เวชศึกษาสมัยใหม่ - เพจหลัก

เวชศึกษาสมัยใหม่ - เพจหลัก ช่องทางการติดต่อสำหรับคนไข้

อาการ "เกร็งตึงกล้ามเนื้อ คอ บ่า และไหล่ นวดแล้วก็กลับมาเป็นใหม่ยังไม่ทันข้ามวัน" กับการรักษาทางการแพทย์แผนไทยอย่างเหมาะ...
15/07/2025

อาการ "เกร็งตึงกล้ามเนื้อ คอ บ่า และไหล่ นวดแล้วก็กลับมาเป็นใหม่ยังไม่ทันข้ามวัน" กับการรักษาทางการแพทย์แผนไทยอย่างเหมาะสม - อาการในลักษณะนี้ไม่ใช่ว่านวดแล้วจะดีขึ้นอย่างชัดเจนเสมอไป - การนวดไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในแพทย์แผนไทย อาการบางลักษณะต้องจ่ายยาตำรับเฉพาะโรค บางลักษณะนวดได้

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย

ขอบอกเลยว่า การนวดไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในแพทย์แผนไทย การนวดเป็นแค่หนทางหนึ่งในการรักษาทางการแพทย์แผนไทยเท่านั้น แพทย์แผนไทยเราก็มียาตำรับเฉพาะโรคที่สามารถใช้รักษาได้ดีเช่นกัน แต่ที่กินยาสมุนไพรกันแล้วอาการไม่ดีขึ้น เพราะกินยาไม่ตรงกับโรคจะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้

*** การวินิจฉัยอาการไม่ใช่การเดาสุ่มหรือจำจากตำรามาว่าคนไข้ (น่าจะ) เป็นอะไร แต่การวินิจฉัย คือ การที่หมอต้องเอาความรู้ทางการแพทย์ทั้งหมดที่หมอมีอยู่ในหัวเอามาวิเคราะห์อาการของคนไข้ ซึ่งจะต้องวิเคราะห์ใหม่ทั้งหมดทุกเคส

********************************

อาการ "เกร็งตึงกล้ามเนื้อ คอ บ่า และไหล่ นวดแล้วก็กลับมาเป็นใหม่ยังไม่ทันข้ามวัน" หลาย ๆ คนคิดว่าเป็นอาการทางกล้ามเนื้อ เกิดจากกล้ามเนื้อ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป เรื่องนี้แพทย์แผนไทยที่เรียนและมีความรู็ทางด้านวิทยาศาสตร์จะรู้กันดีอยู่แล้ว

ยกตัวอย่าง สาเหตุบางประการ เช่น

1) Cervical Radiculopathy - ภาวะที่รากประสาทสันหลังบริเวณคอ (cervical spinal nerves) ถูกกดทับ เช่น C5–C8 ทำให้เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อในคอ บ่า และไหล่

พยาธิสภาพ:

- หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือเคลื่อน (herniated disc) หรือกระดูกงอก (osteophyte) ไปกดรากประสาท

- ทำให้การส่งกระแสประสาทจากไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อไม่สมบูรณ์

กล้ามเนื้อที่ได้รับผล - กล้ามเนื้อ trapezius, deltoid, supraspinatus, infraspinatus, rhomboid, serratus anterior

ยกตัวอย่างลักษณะอาการที่อาจพบได้บางส่วน เช่น

- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ปวดร้าวจากคอไปบ่า ไหล่ แขน
- ชามือหรือนิ้วตาม dermatome
- อาจมี atrophy (กล้ามเนื้อฝ่อ) หากเป็นนาน

*************************************

2) Accessory Nerve Palsy (Cranial Nerve XI Lesion) - ภาวะบาดเจ็บของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 11 ซึ่งเลี้ยงกล้ามเนื้อ sternocleidomastoid และ trapezius

ยกตัวอย่าง พยาธิสภาพบางส่วน เช่น

- มักเกิดจากการผ่าตัดคอ การตัดต่อมน้ำเหลือง หรืออุบัติเหตุ
- ส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานไม่ได้เนื่องจากไม่มีคำสั่งจาก motor neuron

กล้ามเนื้อที่ได้รับผล - Sternocleidomastoid → หมุนศีรษะไม่ได้ / Trapezius → ยกไหล่ไม่ได้

อาการ - ไหล่ตกข้างเดียว / อ่อนแรงเวลายกแขนเหนือศีรษะ / ปวดคอ บ่า
/ เดินเอียงไหล่

************************************

ตัวอย่างของอาการที่เขียนมา แค่เบื้องต้นเท่านั้น ยังมีสาเหตุ ลักษณะ และพยาธิสภาพอีกเยอะที่ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ เกิดอาการเกร็งตึงขึ้นมาได้ การรักษาโดยไม่ได้ตรวจหรือรักษาโดยไม่รู้พยาธิสภาพจริง ๆ ของอาการคนไข้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการรักษาแบบ "เดาสุ่ม"

*** ซึ่งมันอันตรายกับคนไข้

เพราะอาการในบางลักษณะก็ต้องกินยาตำรับเฉพาะโรครักษาเท่านั้น นวดไม่ได้เลย บางลักษณะอาการก็นวดได้

*** ส่วนใครที่บอกว่า ไม่กล้ากินยาสมุนไพรตำรับเพราะกลัวตับและไตพัง ขอบอกเลยว่า ยา ไม่ว่าจะเป็นยาแผนไทยหรือแผนปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอาหารที่คุณกินอยู่ทุกวัน ถ้ากินเกินมันก็ทำร้ายร่างกายของเราอยู่ดี ทำให้ตับและไตพังอยู่ดี ถ้ากินโดยไม่มีความรู้หรือกินตามเขาว่า (ที่ไม่ใช่หมอที่มีความรู้จริง ๆ)

ท่านใดต้องการปรึกษาอาการกับแพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย ปรึกษาและติดต่อเราได้ที่ ชีวสาธน์เวชคลินิกการแพทย์แผนไทย

โทร 091 - 705 - 6938 / Line ID :

อาการ "ปวดไหล่" ที่กินยาแก้อักเสบแล้วไม่หาย หรือกินยาไปแล้ว 2-3 วันก็กลับมาเป็นอีก - กินยาไม่หายก็อย่าเพิ่งหวังว่า "นวด"...
13/07/2025

อาการ "ปวดไหล่" ที่กินยาแก้อักเสบแล้วไม่หาย หรือกินยาไปแล้ว 2-3 วันก็กลับมาเป็นอีก - กินยาไม่หายก็อย่าเพิ่งหวังว่า "นวด" แล้วจะหาย - สิ่งที่จะทำให้อาการดีขึ้นไม่ใช่ความหวัง แต่เป็นความรู้ทางการแพทย์ต่างหาก - ต้องรู้ว่าต้นเหตุของอาการเกิดจากอะไร และการรักษาที่เหมาะสมกับอาการที่ควรจะทำเป็นอย่างไร

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย

สำหรับท่านไหนที่ทักมาถามว่า "ปวดไหล่" ทำยังไงถึงจะหาย ต้องขอบอกเลยว่าคุณกำลังถามผิดแล้ว เพราะอาการป่วยไม่ว่าจะเป็นอาการ "ปวดไหล่" หรืออาการป่วยไม่ว่าจะเป็นโรคไหน อาการที่เกิดขึ้นในแต่ละคนไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว ถ้าถามว่า "ปวดไหล่" จะทำยังไงถึงหายคงตอบไม่ได้หรอก จนกว่าจะรู้ว่า

*** ต้นเหตุเกิดจากอะไร พยาธิสภาพของโรคของคนไข้คนนั้น ๆ ปัจจุบันกำลังเกิดอะไรขึ้น โรคที่เป็นกำลังอยู่ในระดับไหน ถึงจะรู้ว่าควรจะต้องรักษาภาวะโรคนั้นยังไง

*** พูดง่าย ๆ เลย จะต้องซักประวัติและตรวจร่างกายให้ละเอียดก่อนเท่านั้น ถ้าไม่ซักประวัติและไม่ได้ตรวจร่างกายไม่มีทางรู้แน่นอน

*************************************

หลาย ๆ คนที่กำลังมีอาการ "ปวดไหล่" ที่อาจจะเคยกินยาแผนปัจจุบันรักษามาแล้ว แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นในแบบที่ใจตนเองคาดหวังเอาไว้ หันมาหาแพทย์แผนไทยเพื่อรักษาแบบแพทย์แผนไทย เช่น หันมารับการนวดรักษา - ขอเตือนเลยกว่า อย่าคาดหวังว่านวดแล้วจะดีขึ้นเสมอไป นวดแล้วอาจจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าโรคที่เป็นอยู่เป็นในระยะไหน

อาการ "ปวดไหล่" มีหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น

*** 1) Rotator cuff tendinopathy / Tear

พยาธิสภาพ: การเสื่อมหรือฉีกขาดของเส้นเอ็นกล้ามเนื้อ rotator cuff (Supraspinatus, Infraspinatus, Subscapularis, Teres minor) จากการใช้งานซ้ำ ๆ หรืออุบัติเหตุ

อาการ: ปวดเวลายกแขน, โดยเฉพาะเมื่อยกแขนสูงเกิน 90°, ปวดเวลากลางคืน, อ่อนแรงในการยกแขน

*** 2) Subacromial bursitis

พยาธิสภาพ: ถุงน้ำ (bursa) ใต้ acromion อักเสบ มักเกิดร่วมกับ rotator cuff tendinitis

อาการ: ปวดเวลาเหยียดแขนขึ้น, มีจุดเจ็บเฉพาะใต้ acromion, ขยับไหล่แล้วปวดแปล๊บ

*********************************

จะเห็นว่า อาการ "ปวดไหล่" มันไม่ได้มีแค่อาการไหล่ติดเพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นถ้าอยากรักษาให้อาการดีขึ้นชัดเจน แพทย์แผนไทยจะต้องหาให้เจอก่อนตกลงคนไข้กำลังเป็นโรคอะไร และพยาธิสภาพของโรคที่เป็นตอนนั้นเหมาะสมที่จะรักษาแบบไหน

*** การรักษาที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการรักษาที่คนไข้ต้องการ แต่ขึ้นอยู่กับภาวะโรคที่เป็นและวิธีการรักษาที่เหมาะสม

หลาย ๆ คนมีความเชื่อว่า ถ้ากำลังมีอาการ "ปวดไหล่" และอาการปวดไหล่เกิดจากอาการอักเสบ กินยาแก้อักเสบแล้วต้องหายสิ ขอบอกว่าไม่ใช่เสมอไป ยาแก้อักเสบไม่สามารถทำให้อาการ "ปวดไหล่" ดีขึ้นเสมอไป

*** ยกตัวอย่าง กรณีอาการปวดไหล่ที่กินยาแก้อักเสบ (ที่คนทั่วไปรู้จัก) แล้วอาการจะไม่ดีขึ้น เช่น

Aneurysm ของ Subclavian Artery (หรือ Axillary Artery) - กลไก: หลอดเลือดโป่งพอง ก่อให้เกิดการกดเบียดเส้นประสาทหรือส่งผลการไหลเวียนเลือดผิดปกติ

พยาธิสภาพ: Aneurysm เกิดแรงดันและขนาดที่เพิ่มขึ้น กดเส้นประสาทหรือเนื้อเยื่อรอบข้าง เกิด distal embolization ischemic pain

อาการ:

- ปวดไหล่ร้าวแขน ชา อ่อนแรงแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
- เส้นเลือดชีพจรเบา หรือไม่คลำได้
- อาการปวดแปลก ๆ ไม่สัมพันธ์กับกล้ามเนื้อหรือข้อ

**********************************

สำหรับอาการที่ยกตัวอย่าง นวดแรง ๆ ไม่ได้เลย และถึงแม้กินยาแก้อักเสบแล้วอาการจะไม่ดีขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกินยาตัวอื่นไม่ได้ ยาสมุนไพรตำรับของแพทย์แผนไทยมีอยู่หลายขนาน ขึ้นอยู่กับความสามารถของแพทย์แผนไทยแต่ละคนว่าจะมีความเข้าใจในยาตำรับนั้นหรือไม่

ท่านใดต้องการปรึกษาอาการกับแพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย ปรึกษาและติดต่อเราได้ที่ ชีวสาธน์เวชคลินิกการแพทย์แผนไทย

โทร 091 - 705 - 6938 / Line ID :

13/07/2025

ห้องพื้นฐานและห้อง พท. จะเปิดรับอีกแค่ห้องละ 1 ท่านเท่านั้น และปิดรับถาวรไม่รับอีก ท่านใดสนใจทักมาทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai - ในราคาสมาชิกพิเศษ

อาการ "แพนิค" ไม่ได้เกิดจาก "กรดไหลย้อน" เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ - กรดไหลย้อนต่างหากที่เกิดจาก "แพนิค" - หากต้องการรัก...
13/07/2025

อาการ "แพนิค" ไม่ได้เกิดจาก "กรดไหลย้อน" เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ - กรดไหลย้อนต่างหากที่เกิดจาก "แพนิค" - หากต้องการรักษาให้เห็นผลชัดเจน ต้องเข้าใจรายละเอียดของโรคให้ตรงกับลักษณะความเป็นจริงของโรคนั้น ๆ ก่อน

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย

ต้องยอมรับเลยว่า ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะ "แพนิค" ส่วนใหญ่ที่ลงอยู่บน Internet ส่วนใหญ่มักจะพ่วงมากับการขายอาหารเสริมของตนเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับ "แพนิค" ส่วนใหญ่ จะเอนเอียงไปในทางเสริมการขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของตนเอง ซึ่งคลาดเคลื่อนจากข้อมูลความเป็นจริงของโรคในทางการแพทย์

*** เพราะฉะนั้นแล้ว หากต้องการรักษาให้เห็นผล ต้องทำความเข้าใจกับภาวะโรคให้ตรงกับความเป็นจริงของโรคนั้น ๆ ก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของตนเอง

*** ภาวะ "แพนิค" ที่เกิดขึ้นในแต่ละคน เกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นก็จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว เพราะฉะนั้นการเลือกยาสมุนไพรตำรับรักษา จะไม่สามารถใช้ยาเหมือนกันได้ทุกคน

*******************************

อาการ Panic Disorder (โรคตื่นตระหนก) เป็นความผิดปกติหนึ่งในกลุ่มของโรควิตกกังวล (Anxiety Disorders) โดยมีลักษณะเด่นคือการเกิด "อาการตื่นตระหนก (Panic Attack)" อย่างเฉียบพลัน ซ้ำๆ โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นชัดเจน และมักมาพร้อมกับความกลัวว่าจะเกิดอาการขึ้นอีก

*** ความผิดปรกติที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจน คือ ความผิดปรกติในการทำงานของระบบประสาท ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ตามมาได้อีก ยกตัวอย่างเช่น

- ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท
- ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน
- ทำให้เกิดอาการใจสั่น ควบคุมไม่ได้
- ทำให้เกิดอาการเจ็บหรือแน่นหน้าอก
- ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ หรือปวดท้อง
- ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือจะเป็นลม
- ทำให้เกิดอาการชา หรือเสียวซ่าตามตัว
- และอื่น ๆ อีกหลาย ๆ อาการ ไม่ได้มีแค่นี้

*** คนที่มีอาการ "แพนิค" ไม่จำเป็นต้องมีอาการทั้งหมดนี้ แต่ละคนลักษณะอาการไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสาเหตุการกระตุ้นของแต่ละคน ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยผู้รักษา จะต้องซักประวัติอาการโดยละเอียดก่อนเท่านั้น

*** ไม่สามารถฟังลักษณะอาการสั้น ๆ จากคนไข้ แล้วจ่ายยาได้

********************************

ในส่วนของอาการ "แพนิค" ที่หลาย ๆ คนเชื่อว่าเกิดจากกรดไหลย้อน ต้องขอบอกว่าเลยว่ามันเป็นแค่ความเชื่อ ที่ไม่ตรงกับลักษณะการดำเนินโรคทางการแพทย์เลย และสาเหตุส่วนใหญ่ที่ข้อมูลเป็นแบบนี้เพราะจะเชื่อมโยงในการขายผลิตภัณฑ์ของตนเองทั้งนั้น

*** ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะ "กรดไหลย้อน" เกิดจาก "แพนิค" เกิดขึ้นมาก่อนอยู่แล้ว ยกตัวอย่างพยาธิสภาพ บางส่วน เช่น

- ความวิตกกังวลหรือ Panic กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบ Sympathetic Nervous System ถูกกระตุ้น (ระบบสู้หรือหนี - "Fight or Flight") ทำให้เกิดอาการ: ใจสั่น หายใจเร็ว กล้ามเนื้อเกร็ง รวมถึงกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร

- การเคลื่อนไหวของหลอดอาหารและกระเพาะ เคลื่อนไหวไม่ประสานกัน (dysmotility) → เกิดการคลื่นไส้ เรอ หรือแสบร้อนกลางอก

- เมื่อกรดไหลย้อนขึ้นมา → ทำให้ รู้สึกแสบร้อนกลางอก → ผู้ป่วย Panic Disorder มัก ตีความว่าอาจหัวใจวาย → Panic Attack เกิดซ้ำ Panic Attack ทำให้กรดไหลย้อนมากขึ้น → วงจรซ้ำต่อเนื่อง

*** ข้อมูลนี้ไม่ใช่ข้อมูลลอย ๆ ที่เขียนขึ้นมาเอง แต่มีงานวิจัยรองรับ และข้อมูลพื้นฐานทางการแพทย์ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว

******************************

เพราะฉะนั้น ต้องซักประวัติลักษณะอาการเพื่อหาความเชื่อมโยงให้ละเอียดก่อน เพราะถึงแม้ว่า "กรดไหลย้อน" จะเกิดจาก "แพนิค" ได้ แต่ก็ไม่ใช่คนไข้ทุกคนที่เป็นกรดไหลย้อนจะเป็นแพนิคไปซะหมด

ท่านใดต้องการปรึกษาอาการกับแพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย ปรึกษาและติดต่อเราได้ที่ ชีวสาธน์เวชคลินิกการแพทย์แผนไทย

โทร 091 - 705 - 6938 / Line ID :

อาการโรค "ข้อเสื่อม" หรือ "Osteoarthritis" หรือ "จับโปงเข่าแห้ง" กับการรักษาทางการแพทย์แผนไทยอย่างสมเหตุผล - อยากรักษาให...
13/07/2025

อาการโรค "ข้อเสื่อม" หรือ "Osteoarthritis" หรือ "จับโปงเข่าแห้ง" กับการรักษาทางการแพทย์แผนไทยอย่างสมเหตุผล - อยากรักษาให้เห็นผลดรในระยะยาวควรต้องวินิจฉัยก่อน ว่าต้นเหตุเกิดจาก "ปิตตะ" หรือ "วาตะ" - ต้นเหตุไม่เหมือนกัน การรักษาก็ย่อมไม่เหมือนกัน ใช่ว่าจะนวดได้ทุกคนซะที่ไหนกัน

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.น นวดไทย

*** ลักษณะอาการแสดงที่เกิดขึ้นกับ โรค "ข้อเสื่อม" หรือ "Osteoarthritis" หรือ "จับโปงเข่าแห้ง" ยกตัวอย่าง เช่น

1) ปวดข้อ (Joint pain) - ปวดมากขึ้นเมื่อมีการใช้งานหรือเคลื่อนไหว (เช่น เดิน ยืน นั่งนาน) ปวดลดลงเมื่อพัก ปวดมากในช่วงเย็นหรือหลังใช้งานหนัก

2) ข้อฝืด (Joint stiffness) - รู้สึกฝืดหรือขยับลำบาก โดยเฉพาะหลังตื่นนอนหรือนั่งนาน ข้อฝืดมักเป็นช่วงสั้น ๆ < 30 นาที

3) ข้อลั่นหรือมีเสียงในข้อ (Crepitus) - ได้ยินเสียง “ก๊อบแก๊บ” ขณะเคลื่อนไหวข้อ มาจากการเสียดสีของผิวข้อที่เสื่อม

*** อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการต้นทางของโรค แต่เป็นอาการแสดงปลายทางของโรคแล้ว เพราะฉะนั้น ที่คนไข้หลาย ๆ คนเข้าใจว่าอาการปวดเข่าคืออาการที่เกิดจากความผิปรกติของ "ธาตุลม" เพราะอาจจะเคยอ่านบนโลกออนไลน์ นั่นก็ไม่ใช่ต้นทางของโรคเหมือนกัน

*** อาการที่คนไข้มักจะมาหาหมอ คือ อาการในกลุ่ม "สรรนิบาต" ที่อาการไปแสดงกับ "ลสิกา" และ "กระดูก" ไปแล้ว

***************************

เพราะฉะนั้น สำหรับคนไข้ที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่ ควรใส่ใจค้นหาต้นเหตุของอาการให้เจอก่อน เพราะต้นเหตุของอาการจะเป็นตัวกำหนดการรักษาที่เหมาะสม ยกตัวอย่างต้นเหตุของอาการที่เจอได้บ่อย ๆ เช่น ต้นเหตุที่เกิดจาก "ปิตตะ" และต้นเหตุของอาการที่เกิดจาก "วาตะ"

1) อาการที่เกิดจาก "ปิตตะ" ยกตัวอย่างพยาธิสภาพบางส่วน เช่น

- Matrix metalloproteinases (MMPs) / ทำลายคอลลาเจนและโปรติโอกลัยแคน / Aggrecanase → ทำลาย aggrecan ในเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน
กระดูกอ่อนสูญเสียความยืดหยุ่น กลายเป็นแห้ง เปราะ และแตกง่าย

- กระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันในเยื่อบุข้อ (macrophages, synoviocytes)
ปล่อยสารอักเสบ เช่น: IL-1β (Interleukin-1 beta) / TNF-α (Tumor Necrosis Factor-alpha) / IL-6

2) อาการที่เกิดจาก "วาตะ" ยกตัวอย่างพยาธิสภาพบางส่วน เช่น

- Vata มีลักษณะ “แห้ง” → สัมพันธ์กับการลดลงของ hyaluronic acid และ synovial fluid / ทำให้ผิวข้อเสียดสีกันโดยตรง → เกิดเสียง crepitus และความปวดจากการเคลื่อนไหว

- จากการขาดแรงต้าน → กระดูกใต้ข้อ (subchondral bone) มีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น (sclerosis) / เกิด microfractures และ reactive bone formation → เกิด osteophytes (กระดูกงอก)

*****************************

จริง ๆ พยาธิสภาพที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีแค่นี้ และยังมีพยาธิสภาพที่เกิดจาก "กผะ" อีกเป็นกองที่ 3 ซึ่งถึงแม้ลักษณะอาการปลายทางบางส่วนจะคล้าย ๆ กัน แต่ต้นทางของอาการไม่เหมือนกัน เช่น

1) อาการที่เกิดจาก "ปิตตะ" สิ่งที่อาจตรวจพบ บางส่วน เช่น ข้อเริ่มมี อาการปวดแม้พัก อาจคลำได้อุ่นเล็กน้อย อาการปวดแบบ “แสบ ร้อน” (burning pain) อาจคลำได้ความรู้สึกนุ่ม (effusion เริ่มต้น)

2) อาการที่เกิดจาก "วาตะ" สิ่งที่อาจตรวจพบ บางส่วน เช่น ข้ออาจไม่มีลักษณะผิดปกติมาก มีเสียง crepitus เบา ๆ เมื่อขยับ อาจรู้สึกฝืดเบา ๆ ตอนเช้า (≤ 30 นาที) ไม่บวม ไม่แดง ไม่ร้อน

*** จะเห็นว่าสิ่งที่อาจตรวจพบในอาการแต่ละกลุ่มมันไม่เหมือนกัน นั่นหมายความว่า ลักษณะความผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับเข่ามันไม่เเหมือนกัน หากรักษาโดยไม่สนใจสภาพของเข่าที่เกิดขึ้น อาจส่งผลเสียต่อร่างกายของคนไข้ได้

***************************

คำถามคือ มันมีวิธีการตรวจพิเศษใด ๆ ได้เพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพื่อยืนยันสภาวะโรค คำตอบคือ "มี" แต่แพทย์แผนไทยไม่มีสิทธิในการสั่งตรวจในรูปแบบนั้น แต่เราสามารถส่งต่อคนไข้ให้กับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อตรวจเช็คเพิ่มเติมได้

*** แต่ถ้าโชคดี คนไข้มาหาแพทย์แผนไทยตั้งแต่เริ่มเป็น เราก็อาจตรวจทางหัตเวชเพื่อยืนยันเบื้องต้นได้

ในส่วนของกระบวนการตรวจอาการทาง "ปิตตะ วาตะ และกผะ" กับลักษณะอาการแสดงเฉพาะโรค เดี๋ยวจะอธิบายต่อในกลุ่มห้อง พท.

12/07/2025

คำถามชิงรางวัล เข้าห้อง พท.ฟรี ท่านใดตอบแล้วใช่ จะดึงเข้าให้ฟรีทุกห้อง - สุมนาวาตะ และ เส้นสุมนา เกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่ (ห้ามสมาชิกห้อง พท. ที่อยู่ในห้องแล้วมาตอบ)

อาการ "เอามือไขว้หลังไม่ได้ ปวดไหล่ร้าวลงแขน ปวดไหล่ร้าวสะท้านบ่า" กับอาการที่เรียกว่า "ไหล่ติด" - กับอาการ 4 ระยะ เอกโท...
12/07/2025

อาการ "เอามือไขว้หลังไม่ได้ ปวดไหล่ร้าวลงแขน ปวดไหล่ร้าวสะท้านบ่า" กับอาการที่เรียกว่า "ไหล่ติด" - กับอาการ 4 ระยะ เอกโทษ ทุวรรณโทษ ตรีโทษ และสันนิบาต - ส่วนใหญ่คนไข้มาหา พท. อาการเลยเข้าสรรนิบาตกันแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นให้ระวัง เพราะถึงแม้ว่า อาการเข้าสรรนิบาตไปแล้ว อาการ "เอกโทษ" ก็ยังอยู่เหมือนเดิม

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.น นวดไทย

บอกก่อนเลยว่า บทความนี้เป็นแค่ข้อมูลเบื้องต้น (เท่านั้น) ที่จำเป็นต้องเอาไปวินิจฉัยและออกแบบการรักษาทางเวชกรรมไทย และการรักษาทางนวดไทย - ใครที่คิดว่า ข้อมูลแค่นี้ลึกพอแล้วหรือมากพอแล้ว ขอให้คิดให้จงหนัก เพราะแค่นี้ไม่พอหรอก ยังต้องศึกษาลักษณะอาการและพยาธิสภาพของอาการอีกเยอะ

*** ขอให้คิดถึงคนไข้เป็นที่หนึ่ง อย่าเอาความไม่รู้ของตนเองทำให้คนไข้เจ็บเยอะไปมากกว่านี้ เพราะวิชาชีพจะพลอยได้รับความเสื่อมเสียจากการกระทำของท่านไปด้วย

*** ข้อมูลเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับแพทย์แผนไทยเบื้องต้นนี้ เราเขียนขึ้นที่นี้เป็นที่แรก เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ลอกมาจากที่อื่นที่ไหนแน่นอน

******************************

ลำดับการเกิดโรค "ไหล่ติด" ในทางวิทยาศาสตร์และทางแพทย์แผนไทย "ไม่เหมือนกัน" แต่สามารถนำมาใช้ร่วมกันในการประกอบการรักษาได้ และอย่างที่บอก คนไข้ส่วนใหญ่ที่เป็น "ไหล่ติด" มาหาแพทย์แผนไทยหรือหมอนวด อาการจะเข้าสู่ระยะ "สรรนิบาต" ไปแล้ว

*** อาการในระยะ "สรรนิบาต" กลุ่มอาการไหล่ติด ที่อาจเจอ เช่น การสะสมของพังผืด (Fibrosis Formation)

- มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว เช่น ยกแขนขึ้นไม่ได้
- เอื้อมไปด้านหลังหรือหมุนไหล่ไม่ได้
- กล้ามเนื้อรอบไหล่เริ่ม ลีบลง (muscle atrophy)

พยาธิภาพที่เกิดขึ้นในระยะ "สรรนิบาต"

- เซลล์ Fibroblasts ทำงานมากขึ้น สร้างเส้นใยคอลลาเจน (Type I Collagen) ในเยื่อหุ้มข้อ / เยื่อหุ้มข้อเริ่มหนาตัว (Capsular Thickening)

- พังผืด (fibrosis) และพอลิแซคคาไรด์ (proteoglycans) สะสมมากขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อขาดความยืดหยุ่น

*** ข้อมูลของอาการและพยาธิสภาพในระยะ "สรรนิบาต" ไม่ได้มีแค่นี้ แต่สิ่งที่ควรรู้เอาไว้คือ ถึงแม้อาการของคนไข้จะอยู่ในระยะสรรนิบาต ก็ไม่ได้หมายความว่า อาการ "เอกโทษ" จะหายไปแล้ว แพทย์แผนไทยและหมอนวดจะต้องเป็นคนตรวจวินิจฉัยดูว่า "เอกโทษ" หายไปหรือยัง (มันตรวจได้นะขอบอก)

***************************

อาการ "เอกโทษ" แรกสุดของอาการ "ไหล่ติด" มีอาการอยู่ 2 แบบ คือ ชาติเอกโทษ "เสมหะอาโป" กับชาติเอกโทษ "ปิตตะเตโช" อาการของคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน อยากรู้ว่าอาการของคนไข้คนไหนเกิดจากเอกโทษกองไหน "ต้องซักประวัติอย่างละเอียด" และถ้าตรวจผลเลือดจากห้องปฏิบัติการได้จะยิ่งดีใหญ่ เพราะผลตรวจเลือดมันจะชัดเจน

*** ถึงแม้ต้นเหตุของ "ชาติเอกโทษ" จะไม่เหมือนกัน แต่ลักษณะอาการแสดงออกมาจะคล้าย ๆ กันคือ

- อาการปวดมากขึ้น ทั้งขณะพักและขณะขยับ
- มีอาการปวด มากขึ้นในเวลากลางคืน
- การเคลื่อนไหวเริ่มติดขัด เนื่องจากอาการปวด แต่ยังไม่ติดแน่น

*** พยาธิสภาพที่เกิดมีหลายอย่าง แต่ที่แน่ ๆ คือ

- มีการเพิ่มจำนวนของ เซลล์อักเสบ ได้แก่ Macrophages และ T lymphocytes ซึ่งทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ และ Fibroblasts ซึ่งเริ่มสร้างเนื้อเยื่อพังผืด

- เกิดการสะสมของ โปรตีนอักเสบ (cytokines) ได้แก่ IL-1, IL-6, TNF-α และ Prostaglandins ซึ่งทำให้เกิดอาการปวด

*** ในระยะ "ชาติเอกโทษ" ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การรักษาทางการแพทย์แผนไทยที่ต้องห้ามเด็ดขาดคือ "การนวด" เพราะถ้านวด อาการจะเลื่อนระดับจาก "เอกโทษ" ไป "ทุวรรณโทษ" อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ไม่ต้องรอเอกโทษ 4 วันตามที่หมอโบราณบอกด้วยซ้ำ วันเดียวก็เหลือแล้ว

****************************

ในส่วนของ "การนวด" จะทำได้ก็ต่อเมื่อ "ชาติเอกโทษ" ได้เบาลงแล้วเท่านั้น และต้องระวังผลของอาการในระยะ "ทุวรรณโทษ" เอาไว้ด้วย ต้องตรวจประเมินความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระยะ "ทุวรรณโทษ" ว่าสร้างความเสียหายเอาไว้แค่ไหน

*** เพราะถ้าอาการในระยะ "ทุวรรณโทษ" ทำให้ "ปถวีธาตุ" เสียหายเยอะ และจัดลำดับหรือออกแบบการนวดรักษาไม่เหมาะสม ให้ระวัง "ลมลำบอง" จะไปเล่นงานที่ข้อไหล่ให้ดี

*** ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

แจ้งคนไข้ทุกท่าน ที่ต้องการเดินทางมารับการรักษาที่คลินิกของเรา ต้องนัดทางไลน์ก่อนเท่านั้น ติดต่อได้ที่ Line ID : *** สำห...
11/07/2025

แจ้งคนไข้ทุกท่าน ที่ต้องการเดินทางมารับการรักษาที่คลินิกของเรา ต้องนัดทางไลน์ก่อนเท่านั้น ติดต่อได้ที่ Line ID :

*** สำหรับคนไข้ใหม่ จะต้องซักประวัติเบื้องต้นและทำการนัดทางไลน์หรือทางโทรศัพท์ก่อนเท่านั้น งดรับคนไข้ Walk in ครับ

อาการ "ปวดบริเวณเอวและสะโพก" กับความสมเหตุผลในการนวดรักษา - การประเมินอาการก่อนนวดอย่างละเอียดถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว...
11/07/2025

อาการ "ปวดบริเวณเอวและสะโพก" กับความสมเหตุผลในการนวดรักษา - การประเมินอาการก่อนนวดอย่างละเอียดถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าคนไข้มีอาการเข้ามาหา จะนวดเลยโดยไม่ได้ตรวจไม่ได้ - อย่ามัวคิดแต่ว่าจะนวดยัง จะนวดท่าไหน - วินิจฉัยสำคัญกว่าท่านวด

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.น นวดไทย

ขอบอกเลยว่า การวินิจฉัยสำคัญกว่าท่านวด ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนไทยหรือหมอนวดตามร้าน ก่อนที่คุณจะทำอะไรลงบนร่างกายมนุษย์ คุณจะต้องรู้ก่อนว่าสภาวะร่างกายของคนที่คุณจะนวด พร้อมให้คุณนวดหรือเปล่า - และวิธีที่จะทำให้รู้ได้คือ การตรวจวินิจฉัยก่อน เท่านั้น

*** จะเอาแค่ว่า คนไข้เดินเข้ามาแล้วบอกว่าอยากนวด คนไข้บอกว่าสบายดี ไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องห้าม แค่นี้ไม่ได้ เพราะคนไข้บางคนอาจไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร บางคนจงใจปกปิดประวัติก็มี

*** เชื่อว่าหมอนวดหลาย ๆ ท่าน มีความชำนาญในการนวดอยู่แล้ว แต่ความชำนาญในการนวดมันคนละเรื่องกับการวินิจฉัย เพราะถ้าคุณไม่วินิจฉัยก่อนนวด ท่านวดที่คุณนวดจนชำนาญจากที่มันจะเป็นโยชน์ต่อคนไข้ มันจะกลายเป็นโทษต่อคนไข้ทันที เพราะท่านวดไม่เหมาะสมที่จะใช้กับอาการในลักษณะนั้น

บริเวณสะโพกและเอว ถือเป็นบริเวณที่อันตรายจุดหนึ่งบนร่างกาย - การนวดใด ๆ ลงบริเวณนี้ หากคนไข้มีลักษณะอาการต้องห้ามอยู่แล้ว อาจกระทบกระเทือนถึงชีวิตคนไข้ได้

*****************************

กล้ามเนื้อบริเวณสะโพกและเอว ส่วนใหญ่จะเป็นกล้ามเนื้อในกลุ่ม Slow oxidative เพราะฉะนั้นด้วยลักษณะกล้ามเนื้อ จะเกิดอาการปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อบริเวณนี้ได้ค่อนข้างยาก ถ้าไม่ใช่อาการกลุ่ม "ยอก" ที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อเฉียบพลัน และความเสื่อมตามอายุ แทบจะไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย

ยกตัวอย่างกล้ามเนื้อที่อาจเกี่ยวข้อง บางส่วน เช่น

- Iliopsoas (ประกอบด้วย psoas major, iliacus)
- Gluteus maximus
- Gluteus medius และ minimus
- และอื่น ๆ อีกหลาย ๆ มัด ไม่ได้มีแค่นี้

*** เพราะฉะนั้น หากเกิดอาการในลักษณะ อาการ "ปวดบริเวณเอวและสะโพก" ถ้าคิดว่าเกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อจริง ๆ ก็ต้องซักประวัติหาสาเหตุให้เจอก่อน เพราะถ้าหาแล้วไม่เจอว่าเกิดจากกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่อาการก็จะเกิดจากความผิดปรกติของระบบประสาท และกระดูก

*****************************

ยกตัวอย่างบางโรค ที่อาจทำให้เกิดอาการในลักษณะนี้ได้ เช่น

1) อาการ "ลำบองข้อสะโพก" พยาธิสภาพที่อาจเกิดขึ้น (บางส่วน) ที่ทำให้เกิดอาการในลักษณะ อาการ "ปวดบริเวณเอวและสะโพก" เช่น

- เมื่อลมวาตะเกิน (เช่น จากความแห้ง, อายุที่มากขึ้น, การใช้ร่างกายมากเกินไป, ความเครียด, อดนอน หรือโรคเรื้อรัง)

- จะทำให้การไหลเวียนของเลือด (rakta) ในบริเวณข้อสะโพกลดลง / เกิดการขาดเลือด ไปเลี้ยงกระดูก นำไปสู่การเสื่อมของเนื้อเยื่อกระดูก / กระดูกตาย (Osteonecrosis)

- Kapha ควบคุมโครงสร้างและไขข้อ (shleshaka kapha)
เมื่อลดลง / โครงสร้างกระดูกไม่มีความมั่นคง / กระดูกยุบตัวได้ง่าย ในขณะเดียวกัน Vata ยังเกินอยู่ / เกิดอาการปวด ร้าว เคลื่อนไหวยาก (อาการเด่นของ Vata roga)

****************************

อาการในลักษณะนี้ถือเป็นอาการที่น่ากลัว เพราะการนวดหนัก ๆ กับอาการในลักษณะนี้ อาจส่งผลทำให้ข้อสะโพกหักได้

ข้อมูลที่เหลือเดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

10/07/2025

ผมเข้าใจว่ากรมอยากให้หมอคุมร้านกัญชา เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ผู้ใช้กัญชา แต่หมอ 1 คนคุม 10 ร้านมันเยอะไปครับ หมอแต่ละคนก็มีคลินิกของตนเองอยู่ด้วย - ต่อให้ Telemedicine ก็ไม่ไหวครับ

อาการ "ตะคริวน่อง" ถึงแม้จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นทั่วไปกับใครก็ได้อยู่บ่อย ๆ - แต่ถ้ามันเกิดขึ้นบ่อยเกินไป หรือบางคนที่บอก...
10/07/2025

อาการ "ตะคริวน่อง" ถึงแม้จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นทั่วไปกับใครก็ได้อยู่บ่อย ๆ - แต่ถ้ามันเกิดขึ้นบ่อยเกินไป หรือบางคนที่บอกนวดบ่อยมากก็ยังเป็นตะคริวบ่อย ควรตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุได้แล้ว - ไม่ใช่ว่าจะมัวแต่นวดอย่างเดียวโดยไม่ใส่ใจต้นเหตุการเกิดอาการของคนไข้เลย

บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.น นวดไทย

ถึงแม้หลาย ๆ คนอาจบอกว่า "ตะคริว" เป็นอาการพื้น ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นบ่อยมากเกินไป ท่านก็ควรหาสาเหตุของอาการได้แล้ว - ไม่ใช่ว่าเจอใครเป็น "ตะคริว" แล้วจะจับนวด โดยที่ไม่ได้ซักประวัติและวินิจฉัยอาการเลย

*** แพทย์แผนไทยคนไหนที่เรียนทางวิทยาศาสตร์มาลึก ๆ จะรู้ว่า ในบางจุดที่คนไข้เป็น "ตะคริว" กันบ่อย ๆ โดยปรกติมันไม่ควรที่จะเกิด "ตะคริว" เลยด้วยซ้ำ

*******************************

"ตะคริว" (Muscle Cramp) คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างกะทันหันโดยไม่สามารถควบคุมได้ (involuntary muscle contraction) ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มีอาการปวดรุนแรงและกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นตะคริวจะมีลักษณะแข็งตึง โดยอาการมักเกิดในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น กล้ามเนื้อน่อง (gastrocnemius, soleus), ต้นขา, หรือเท้า

*** โดยปกติแล้ว “ตะคริว” (Muscle Cramp) ไม่ควรเกิดขึ้นเป็นประจำในคนที่มีสุขภาพดี เพราะกล้ามเนื้อของมนุษย์มีกลไกควบคุมการหดตัวและคลายตัวอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และการไหลเวียนเลือดอย่างสมดุล

เพราะฉะนั้นหากมันเกิดขึ้น แน่นอนว่าย่อมเกิดบางอย่างผิดปรกติขึ้นแล้ว ซึ่งในฐานะของหมอ หากคนไข้เป็นตะคริว "บ่อยเกินไป" คุณควรที่จะรีบหาสาเหตุการเกิดโรคได้แล้ว (ถ้าอยากรักษาให้หายจากต้นเหตุจริง ๆ)

*** ยกตัวอย่างพยาธิสภาพบางส่วน เช่น

"ตะคริว" (Muscle Cramp) ที่เกิดจาก การไหลเวียนเลือดไม่ดี (Poor perfusion) เป็นกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะพยาธิสภาพชัดเจน และพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีโรคหลอดเลือด, หรือผู้ที่มีการกดเบียดของหลอดเลือดและเส้นประสาท โดยสามารถแบ่งพยาธิสภาพการเกิดอาการได้เป็น 4 ลักษณะหลัก ตามกลไกของการลดลงของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ

*******************************

1) Arterial Insufficiency (ภาวะหลอดเลือดแดงตีบหรือตัน)

*** พยาธิสภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ (บางส่วน) เช่น

- หลอดเลือดแดงตีบแคบลง (เช่น จาก atherosclerosis)
- ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดลง โดยเฉพาะการออกแรง
- เมื่อกล้ามเนื้อใช้ออกซิเจนมาก แต่เลือดส่งไม่พอเกิด ischemia
- กล้ามเนื้อจึงหดเกร็งและปวด ตะคริวแบบ claudication

*** ลักษณะอาการ (บางส่วน) ยกตัวอย่างเช่น - เจ็บปวดแบบ cramp-like ขณะเดิน หายเมื่อหยุดพัก / พบบ่อยที่น่อง, ขา

*** ความผิดปรกติของ "ตรีธาตุ"

- วาตะเพิ่มขึ้นเนื่องจาก “การไหลเวียนติดขัด” ความแห้ง (ruksha) และความเย็น (sh*ta) ในระบบโลหิต

- ปิตตะอาจร่วมด้วยถ้ามีภาวะอักเสบในผนังหลอดเลือด (อาจพบ pitta rakta dushti)

******************************

2) Venous Congestion (การคั่งของเลือดดำ)

*** พยาธิสภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ (บางส่วน) เช่น

- การไหลย้อนกลับของเลือดดำกลับสู่หัวใจบกพร่อง → มักพบในผู้ที่มี varicose veins หรือ chronic venous insufficiency

- การคั่งของเลือดดำทำให้เกิดแรงดันในหลอดเลือดฝอย → รบกวนการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในกล้ามเนื้อ

- ของเสียสะสมในกล้ามเนื้อ → กระตุ้น nociceptors → เกิดการเกร็งเป็นตะคริว โดยเฉพาะตอนกลางคืน

*** ลักษณะอาการ (บางส่วน) ยกตัวอย่างเช่น - ปวดเกร็งตอนกลางคืนที่ขาล่างหรือเท้า / มีอาการขาบวมร่วมด้วยในบางราย

*** ความผิดปรกติของ "ตรีธาตุ" - เสมหะมีความหนืดและหนักของของเหลวในหลอดเลือดดำ เกิด stambha (คั่ง), guru (หนัก), manda (ช้า) / วาตะร่วมด้วยจากการไหลเวียนผิดปกติ

******************************

นี่เป็นแค่ตัวอย่างเบื้องต้นจากบางสาเหตุของอาการ "ตะคริว" เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงมันยังมีอีกหลายลักษณะอาการ หากตรวจและซักประวัติเจอว่าคนไข้มีอาการ "ตะคริว" บ่อยเกินไป อย่าปล่อยผ่านนวดไปวัน ๆ เพราะมันคือสัญญาณเตือนโรคร้ายแรง

*** ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย

ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai

ที่อยู่

Phra Nakhon

เบอร์โทรศัพท์

+66917056938

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เวชศึกษาสมัยใหม่ - เพจหลักผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

ประเภท