
25/07/2025
🩹ใครไม่อยากมีแผลเป็นนูน ต้องเซฟโพสต์นี้!
2 วิธีดูแลแผล ไม่ให้กลายเป็นแผลเป็นนูนกวนใจ ทำอย่างไร ❓
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับ “กระบวนการสมานแผล (Wound Healing Process)” กันก่อนครับโดยตอนที่แผลยังไม่ปิดสนิท จะมี 3 ระยะหลักๆ คือ
ขั้นที่ 1 ระยะอักเสบ (Inflammation)
- เริ่มประมาณ 0-3 วันหลังบาดเจ็บ
- การทำความสะอาดแผล >> หลังเกิดบาดแผล neutrophils จะเข้าสู่แผลภายในไม่กี่ชั่วโมงเพื่อกำจัดเชื้อโรคและเซลล์ที่เสียหาย โดยจะทำหน้าที่หลักในช่วง 48 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้น macrophages จะเข้ามาช่วยทำความสะอาดแผลต่อ โดยกินเซลล์ที่ตายแล้วและเศษซากต่าง ๆ พร้อมกับมีบทบาทสำคัญในการเริ่มต้นกระบวนการสมานแผลในระยะแรก
- การสร้างผิวหนังใหม่ (Skin regeneration) >> นอกจากการทำความสะอาดแผลแล้ว macrophages ยังมีบทบาทในการช่วยฟื้นฟูผิวหนังอีกด้วย โดยพวกมันจะปล่อย *โกรทแฟกเตอร์ (growth factors)* ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ โกรทแฟกเตอร์เหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ที่เรียกว่า *ไฟโบรบลาสต์ (fibroblasts)* ซึ่งมีหน้าที่สร้างโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า *คอลลาเจน (collagen)* ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างหลอดเลือดและผิวหนังขึ้นมาใหม่
ขั้นที่ 2 ระยะสร้างเนื้อเยื่อใหม่ (Proliferation) หรือ ระยะการรักษา (Healing)
- เริ่มประมาณ 3 วัน-2 สัปดาห์หลังบาดเจ็บ ขึ้นอยู่กับขนาดแผล
- ผิวหนังใหม่ (Re-epithelialization) >> เริ่มประมาณ 24–48 ชั่วโมงหลังบาดแผล keratinocytes จะเคลื่อนจากขอบแผลเข้าสู่ตรงกลาง พร้อมแบ่งตัวเพื่อสร้างชั้นผิวใหม่คลุมแผล ช่วยป้องกันแผลจากสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงบอบบางและเสียหายง่ายในช่วงแรก
- หลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใหม่ (New blood vessels and connective tissue) >> ภายใน 2–5 วันหลังเกิดบาดแผล granulation tissue ซึ่งประกอบด้วยไฟโบรบลาสต์ หลอดเลือดใหม่ คอลลาเจน (โดยเฉพาะ Collagen type III) และเซลล์อักเสบ จะเริ่มก่อตัวและเติบโตเต็มแผล โดยทำหน้าที่แทนลิ่มเลือดเดิม
- การหดตัวของขอบแผล (Contraction of wound edges) >> ขอบแผลจะค่อย ๆ หดเข้าหากัน ทำให้แผลเล็กลงและช่วยให้ granulation tissue เติมเต็มได้สะดวก กระบวนการนี้เกิดจาก myofibroblasts ซึ่งหดตัวได้คล้ายกล้ามเนื้อเรียบ ดึงขอบแผลเข้าหากันอย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นที่ 3 ระยะปรับโครงสร้างผิว (Maturation/Remodeling)
- เริ่มประมาณหลัง 2 สัปดาห์ → ต่อเนื่องได้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี
- เนื้อเยื่อแผลเป็น (Scar tissue) >> ประมาณ 21 วันหลังจากเกิดแผล คอลลาเจนจะถูกส่งเข้าสู่แผลมากขึ้น ขณะเดียวกันปริมาณน้ำในแผลจะลดลง เส้นใยคอลลาเจนภายในแผลจะเริ่มเรียงตัวใหม่เพื่อสร้างแผลเป็น ในเนื้อเยื่อปกติ เส้นใยคอลลาเจนจะเรียงตัวในหลายทิศทางอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่ในเนื้อเยื่อแผลเป็น เส้นใยคอลลาเจนจะเรียงตัวไปในทิศทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่
- ความแข็งแรงของแผลเป็น (Scar strength) >> ในช่วงเวลาเดียวกัน ความสามารถในการต้านแรงดึงหรือแรงยืด (tensile strength) ของแผลเป็นจะเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าแผลเป็นจะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำลดลง
(อ้างอิง: https://www.acne.org/wound-healing-in-the-skin)
เข้าใจกระบวนการสมานแผลโดยธรรมชาติกันแล้วนะครับ อันนี้แหละสำคัญเลย ที่จะทำให้เรารู้ว่าถ้าอยากมีแผลสวย ไม่เป็นแผลเป็นนูนๆต้องทำอย่างไร ไปดูกันต่อครับ…
❤️🩹 2 วิธีดูแลแผล ไม่ให้กลายเป็นแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์
ข้อ 1 การดูแลแผลให้ดี (Wound Care) ในช่วง Wound Healing
- ตอนที่แผลยังไม่ปิดสนิท จะมี 3 ระยะหลักๆ คือ Inflammation, Proliferation, Remodeling นั้นแหละครับ ช่วงนี้ต้องดูแลแผลตามแพทย์นัด ล้างแผลให้สะอาด ป้องกันการติดเชื้อ ต้องระวัง “ติดเชื้อซ้ำ / เลือดออกซ้ำ”
- หลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือกดแผล เพราะจะกระตุ้นให้คอลลาเจนถูกสร้างมากเกินไป เพราะสิ่งพวกนี้แหละ ที่จะทำให้แผลสมานผิดปกติ แล้วกลายเป็น แผลเป็นนูนหรือแผลบุ๋ม ได้ง่ายมาก
ข้อ 2 การใช้ “ซิลิโคนเจล (Silicone Gel)” หลังแผลปิด
- เมื่อแผลแห้งหรือปิดสนิทแล้ว (ไม่มีน้ำเหลือง ไม่มีตกสะเก็ด)) → เริ่มใช้ Silicone Gel จะช่วยลดโอกาสเกิดแผลนูน และทำให้แผลเรียบขึ้น
- ตัวเจลมันจะทำหน้าที่เหมือน “ฟิล์มเคลือบบางๆ” ที่ช่วยกดให้ผิวเรียบ ป้องกันไม่ให้คอลลาเจนใต้แผลจับตัวมากเกินไป จนดันผิวขึ้นเป็นแผลนูน
- สามารถทาบ่อยๆได้ตามต้องการหลังจากแผลปิดสนิท แค่ทาบางๆ ทุกวัน ต่อเนื่องอย่างน้อย 2–3 เดือน
(อ้างอิง: https://jcasonline.com/the-efficacy-of-silicone-gel-for-the-treatment-of-hypertrophic-scars-and-keloids/
https://onlinelibrary.wiley.com/doi/epdf/10.1111/iwj.13337)
“แผลที่เคยดูน่ากลัว ก็จะกลายเป็นแผลเรียบๆ ไม่ต้องไปเลเซอร์ ไม่ต้องฉีดอะไรเลยครับ”
👉 ถ้าใครกำลังมีแผลอยู่ ลองทำตามนี้นะครับ แล้วแผลในอนาคตจะไม่หลอกหลอนเราอีก 💪
แล้วซิลิโคนเจลสำหรับแผลเป็น จะเลือกยังไงให้ปัง? ล่ะครับ
สิ่งแรกที่พี่ดิวดุจจะมองหาเลยคือ “เบสของซิลิโคน” ครับ
ต้องเป็นเบสที่ เคลือบผิวได้ดี แต่ไม่อุดตัน ยังให้ผิวหายใจได้อยู่ (breathable) ซึ่งเบสที่แนะนำคือ CPX (Cyclopentasiloxane)
✔ เคลือบผิวบางเบา
✔ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น
✔ ไม่เหนอะ ไม่อุดตัน
แต่ถ้าอยากให้ มากกว่าการลดแผลเป็นทั่วไป ดิวขอเพิ่ม ไฮโซส่วนผสม เหล่านี้เข้าไปด้วย
💛 Vitamin C & E – ช่วยลดรอยดำรอยแดงรอบแผล ฟื้นฟูผิวให้ดูสม่ำเสมอ
💧 Oligopeptide-1 – กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ให้เซลล์ผิวเรียงตัวสวย ไม่เป็นคีลอยด์ ไม่เป็นแผลนูน
(อ้างอิง: https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJM198907133210203)
เพราะจริงๆ แล้วเวลามีแผลเป็น มันไม่ได้แค่เรื่องรอยนูนค่ะ
แต่มักจะมาพร้อม รอยแดง รอยดำ ความหมองรอบๆ แผล ด้วยครับ
🥰ถ้าได้สารพวกนี้รวมอยู่ในหลอดเดียว มันจะช่วยทั้งให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และลดรอยได้พร้อมกันเลย 🤩
🧴 จบแล้วครับ! วิธีดูแลแผลไม่ให้นูนในอนาคต มีแค่นี้เลย
แผลเป็นนูนจริงๆ ก็มีเรื่อง “กรรมพันธุ์” เข้ามาเกี่ยวด้วยนะ
แต่เชื่อเถอะครับว่า ถ้าเราดูแลดีตั้งแต่แรก
✅ ไม่ให้ติดเชื้อ
✅ หมั่นทาซิลิโคนเจล
✅ และ “อย่าแกะสะเก็ดมั่วๆ”
ก็ช่วยลดโอกาสแผลเป็นนูนได้เยอะมากแล้วครับ
ฝากไว้เลย ดูแลแผลดีๆ ตอนนี้ ดีกว่าต้องมาแก้ตอนเป็นรอยนูนทีหลังนะครับ ✌️
#แผลนูน #ลดรอยแผลเป็น #ดูแลแผล #แผลผ่าตัด #แผลไม่นูน #ผิวเรียบเนียน