LisaThaiYoga แนวทางโยคะ ที่มิใช่เพียงสุขภาพที่ดี
แต่เน้นสุขภาวะที่ดี

Sharing inspiring and banance living, yoga, Wellness, Holistic, Dhamma with nature

รีบสอนโยคะตามองค์กรและนอกสถานที่

30/06/2025

【July 2025】

In July, the Morning class will start in 2nd week.

Tue/Thu/Sat AM 7:00-7:45
อังคาร / พฤหัสบดี / เสาร์ เวลา 07:00 - 07:45 น.

① July 08 Tue
② July 10 Thu
③ July 12 Sat
④ July 15 Tue
⑤ July 17 Thu
⑥ July 19 Sat
⑦ July 22 Tue
⑧ July 24 Thu
⑨ July 26 Sat

Regular practice of Simple Yoga brings health, happiness, and inner peace into our lives.
การฝึกโยคะแบบเรียบง่ายอย่างสม่ำเสมอ ค่อยๆ หล่อเลี้ยงชีวิตให้เปี่ยมด้วยสุขภาพ ความสุข และความสงบลึกภายใน

☆☆☆☆☆

ZOOM class : AM 7:00-7:45

ZOOM Address :
https://us02web.zoom.us/j/6304661180...
Meeting ID: 630 466 1180
Passcode: 123456

25/06/2025

💪🦴 ออกกำลังกายแบบแรงกระทำกระดูก
ฝึกให้กระดูกรับ stress เร่งการสร้างมวลกระดูกขึ้นมาป้องกัน


กระดูกไม่ใช่ของแข็งที่อยู่นิ่งๆ
แต่มีวัฎจักรการสร้าง-สลายตลอดเวลา

เปรียบเสมือนเสาปูนที่ไม่หยุดนิ่ง แต่ละจุด
มีการ ‘ขุด’ เนื้อออก แล้วโบกด้วยปูนใหม่ทับ

วนไปมาตลอด ทำให้ไม่ว่าจะมีผิวตรงไหนเสียหาย
นิดๆ หน่อยๆ มันก็จะบูรณะแบบ auto ให้สดใหม่เสมอ


แถมยังมีระบบชาญฉลาดปรับตัวตามอุปสงค์
นั่นคือ ถ้ามีแรงมากระทำมากขึ้น กระดูกจะคิดว่า

เฮ้ย แวดล้อมภายนอกมันโหดขึ้นละ ไม่ได้ละ
เราต้องเร่งวัฎจักรนี้ โดยเน้น ‘การสร้าง’

ทำให้ผลลัพธ์คือเพิ่มมวลกระดูกให้แข็งแรงขึ้น


🧩 ขั้นแรกขอแนะนำตัวละครที่เกี่ยวข้องกับ
วัฎจักรการสร้าง-สลายกระดูก ก่อนนะคะ

1️⃣ Osteoblast: เซลล์สร้างกระดูก
→ ตึกผลึกแคลเซียมฟอสเฟต + สร้างเส้นใย/โปรตีน
→ ได้เนื้อกระดูกส่วนที่เป็นผลึกแร่ และ อินทรีย์

2️⃣ Osteoclast: เซลล์สลายกระดูก
→ หลั่งกรด หลั่งน้ำย่อย
→ สลายเนื้อกระดูกออกไป

3️⃣ Osteocyte: เซลล์ผู้ควบคุมวัฎจักรนี้
▪️ มีเซนเซอร์ชื่อ Piezo1 และ PC1/2 คอยตรวจวัดแรง เพื่อตะโกนบอกว่า ตอนนี้ควรเร่งการสร้างเพิ่มขึ้นหรือไม่
▪️หลั่งฮอร์โมน sclerostin ชะลอการสร้างกระดูก ไม่ให้มากไป


วิธีการทำงานก็ง่ายมาก: Osteoclast คอยสลายกระดูกออกเป็นหลุม แล้ว Osteoblast ก็มาถมหลุมเหมือนเดิม โดยมี Osteocyte คอยคุมไซต์งานก่อสร้างนี้

โดยทั่วไปวัฎจักรนี้เมื่ออายุมากขึ้น การสลายมักจะเด่นกว่าการสร้างเล็กน้อย ทำให้มวลกระดูกลดลงเรื่อยๆ ตามอายุ หากไม่มีแรงมากระทำเพียงพอ ก็จะยิ่งลดไวขึ้น

และเมื่อมวลกระดูกต่ำจนถึงจุดหนึ่ง ก็จะพบกับภาวะกระดูกบาง (Osteopenia)/กระดูกพรุน (Osteoporosis) ทำให้กระดูกหักง่ายมากค่ะ


🏋️ออกกำลังกายไปช่วยยังไง?


[ ผลโดยตรง ]


ระหว่างออกกำลังกาย กระดูกต้องรับแรงที่มากระทำตลอดเวลาจาก
✔️ แรงดึงของกล้ามเนื้อ
✔️ น้ำหนักส่วนของร่างกายที่มากระทำ
✔️ แรงกระทำจากภายนอก เช่น แรงปฏิกิริยาตั้งฉากที่พื้นกระทำตอนกระโดด/วิ่ง

จึงทำให้แรงกลกระตุ้นเซนเซอร์ Piezo1/PC1,2 บน osteocyte ผลคือ

1️⃣ ปล่อยสาร Wnt1 → กระตุ้นเซลล์ตัวอ่อนของกระดูก พัฒนาเป็น Osteoblast มากขึ้น → ได้ทีมสร้างกระดูกมากขึ้น

2️⃣ แรงกระแทกทำให้เซลล์ต่างๆ ปล่อย ATP ออกมา → กระตุ้น osteoblast ทำงานมากขึ้น สร้างผลึกไวขึ้น

3️⃣ ลดการหลั่งฮอร์โมน sclerostin ซึ่งเดิมเคยยับยั้ง osteoblast, คราวนี้จึงเหมือนไป ‘ปลดเบรก’ ให้ osteoblast เร่งเครื่องได้รุนแรงขึ้น


[ ผลทางอ้อม ]

การออกกำลังกาย → กล้ามเนื้อปลดปล่อยฮอร์โมน (Myokines) มากมาย เช่น Irisin → กระตุ้น osteoblast แต่ต้าน osteoclast → เพิ่มการสร้างกระดูก

แถมยังเพิ่ม IL-6, IL-10 ที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบ
และลด IL-1, TNNF-a ทีมีฤทธิ์ก่ออักเสบ
ผลคือสร้างแวดล้อมให้สนับสนุนการสร้างกระดูกมากขึ้น


ต้องออกกำลังกายแบบไหน?
ทุกออกกำลังกาย สร้างแรงกระทำ
แต่ว่าไม่เท่ากันนะคะ


🏋️ ออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Resistance exercise) - อันนี้จะได้มากที่สุด และแปรผันตามโหลดที่ใช้เลยค่ะ

ตัวอย่างเช่น สควอท, แพลงก์, วิดพื้น
หรือแบบมีอุปกรณ์น้ำหนักทั้งหลายในฟิตเนส
หรือการใช้ยางยืดต้านแรง


⛷️ ออกกำลังกายที่มีแรงปะทะสูง (High-impact weight bearing exercise)

ตัวอย่างเช่น การออกที่มีการกระโดด
และต้องรับน้ำหนักตัวมาก


การออกแบบอื่นๆ จะได้ลดหลั่นกันไป

ซึ่งเรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก การเลือกรูปแบบ ขึ้นกับหลายปัจจัย ท่าที่เหมาะกับอายุ, โรคประจำตัว, บางท่าอาจจะต้องมีคนคอยดู/คอยช่วยในการทำให้ถูกต้อง อันนี้แนะนำให้ไปศึกษาเพิ่มเติมยาวๆ เลยค่ะ


🔮 สรุป:
▪️กระดูกไม่เคยหยุดนิ่ง สร้าง-สลายตลอดเวลา
▪️แต่ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น อัตราการสลายจะเด่นกว่า
▪️มวลกระดูกจึงลดลงเรื่อยๆ หากไม่มีแรงกระทำพอ
▪️ออกกำลังกายช่วยกระตุ้น osteocyte โดยตรง ที่เพิ่มการสร้างกระดูก และทางอ้อมโดยใช้ฮอร์โมน irisin/IL-6/IL-10 จากกล้ามเนื้อ
▪️ท่าออกกำลังกายที่กระดูกรับแรงได้มาก ยิ่งกระตุ้นมากค่ะ


ออกกำลังกายชนิดที่เสริมกระดูกแล้ว อย่าลืมการออกแบบอื่นด้วยนะคะ

✔️ แบบ Aerobic ระดับปานกลาง อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เฉลี่ยประมาณ 30 นาที/วัน ประมาณ 5 วัน ถ้าได้โดสนี้แล้ว ควรเพิ่มระยะเวลาเป็น 300-600 นาที/สัปดาห์ หรือเพิ่มความหนักขึ้นแต่เวลาเท่าเดิม
✔️ แบบ Strength อย่างน้อย 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
✅ จุดสำคัญที่สุดของการเริ่มต้น ไม่ใช่วิธีการที่ซับซ้อน ขุดตัวเองมาออกต่อเนื่อง ให้เป็นพฤติกรรมถาวรให้ได้ จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตค่ะ
✅ การดูแลสุขภาพอย่างลืมการทำแบบเป็นองค์รวม: กินดี นอนดี งดสุรา งดบุหรี่ รักษาสุขภาพจิต และตรวจสุขภาพค่ะ

20/06/2025
🧘
11/06/2025

🧘

#ความพอดี__ของใคร

เมื่อวันก่อนผู้เขียนได้มีโอกาสได้พบปะกับผู้ที่เคยฝึกโยคะกับผู้เขียน ซึ่งห่างหายกันไปไม่ได้พบเจอกันตั้งแต่ปีที่น้ำท่วมใหญ่ นับจนถึงวันนี้ตกราว 8 ปี ผู้ฝึกท่านนี้เป็นเพศชายในขณะนั้นอายุ 65 ปี ซึ่งผู้เขียนขอเรียกนามสมมุติว่า คุณสำริด ซึ่งคุณสำริดมีวินัยและฝึกอย่างต่อเนื่องไม่เคยขาดในคลาสเมื่อ 8 ปีก่อน

ช่วงที่ฝึกในคลาสคราวนั้นเป็นระยะเวลา 3 เดือนต่อเนื่อง คุณสำริดมาก่อนเวลาทุกครั้งและได้แบ่งปันประสบการณ์ในคลาสว่า ปกติเป็นโรคเบาหวานและทานยาเป็นประจำ หลังจากฝึกต่อเนื่องทั้งจากในคลาสและฝึกเองที่บ้าน พบว่าคุณหมอไม่ต้องให้ยาเบาหวานอีก จึงได้ชักชวนเพื่อนในวัยเดียวกันให้หันมาฝึกโยคะกันเป็นประจำ

และหลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 ก็ไม่ได้พบกันอีก แต่มาไม่นานนี้ได้มีโอกาสได้พบเจอและได้ทราบว่า คุณสำริดยังคงฝึกเองอย่างต่อเนื่อง และยังได้ชวนผู้อื่นฝึกด้วยเช่นกัน สังเกตเห็นมีความสุขเวลาที่ได้พูดถึงโยคะทุกครั้ง ผู้เขียนถามว่าได้ไปฝึกที่ใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่ คุณสำริดแบ่งปันว่า ก็ยังคงฝึกท่าพื้นฐานของสถาบันโยคะวิชาการ ซึ่งทางเราถามว่าไม่เบื่อบ้างหรือในการฝึกท่าเดิมๆ ซ้ำๆ ซึ่งคุณสำริดกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ไม่เลย”

ผู้เขียนจึงมองว่า เส้นทางโยคะแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ขอให้มีความสุขกับการฝึกในทุกขณะ ไม่มากหรือน้อยไปสำหรับตนเอง และความพอดีของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน หากเราสามารถทำสิ่งใดก็ตามด้วยความตระหนักรู้และสิ่งนั้นดีต่อเรา ก็ไม่จำเป็นที่ต้องวิ่งตามกระแส ซึ่งเป็นการตามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

______________________
เล่าสู่กันฟัง : มิถุนายน 2562
เรื่องและภาพ : ยล(ธรรม)ชาติ

🧘
30/05/2025

🧘

กลับมาอีกครั้ง

23/05/2025
19/05/2025

ขอเรียนเชิญผู้ที่สนใจในการดูแลสุขภาพทุกท่าน เข้าร่วมกิจกรรม Sunrise Yoga และการอาบคลื่นเสียง (Sound Bath) ผ่อนคลายร่างกาย จิตใจอย่างล้ำลึก เพื่อเตรียมความพร้อมร่างกายและจิตใจในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และสุขภาพดี วันศุกร์ที่ 23 พ.ค. 2568 เวลา 9:30-12:00 น. (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
กิจกรรมประกอบด้วย
Sunrise Yoga โดยครูบอย นัฐพงศ์ สีพิกา วิทยากร Yoga & Mindfulness
Sound Bath อาบคลื่นเสียง ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ โดยครูปาลิ ปาลิกา มณีโชติ Sound Healing Therapist
สถานที่ ห้องกรีน ชั้นใต้ดิน ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 22 พ.ค. 68 ได้ตามลิงค์นี้
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeGroE9dhz6NWlPISfCLAdDKUEhPY1zFT12ChLRlcI426_Jbg/viewform?usp=sharing&ouid=110357564543628120058
แล้วเราจะสุขภาพดีไปด้วยกัน
#ออมสุขภาพรับวัยอิสระ #ออมสุขภาพรักษ์สุขภาพรักษ์โลก #เครือข่ายคนไทยไร้พุง

16/05/2025
16/04/2025

แม้ไม่ใช่คนแรกที่บอกว่าจะอยู่ให้ถึง 120 ปี แต่ น.พ.เฉก ธนะสิริ น่าจะเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่หยัดยืน และพยายามเดินหน้าเรื่องนี้เต็มที่ ด้วยความเชื่อว่านี่เป็นอายุที่คนๆ หนึ่งสามารถอยู่ถึงได้

ตลอดหลายสิบปี เขาจึงฟิตร่างกาย ควบคุมอาหาร ดูแลสุขภาพทุกอย่าง พร้อมกับประกาศขายไอเดียนี้ผ่านสื่อต่างๆ จนหลายคนอาจคิดว่า เขาบ้า เพ้อ และพยายามฝืนสังขารของมนุษย์

แต่คุณหมอก็ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า แม้อายุจะล่วงเลยสู่เลข 9 แต่ร่างกายก็ยังคงฟิตปั๋งไม่ต่างจากคนที่เพิ่งผ่านวัยเกษียณเลย จนกระทั่งวันที่ 12 เมษายน 2568 คุณหมอจึงจากไปตลอดกาลด้วย 99 ปี

เพื่อรำลึกถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ของอดีตรองปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้ก่อตั้งมูลนิธิอยู่ 100 ปี ชีวีเป็นสุข ครั้งหนึ่ง ยอดมนุษย์..คนธรรมดา เคยร่วมกับ Curious People ไปพูดคุยกับคุณหมอเฉก ในวัย 94 ปี ถึงความคิด ความเชื่อ ความหวัง ความฝัน ตลอดจนแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้ชายผู้นี้เปลี่ยนตัวเอง และทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ให้ครบ 10 รอบ.....

#1
#120ปีทำไมจะเป็นไปไม่ได้

แม้จะไม่รู้ว่าความฝันที่หวังจะเป็นจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสัมผัสได้เมื่อพบเจอกับคุณหมอเฉก คือ เขายังสนุกกับการออกกำลังกาย ทั้งว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือยกดัมเบล ได้อย่างสบายๆ

“นี่คือเชือกของกางเกงว่ายน้ำ มีทั้งหมด 62 เส้น พอกางเกงขาด หรือเปื่อย ผมก็เก็บเชือกไว้เป็นสถิติ เพราะถ้าไม่เก็บไว้ พูดไปแล้วใครจะเชื่อ” หมอเฉกกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ

เป็นเวลากว่า 4 ทศวรรษแล้วที่ชายผู้นี้พยายามถ่ายทอดแนวคิดเรื่องอายุวัฒนะสู่สังคมไทย ผ่านหนังสือนับสิบเล่ม ตลอดจนการบอกเล่าเรื่องราวผ่านหน้าจอโทรทัศน์อีกนับไม่ถ้วน

“ผมเป็นแพทย์ทางสาธารณสุข เน้นการดูแลรักษาตัว ป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพเป็นหลัก รักษาไม่เก่ง เรื่องนั้นปล่อยให้หมอในโรงพยาบาลเขาทำ เราเน้นเรื่องนี้ เพื่ออะไร เพื่อไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลาไปนอนโรงพยาบาล ผมเลยตั้งเป้าอยากทดลองให้อยู่ถึง 120 ปี ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง..เพราะอยากใช้ร่างกายตัวเองให้เป็นหนูตะเภามากที่สุด”

เดิมทีก่อนตั้งเป้าชีวิตเช่นนี้ หมอเฉกก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป

สมัยหนุ่มเขาเคยเป็นนักฟุตบอลรุ่นเล็กของโรงเรียน เคยตระเวนลงพื้นที่ออกตรวจชาวบ้านตามถิ่นทุรกันดาร แก้ปัญหาโรคระบาด แต่อีกมุมหนึ่ง เขายังใช้ชีวิตอย่างสนุกและปล่อยปละละเลยการดูแลสุขภาพตามกระแสนิยมของคนสมัยนั้น

“ผมเป็นพวกสังคมเยอะ เพราะเป็นดารานักฟุตบอล เป็นหัวหน้าชั้น เป็นนายกสโมสรนักศึกษา ฉะนั้นสังคมเยอะหมายถึงเขาสูบบุหรี่กัน เราก็สูบ ไม่ได้ติด คือแบบโก้เก๋ ดื่มเหล้า เป็นหวัดบ่อย ท้องเสียบ่อย แล้วปวดหัวบ่อยๆ ช่วงนั้นผมใช้ชีวิตไม่ค่อยจะถูกต้อง แต่เราในฐานะหมอ เราก็คอยระมัดระวังพอสมควร”

กระทั่งอายุใกล้ 40 ปี จึงมีโอกาสได้สมัครเป็นสมาชิกของสปอร์ตคลับแห่งหนึ่ง แล้วเขาก็ได้พบความสุขของการออกกำลังกาย ช่วงนั้นหมอเฉกเล่นเครื่องเล่นทุกอย่างที่สปอร์ตคลับมี แต่ที่ทุ่มเทเวลาด้วยนานสุดคือการว่ายน้ำ พอออกเสร็จก็จดบันทึกว่าวันนี้ว่ายน้ำไปกี่กิโลเมตร หรือวิ่งไประยะทางเท่าใด เมื่อทำไปเรื่อยๆ ร่างกายที่รวนอยู่บ่อยๆ ก็กลับหายดีเป็นปลิดทิ้ง

“เชื่อไหม 50 ปีที่ผ่านมา ผมเป็นไข้หวัดแค่ 2 ครั้งเท่านั้นและไม่กินยาหรือหาหมอด้วย เพราะว่าเมื่อร่างกายเรามีภูมิต้านทานสูงเชื้อโรคมันก็มาทำอะไรเราไม่ได้”

แต่แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้หมอเฉกอยากอายุยืนยิ่งขึ้น เกิดจากการเฝ้าสังเกตชีวิตของบุพการีทั้งคู่ ซึ่งแม้ล่วงเลยเกือบ 90 ปี แต่ดูเหมือนสุขภาพยังดีไม่เปลี่ยนแปลง

หมอเฉกเริ่มค้นคว้าหาคำตอบ กระทั่งพบว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นกุญแจสำคัญ ทั้งการกิน การนอน หรือแม้แต่อารมณ์ ต่างเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ในจังหวะนั้นเองที่เขาได้พบกับคุณแม่สิริ กรินชัย วิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงของเมืองไทย ซึ่งมาช่วยชี้ทางสว่าง แนะนำแนวทางเจริญภาวนาให้

การนำชีวิตของตัวเองมาเป็นแบบทดสอบ ได้ผลดีขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอจึงอยากส่งต่อแรงบันดาลใจดีๆ ไปสู่โลกกว้าง โดยช่วงต้นยังไม่มีเลขอายุเข้ามาข้องเกี่ยว

หนังสือ ‘ทำอย่างไรชีวิตจะยืนยาวและมีความสุข’ ถูกเขียนขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2524 เพื่อแจกเป็นที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงจินดาสหกิจ (ลม้าย ธนะสิริ) บิดาของหมอเฉก ซึ่งถึงแก่กรรมลงด้วยวัย 91 ปี

ครั้งนั้นหมอเฉกได้หยิบยกนำปรัชญาชีวิตมาผนวกเข้ากับความรู้เรื่องการออกกำลังกายอย่างไรให้ถูกวิธี และการบริหารจิต โดยใช้หลักธรรมของพุทธศาสนามาเป็นแนวปฏิบัติ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ใครๆ ก็อยากอายุยืน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือทำอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องทรมานแบบคนแก่ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ความคิดของคุณหมอกระจายไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับหนังสือเล่มนี้ซึ่งถูกพิมพ์ต่อเนื่องมากว่า 80 ครั้ง หากแต่ในอีกมุมหนึ่ง เขากลับมาคิดว่า การนำเสนอแนวคิดแบบลอยๆ นั้นยังไม่เป็นรูปธรรมพอที่จะต่อยอดไปสู่การเป้าหมายสูงสุดของชีวิตได้

ช่วงที่หมอเฉกใกล้เกษียณอายุราชการ ก็พอดีกับที่กระทรวงสาธารณสุขได้ลงพื้นที่สำรวจผู้สูงอายุทั่วประเทศ ครั้งนั้นจากข้อมูลที่ได้มาพบว่ามีคนแก่ไม่น้อยที่อายุยืนถึง 120 ปี เพราะฉะนั้นอายุ 60 ปีจึงไม่ต่างจากการใช้ชีวิตไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ตัวเลขนี้เองที่กลายมาเป็นปณิธานชีวิตที่หมอเฉกยึดถือเรื่อยมา.....

#2
#เป็นอยู่คือแบบหมอเฉก
.น้ำหนัก ส่วนสูง ต้องพอดีกับร่างกาย ..ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ..กินผักกินพืชเยอะๆ กินเนื้อน้อยๆ ..ทำจิตใจให้สบาย ลดความคลุ้มคลั่งในการทำงานลง คือเคล็ดลับสำคัญที่หมอเฉกใช้ยืดอายุจนใกล้ร้อยมากขึ้นทุกที

คุณหมอกล่าวแบบติดตลกว่า เรื่องกินนี่เป็นสิ่งสำคัญ พวกสัตว์กินเนื้อแบบเสือ สิงโต หมา แมว ส่วนใหญ่ตายเร็ว อายุสั้น ต่างกับพวกกินพืช อย่างช้างหรือยีราฟ ที่อายุยืน ตายช้า

“ผมกิน 3 มื้อ อย่างมื้อเช้า เกือบไม่มีเนื้อสัตว์ แต่ถ้ามีเนื้อก็เป็นพวกสัตว์น้ำ กุ้งหอยปูปลานิดๆ หน่อยๆ ส่วนมื้อกลางวันเป็นผัก เป็นพืช เป็นผลไม้ ผลไม้ที่บ้านเรามีตลอดปี ทั้งส้ม กล้วย เมื่อกินแบบนี้แล้ว ไม่มีเลยที่ไม่ถ่าย หนึ่งปีอาจจะถ่ายราวๆ 400-500 ครั้ง ไม่มีของเสียในตัว ก็เลยไม่มีอาการท้องแข็ง ท้องผูก ส่วนมื้อเย็นกินน้อย เมื่อกินน้อย ร่างกายก็หลับ ถ้าคุณกินแบบโต๊ะจีน ขณะที่คุณหลับ ข้างในยังทำงานยังไม่จบ สุดท้ายก็ป่วย ผมถึงบอก กินน้อยตายยาก กินมากตายเร็ว”

ด้วยการกินที่เคร่งครัดทำให้คุณหมอ รวมถึงภรรยา ซึ่งอายุมากกว่า 2 ปียังคงสามารถควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมกับส่วนสูงได้ตลอดเวลา

เช่นเดียวกับการออกกำลังกาย ทุกวันนี้ แม้จักรยานจะขี่น้อยไปบ้าง แต่การว่ายน้ำยังทำเป็นประจำ ซึ่งคุณหมอว่ายรวมทั้งหมดมากกว่า 8,000 กิโลเมตร ว่ายน้ำครั้งหนึ่งไม่ต่ำ 800 เมตร แล้วเวลาว่าย คุณหมอก็จะเจริญสติ นับลมหายใจเข้าออกไปด้วย เหมือนกับการเดินจงกรม

ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเดินทางไปแข่งขันกีฬาว่ายน้ำทั้งระดับชาติ จนสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์กลับมาได้อีกต่างหาก

“ผมได้เหรียญทองมาแล้ว 79 เหรียญ เหรียญต่างประเทศ 2 เหรียญ ว่ายผลัด ว่ายฟรีสไตล์ ว่ายกบ ว่ายอะไรก็แล้ว เดี๋ยวนี้ผมก็ยังไปแข่งกับเขา แต่บางทีก็ขี้เกียจไปแล้ว เห็นไหมไปทีหนึ่งก็ได้มา 4-5 เหรียญ เป็นเหรียญทองทั้งนั้น เพราะอายุขนาดนี้ไม่มีคนแข่งด้วย เราว่ายคนเดียวก็เลยได้เหรียญทอง” คุณหมออธิบายพลางชี้เหรียญรางวัลไปด้วย

นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตให้ดีแล้ว การทำจิตให้ผ่องใสก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

หมอเฉกย้ำว่า หากอยากอายุยืน ก็ควรตั้งเป้าหรือกำหนดไปเลยว่าตั้งใจจะอยู่ถึงเท่าไหร่ เพราะถ้าไม่มีตัวเลขในใจ การปรับเปลี่ยนหรือความพยายามใดๆ ก็ย่อมหย่อนยานตามไปด้วย

“ร่างกายเราคือฮาร์ดแวร์ เราดูแลของเราดี ฉะนั้นจิตของเราคือซอฟต์แวร์ ต้องตั้งใจแน่นแน่ เรื่องนี้ผมสังเกตจากแม่ผม ตอนที่แม่ผมตาย ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่หลังจากมีเครื่องคอมพิวเตอร์ มีอะไรมาถึงเข้าใจ ตอนที่แม่จากไป ท่านอายุ 98 ปี 8 วัน ท่านตั้งโปรแกรมจิตของตัวเอง มุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้า แล้วสุดท้ายก็จะได้แบบนั้นจริงๆ”.....

#3
#คุณค่าที่แท้จริงของคำว่าชีวิต

“ผมไม่เคยกลัวความตาย คนเราเกิดมาแล้วต้องตาย แต่จะตายแบบสง่าผ่าเผย หรือตายแบบทุรนทุรายเท่านั้นเอง”

หลายครั้งที่ความตั้งใจกับความเป็นจริงก็ไม่เหมือนกัน ในวัยเลข 9 หมอเฉกมีหลายอย่างในตัวที่เริ่มเสื่อมถอยตามกาลเวลา ทั้งความทรงจำ เพื่อนฝูง คนรอบข้าง แต่ทั้งหมดคือสัจธรรมของโลกที่เข้าใจได้

แม้เขาจะตั้งเป้าหมายอายุที่ 120 ปี หากไม่เป็นตามคาด ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายหรือเสียใจอะไร เพราะอย่างน้อยความคิดดีๆ ที่เริ่มจุดประกายไว้นั้น อาจไปสะกิดใจของใครบ้างคนให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองก็ได้

“ในแต่ละวัน อย่างน้อยลองนึกรักชีวิตตัวเองดูบ้าง แค่วันละครั้งเดียวเพียงเท่านี้ เซลล์ต่างๆ ในร่างกายมันหูผึ่งทันที ถ้าเจ้าของชีวิตเข้าใจ แล้วหันมาเอาใจใส่ต่อชีวิตเราเสียบ้าง จะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปสู่ความสุขที่แท้จริง”

โดยก่อนหน้านี้ คุณหมอได้เตรียมพร้อมทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่การบริจาคร่างกายให้โรงพยาบาลศิริราช เช่นเดียวกับหนังสืองานศพ ‘อนุสรณ์นายแพทย์เฉก ธนะสิริ เส้นทางชีวิตอายุวัฒนะ’ ซึ่งตีพิมพ์ไว้ตั้งแต่อายุ 86 ปี พร้อมเชิญเชื้อคนสนิทใกล้ชิดมาร่วมเขียนคำไว้อาลัย โดยทุกฉบับคุณหมอได้เขียนตอบขอบคุณไว้ด้วย

“หนังสืองานศพก็พิมพ์ไว้ 5,000 เล่ม กองอยู่หน้าบ้าน ใครมางาน ลูกหลานก็แจกได้ทันที” หมอเฉกเล่าพร้อมพาเดินไปยังกองหนังสือที่คลุมผ้าใบไว้อย่างดี

และทั้งหมดนี้คือความหมายที่แท้จริงของชีวิต ที่คนชื่อ ‘เฉก ธนะสิริ’ ต้องการสื่อออกไปสู่สังคมไทย เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

#ยอดมนุษย์คนธรรมดา
#เฉกธนะสิริ #อายุ100ปี #แพทย์

ข้อมูลประกอบการเรียบเรียง
- บทสัมภาษณ์ น.พ.เฉก ธนะสิริ วันที่ 18 มิถุนายน 2562
- หนังสืออนุสรณ์นายแพทย์เฉก ธนะสิริ เส้นทางชีวิตอายุวัฒนะ

สวนสาธารณะแห่งใหม่ 🌳🌳ใจกลาง กทม.
01/10/2024

สวนสาธารณะแห่งใหม่ 🌳🌳
ใจกลาง กทม.

วีดิทัศน์อุทยานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ที่อยู่

Phetchaburi

เบอร์โทรศัพท์

+66968915139

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ LisaThaiYogaผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง LisaThaiYoga:

แชร์