26/08/2018
12 สิ่งที่คุณควรมีก่อนอายุ
(Full Version)
World Health Organization หรือ WHO เปิดเผยผลสำรวจว่า อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์โลกอยู่ราวๆ 70 ปี ดังนั้น ครึ่งชีวิตหรือเรามักเรียกกันว่าวัยกลางคนนั้น นับที่ 35 ปีละกัน
ถ้าใช้ชีวิตมาถึงครึ่งทางแล้ว เราควรมีอะไรในชีวิตบ้าง และนี่คือ 12 สิ่งที่คุณควรมีก่อนอายุ 35 ครับ
1. เงินออมอย่างน้อย 1 ล้านบาท
อันนี้หมายถึงเงินเย็นนะครับ เอาแบบเย็นเจี๊ยบเลย วางนิ่งๆในบัญชีโดยที่เราไม่เดือดร้อนและไม่ใช่เงินก้อนส่วนที่ต้องเอาไปลงทุนอะไร เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะมี "อุบัติเหตุในชีวิต" อะไรบ้าง อุบัติเหตุคำนี้หมายถึงทุกด้านนะครับ ทั้งด้านการงาน การเงินและด้านสุขภาพ
อันนี้ห้ามเก็บในรูป asset อื่นนะครับ ขอเป็นเงินสดที่สามารถถอนออกมาได้ทันที เกิดอารมณ์แบบพ่อคุณเส้นเลือดอุดตันในสมองเย็นวันเสาร์ ต้องผ่าตัดคืนนี้ไม่งั้นไม่ทัน ต้องใช้ห้าแสนเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเงินก้อนนี้คุณไปอยู่ในหุ้น ต้องรอตลาดเปิดอีกหลายวัน แถมเผลอๆถ้าดอยอยู่ ต้องคัทขาดทุนแบบไม่ได้วางแผนอีก ไม่โอเคเลย!
2. Investment/asset
"คนฉลาดเก่งหาเงิน ส่วนคนที่สุดยอดเก่งหาเงินแล้วเก่งเอาเงินไปทำงานอีกทีหนึ่ง" คุณต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งที่คุณหาได้ ไปลงทุนใน asset ต่างๆ ซี่งที่นิยมก็เช่น อสังหา (บ้าน, คอนโด, ที่ดิน) , ตราสารหนี้ (พวกพันธบัตรต่างๆ), ตราสารทุน (กองทุนหุ้น, หุ้น) และทองคำ นี่แค่เบสิคเบื้องต้น
คุณต้องเลือก Way ที่คุณถนัด ไม่ต้องลงทุนแม่งทุกอย่าง บางคนจะแย้งว่าการลงทุนหลายๆอย่างเป็นการทำ risk allocation กระจายความเสี่ยงๆไป ซึ่งไม่ผิดครับ ไม่มีสูตรสำเร็จ นักลงทุนระดับโลกบางคนก็เน้นไปเป็นอย่างๆ เช่น วอรเรน บัฟเฟตต์มาทางหุ้น บริหารกองทุนของเค้าไป, ส่วนจอร์จ โซรอส มาทางสายลงทุนค่าเงิน อย่างนี้เป็นต้น
คุณจะลงทุนกี่อย่างก็ลงไป เพราะประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวน ประเด็นมันอยู่ "ความรู้ความเข้าใจ" มากกว่า จำไว้เลยว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง "High risk, High return" และทุกความเสี่ยงเกิดจากความไม่รู้ ถ้าคุณทำให้รู้ให้เชี่ยวชาญซะ สูตรสำเร็จก็คือ "High understanding , Low risk, High return"
ซึ่งมีน้อยคนที่จะเชี่ยวชาญการลงทุนทุกด้าน ส่วนตัวผมแนะนำให้เชี่ยวชาญและลงทุนหนักๆไปกับแค่ไม่กี่อย่างพอครับ Quantity Investment ไม่สำคัญเท่า Quality Investment บางทีคุณสามารถรวยได้จากการลงทุนหุ้นเพียงแค่ตัวเดียวหรือที่ดินเพียงผืนเดียวก็เป็นได้ (แต่ยากหน่อย ต้องมีความรู้+โชคดีมากๆประกอบกัน)
อย่างข้อ 1 ผมเชียร์ให้คุณมีเงินเย็นๆอย่างน้อย 1 ล้านบาทให้ได้ตอนอายุ 35 บางคนอ่านละท้อเลย เพราะตอนนี้อายุ 25 ตอนนี้เงินเดือน 23,000 ฿ หักค่าคอนโด,ค่ารถ,ค่าอาหาร,ค่าผ่อนไอโฟน, ค่าเนต, ค่าสตาร์บัค หักแล้วเหลือเก็บอยู่ 3,000 บาทต่อเดือนเอง ถ้าให้เก็บครบล้าน ต้องใช้เวลาเก็บเกือบ 30 ปี หวิดจะเกษียณละอีกนิดเดียว ยังไงไม่ทันอายุ 35 แน่นอน
จริงๆถ้าคุณเก็บออมอย่างเดียวยังไงก็ไม่ถึงครับ เศรษฐีบนโลกนี้ไม่มีใครรวยเพราะเก็บออมอย่างเดียว ทุกคนรวยเพราะหาเงินได้เยอะ แล้วเอาเงินที่เยอะนั้นไปลงทุนต่อ ถ้าให้พูดสั้นๆคือ "คนรวยไม่ได้เก่งประหยัด แต่เก่งหาเงินและทำเงินนั้นให้พอกพูน" ครับ
ถ้าคุณมีเงินเก็บเดือนละ 3,000 ผมเชียร์คุณเก็บเงินเพิ่มอีกแค่วันละ 50 บาท...ไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ? 30 วันคุณจะมีเงินเก็บเดือนละ 4,500 ฿ ถ้าคุณเก็บได้แบบนี้ทุกเดือนและนำเงินนี้ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมออย่างต่ำ 15% ต่อปี ตอนนี้คุณอายุผ่านไป 10 ปี คุณจะมีเงินล้านกว่าบาทครับแบบชิลๆเลย ลองกฏเครื่องคิดเลขดูได้
ฟังดูง่ายมะ? ง่ายเนาะ...(ยิ่งถ้าคุณเงินเดือนเพิ่ม จะสามารถแบ่งมาลงทุนได้มากกว่านี้อีก และปลายทางมีมากกว่าล้านนึงอีก!!)
แต่จริงๆมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ ไม่งั้นทุกคนก็รวยละดิ จริงมะ? เพราะการลงทุนให้ได้ปีละ 15% นันไม่ง่ายครับ คุณต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญประมาณนึงเลย
จำไว้นะครับ นิยามคำว่าการลงทุนในแบบของผมคือ "การเอาอะไรบางสิ่งไปแลกบางอย่าง เพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าเดิม" ดังนั้นการลงทุนคุณต้องยอมแลก คุณต้องยอมอดเพื่อได้ออม ยอมเสียเวลาเพื่อได้เรียนรู้ ยอมรับความเสี่ยงเพื่อได้ดอกผล และไม่ยอมแพ้กับบางครั้งที่ต้องมีพลาดบ้าง (เป็นเรื่องธรรมดามากๆครับ)
3. ประกัน
เมื่ออายุ 35 คุณควรมีประกันดีๆที่ครอบคลุมอย่างน้อย 3 ตัว คือประกันสุขภาพ, ประกันอุบัติเหตุ และประกันชีวิต พวกนี้เป็นความเสี่ยงที่ควรจ่าย ควรแบ่งเงินบางส่วนมาซื้อประกันพวกนี้ ตามกำลังที่คุณมี
เพราะถ้าคุณไม่สบายด้วยโรคหนักๆแบบไม่รู้ตัว หรือวันนี้อยู่เดินข้ามถนนแล้วรถชน ซึ่งพวกนี้ทำให้คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก ทั้งตัวเงินให้ต้องรักษาและค่าเสียเวลาค่าเสียโอกาสจากการทำงานไม่ได้ เอ้อ ผมไม่ได้ขายประกันนะครับ และไม่แนะนำหลังไมค์อะไรทั้งนั้น 5555
ยิงถ้าตัวผมเองทำธุรกิจ ถ้าไม่สบายที ค่ารักษาก็คงประมาณนึง แต่ค่าเสียโอกาสที่ไปทำงานไม่ได้นี่จะมากกว่าค่ารักษาเยอะมากก ผมเลยซีเรียสกับเรื่องประกันนี้มากเลยครับ
4. Connection
เคยได้ยินไหมครับ "Know who สำคัญกว่า Know how" คอนเนคชันสำคัญมากๆๆ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในประเทศนี้ และจะสำคัญที่สุดตอนที่เราเกิดปัญหา!
Connection เราควรมีทุกสายอาชีพ แต่ถ้าก่อนอายุ 35 อย่างน้อย 3 อาชีพนี้เป็นสิ่งที่เป็น A must ที่ทุกคนควรต้องมีคนรู้จักแบบสนิท ยกหูโทรศัพท์หาได้ทันทีนั่นก็คือ ตำรวจ ทนายและก็หมอดีๆซักคนครับ
5. Business
วัย 35 คุณควรต้องมีธุรกิจเป็นของตนเองละ ถ้าคุณอยากฝันอยากทำธุรกิจนะ (ถ้าไม่อยากทำก็ข้ามข้อนี้ไป) ช้ากว่านี้ก็ลำบาก บางคนอาจบอกว่า Colonel Sanders เจ้าของ KFC เริ่มทำธุรกิจตอน 65 ก็ Success ได้ (เพราะจริงๆอายุไม่ใช่ตัวแปรกับความสำเร็จของธุรกิจ)
แต่จริงๆ ถ้าพ้นอายุ 35 แล้วคุณไม่เริ่มธุรกิจอะไรซักอย่าง คุณจะเริ่มได้ยากขึ้น เพราะไฟคุณเหลือน้อยลง เรียนรู้อะไรใหม่ๆเริ่มยากขึ้น แถมคุณยังได้เลื่อนตำแหน่งในองค์กร เป็น manager แล้ว เงิน 3-4 หมื่นอัพ ทำให้ "ต้นทุนความล้มเหลว" ขอบคุณสูงขึ้น ถ้าลาออกไปทำธุรกิจ เกิดพลาดล่ะทำไงๆ เกิดออกไปแล้วทำกำไรน้อยกว่าเงินเดือนอีก อีกทั้งมีบ้าน มีรถต้องผ่อนอีก คราวนี้คุณจะเริ่มไม่กล้าทำอะไรมากละ
6. Family
จริงๆวัยนี้ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ควรมีครอบครัวมีลูกได้แล้ว ผู้หญิงจะมีปัญหามากกว่าหน่อย เพราะถ้ายิ่งสูงวัยจะยิ่งคลอดลูกลำบาก
และเลี้ยงลูกน้อยมันเหนื่อยครับ นอนไม่เป็นเวลา ต้องตื่นมาให้นมทุกสามสี่ชั่วโมง ถ้าเราแก่ตัวไป 40 กว่าแล้ว เพิ่งมามีเบบี๋ สุขภาพก็จะเสียอีก
จริงๆมันมีประเด็นและกุศโลบายแฝงอยู่นอกเหนือจากเรื่องสุขภาพ นั่นคือถ้าแต่งงานมีลูกตอนอายุ 35 ลูกจะเรียนจบรับปริญญาตอน 22 นั่นแปลว่าเรา 57 ละ ใกล้เกษียณละ มีลูกทำงานคอยส่งเงินให้ใช้ พาไปเที่ยว พาไปโรงบาลทันเวลาเราเกษียณพอดี!
7. สุขภาพ
สุขภาพสำคัญสุดๆๆ มีเงินร้อยล้านก็ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้ เพราะเกิดเราเป็นโรคร้ายแรงสุด ต้องใช้เงินรักษา 2 ล้าน เกิดเรารวยมากๆให้หมอเลย 20 ขอให้รักษาให้หาย สุขภาพดีเหมือนตอนก่อนเป็นโรคนี้ หมอทำให้ได้ไหมครับ....ไม่ได้!!!
คนรู้จักของผมทำงานหนักๆๆๆรวยเป็นพันๆล้าน ทำงานหนักแบบไม่พักเลย ลุยๆๆตลอด สุดท้ายเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่โรงบาลมาปีนึงละ ลูกลำบากเลยทีนี้ มีบ้านหลังหลายสิบล้าน ไม่มีใครได้อยู่ เพราะลูกต้องมานอนโรงบาลแทนบ้าน รถหรูมีหลายคัน ได้ขับได้ใช้แค่ตอนมาโรงบาล เงินหามาได้เท่าไหร่ มาเสียค่าห้องโรงบาลคืนละเป็นหมื่น อยู่โรงบาลมาปึนึง เสียไปหลายๆล้านแล้ว!!
เพราะฉะนั้นเชิญชวนเลย อยากให้ทุกคนรักษาสุขภาพกัน ไม่ต้องรอ 35 นะครับ สุขภาพนะครับไม่ใช่มาม่า ที่ออกกำลัง 3 นาทีแล้วแข็งแรงเลย เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนและเป็นการลงทุนระยะยาวด้วย ถ้าคุณประมาทคิดว่า "เห้ย ชั้นอายุน้อยอยู่ ยังไม่ต้องเริ่มก็ได้" ระวังนะครับ ของพวกนึ้มันจะเอาคืนและตอบแทนคุณอย่างที่คุณปฏิบัติต่อมันเสมอ!
8. วัด/มูลนิธิ
วัยนี้คุณต้องมีวัดหรือมูลนิธิหรือองค์กรการกุศล ซักแห่งที่คุณไปเป็นประจำทุกเดือน ช่วยเหลือ แบ่งปัน เสียสละเพื่อคนอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่ชีวิตคุณจะต้องบาลานซ์ทุกเรื่องให้สมดุล ถ้าข้อ 7 ทำให้คุณมี physical health สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว...ข้อนี้จะทำให้คุณมี mental health ที่ดี มีสุขภาพจิตที่ดี "การมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่ได้อยู่ที่เรามีความสุขแค่ไหน แต่อยู่ที่เราทำให้คนอื่นมีความสุขได้แค่ไหน"
9. ภาษาที่สอง
ในชีวิตคนเราอาจมีการเรียนรู้หลายอย่าง เช่น เรียนทำอาหาร, เรียนร้องเพลง, เรียนดำน้ำ, เรียนทำเว็บ ฯลฯ มีผลวิจัยบอกว่า หนึ่งในการเรียนรู้ที่สามารถสร้าง impact ในชีวิตมากที่สุด นั่นคือการเรียนภาษา
คล้ายๆกับ Quote ที่ว่า "ความรู้คือการลงทุนที่ดีที่สุด" (Education is the best investment) และหนึ่งในการลงทุนความรู้ที่ดีที่สุด คือการเรียนภาษาครับ ภาษาพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีแล้วคือภาษาอังกฤษ และภาษาต่อไปเป็นภาษาแห่งอนาคต (ใครรู้ภาษานี้คือมีอนาคตแน่นอน) คือภาษาจีน ขนาดมาร์ค ซักเกอร์เบิร์คยังต้องเรียนเลย (แถมมีเมียจีนด้วย เกี่ยวไหม? 555)
ถ้าก่อนถึงครึ่งชีวิตแล้วคุณสามารถพูดอีกภาษาได้คล่องแคล่ว โลกของคุณจะขยายและเติบโตขึ้น จนคุณต้องนึกขอบคุณตัวเองมากๆเลยที่ตั้งใจเรียนภาษานั้นๆ!
10. เวลา
หลังจากผ่านครึ่งชีวิตที่คุณทำงานอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาให้ตัวเอง ให้แฟน ให้ลูก ให้พ่อแม่ อย่ารอจนสายเกินไปที่คนที่คุณรัก รอคุณมีเวลาให้ไม่ไหวจนต้องจากลาลับไปก่อน
จำไว้เลยทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของคุณคือเวลา คุณต้องใช้อย่างมีประโยชน์ ไม่ประมาทและละเลย และอย่าลืมแบ่งมันไปบาลานซ์ชีวิตให้ครบทุกด้าน!
ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่คุณค่าไม่เท่ากัน และมีจำนวนวันในการใช้ชีวิตไม่เท่ากัน ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้กับชาติหน้าอันไหนจะมาก่อน เราจึงต้องใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่าที่สุด!
11. การใช้ชีวิต
"ชีวิตไม่ใช้ไม่ใช่ชีวิต" ชีวิตเกิดมา ต้องใช้ซะ! นะครับ อย่าเก็บตังค์ทั้งหมดไปใช้ชีวิตตอนแก่หลังเกษียณ คุณมีรายได้ปุ๊บ ต้องจัดสรรปันส่วนปั๊บ เก็บเงินสดไว้เป็นเงินออมเย็นๆส่วนหนึ่ง เงินลงทุนส่วนหนึ่ง เงินใช้ชีวิตส่วนหนึ่ง เงินทำบุญ เงินให้พ่อแม่ เงินสำหรับสังคม ต้องจัดเป็นส่วนๆ
และคนยุคก่อนๆยังลงทุนไม่เป็น เต็มที่แค่ฝากแบงค์ และเก็บเงินทั้งหมดไว้ใช้ตอนแก่! ไปเที่ยวตอนแก่ เดินไม่ค่อยไหว กับเที่ยวตอนหนุ่มสาวๆ อารมณ์ต่างกันเยอะนะครับ กินข้าวก็เหมือนกัน ตอนแก่ไปทานอาหารอร่อยๆแพงๆแค่ไหน ตอนนั้นลิ้นรับรสไม่ดี ฟันเฟินหายไปตามอายุ อาหารดีแค่ไหนก็ไม่อร่อยแล้ว
ดังนั้นการเก็บเงินเป็นเรื่องดี แต่เก็บทั้งหมดไม่ดีแน่ๆครับ เผลอๆเกิดจับพลัดจับผลูตายก่อน หมดกันเลย เกิดมาทำแต่งานไม่เคยได้ใช้ชีวิต ย้ำอีกทีนะครับ "ชีวิตไม่ใช้ไม่ใช่ชีวิต"!!
12. ความสุข
ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อมีความสุขครับ ถ้าใครอายุเท่านี้แล้วลองสำรวจตัวเอง ว่าชีวิตทุกวันนี้ มีความสุขดีเท่าที่ควรจะเป็นหรือยัง ถ้ายัง! เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเถอะครับ! คนเราเกิดมาแล้ว ชาติหน้าไม่รู้ไม่มีจริงไหม แต่ชาตินี้มีจริงแน่ๆ ถ้าเราใช้ชีวิตได้คุ้มค่าและมีความสุข เราจะได้ขึ้นสวรรค์ในชาตินี้เลย ไม่ต้องรอชาติหน้า!!
ผ่านมาถึงอายุเท่านี้ น่าจะรู้แล้วว่าชีวิตมีสุขทุกข์เวียนวน ขึ้นลงเป็นวัฏจักร แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน เรา"อนุญาต"ให้ตัวเองมีความสุข เราจะมีความสุขได้ทุกวัน วันไหนช่วงขาขึ้นก็ตักตวงความสุขเยอะหน่อย (แบบระมัดระวัง เพราะเดี๋ยวต่อไปจะขาลง) ช่วงไหนขาลงก็สุขน้อยหน่อย (และมีหวังกับวันพรุ่งนี้ที่จะมีความสุขมากขึ้นในช่วงขาขึ้น) คนเราปัจจุบันยึดติดกับเงินตรา สิ่งของ เป็นพวก "ทุนนิยม" (capitalism) ซึ่งไม่ดีเลย ความสุขของเราอย่าไปผูกติดกับใคร อย่าไปผูกติดกับสิ่งของ จงผูกติดกับตัวเอง ที่ตัวเองสามารถอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขได้เอง มาเป็นพวก "สุขนิยม" (happinessism) กันเถอะครับ
ละนี่คือ 12 สิ่งที่ควรคุณต้องมีก่อนอายุ 35 ครับ ถ้าคุณอายุน้อยกว่า 35 แล้วได้มาอ่านบทความนี้ แสดงว่าคุณโชคดีมากๆ เริ่มได้ไว สุข12 สิ่งที่คุณควรมีก่อนอายุ
(Full Version)
World Health Organization หรือ WHO เปิดเผยผลสำรวจว่า อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์โลกอยู่ราวๆ 70 ปี ดังนั้น ครึ่งชีวิตหรือเรามักเรียกกันว่าวัยกลางคนนั้น นับที่ 35 ปีละกัน
ถ้าใช้ชีวิตมาถึงครึ่งทางแล้ว เราควรมีอะไรในชีวิตบ้าง และนี่คือ 12 สิ่งที่คุณควรมีก่อนอายุ 35 ครับ
1. เงินออมอย่างน้อย 1 ล้านบาท
อันนี้หมายถึงเงินเย็นนะครับ เอาแบบเย็นเจี๊ยบเลย วางนิ่งๆในบัญชีโดยที่เราไม่เดือดร้อนและไม่ใช่เงินก้อนส่วนที่ต้องเอาไปลงทุนอะไร เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะมี "อุบัติเหตุในชีวิต" อะไรบ้าง อุบัติเหตุคำนี้หมายถึงทุกด้านนะครับ ทั้งด้านการงาน การเงินและด้านสุขภาพ
อันนี้ห้ามเก็บในรูป asset อื่นนะครับ ขอเป็นเงินสดที่สามารถถอนออกมาได้ทันที เกิดอารมณ์แบบพ่อคุณเส้นเลือดอุดตันในสมองเย็นวันเสาร์ ต้องผ่าตัดคืนนี้ไม่งั้นไม่ทัน ต้องใช้ห้าแสนเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเงินก้อนนี้คุณไปอยู่ในหุ้น ต้องรอตลาดเปิดอีกหลายวัน แถมเผลอๆถ้าดอยอยู่ ต้องคัทขาดทุนแบบไม่ได้วางแผนอีก ไม่โอเคเลย!
2. Investment/asset
"คนฉลาดเก่งหาเงิน ส่วนคนที่สุดยอดเก่งหาเงินแล้วเก่งเอาเงินไปทำงานอีกทีหนึ่ง" คุณต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งที่คุณหาได้ ไปลงทุนใน asset ต่างๆ ซี่งที่นิยมก็เช่น อสังหา (บ้าน, คอนโด, ที่ดิน) , ตราสารหนี้ (พวกพันธบัตรต่างๆ), ตราสารทุน (กองทุนหุ้น, หุ้น) และทองคำ นี่แค่เบสิคเบื้องต้น
คุณต้องเลือก Way ที่คุณถนัด ไม่ต้องลงทุนแม่งทุกอย่าง บางคนจะแย้งว่าการลงทุนหลายๆอย่างเป็นการทำ risk allocation กระจายความเสี่ยงๆไป ซึ่งไม่ผิดครับ ไม่มีสูตรสำเร็จ นักลงทุนระดับโลกบางคนก็เน้นไปเป็นอย่างๆ เช่น วอรเรน บัฟเฟตต์มาทางหุ้น บริหารกองทุนของเค้าไป, ส่วนจอร์จ โซรอส มาทางสายลงทุนค่าเงิน อย่างนี้เป็นต้น
คุณจะลงทุนกี่อย่างก็ลงไป เพราะประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวน ประเด็นมันอยู่ "ความรู้ความเข้าใจ" มากกว่า จำไว้เลยว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง "High risk, High return" และทุกความเสี่ยงเกิดจากความไม่รู้ ถ้าคุณทำให้รู้ให้เชี่ยวชาญซะ สูตรสำเร็จก็คือ "High understanding , Low risk, High return"
ซึ่งมีน้อยคนที่จะเชี่ยวชาญการลงทุนทุกด้าน ส่วนตัวผมแนะนำให้เชี่ยวชาญและลงทุนหนักๆไปกับแค่ไม่กี่อย่างพอครับ Quantity Investment ไม่สำคัญเท่า Quality Investment บางทีคุณสามารถรวยได้จากการลงทุนหุ้นเพียงแค่ตัวเดียวหรือที่ดินเพียงผืนเดียวก็เป็นได้ (แต่ยากหน่อย ต้องมีความรู้+โชคดีมากๆประกอบกัน)
อย่างข้อ 1 ผมเชียร์ให้คุณมีเงินเย็นๆอย่างน้อย 1 ล้านบาทให้ได้ตอนอายุ 35 บางคนอ่านละท้อเลย เพราะตอนนี้อายุ 25 ตอนนี้เงินเดือน 23,000 ฿ หักค่าคอนโด,ค่ารถ,ค่าอาหาร,ค่าผ่อนไอโฟน, ค่าเนต, ค่าสตาร์บัค หักแล้วเหลือเก็บอยู่ 3,000 บาทต่อเดือนเอง ถ้าให้เก็บครบล้าน ต้องใช้เวลาเก็บเกือบ 30 ปี หวิดจะเกษียณละอีกนิดเดียว ยังไงไม่ทันอายุ 35 แน่นอน
จริงๆถ้าคุณเก็บออมอย่างเดียวยังไงก็ไม่ถึงครับ เศรษฐีบนโลกนี้ไม่มีใครรวยเพราะเก็บออมอย่างเดียว ทุกคนรวยเพราะหาเงินได้เยอะ แล้วเอาเงินที่เยอะนั้นไปลงทุนต่อ ถ้าให้พูดสั้นๆคือ "คนรวยไม่ได้เก่งประหยัด แต่เก่งหาเงินและทำเงินนั้นให้พอกพูน" ครับ
ถ้าคุณมีเงินเก็บเดือนละ 3,000 ผมเชียร์คุณเก็บเงินเพิ่มอีกแค่วันละ 50 บาท...ไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ? 30 วันคุณจะมีเงินเก็บเดือนละ 4,500 ฿ ถ้าคุณเก็บได้แบบนี้ทุกเดือนและนำเงินนี้ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมออย่างต่ำ 15% ต่อปี ตอนนี้คุณอายุผ่านไป 10 ปี คุณจะมีเงินล้านกว่าบาทครับแบบชิลๆเลย ลองกฏเครื่องคิดเลขดูได้
ฟังดูง่ายมะ? ง่ายเนาะ...(ยิ่งถ้าคุณเงินเดือนเพิ่ม จะสามารถแบ่งมาลงทุนได้มากกว่านี้อีก และปลายทางมีมากกว่าล้านนึงอีก!!)
แต่จริงๆมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ ไม่งั้นทุกคนก็รวยละดิ จริงมะ? เพราะการลงทุนให้ได้ปีละ 15% นันไม่ง่ายครับ คุณต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญประมาณนึงเลย
จำไว้นะครับ นิยามคำว่าการลงทุนในแบบของผมคือ "การเอาอะไรบางสิ่งไปแลกบางอย่าง เพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าเดิม" ดังนั้นการลงทุนคุณต้องยอมแลก คุณต้องยอมอดเพื่อได้ออม ยอมเสียเวลาเพื่อได้เรียนรู้ ยอมรับความเสี่ยงเพื่อได้ดอกผล และไม่ยอมแพ้กับบางครั้งที่ต้องมีพลาดบ้าง (เป็นเรื่องธรรมดามากๆครับ)
3. ประกัน
เมื่ออายุ 35 คุณควรมีประกันดีๆที่ครอบคลุมอย่างน้อย 3 ตัว คือประกันสุขภาพ, ประกันอุบัติเหตุ และประกันชีวิต พวกนี้เป็นความเสี่ยงที่ควรจ่าย ควรแบ่งเงินบางส่วนมาซื้อประกันพวกนี้ ตามกำลังที่คุณมี
เพราะถ้าคุณไม่สบายด้วยโรคหนักๆแบบไม่รู้ตัว หรือวันนี้อยู่เดินข้ามถนนแล้วรถชน ซึ่งพวกนี้ทำให้คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก ทั้งตัวเงินให้ต้องรักษาและค่าเสียเวลาค่าเสียโอกาสจากการทำงานไม่ได้ เอ้อ ผมไม่ได้ขายประกันนะครับ และไม่แนะนำหลังไมค์อะไรทั้งนั้น 5555
ยิงถ้าตัวผมเองทำธุรกิจ ถ้าไม่สบายที ค่ารักษาก็คงประมาณนึง แต่ค่าเสียโอกาสที่ไปทำงานไม่ได้นี่จะมากกว่าค่ารักษาเยอะมากก ผมเลยซีเรียสกับเรื่องประกันนี้มากเลยครับ
4. Connection
เคยได้ยินไหมครับ "Know who สำคัญกว่า Know how" คอนเนคชันสำคัญมากๆๆ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในประเทศนี้ และจะสำคัญที่สุดตอนที่เราเกิดปัญหา!
Connection เราควรมีทุกสายอาชีพ แต่ถ้าก่อนอายุ 35 อย่างน้อย 3 อาชีพนี้เป็นสิ่งที่เป็น A must ที่ทุกคนควรต้องมีคนรู้จักแบบสนิท ยกหูโทรศัพท์หาได้ทันทีนั่นก็คือ ตำรวจ ทนายและก็หมอดีๆซักคนครับ
5. Business
วัย 35 คุณควรต้องมีธุรกิจเป็นของตนเองละ ถ้าคุณอยากฝันอยากทำธุรกิจนะ (ถ้าไม่อยากทำก็ข้ามข้อนี้ไป) ช้ากว่านี้ก็ลำบาก บางคนอาจบอกว่า Colonel Sanders เจ้าของ KFC เริ่มทำธุรกิจตอน 65 ก็ Success ได้ (เพราะจริงๆอายุไม่ใช่ตัวแปรกับความสำเร็จของธุรกิจ)
แต่จริงๆ ถ้าพ้นอายุ 35 แล้วคุณไม่เริ่มธุรกิจอะไรซักอย่าง คุณจะเริ่มได้ยากขึ้น เพราะไฟคุณเหลือน้อยลง เรียนรู้อะไรใหม่ๆเริ่มยากขึ้น แถมคุณยังได้เลื่อนตำแหน่งในองค์กร เป็น manager แล้ว เงิน 3-4 หมื่นอัพ ทำให้ "ต้นทุนความล้มเหลว" ขอบคุณสูงขึ้น ถ้าลาออกไปทำธุรกิจ เกิดพลาดล่ะทำไงๆ เกิดออกไปแล้วทำกำไรน้อยกว่าเงินเดือนอีก อีกทั้งมีบ้าน มีรถต้องผ่อนอีก คราวนี้คุณจะเริ่มไม่กล้าทำอะไรมากละ
6. Family
จริงๆวัยนี้ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ควรมีครอบครัวมีลูกได้แล้ว ผู้หญิงจะมีปัญหามากกว่าหน่อย เพราะถ้ายิ่งสูงวัยจะยิ่งคลอดลูกลำบาก
และเลี้ยงลูกน้อยมันเหนื่อยครับ นอนไม่เป็นเวลา ต้องตื่นมาให้นมทุกสามสี่ชั่วโมง ถ้าเราแก่ตัวไป 40 กว่าแล้ว เพิ่งมามีเบบี๋ สุขภาพก็จะเสียอีก
จริงๆมันมีประเด็นและกุศโลบายแฝงอยู่นอกเหนือจากเรื่องสุขภาพ นั่นคือถ้าแต่งงานมีลูกตอนอายุ 35 ลูกจะเรียนจบรับปริญญาตอน 22 นั่นแปลว่าเรา 57 ละ ใกล้เกษียณละ มีลูกทำงานคอยส่งเงินให้ใช้ พาไปเที่ยว พาไปโรงบาลทันเวลาเราเกษียณพอดี!
7. สุขภาพ
สุขภาพสำคัญสุดๆๆ มีเงินร้อยล้านก็ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้ เพราะเกิดเราเป็นโรคร้ายแรงสุด ต้องใช้เงินรักษา 2 ล้าน เกิดเรารวยมากๆให้หมอเลย 20 ขอให้รักษาให้หาย สุขภาพดีเหมือนตอนก่อนเป็นโรคนี้ หมอทำให้ได้ไหมครับ....ไม่ได้!!!
คนรู้จักของผมทำงานหนักๆๆๆรวยเป็นพันๆล้าน ทำงานหนักแบบไม่พักเลย ลุยๆๆตลอด สุดท้ายเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่โรงบาลมาปีนึงละ ลูกลำบากเลยทีนี้ มีบ้านหลังหลายสิบล้าน ไม่มีใครได้อยู่ เพราะลูกต้องมานอนโรงบาลแทนบ้าน รถหรูมีหลายคัน ได้ขับได้ใช้แค่ตอนมาโรงบาล เงินหามาได้เท่าไหร่ มาเสียค่าห้องโรงบาลคืนละเป็นหมื่น อยู่โรงบาลมาปึนึง เสียไปหลายๆล้านแล้ว!!
เพราะฉะนั้นเชิญชวนเลย อยากให้ทุกคนรักษาสุขภาพกัน ไม่ต้องรอ 35 นะครับ สุขภาพนะครับไม่ใช่มาม่า ที่ออกกำลัง 3 นาทีแล้วแข็งแรงเลย เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนและเป็นการลงทุนระยะยาวด้วย ถ้าคุณประมาทคิดว่า "เห้ย ชั้นอายุน้อยอยู่ ยังไม่ต้องเริ่มก็ได้" ระวังนะครับ ของพวกนึ้มันจะเอาคืนและตอบแทนคุณอย่างที่คุณปฏิบัติต่อมันเสมอ!
8. วัด/มูลนิธิ
วัยนี้คุณต้องมีวัดหรือมูลนิธิหรือองค์กรการกุศล ซักแห่งที่คุณไปเป็นประจำทุกเดือน ช่วยเหลือ แบ่งปัน เสียสละเพื่อคนอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่ชีวิตคุณจะต้องบาลานซ์ทุกเรื่องให้สมดุล ถ้าข้อ 7 ทำให้คุณมี physical health สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว...ข้อนี้จะทำให้คุณมี mental health ที่ดี มีสุขภาพจิตที่ดี "การมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่ได้อยู่ที่เรามีความสุขแค่ไหน แต่อยู่ที่เราทำให้คนอื่นมีความสุขได้แค่ไหน"
9. ภาษาที่สอง
ในชีวิตคนเราอาจมีการเรียนรู้หลายอย่าง เช่น เรียนทำอาหาร, เรียนร้องเพลง, เรียนดำน้ำ, เรียนทำเว็บ ฯลฯ มีผลวิจัยบอกว่า หนึ่งในการเรียนรู้ที่สามารถสร้าง impact ในชีวิตมากที่สุด นั่นคือการเรียนภาษา
คล้ายๆกับ Quote ที่ว่า "ความรู้คือการลงทุนที่ดีที่สุด" (Education is the best investment) และหนึ่งในการลงทุนความรู้ที่ดีที่สุด คือการเรียนภาษาครับ ภาษาพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีแล้วคือภาษาอังกฤษ และภาษาต่อไปเป็นภาษาแห่งอนาคต (ใครรู้ภาษานี้คือมีอนาคตแน่นอน) คือภาษาจีน ขนาดมาร์ค ซักเกอร์เบิร์คยังต้องเรียนเลย (แถมมีเมียจีนด้วย เกี่ยวไหม? 555)
ถ้าก่อนถึงครึ่งชีวิตแล้วคุณสามารถพูดอีกภาษาได้คล่องแคล่ว โลกของคุณจะขยายและเติบโตขึ้น จนคุณต้องนึกขอบคุณตัวเองมากๆเลยที่ตั้งใจเรียนภาษานั้นๆ!
10. เวลา
หลังจากผ่านครึ่งชีวิตที่คุณทำงานอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาให้ตัวเอง ให้แฟน ให้ลูก ให้พ่อแม่ อย่ารอจนสายเกินไปที่คนที่คุณรัก รอคุณมีเวลาให้ไม่ไหวจนต้องจากลาลับไปก่อน
จำไว้เลยทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของคุณคือเวลา คุณต้องใช้อย่างมีประโยชน์ ไม่ประมาทและละเลย และอย่าลืมแบ่งมันไปบาลานซ์ชีวิตให้ครบทุกด้าน!
ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่คุณค่าไม่เท่ากัน และมีจำนวนวันในการใช้ชีวิตไม่เท่ากัน ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้กับชาติหน้าอันไหนจะมาก่อน เราจึงต้องใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่าที่สุด!
11. การใช้ชีวิต
"ชีวิตไม่ใช้ไม่ใช่ชีวิต" ชีวิตเกิดมา ต้องใช้ซะ! นะครับ อย่าเก็บตังค์ทั้งหมดไปใช้ชีวิตตอนแก่หลังเกษียณ คุณมีรายได้ปุ๊บ ต้องจัดสรรปันส่วนปั๊บ เก็บเงินสดไว้เป็นเงินออมเย็นๆส่วนหนึ่ง เงินลงทุนส่วนหนึ่ง เงินใช้ชีวิตส่วนหนึ่ง เงินทำบุญ เงินให้พ่อแม่ เงินสำหรับสังคม ต้องจัดเป็นส่วนๆ
และคนยุคก่อนๆยังลงทุนไม่เป็น เต็มที่แค่ฝากแบงค์ และเก็บเงินทั้งหมดไว้ใช้ตอนแก่! ไปเที่ยวตอนแก่ เดินไม่ค่อยไหว กับเที่ยวตอนหนุ่มสาวๆ อารมณ์ต่างกันเยอะนะครับ กินข้าวก็เหมือนกัน ตอนแก่ไปทานอาหารอร่อยๆแพงๆแค่ไหน ตอนนั้นลิ้นรับรสไม่ดี ฟันเฟินหายไปตามอายุ อาหารดีแค่ไหนก็ไม่อร่อยแล้ว
ดังนั้นการเก็บเงินเป็นเรื่องดี แต่เก็บทั้งหมดไม่ดีแน่ๆครับ เผลอๆเกิดจับพลัดจับผลูตายก่อน หมดกันเลย เกิดมาทำแต่งานไม่เคยได้ใช้ชีวิต ย้ำอีกทีนะครับ "ชีวิตไม่ใช้ไม่ใช่ชีวิต"!!
12. ความสุข
ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อมีความสุขครับ ถ้าใครอายุเท่านี้แล้วลองสำรวจตัวเอง ว่าชีวิตทุกวันนี้ มีความสุขดีเท่าที่ควรจะเป็นหรือยัง ถ้ายัง! เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเถอะครับ! คนเราเกิดมาแล้ว ชาติหน้าไม่รู้ไม่มีจริงไหม แต่ชาตินี้มีจริงแน่ๆ ถ้าเราใช้ชีวิตได้คุ้มค่าและมีความสุข เราจะได้ขึ้นสวรรค์ในชาตินี้เลย ไม่ต้องรอชาติหน้า!!
ผ่านมาถึงอายุเท่านี้ น่าจะรู้แล้วว่าชีวิตมีสุขทุกข์เวียนวน ขึ้นลงเป็นวัฏจักร แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน เรา"อนุญาต"ให้ตัวเองมีความสุข เราจะมีความสุขได้ทุกวัน วันไหนช่วงขาขึ้นก็ตักตวงความสุขเยอะหน่อย (แบบระมัดระวัง เพราะเดี๋ยวต่อไปจะขาลง) ช่วงไหนขาลงก็สุขน้อยหน่อย (และมีหวังกับวันพรุ่งนี้ที่จะมีความสุขมากขึ้นในช่วงขาขึ้น) คนเราปัจจุบันยึดติดกับเงินตรา สิ่งของ เป็นพวก "ทุนนิยม" (capitalism) ซึ่งไม่ดีเลย ความสุขของเราอย่าไปผูกติดกับใคร อย่าไปผูกติดกับสิ่งของ จงผูกติดกับตัวเอง ที่ตัวเองสามารถอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขได้เอง มาเป็นพวก "สุขนิยม" (happinessism) กันเถอะครับ
ละนี่คือ 12 สิ่งที่ควรคุณต้องมีก่อนอายุ 35 ครับ ถ้าคุณอายุน้อยกว่า 35 แล้วได้มาอ่านบทความนี้ แสดงว่าคุณโชคดีมากๆ เริ่มได้ไว สุข12 สิ่งที่คุณควรมีก่อนอายุ
(Full Version)
World Health Organization หรือ WHO เปิดเผยผลสำรวจว่า อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์โลกอยู่ราวๆ 70 ปี ดังนั้น ครึ่งชีวิตหรือเรามักเรียกกันว่าวัยกลางคนนั้น นับที่ 35 ปีละกัน
ถ้าใช้ชีวิตมาถึงครึ่งทางแล้ว เราควรมีอะไรในชีวิตบ้าง และนี่คือ 12 สิ่งที่คุณควรมีก่อนอายุ 35 ครับ
1. เงินออมอย่างน้อย 1 ล้านบาท
อันนี้หมายถึงเงินเย็นนะครับ เอาแบบเย็นเจี๊ยบเลย วางนิ่งๆในบัญชีโดยที่เราไม่เดือดร้อนและไม่ใช่เงินก้อนส่วนที่ต้องเอาไปลงทุนอะไร เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะมี "อุบัติเหตุในชีวิต" อะไรบ้าง อุบัติเหตุคำนี้หมายถึงทุกด้านนะครับ ทั้งด้านการงาน การเงินและด้านสุขภาพ
อันนี้ห้ามเก็บในรูป asset อื่นนะครับ ขอเป็นเงินสดที่สามารถถอนออกมาได้ทันที เกิดอารมณ์แบบพ่อคุณเส้นเลือดอุดตันในสมองเย็นวันเสาร์ ต้องผ่าตัดคืนนี้ไม่งั้นไม่ทัน ต้องใช้ห้าแสนเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเงินก้อนนี้คุณไปอยู่ในหุ้น ต้องรอตลาดเปิดอีกหลายวัน แถมเผลอๆถ้าดอยอยู่ ต้องคัทขาดทุนแบบไม่ได้วางแผนอีก ไม่โอเคเลย!
2. Investment/asset
"คนฉลาดเก่งหาเงิน ส่วนคนที่สุดยอดเก่งหาเงินแล้วเก่งเอาเงินไปทำงานอีกทีหนึ่ง" คุณต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งที่คุณหาได้ ไปลงทุนใน asset ต่างๆ ซี่งที่นิยมก็เช่น อสังหา (บ้าน, คอนโด, ที่ดิน) , ตราสารหนี้ (พวกพันธบัตรต่างๆ), ตราสารทุน (กองทุนหุ้น, หุ้น) และทองคำ นี่แค่เบสิคเบื้องต้น
คุณต้องเลือก Way ที่คุณถนัด ไม่ต้องลงทุนแม่งทุกอย่าง บางคนจะแย้งว่าการลงทุนหลายๆอย่างเป็นการทำ risk allocation กระจายความเสี่ยงๆไป ซึ่งไม่ผิดครับ ไม่มีสูตรสำเร็จ นักลงทุนระดับโลกบางคนก็เน้นไปเป็นอย่างๆ เช่น วอรเรน บัฟเฟตต์มาทางหุ้น บริหารกองทุนของเค้าไป, ส่วนจอร์จ โซรอส มาทางสายลงทุนค่าเงิน อย่างนี้เป็นต้น
คุณจะลงทุนกี่อย่างก็ลงไป เพราะประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวน ประเด็นมันอยู่ "ความรู้ความเข้าใจ" มากกว่า จำไว้เลยว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง "High risk, High return" และทุกความเสี่ยงเกิดจากความไม่รู้ ถ้าคุณทำให้รู้ให้เชี่ยวชาญซะ สูตรสำเร็จก็คือ "High understanding , Low risk, High return"
ซึ่งมีน้อยคนที่จะเชี่ยวชาญการลงทุนทุกด้าน ส่วนตัวผมแนะนำให้เชี่ยวชาญและลงทุนหนักๆไปกับแค่ไม่กี่อย่างพอครับ Quantity Investment ไม่สำคัญเท่า Quality Investment บางทีคุณสามารถรวยได้จากการลงทุนหุ้นเพียงแค่ตัวเดียวหรือที่ดินเพียงผืนเดียวก็เป็นได้ (แต่ยากหน่อย ต้องมีความรู้+โชคดีมากๆประกอบกัน)
อย่างข้อ 1 ผมเชียร์ให้คุณมีเงินเย็นๆอย่างน้อย 1 ล้านบาทให้ได้ตอนอายุ 35 บางคนอ่านละท้อเลย เพราะตอนนี้อายุ 25 ตอนนี้เงินเดือน 23,000 ฿ หักค่าคอนโด,ค่ารถ,ค่าอาหาร,ค่าผ่อนไอโฟน, ค่าเนต, ค่าสตาร์บัค หักแล้วเหลือเก็บอยู่ 3,000 บาทต่อเดือนเอง ถ้าให้เก็บครบล้าน ต้องใช้เวลาเก็บเกือบ 30 ปี หวิดจะเกษียณละอีกนิดเดียว ยังไงไม่ทันอายุ 35 แน่นอน
จริงๆถ้าคุณเก็บออมอย่างเดียวยังไงก็ไม่ถึงครับ เศรษฐีบนโลกนี้ไม่มีใครรวยเพราะเก็บออมอย่างเดียว ทุกคนรวยเพราะหาเงินได้เยอะ แล้วเอาเงินที่เยอะนั้นไปลงทุนต่อ ถ้าให้พูดสั้นๆคือ "คนรวยไม่ได้เก่งประหยัด แต่เก่งหาเงินและทำเงินนั้นให้พอกพูน" ครับ
ถ้าคุณมีเงินเก็บเดือนละ 3,000 ผมเชียร์คุณเก็บเงินเพิ่มอีกแค่วันละ 50 บาท...ไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ? 30 วันคุณจะมีเงินเก็บเดือนละ 4,500 ฿ ถ้าคุณเก็บได้แบบนี้ทุกเดือนและนำเงินนี้ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมออย่างต่ำ 15% ต่อปี ตอนนี้คุณอายุผ่านไป 10 ปี คุณจะมีเงินล้านกว่าบาทครับแบบชิลๆเลย ลองกฏเครื่องคิดเลขดูได้
ฟังดูง่ายมะ? ง่ายเนาะ...(ยิ่งถ้าคุณเงินเดือนเพิ่ม จะสามารถแบ่งมาลงทุนได้มากกว่านี้อีก และปลายทางมีมากกว่าล้านนึงอีก!!)
แต่จริงๆมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ ไม่งั้นทุกคนก็รวยละดิ จริงมะ? เพราะการลงทุนให้ได้ปีละ 15% นันไม่ง่ายครับ คุณต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญประมาณนึงเลย
จำไว้นะครับ นิยามคำว่าการลงทุนในแบบของผมคือ "การเอาอะไรบางสิ่งไปแลกบางอย่าง เพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าเดิม" ดังนั้นการลงทุนคุณต้องยอมแลก คุณต้องยอมอดเพื่อได้ออม ยอมเสียเวลาเพื่อได้เรียนรู้ ยอมรับความเสี่ยงเพื่อได้ดอกผล และไม่ยอมแพ้กับบางครั้งที่ต้องมีพลาดบ้าง (เป็นเรื่องธรรมดามากๆครับ)
3. ประกัน
เมื่ออายุ 35 คุณควรมีประกันดีๆที่ครอบคลุมอย่างน้อย 3 ตัว คือประกันสุขภาพ, ประกันอุบัติเหตุ และประกันชีวิต พวกนี้เป็นความเสี่ยงที่ควรจ่าย ควรแบ่งเงินบางส่วนมาซื้อประกันพวกนี้ ตามกำลังที่คุณมี
เพราะถ้าคุณไม่สบายด้วยโรคหนักๆแบบไม่รู้ตัว หรือวันนี้อยู่เดินข้ามถนนแล้วรถชน ซึ่งพวกนี้ทำให้คุณต้องเสียค่า