11/08/2025
#ตรวจสารเสพติด 💊
‼️สรุปเปรียบเทียบวิธีการตรวจสารเสพติดในห้องปฏิบัติการ🩸🔬
การตรวจสารเสพติดในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี โดยแต่ละวิธีจะใช้สิ่งส่งตรวจ (Specimen) ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ "หน้าต่างเวลาการตรวจจับ" (Detection Window) หรือระยะเวลาที่ยังสามารถตรวจพบสารเสพติดหรือสารที่เกิดจากการเผาผลาญของมัน (Metabolites) ได้หลังจากการใช้ครั้งสุดท้าย
โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งวิธีการตรวจสารเสพติดหลักๆ ได้ตามประเภทของสิ่งส่งตรวจ ดังนี้
📌1. การตรวจปัสสาวะ (Urine Testing)
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและใช้กันแพร่หลายที่สุดในการตรวจคัดกรองสารเสพติด
▪️หลักการทำงาน: ตรวจหาตัวยาโดยตรงหรือสารเมแทบอไลต์ของยาที่ถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางไตและปนออกมากับปัสสาวะ เมื่อยาเข้าสู่ร่างกาย จะถูกตับและอวัยวะอื่นๆ เผาผลาญให้กลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ดีขึ้น (เมแทบอไลต์) เพื่อให้ไตสามารถกรองและขับทิ้งได้ง่าย การตรวจปัสสาวะจึงมักเป็นการตรวจหาสารเมแทบอไลต์เหล่านี้ ซึ่งมักจะอยู่ในร่างกายได้นานกว่าตัวยาเอง
▪️ข้อดี:
➖เป็นวิธีที่ไม่รุกล้ำ (Non-invasive) เจ็บตัวน้อย
➖สามารถเก็บตัวอย่างได้ง่าย
➖มีค่าใช้จ่ายไม่สูง
➖มีช่วงเวลาการตรวจจับที่กว้างพอสมควร (หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์สำหรับบางสาร) ทำให้สามารถตรวจจับการใช้ยาในอดีตได้
▪️ข้อเสีย:
➖เสี่ยงต่อการปลอมปนหรือสับเปลี่ยนตัวอย่างได้ง่าย
➖ไม่สามารถบอกได้ถึงการใช้ยาในขณะนั้น (Current Impairment) บอกได้เพียงว่ามีการใช้ยาเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
▪️ระยะเวลาที่ตรวจพบ (โดยประมาณ):
📍แอมเฟตามีน (Amphetamines): 1-3 วัน
📍กัญชา (Marijuana/THC):
➖ใช้ครั้งเดียว: 1-3 วัน
➖ใช้ปานกลาง (4 ครั้ง/สัปดาห์): 5-7 วัน
➖ใช้เป็นประจำ (ทุกวัน): 10-15 วัน
➖ใช้เป็นประจำและปริมาณสูง: >30 วัน
📍โคเคน (Co***ne): 2-4 วัน
📍โอปิออยด์ (Opioids) เช่น มอร์ฟีน, เฮโรอีน: 1-3 วัน
📍เบนโซไดอะซีพีน (Benzodiazepines): 1-7 วัน
📌2. การตรวจเลือด (Blood Testing)
เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการตรวจหาการใช้ยา "ในขณะนั้น" และมักใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการประเมินสภาวะของผู้ถูกตรวจ ณ เวลาที่เก็บตัวอย่าง เช่น กรณีอุบัติเหตุ หรือการสืบสวนคดี
▪️หลักการทำงาน: ตรวจหาสารเสพติด (Parent Drug) และ/หรือสารเมแทบอไลต์ที่ยังคงหมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือดโดยตรง การมีอยู่ของตัวยาหลักในเลือดบ่งชี้ถึงการใช้ยาเมื่อไม่นานมานี้และอาจสัมพันธ์กับอาการที่แสดงออกในขณะนั้น
▪️ข้อดี:
➖ มีความแม่นยำสูงมากในการระบุปริมาณยาในร่างกาย ณ เวลานั้น
➖บอกภาวะมึนเมาหรือการอยู่ภายใต้อิทธิพลของยา (Impairment) ได้ดีที่สุด
➖ปลอมปนตัวอย่างได้ยากมาก
▪️ข้อเสีย:
➖เป็นวิธีที่รุกล้ำ (Invasive) ต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์ในการเจาะเลือด
➖ช่วงเวลาการตรวจจับสั้นมาก (ส่วนใหญ่ไม่กี่ชั่วโมงถึง 1-2 วัน) ทำให้พลาดการตรวจจับการใช้ยาในอดีตได้
➖มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลาในการตรวจวิเคราะห์นานกว่า
▪️ระยะเวลาที่ตรวจพบ (โดยประมาณ):
➖แอมเฟตามีน: สูงสุด 12 ชั่วโมง
➖กัญชา (THC): สูงสุด 36 ชั่วโมง (อาจนานกว่าในผู้ใช้ประจำ)
➖โคเคน: สูงสุด 24 ชั่วโมง
➖เฮโรอีน: สูงสุด 6 ชั่วโมง
📌3. การตรวจจากเส้นผม (Hair Testing)
วิธีนี้เหมาะสำหรับการตรวจหาประวัติการใช้ยาในระยะยาว
▪️หลักการทำงาน: เมื่อสารเสพติดเข้าสู่กระแสเลือด มันจะถูกลำเลียงไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงรากผม (Hair Follicle) สารเสพติดและเมแทบอไลต์จะถูกผนวกเข้าไปในแกนของเส้นผมที่กำลังงอกใหม่ เมื่อผมยาวขึ้น ส่วนของผมที่มีสารเสพติดก็จะเลื่อนตัวห่างจากหนังศีรษะออกมา การตัดตัวอย่างเส้นผม (โดยมาตรฐานคือ 1.5 นิ้วจากหนังศีรษะ) จะสามารถบอกประวัติการใช้ยาได้ย้อนหลังไปประมาณ 90 วัน (เนื่องจากผมยาวเฉลี่ย 0.5 นิ้ว/เดือน)
▪️ข้อดี:
➖มีช่วงเวลาการตรวจจับที่ยาวนานที่สุด (โดยทั่วไป 90 วัน หรือนานกว่านั้นหากใช้ผมที่ยาวขึ้น)
➖สามารถบอกรูปแบบการใช้ยาแบบเรื้อรังได้
➖เก็บตัวอย่างได้ไม่ยากและไม่รุกล้ำ
➖ปลอมปนตัวอย่างได้ยาก
▪️ ข้อเสีย:
➖ไม่สามารถตรวจจับการใช้ยาครั้งล่าสุดได้ (ต้องใช้เวลาประมาณ 5-7 วันกว่ายาจะเข้าไปอยู่ในส่วนของเส้นผมที่พ้นหนังศีรษะออกมา)
➖ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการตรวจปัสสาวะ
➖อาจได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อมภายนอก (External Contamination) แม้จะมีกระบวนการล้างตัวอย่างก่อนตรวจก็ตาม
▪️ระยะเวลาที่ตรวจพบ: ประมาณ 7-90 วัน หลังการใช้งาน
📌4. การตรวจจากน้ำลาย (Saliva / Oral Fluid Testing)
กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความสะดวกในการเก็บตัวอย่าง และสามารถตรวจจับการใช้ยาเมื่อเร็วๆ นี้ได้ดี
▪️หลักการทำงาน: ตรวจหาสารเสพติดตัวหลัก (Parent Drug) ที่ซึมผ่านจากเลือดเข้าสู่ต่อมน้ำลายโดยตรง ซึ่งบ่งชี้ถึงการใช้ยาเมื่อไม่นานมานี้ได้ดีมาก
▪️ข้อดี:
➖ไม่รุกล้ำและเก็บตัวอย่างได้ง่ายมาก สามารถทำได้ทุกที่ภายใต้การควบคุมดูแล
➖ปลอมปนตัวอย่างได้ยากมากเมื่อเก็บอย่างถูกวิธี
➖เป็นตัวบ่งชี้การใช้ยา "ล่าสุด" (Recent Use) ได้ดี (ดีกว่าปัสสาวะ แต่สั้นกว่าเลือดเล็กน้อย)
➖ผลการตรวจมีความสัมพันธ์กับระดับยาในเลือดค่อนข้างดี
▪️ข้อเสีย:
➖ช่วงเวลาการตรวจจับสั้นกว่าปัสสาวะ
➖ปริมาณยาที่พบในน้ำลายอาจมีน้อย ทำให้ต้องใช้เครื่องมือที่มีความไวสูง
▪️ระยะเวลาที่ตรวจพบ (โดยประมาณ):
➖แอมเฟตามีน: 1-2 วัน
➖ กัญชา: 24-36 ชั่วโมง
➖โคเคน: 1-2 วัน
➖โอปิออยด์: 1-4 วัน
📌เทคโนโลยีและหลักการในห้องปฏิบัติการ
ไม่ว่าจะใช้สิ่งส่งตรวจชนิดใด โดยทั่วไปกระบวนการตรวจจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลัก เพื่อความถูกต้องแม่นยำ
📎การตรวจคัดกรองเบื้องต้น (Screening Test):
▪️หลักการ: ส่วนใหญ่ใช้เทคนิค อิมมูโนแอสเสย์ (Immunoassay - IA) ซึ่งอาศัยหลักการแข่งขันกันจับระหว่างแอนติบอดี (Antibody) ที่จำเพาะต่อยา กับยาที่อาจมีอยู่ในตัวอย่าง และยาที่ติดฉลากสารสัญญาณ (Labeled Drug) หากในตัวอย่างมีอยู่ ยาจากตัวอย่างจะเข้าไปแย่งจับกับแอนติบอดี ทำให้ยาที่ติดฉลากไม่สามารถจับได้ เมื่อวัดสัญญาณที่เกิดขึ้นก็จะบอกได้ว่าผลเป็นบวกหรือลบ
▪️จุดเด่น: รวดเร็ว, ราคาไม่แพง, เหมาะกับการตรวจตัวอย่างจำนวนมาก
▪️ข้อจำกัด: อาจเกิด ผลบวกลวง (False Positive) ได้จากการทำปฏิกิริยาข้าม (Cross-reactivity) กับสารอื่นที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกัน (เช่น ยาแก้แพ้บางชนิดอาจให้ผลบวกต่อแอมเฟตามีน)
📎การตรวจยืนยันผล (Confirmatory Test):
▪️หลักการ: เมื่อผลคัดกรองเบื้องต้นเป็นบวก จะต้องทำการยืนยันผลด้วยเทคนิคที่มีความจำเพาะและความไวสูงกว่า ซึ่งถือเป็น "Gold Standard" คือ โครมาโทกราฟี-แมสสเปกโตรเมทรี (Chromatography-Mass Spectrometry) ซึ่งมักจะเป็น Gas Chromatography (GC-MS) หรือ Liquid Chromatography (LC-MS/MS)
▪️โครมาโทกราฟี (Chromatography): ทำหน้าที่เหมือน "การวิ่งแข่ง" ของสารเคมี โดยจะแยกสารประกอบต่างๆ ที่ปนกันอยู่ออกจากกันตามคุณสมบัติทางเคมีฟิสิกส์
▪️ แมสสเปกโตรเมทรี (Mass Spectrometry): ทำหน้าที่เหมือน "เครื่องชั่งน้ำหนักโมเลกุล" โดยจะยิงอิเล็กตรอนเข้าใส่โมเลกุลที่ถูกแยกออกมา ทำให้มันแตกตัวเป็นไอออนที่มีรูปแบบการแตกตัวและมีมวลต่อประจุ (Mass-to-charge ratio) ที่เป็น "ลายนิ้วมือโมเลกุล (Molecular Fingerprint)" ที่จำเพาะของสารนั้นๆ ทำให้สามารถระบุชนิดและปริมาณของยาได้อย่างแม่นยำสูงสุด
➖จุดเด่น: มีความถูกต้อง แม่นยำ และจำเพาะสูงมาก สามารถกำจัดผลบวกลวงจากการตรวจคัดกรองได้
แหล่งอ้างอิง
1. Moeller, K. E., Lee, K. C., & Kissack, J. C. (2008). Urine drug screening: practical guide for clinicians. Mayo Clinic proceedings, 83(1), 66–76. https://doi.org/10.4065/83.1.66
2. Marrinan, S., Roman-Urrestarazu, A., Naughton, D., Levari, E., Collins, J., Chilcott, R., Bersani, G., & Corazza, O. (2017). Hair analysis for the detection of drug use-is there potential for evasion?. Human psychopharmacology, 32(3), 10.1002/hup.2587. https://doi.org/10.1002/hup.2587
3. Verstraete A. G. (2004). Detection times of drugs of abuse in blood, urine, and oral fluid. Therapeutic drug monitoring, 26(2), 200–205. https://doi.org/10.1097/00007691-200404000-00020
#ตรวจสารเสพติด #นักเทคนิคการแพทย์ #ความรู้สุขภาพ #วิทยาศาสตร์การแพทย์ #ตรวจปัสสาวะ #ตรวจเลือด #ตรวจผมหาสารเสพติด #นิติวิทยาศาสตร์ #ยาเสพติด #สารเสพติด #รู้สู้โรค #รักสุขภาพ #เพจความรู้ #การแพทย์ #ห้องแล็บ #เมแทบอไลต์