระทืบโรง
ม้ากระทืบโรง ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus sarmentosa Buch.-Ham. ex Sm. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ficus reticulata (Miq.) Miq.) จัดอยู่ในวงศ์ MORACEAE
สรรพคุณของม้ากระทืบโรง
1. เถามีรสเย็นขื่น ใช้ดองกับสุราหรือใช้ต้มดื่มช่วยบำรุงกำลัง หรือจะใช้เถาม้ากระทืบโรงที่ตากแห้งแล้วนำมาเข้าเครื่องยาผสมกับเปลือกต้นนางพญาเสือโคร่ง ลำต้นฮ่อสะพายควาย ตานเหลือง มะตันขอ จะค่าน ข้าว แก่นฝาง หลามดง หัวยาข้าวเย็น ไม้มะดูก และโด่ไม่รู้ลืม นำมาต้มน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายก็ได้เช่นกัน (เถา, ลำต้น, ทั้งต้น)
2. ใช้ผสมกับลำต้นคุย นำมาต้มดื่มใช้เป็นยาอายุวัฒนะ (ต้น)
3. ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (เถา, ทั้งต้น)
4. ช่วยบำรุงร่างกาย (ต้น)
5. ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ทั้งต้น)
6. ช่วยบำรุงโลหิต ด้วยการใช้เถาต้มกับน้ำดื่มหรือใช้ดองกับเหล้าก็ได้ (เถา)
7. ช่วยแก้เลือดเสีย เลือดค้าง ซูบซีด (ต้น)
8. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (เนื้อไม้)
9. ช่วยแก้อาการปวดฟัน (เถา)
10. ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับน้ำย่อย ช่วยทำให้อาหารมีรส (เถา)
11. ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ทั้งต้น)
12. ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย (เถา)
13. ช่วยแก้ประดงลม (เถา)
14. ช่วยแก้ประดงเลือดที่ทำให้เป็นจุดห้อเลือด เป็นเม็ดตุ่มตามผิวกาย (เถา)
15. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เช่น ปวดหลัง ปวดเอว เป็นต้น (เถา, เนื้อไม้)
16. ประโยชน์ของม้ากระทืบโรง ใช้ทำเป็นยาดองม้ากระทืบโรง ซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงความกำหนัด (เถา, ทั้งต้น)
17. ดอกม้ากระทืบโรง ออกดอกเป็นช่อ ลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายผลออกเดี่ยว ๆ ตามซอกใบ ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ที่ฐานรองดอกเป็นรูปทรงกลม
18. ผลม้ากระทืบโรง ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม เปลือกผลสีเขียว ภายในผลเนื้อมีสีแดง
19. ใบม้ากระทืบโรง มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ลักษณะของใบคล้ายรูปหอก หรือรูปไข่ หรือเป็นรูปขอบขนานแกมวงรี ก้านใบและผิวใบด้านล่าง รวมไปถึงฐานรองดอกอ่อนจะมีขน ใบกว้างประมาณ 7-9 เซติเมตร และยาวประมาณ 12-18 เซนติเมตร
ลักษณะของม้ากระทืบโรง
• ต้นม้ากระทืบโรง จัดเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย เป็นไม้เถาขนาดใหญ่มักเลื้อยเกาะไปตามพรรณไม้ชนิดอื่น มีความสูงได้ถึง 25 เมตร เปลือกมีสีน้ำตาลและสาก มีปุ่มขึ้นคล้าย ๆ หนาม เนื้อไม้สีขาวและมีน้ำยางสีขาว เถามีรสเย็น ส่วนทั้งต้นจะมีรสขมเล็กน้อย มักพบเกาะเลื้อยอยู่ตามต้นไม้ขนาดใหญ่ในป่าดิบแล้งและป่าดิบเขา ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตัดเถาม้ากระทืบโรงประมาณ 1 คืบแล้วนำมาปักชำ
• สมุนไพรม้ากระทืบโรง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ม้าคอกแตก คอกม้าแตก มันฤาษี กาโร (ระนอง), พญานอนหลับ (นครสวรรค์), มาดพรายโรง (โคราช), เดื่อเครือ (เชียงใหม่), บ่าบ่วย (คนเมือง), ม้าทะลายโรง (ภาคอีสาน) เป็นต้น
• ม้ากระทืบโรง (บางครั้งมักสะกดผิดเป็น "ม้ากระทืบโลง")
• ม้ากระทืบโรง คือ สมุนไพรชนิดหนึ่งที่เป็นไม้เถาเลื้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และมีสรรพคุณโดดเด่นนั่นก็คือการใช้เป็นยาบำรุงกำลังและบำรุงกำหนัด โดยมักนิยมนำมาดองกับเหล้าไว้ดื่ม หรือที่เรียกว่า ยาดองม้ากระทืบโรง

ชื่อสมุนไพร ขันทองพยาบาทชื่ออื่นๆ ดูกใส (อีสาน) ยางปลอก ยายปลวก ฮ่อสะพานควาย (แพร่ น่าน) ขันทองพยาบาท (ภาคกลาง) ดูกหิน (...
18/01/2021

ชื่อสมุนไพร ขันทองพยาบาท
ชื่ออื่นๆ ดูกใส (อีสาน) ยางปลอก ยายปลวก ฮ่อสะพานควาย (แพร่ น่าน) ขันทองพยาบาท (ภาคกลาง) ดูกหิน (สระบุรี) ข้าวตาก (กาญจนบุรี) มะดูกเลื่อม (เหนือ) ขันทอง (พิษณุโลก) ขุนทอง (ประจวบคีรีขันธ์) กระดูก (ใต้) ป่าช้าหมอง ดูกไทร ขอบนางนั่ง สลอดน้ำ มะดูกดง ข้าวตาก ขนุนดง เจิง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Suregada multiflora (A.Juss) Baill.
ชื่อพ้อง Gelonium affine S.Moore, G. bifarium Roxb. ex Willd., G. fascuculatum Roxb., G. multiflorum A.Juss., G. obtusum Miq., G. oxyphyllum Miq., G. sumatranum S.Moore, G. tenuifolium Ridl., Suregada affinis (S.Moore) Croizat, S. bifaria (Roxb. ex Willd.) Baill, S. glabra Roxb., S. oxyphylla (Miq.) Kuntze, S. sumatrana (S.Moore) Croizat, S. tenuifolia (Ridl.) Croizat
ชื่อวงศ์ Euphorbiaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 7-13 เมตร ทรงพุ่มแน่นทึบ ลำต้นตรง กิ่งก้านอ่อน กิ่งห้อยลง กิ่งมีขนรูปดาว เปลือกต้นสีน้ำตาลแก่ ผิวบางเรียบ เนื้อไม้สีขาว ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 3-8 เซนติเมตร ยาว 9-22 เซนติเมตร เนื้อใบหนาทึบ เหนียว หลังใบเรียบลื่นเป็นมัน ท้องใบเรียบสีอ่อนกว่า ฐานใบรูปหัวใจ ปลายใบเป็นติ่งยาว ขอบใบจักฟันเลื่อย ไม่มีขน มีต่อมใสๆ ขนาดเล็ก เส้นใบข้าง 5-9 คู่ ก้านใบยาว 2- 5 มิลลิเมตร ผิวใบด้านล่างมีต่อมสีเหลือง และมีขนรูปดาว หูใบขนาด 2 มม. แต่ละคู่เชื่อมกัน หลุดร่วงง่าย แต่ทิ้งแผลเป็นวงไว้ ดอกสีเขียวอมเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อสั้นๆ ตรงซอกใบ ขนาด 0.8-1 ซม. กลิ่นหอม ช่อละ 5-10 ดอก อยู่ตรงกันข้ามกับใบ มีใบประดับยาว 1 มม. กว้าง 0.7-0.8 มม. รูปหอก ตรงปลายแหลม ดอกแยกเพศ แยกต้น ไม่มีกลีบดอก ดอกเพศผู้ ขนาด 2.5 มิลลิเมตร เกสรเพศผู้ 35-60 อัน แต่ละอันมีต่อมที่ฐาน อาจพบเกสรตัวผู้ที่เป็นหมันปะปนอยู่ด้วย ฐานรองดอกนูนพองออก ดอกเพศเมีย ลักษณะเหมือนดอกเพศผู้ รังไข่เหนือวงกลีบ มีขนหนาแน่น รังไข่มี 3 ช่อง ก้านเกสรตัวเมีย 3 อัน ปลายแยก รังไข่มีขนละเอียด มีหมอนรองดอก ก้านดอกยาว 5 มิลลิเมตร กลีบรองดอกมี 5 กลีบ หนา โคนเชื่อมกันเล็กน้อย ขอบจักเป็นซี่ฟัน ผลเกือบกลม ผิวเกลี้ยง ขนาด 2 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียวเมื่อสุกมีสีเหลืองอมแสด แตกตามพู มี 3 พู มีติ่งเล็กๆที่ยอด เมล็ดค่อนข้างกลม หนึ่งผลมี 3 เมล็ด ขนาด 7-8 มิลลิเมตร สีน้ำตาลเข้ม มีเนื้อบางๆสีขาว (aril) หุ้มเมล็ด พบตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ ที่ระดับความสูงไม่เกิน 600 เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ติดผลเดือนเมษายนถึงมิถุนายน

สรรพคุณ:
ตำรายาไทย ราก รสเมาเบื่อร้อน แก้ลม แก้ประดง แก้พิษในกระดูก แก้โรคผิวหนัง รักษาน้ำเหลืองเสีย เปลือกต้น รสเมาเบื่อ แก้โรคตับพิการ แก้ปอดพิการ แก้ลมเป็นพิษ แก้โรคผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน รักษามะเร็ง รักษามะเร็งคุด เป็นยาถ่าย เป็นยาระบาย เป็นยาบำรุงเหงือก แก้เหงือกอักเสบ ทำให้เหงือกแข็งแรง ทำให้ฟันทน แก้ประดง ถ่ายน้ำเหลือง แก้พิษในกระดูก ฆ่าพยาธิ แก้โรคเรื้อน คุดทะราด แก้กามโรค เนื้อไม้ รสเมาเบื่อ แก้กามโรค แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง แก้มะเร็งคุดทะราด แก้กลากเกลื้อน แก้ลมพิษ แก้ประดงผื่นคัน แก้ประดง แก้พิษในกระดูก ฆ่าพยาธิ แก้โรคเรื้อน แก้ลมและโลหิตเป็นพิษ เนื้อไม้ มีพิษทำให้เมา ใช้เป็นยาเบื่อ ลำต้น ต้มอาบสำหรับหญิงอยู่ไฟ ไม่ระบุส่วนที่ใช้ แก้ลมเป็นพิษ แก้พิษต่างๆ แก้ลมพิษ แก้พิษในกระดูก แก้โรคประดง แก้โรคผิวหนัง ฆ่าพยาธิผิวหนัง แก้โรคมะเร็ง คุดทะราด แก้กามโรค ฆ่าพยาธิ แก้โรคเรื้อน แก้กลากเกลื้อน ฆ่าพยาธิโรคเรื้อน

องค์ประกอบทางเคมี:
เปลือกต้น พบสาร diterpenoids ได้แก่ suremulol C, suremulol D, entkaurene-3β,15 β-diol, abbeokutone, helioscopinolide A,helioscopinolide C, helioscopinolide I, suregadolides C, suregadolides, suremulide A, bannaringaolide A, suremulol A, suremulol B (kaurane diol) สารกลุ่ม triterpene alcohol ได้แก่ multiflorenol
ราก พบสารในกลุ่ม diterpene diol มีโครงสร้างเป็น ent-kaurene-3b, 15b-diol, สาร flavonesได้แก่ kanugin, desmethoxy kanugin และ pinnatin
ใบ พบสาร tetracyclic diterpene lactones ในกลุ่ม abiatene diterpene lactones หลายชนิด
เมล็ด พบสารไกลโคไซด์ 7,4’-O-dimethylscutellarein 6-O-β-D-glucopyranoside

การศึกษาทางเภสัชวิทยา:
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลองของสารสกัด และสารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากเปลือกลำต้นขันทองพยาบาท โดยใช้เซลล์แมคโครฟาจ RAW264.7ของหนู ซึ่งถูกกระตุ้นการอักเสบด้วยสาร lipopolysaccharide (LPS) จากผลการทดลองพบว่าสารสกัดเฮกเซน และไดคลอโรมีเทนจากเปลือกลำต้นขันทองพยาบาท ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้ง nitric oxide (NO) โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 8.6 µg/ml และ สารบริสุทธิ์ที่แยกได้ คือ helioscopinolide A แสดงฤทธิ์ยับยั้ง NO ได้สูงที่สุดที่ค่า IC50 เท่ากับ 9.1 μM ตามด้วย helioscopinolide C และ suremulol D มีค่า IC50 เท่ากับ 24.5 และ 29.3 μM ตามลำดับ สาร helioscopinolide A มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง prostraglandin E2 (PGE2) โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 46.3 μM ฤทธิ์ต้านการอักเสบของ helioscopinolide Aเกิดจากกลไกในการยับยั้งการแสดงออกของยีน iNOS และ COX-2 mRNAทำให้การผลิต NO และพรอสตาแกลนดิน ที่เกี่ยวข้องในขบวนการอักเสบลดลง โดยการออกฤทธิ์ขึ้นกับขนาดของยา (Tewtrakul, et al., 2011)
ฤทธิ์แก้แพ้
แยกสารบริสุทธิ์จากสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้นขันทองพยาบาทได้สารไดเทอร์ปีน 7 ชนิด คือ ent-16 -kaurene-3 β,15 β,18-triol, ent -3-oxo-16-kaurene-15 β,18-diol, ent -16-kaurene-3 β,15 β-diol, abbeokutone, helioscopinolide A, helioscopinolide C และ helioscopinolide I นำสารแต่ละชนิดมาทดสอบฤทธิ์แก้แพ้ในหลอดทดลอง โดยดูผลการยับยั้งการปล่อยเอนไซม์ β-hexosaminidase (ในการแพ้แบบ hypersensitivity type I จะมีอาการของโรคเกิดเร็วในเวลาเป็นนาที หรือชั่วโมง ภายหลังได้รับแอนติเจน ซึ่งจะเหนี่ยวนำการสร้างแอนติบอดีชนิด IgE ไปจับกับรีเซฟเตอร์บน mast cell และมีการปล่อยเอนไซม์ β-Hexosaminidase ร่วมกับ histamine ที่เก็บไว้ใน mast cell ออกมา ส่งผลให้เกิดอาการแพ้)ผลการทดลองพบว่าสารทั้ง 7 ชนิด มีฤทธิ์ยับยั้งการปลดปล่อยเอนไซม์ β-Hexosaminidase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการแพ้ ของเซลล์ RBL-2H3 โดยมีค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) ของสารดังกล่าวข้างต้น มีค่าระหว่าง 22.5 - 42.2 ไมโครโมล โดยออกฤทธิ์ได้ดีกว่ายามาตรฐาน ketotifen fumarate (IC50 = 47.5 ไมโครโมล) (Cheenpracha, et al., 2006)

สต็อคพร้อมส่ง​ สั่งมาได้เลย​ มีบริการเก็บเงินปลายทางด้วยนะครับ​ กระปุกละ​ 250​ สั่งเยอะมีราคาพิเศษ​ครับ
17/01/2021

สต็อคพร้อมส่ง​ สั่งมาได้เลย​ มีบริการเก็บเงินปลายทางด้วยนะครับ​ กระปุกละ​ 250​ สั่งเยอะมีราคาพิเศษ​ครับ

ขมิ้นชัน (Turmeric) หรือขมิ้น เป็นพืชที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อของเหง้ามีสีเหลืองเข้มไปจนถึงสีแสด เอกลักษณ์ที่เด่นชัด คื...
16/01/2021

ขมิ้นชัน (Turmeric) หรือขมิ้น เป็นพืชที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อของเหง้ามีสีเหลืองเข้มไปจนถึงสีแสด เอกลักษณ์ที่เด่นชัด คือ รสชาติที่จัดจ้าน สีสันมีความสวยงาม อีกทั้งยังได้มีการนำเอาสมุนไพรมาประยุกต์ผสมผสานลงไปในอาหารไทย ทำให้ได้รสชาติที่ดูแตกต่างแต่ลงตัว เมื่อพูดถึงเรื่อง สมุนไพร ที่คนไทยนิยมนำมาทำอาหาร เราคงจะพลาดที่จะเอ่ยถึง ขมิ้นชัน ไม่ได้ เพราะว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่ทำให้อาหารมีสีสันสะดุดตา ตลอดจนมีสรรพคุณทางยาที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มพูนเป็นลำดับถัดมาจากความอร่อย ตอนนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสมุนไพรชนิดกันให้มากขึ้น เพราะเหตุใดจึงเป็นที่นิยม และประโยชน์ที่ได้จากสมุนไพรชนิดนี้มีอะไรบ้าง หากพร้อมแล้วมาเริ่มเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน
วิตามินและแร่ธาตุในขมิ้นชัน
นอกจากเราจะเราสามารถนำขมิ้นชันไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหาร ใช้ย้อมสี หรือใช้เพิ่มกลิ่นให้กับอาหารแล้ว ในขมิ้นชันยังมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เกลือแร่ เส้นใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน
เริ่มเล่าเท้าความถึงขมิ้นชันนั้น เป็นไม่ล้มลุกอายุหลายปี ความสูงของลำต้นเพียง 30 – 90 เซนติเมตรเท่านั้น มีเหง้าใต้ดิน ส่วนตรงกลางมีขนาดใหญ่รูปไข่ มีแขนงแตกออกด้านข้าง 2 ด้าน ที่อยู่ตรงข้ามกันคล้ายนิ้วมือ เนื้อในเหง้ามีสีเหลืองเข้ม กลิ่นหอม คนไทยรู้จักกันในฐานะของพืชสมุนไพรและเครื่องเทศ นิยมนำมาใช้ประกอบอาหาร ปัจจุบันยังได้เพิ่มการแต่งสี แต่งกลิ่น เพิ่มรสชาติให้อาหารมีความน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น อาหารที่นิยมใส่ขมิ้นชัน ได้แก่ แกงเหลือง ข้าวหมกไก่ แกงกะหรี่ ขนมเบื้องญวน ไก่ทอด แกงไตปลา มัสตาร์ด เนย มาการีน เป็นต้น
จุดเริ่มต้นของการที่คนเราหันมารับประทานขมิ้นชันนั้น เชื่อกันว่ามีต้นตอมาจากชาวอินเดีย หรือที่เรียกว่า ชาวภารตะ ที่นิยมกินขมิ้นชันกันมานานกว่า 4,000 ปีแล้ว ส่วนคนไทยก็มีความนิยมกินขมิ้นชันเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคใต้นิยมใส่ขมิ้นชันลงไปในอาหารประเภทแกงเผ็ดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้มีสีเหลืองและยังช่วยดับกลิ่นคาวปลาได้อีกด้วย รวมทั้งการใส่ลงไปในอาหารก็จะช่วยไม่ให้อาหารบูดเสียง่าย เพราะในขมิ้นชันมีคุณสมบัติที่ช่วยต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ นอกจากนั้น การใช้ขมิ้นชันในอาหารจะช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันการเหม็นหืนของน้ำมันและไขมันเมื่อต้องเก็บไว้เป็นเวลานานๆ นับว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบในการช่วยถนอมอาหารและยังมีคุณค่าทางโภชนาการให้อาหารได้อีกด้วย
สรรพคุณทางยา
ขมิ้นชันนอกจากที่จะมีคุณค่าทางอาหารแล้ว ก็ยังถือเป็นพืชที่มีคุณค่าทางยาอีกด้วย ซึ่งชาวไทยนิยมนำส่วนต่างๆ มาใช้เป็นยาเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นรับร่างกาย โดยสามารถดูรายละเอียดได้ดังนี้
• เหง้า : เหง้ารสฝาดหวานเอียด ใช้สำหรับแก้อาการไข้เรื้อรัง ผอมเหลือง แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะและโลหิต แก้ท้องร่วง สมานแผล แก้ธาตุพิการ ขับผายลม แก้ผื่นคัน ขับกลิ่นและสิ่งสกปรกในร่างกาย คุมธาตุ หยอดตาแก้ตาบวม ตาแดง น้ำคั้นจากเหง้าสดทาแก้แผลถลอก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ลดอาการอักเสบ ทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง นำมาอัดเม็ดทำเป็นยารักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย กระเพาะอาหารอ่อนแอ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ท้องร่วง แก้บิด
• ผงขมิ้น : (น้ำเหง้าแห้งมาบดเป็นผง) นำมาเคี่ยวกับน้ำมันพืช ทำน้ำมันใส่แผลสด
• ขมิ้นสด : (ใช้เหง้าสดล้างให้สะอาด) ตำกับดินประสิวเล็กน้อย ผสมน้ำปูนใสพอกบาดแผลและแก้เคล็ดขัดยอก เผาไฟ ตำกับน้ำปูนใส รับประทานแก้ท้องร่วง แก้บิด
ตำรับยา
การใช้ขมิ้นเพื่อรักษาอาการแน่นจุกเสียด อาหารไม่ย่อย เป็นข้อบ่งใช้เดียวที่มีรายงานการวิจัยทางคลินิกที่เป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก และคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา
วิธีใช้
1. รับประทานผงขมิ้นชันในขนาด 1.5 – 4 กรัม/วัน แบ่งเป็นวันละ 3 – 4 ครั้ง ช่วงเวลาหลังอาหารและก่อนนอน
2. ใช้ขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอน รับประทานช่วงเวลาหลังอาหารและก่อนนอน ครั้งละ 3 – 5 เม็ด วันละ 3 เวลา
การใช้ขมิ้นรักษาอาการท้องเสีย
วิธีใช้
1. ใช้ขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอน รับประทานช่วงเวลาหลังอาหารและก่อนนอน ครั้งละ 3 – 5 เม็ด วันละ 3 เวลา
การใช้ขมิ้นรักษาแผลและแมลงกัดต่อย
วิธีใช้
1. ใช้ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันหมู 2 – 3 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จนน้ำมันกลายเป็นสีเหลือง ใช้น้ำมันที่ได้ใส่แผล
2. นำขมิ้นชันมาล้างให้สะอาดแล้วตำจนละเอียด คั้นเอาน้ำที่ได้มาใส่แผล
3. เอาขมิ้นชันผสมกับน้ำปูนใสเล็กน้อย จากนั้นให้ผสมสารส้ม หรือดินประสิว พอกบริเวณที่เป็นแผลและแก้เคล็ดขัดยอก
การใช้ขมิ้นเพื่อรักษากลาก เกลื้อน
วิธีใช้
1. ผสมขมิ้นกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นกลาก เกลื้อน จำนวน 2 ครั้ง/วัน
การใช้ขมิ้นชันในการกำจัดและป้องกันศัตรูพืช
วิธีใช้
2. ตำขมิ้นชั้นแห้งครึ่งกิโลกรัมให้ละเอียด จากนั้นนำไปหมักในน้ำ 2 ลิตร ทิ้งไว้ค้างคืน เมื่อได้ที่แล้วจึงกรองเอาเฉพาะน้ำไปผสมน้ำเพิ่มอีก 2 ลิตร ใช้ฉีดพ่นแปลงผักจะช่วยป้องกันหนอนใยผัก หนอนกระทูผัก และหนอนผีเสื้อทั่วไป
นอกจากขมิ้นชัน จะสามารถนำมาประกอบอาหารประเภทต่างๆ รวมถึงยังใช้เป็นยารักษาโรคและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกร่างกายได้แล้ว สมุนไพรชนิดนี้ยังสามารถนำไปใช้รักษาโรคที่คาดว่าน่าจะเกิดจากอนุมูลอิสระ อย่าง โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด เป็นต้น สำหรับในโรคมะเร็งเองแล้ว ขมิ้นชัน จะมีฤทธิ์ช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการแพร่กระจาย อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ปกติเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็ง โดยจากการทดสอบในห้องทดลองพบว่า ฤทธิ์ของขมิ้นชันจะช่วยยับยั้งการเติบโต หรือการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเซลล์มะเร็งหลายๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับอ่อนต่างก็ได้ผลที่ดีทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเป็นข้อดีต่อผู้ป่วยมะเร็งระยะต้นๆ ที่จะหันมารับประทานขมิ้นชันในรูปแบบของการปรุงอาหาร ที่ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่สะดวกและปลอดภัยที่สุด หรืออาจนำผงขมิ้นชันผสมลงในเครื่องดื่มก็ได้ แต่หากต้องการจะรับประทานในรูปแบบอาหารเสริมอาจต้องระวังสักเล็กน้อย เพราะจากงานวิจัยในผู้ป่วยมะเร็งบางรายช่วงที่ได้เคมีบำบัด อาหารเสริมอาจเข้าไปรบกวนประสิทธิภาพของยาได้
เก็บเกี่ยวขมิ้นชันเพื่อใช้ประโยชน์
เราสามารถใช้ประโยชน์จากขมิ้นชันได้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การเก็บเกี่ยว ไม่ควรเก็บในช่วงที่เป็นระยะการแตกหน่อของขมิ้นชัน เนื่องจากในช่วงเวลาการแตกหน่อเป็นช่วงที่ขมิ้นชันผลิตสารเตอร์คิวมินน้อยกว่าช่วยอื่นๆ สารเตอร์คิวมินเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่อยู่ภายในขมิ้นชันดังนั้น เหง้าที่จะสามารถเก็บได้ดี ควรมีอายุเหง้าอย่างน้อย 9 – 12 เดือน และเมื่อเก็บมาแล้วก็ไม่ควรเก็บนานจนเกินไป เพราะน้ำมันหอมระเหยในขมิ้นชันจะระเหยออกหมดเสียก่อน
เมื่อเก็บเกี่ยวเหง้าของขมิ้นชันมาแล้ว หากไม่ได้นำเอาไปทำอาหาร แต่จะใช้เป็นยาเพื่อมาทานเพื่อรักษาโรคต่างๆ ควรนำขมิ้นชันไปล้างน้ำให้สะอาดเสียก่อน เสร็จแล้วจึงนำเอามาหั่นเป็นแว่นๆ ชิ้นบางๆ โดยไม่ต้องปอกเปลือกออก จากนั้นนำไปตากแดดโดยใช้เวลาประมาณ 2 วัน หลังจากนั้นจึงนำเอาขมิ้นชันมาบดให้ละเอียด แล้วเอาผงขมิ้นชันผสมเข้ากันกับน้ำผึ้งแล้วนำมาปั้นเป็นเม็ดกลมๆ เล็กๆ สามารถทานครั้งละ 2 – 3 เม็ด จำนวน 3 ครั้งต่อวัน โดยทานในช่วงเวลาหลังอาหารหรือก่อนนอน
การซื้อขมิ้นชันให้ได้คุณภาพดี
สำหรับการเลือกนำขมิ้นชันมาใช้เพื่อประกอบอาหารสามารถทำได้ทั้งแบบเหง้าสดและบดเป็นผง โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
• เหง้าสด ควรเลือกเหง้าที่มีอายุปลูกตั้งแต่ 9 – 12 เดือน โดยสังเกตได้จากเหง้าขมิ้นชันจะมีขนาดความกว้างและยาวประมาณนิ้วชี้ หรือนิ้วก้อยของผู้ใหญ่ มีสีเหลืองเข้ม หรือสีเหลืองแสด มีกลิ่นฉุน
• ชนิดบดเป็นผง ควรเลือกผงสีเหลืองเข้ม หรือสีแสด ต้องดูให้ดีว่าไม่มีสิ่งเจือป โดยเฉพาะหากอยู่ในร้านที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีการนำผงขมิ้นมาผสมกับอย่างอื่น ทำให้ได้ขมิ้นชันที่ไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์ จะทำให้สารออกฤทธิ์ต่างๆ ในผงขมิ้นลดน้อยลงไปด้วย
การซื้อเหง้าขมิ้นสดแล้วนำมาบดเองจะทำให้ได้ผงขมิ้นชันที่สะอาด ปลอดภัย ได้คุณภาพมากกว่า โดยทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
1. ซื้อเหง้าขมิ้นชันที่มีอายุ 9 – 12 เดือน นำมาล้างให้สะอาด จากนั้นให้หั่นเป็นชิ้นบางๆ
2. วางขมิ้นชันลงบนตะแกรง นำไปจากแดดในที่ร่มจนกว่าขมิ้นชันจะแห้ง หรืออาจนำไปอบในตูอบ ใช้ความร้อนไม่เกิน 96 องศาเซลเซียส มิเช่นนั้นอาจทำให้เกิดสารพิษได้
3. บดขมิ้นชันให้เป็นผงละเอียด เก็บใส่ขวดโหลที่แห่งสนิท ไม่ควรวางไว้ถูกแสงแดด เพราะจะทำให้สารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoids) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระถูกทำลายไป
4. ไม่ควรเก็บผงขมิ้นชันไว้นานจนเกินไป เพราะอาจทำให้น้ำมันหอมระเหยระเหยไปหมด จึงแนะนำให้ทำผงขมิ้นชันไว้พอประมาณ
ยาสำหรับทาภายนอก
นอกจากการนำขมิ้นชันมาทานแล้ว ขมิ้นชันยังสามารถใช้เป็นยาสำหรับทาภายนอกได้อีกด้วย เพื่อรักษาอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหนังเกิดอาการอักเสียบ หรือแมลงกัดต่อย โดยวิธีการคือ ให้นำเอาเหง้าของขมิ้นชันมาต้มในน้ำจนสุก จากนั้นเอามาทาบริเวณที่มีอาการ หรือถูกแมลงกัดต่อย วันละ 3 เวลาก็จะช่วยบรรเทาที่เกิดขึ้นได้
การรับประทานขมิ้นชัน
การรับประทานขมิ้นชัน จะช่วยรักษาโรคได้หลากหลาย เมื่อสามารถรักษาจนโรคหายหรือดีขึ้นแล้วก็ควรหยุดทานขมิ้นชัน เพราะถึงจึงมีประโยชน์มากมาย แต่การที่ร่างกายรับมากจนเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกัน เช่น มีอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืด ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ เพื่อเป็นการป้องกันผลเสียเหล่านี้จึงควรทานแต่พอดี เมื่อโรคหายแล้วก็หยุดในทันที หรือถ้าเกิดมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นก็ให้หยุดการทานขมิ้นชันและให้หายตัวอื่นมากินแทน
แต่อย่างไรก็ตามต้องหมั่นสังเกตให้ดีๆ ว่าอาการที่เกิดขึ้นกับคุณนั้นเกิดจากผลค้างเคียงที่มาจากขมิ้นชัน หรืออาหารอย่างอื่น หรือมาจากโรคที่คุณเป็นอยู่เดิมอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถรักษาโรคได้อย่างถูกต้อง
สูตรพอกหน้าลดสิวด้วยขมิ้นชัน
การใช้ขมิ้นชันพอกหน้ารักษาสิว เป็นตำรับการประทินผิวที่มีมาตั้งแต่โบราณ ด้วยวิธีรักษาตามแบบฉบับธรรมชาติที่ให้ความปลอดภัยสูง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี สูตรพอกหน้าที่มีส่วนผสมของขมิ้นชัน มีด้วยกันหลายสูตรดังนี้
สูตร 1: ผงขมิ้นชัน + ดินสอพอง + นมสด
ผสมผงขมิ้นชันประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ กับดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ (ดินสอพองสตุ) แล้วค่อยๆ ผสมนมสดตามลงไปในสัดส่วนที่ไม่มากจนทำให้ส่วนผสมกลายเป็นน้ำเหลว ค่อยๆ คนจนส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเนียนเหมือนครีมทาผิว จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด นำส่วนผสมทั้งหมดพอกเอาไว้บนใบหน้า นวดเบาๆ ประมาณ 5 นาที ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วค่อยล้างออกตามปกติ จะช่วยให้ผิวหน้านุ่ม ลดแบคทีเรียที่เป็นตัวการทำให้เกิดสิว และช่วยให้ผิวแลดูขาวขึ้น
สูตร 2: ผงขมิ้นชัน + น้ำมะนาว
ผสมผงขมิ้นชันประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ถ้าหากหนืดเกินไป ให้ผสมน้ำเปล่าลงไปจนส่วนผสมเหนียวข้นได้ที่ สามารถเกลี่ยให้ทั่วผิวหน้าได้แล้ว นำมาพอกให้ทั่ว สำหรับคนที่มีปัญหาสิวอักเสบและสิวอุดตัน น้ำมะนาวจะช่วยลดการอักเสบ เพิ่มระดับการกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นตอของสิวร่วมกับสรรพคุณของขมิ้นชัน จากนั้นทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออก แต่หากรู้สึกแสบผิวหน้า สามารถล้างออกก่อนเวลาก็ได้
สูตร 3: ผงขมิ้นชัน + น้ำผึ้ง
ผสมผงขมิ้นชัน 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนจนได้ส่วนผสมที่เข้ากันได้ดี จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เน้นจุดที่มีสิวอักเสบเป็นหลัก ซึ่งสรรพคุณของน้ำผึ้งจะช่วยลดการอักเสบ ไม่ให้สิวลุกลามมากไปกว่าเดิม และช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทดแทนเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อขมิ้นชันช่วยป้องและกำจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวแล้ว จะช่วยให้ปริมาณสิวลดลง ส่วนสิวที่เป็นอยู่จนกลายเป็นแผลเป็น น้ำผึ้งจะทำหน้าที่ช่วยสมานแผล ลดรอยแผลเป็นที่ลึกให้ตื้นมากขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้ขมิ้นชัน
สำหรับในสตรีมีครรภ์ ขมิ้นชันอาจทำให้เกิดการแท้งได้ในระยะแรกๆ ของการตั้งครรภ์ แต่ไม่มีผลต่อการตกไข่ เพราะฉะนั้นจึงควรระวังในการใช้ขมิ้นชันกับหญิงมีครรภ์ โดยการใช้ขมิ้นชันในปริมาณมากๆ อาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ การใช้ขมิ้นชันเป็นเวลานานๆ สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด งุ่นง่าน หรือตื่นกลัว เป็นต้น
สมุนไพรพื้นบ้านขมิ้นชัน พืชที่มากอรรถประโยชน์ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีมาเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าจะเป็นสมุนไพรแต่ก็ไม่ได้มีข้อดีเสมอไป หากเราไม่ศึกษาวิธีการใช้งานให้ดีเสียก่อน อย่างไรก็ตามขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการรักษา โดยจากผลการวิจัยก็ยังไม่พบพิษที่เกิดเฉียบพลันในมนุษย์ ซึ่งคนไทยโดยเฉพาะชาวภาคใต้นั้นรับประทานสมุนไพรชนิดนี้เป็นอาหารกันเป็นเวลานาน อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุขยังได้แนะนำให้ใช้ขมิ้นชันในโครงการสาธารณสุขมูลฐานอีกด้วย นับได้ว่าขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์และอย่าลืมออกกำลังกายกันด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากตัวเอง

ที่อยู่

999/1 Moo1
Phang Khon
47160

เบอร์โทรศัพท์

+66610938539

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ สมุนไพรไผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท