คนขับรถของเมียกับลูกแฝด

คนขับรถของเมียกับลูกแฝด การเลี้ยงลูก ท่องเที่ยว การใช้ชีวิ?

09/07/2025
07/07/2025

“ไว้อาลัย” ในภาษาอังกฤษสามารถใช้ได้หลายคำขึ้นอยู่กับบริบท

💬 คำศัพท์สำคัญ:
• Pay tribute (เพ ทริบ-บิวท์) = ไว้อาลัย / แสดงความเคารพสุดท้าย
• Mourn (มอร์น) = ไว้อาลัย / เศร้าโศกจากการสูญเสีย
• Hold a moment of silence (โฮลดฺ อะ โมเมินทฺ ออฟ ไซเลินซฺ) = ยืนไว้อาลัย
• In remembrance of… (อิน รีเม็ม-เบอ-เรินซฺ ออฟ…) = เพื่อระลึกถึง…

📝 ตัวอย่างประโยค พร้อมคำอ่านและความหมาย:
1. Fans around the world pay tribute to Diogo Jota after the tragic news of his death.
(แฟนสฺ อะราวนด์ เดอะ เวิลด์ เพ ทริบ-บิวท์ ทู ดิโอโก้ โชต้า อาฟเทอะ เดอะ แทรจิก นิวส์ ออฟ ฮิส เดธ)
= แฟนบอลทั่วโลกร่วมไว้อาลัยต่อ Diogo Jota หลังจากมีข่าวเศร้าเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเขา

2. Liverpool held a moment of silence in memory of Diogo Jota before the match.
(ลิเวอร์พูล โฮลดฺ อะ โมเมินทฺ ออฟ ไซเลินซฺ อิน เม็มโมรี ออฟ ดิโอโก้ โชต้า บีฟอร์ เดอะ แมตช์)
= ลิเวอร์พูลยืนไว้อาลัยเพื่อระลึกถึง Diogo Jota ก่อนการแข่งขัน

3. The football community is mourning the loss of a true talent.
(เดอะ ฟุทบอล คอมมิวนิตี้ อิส มอร์นิง เดอะ ลอสสฺ ออฟ อะ ทรู แทลเลินทฺ)
= วงการฟุตบอลกำลังไว้อาลัยต่อการสูญเสียพรสวรรค์ที่แท้จริง

4. Messages of condolence and tributes poured in for Diogo Jota.
(เมสเซจสฺ ออฟ คอนโดเลินซฺ แอนดฺ ทริบิวท์สฺ พอร์ด อิน ฟอร์ ดิโอโก้ โชต้า)
= ข้อความแสดงความเสียใจและการไว้อาลัยหลั่งไหลมาถึง Diogo Jota

5. The players wore black armbands in tribute to their beloved teammate.
(เดอะ เพลเยอร์สฺ วอรฺ แบล็ก อาร์มแบนดสฺ อิน ทริบ-บิวท์ ทู แดร์ บีเลิฟดฺ ทีมเมท)
= ผู้เล่นสวมปลอกแขนดำเพื่อไว้อาลัยเพื่อนร่วมทีมที่รักของพวกเขา

06/07/2025

เรียนภาษาอย่าละเลยVocab สะสมคลังคำศัพท์ จะได้ต่อยอดพัฒนาการทางด้านภาษาขั้นสูง เปิดหู เปิดตา เปิดโลกใบใหม่ ชีวิตจะสนุกขึ้นเยอะเลย

1. Phrasal Verbs ง่ายๆ
เบบี๋อยากปูพื้นภาษาให้แข็งแรงก่อนสอบขั้นสูง

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1578529272338048/?d=n

2. Vocabulary น่ารู้ Very + adj

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1753035664887407/?d=n

3. Synonyms ศัพท์เทพสอบ IELTS Saveไว้ แปะฝาบ้าน ออกสอบชัวร์ 💯 รวบรวมมาเองกับมือ โดย ครูLeela

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1589466987910943/?d=n

4. Synonyms คัดจากข้อสอบจริง 💯

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1604635726394069/?d=n

5. Synonyms ง่ายๆ

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1665268826997425/?d=n

6. อยากศึกษา IELTS Vocabulary ต้องเริ่มจากไหน... จากนี่เลยค่ะ

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1733931980131109/?d=n

7. รวม Academic collocations ฉบับสมบูรณ์

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1585603114963997/?d=n

8. Collocations ง่ายๆ

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1778631615661145/?d=n

9. ศัพท์ Longman 3000 คำ 👉 https://www.facebook.com/571540569703595/posts/2000654133458891/?d=n

10. รวมlinkสำหรับคนอยากเก่งศัพท์
https://www.facebook.com/571540569703595/posts/2012461208944850/?d=n

11. Synonyms - Antonyms ฉบับสมบูรณ์ A-Z

https://www.facebook.com/117230223630892/posts/136714465015801/?d=n

12. Synonyms A-Z
https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1651199548404353/?d=n

13. Root words รู้ราก รู้ศัพท์

https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1460361804154796/?d=n

14. IELTS Synonyms ออกสอบชัวร์ 💯
รวบรวมมาเองกับมือ โดย ครูLeela IELTS S&L&R เต็ม 9.0 https://www.facebook.com/571540569703595/posts/1589466987910943/?mibextid=cr9u03

15. 100 Important Vocabulary สำหรับการสอบขั้นสูง
https://www.facebook.com/100064703887975/posts/405267538306706/?mibextid=cr9u03

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

• ครูลีลาเป็นติวเตอร์คนไทยในออสเตรเลีย จบมาตรงสายสอนภาษาอังกฤษ

• ครูมีคอร์สเพื่อเตรียมสอบIELTS ตั้งแต่ ปูพื้นGrammar สด และแบบวีดีโอ จนถึง เตรียมสอบ IELTS 4 Skills สอนสด ผ่านZoom หรือ ติวเน้นๆแต่ละSkill ✅ อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เตรียมสอบIELTS เนื้อหาแน่น เห็นผลจริงจากนักเรียนที่ได้ 6.0-8.0 เสมอๆ

📖 ปรึกษาฟรี 🇳🇿

ครูลีลา


#ย้ายประเทศ
#ทีมออสเตรเลีย
#ยืนหนึ่งเรื่องIELTS
#เจ็บมาจากไหนมาจบที่นี่
#ติวIELTSกับผู้สอนคะแนนสูง

09/06/2025
06/06/2025
09/05/2025
27/02/2025

"3 ปัญหาหัวใจ"
ที่เด็กประถมต้องรับมือ
(1) "อยากได้รับการยอมรับจากเพื่อน"
เมื่อพ้นวัยอนุบาล
ตามพัฒนาการเด็กวัย 6 ปีขึ้นไป
จะเริ่มลดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางลง
เขาจะเริ่มมองเห็นผู้อื่นและเข้าสู่สังคม
“การได้รับการยอมรับจากเพื่อน”
เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนให้ความสำคัญ
ดังนั้นเด็กจะทำให้ตัวเองได้รับการยอมรับ
แต่เด็กจะทำอย่างไรนั้นขึ้นกับสิ่งที่เขามีภายใน
นั่นก็คือ “ความมั่นใจในตัวเอง”
“เด็กที่มีความมั่นใจในตัวเอง”
มีที่มาจาก “บ้าน” ที่ให้การยอมรับตัวเขา
และ “ตัวเอง” ที่ให้การยอมรับตัวเอง
ขั้นที่ 1 “เด็กทุกคนเกิดมาต้องการความรัก”
ถ้าพ่อแม่รักและยอมรับลูกในแบบที่เขาเป็น
ให้ความรัก ใจดีและแต่ไม่ใจอ่อน
เมื่อลูกทำไม่เหมาะสม พ่อแม่สอนในสิ่งถูก
เด็กจึงรับรู้ว่าเขาได้รับการยอมรับจากเรา
ขั้นที่ 2 “เด็กทุกคนต้องลงมือทำเพื่อสร้างคุณค่า”
หากได้รับความรักเพียงอย่างเดียว
ความมั่นใจในตัวเขาจะไม่เกิดขึ้นมา
เด็กจะรับรู้ว่าตัวเองทำได้
ก็ต่อเมื่อเขาได้ทำด้วยตัวเอง
-ช่วยเหลือตัวเองได้
เช่น กินข้าว อาบน้ำ แต่งตัว
เมื่อเด็กทำ เขาจึงมั่นใจ
-ทำงานที่เป็นประโยชน์ได้
เช่น งานบ้าน ยกของ เก็บของ
คำชมและคำขอบคุณที่ได้รับ
คือสิ่งยืนยันคุณค่าในตัวเขา
ขั้นที่ 3 “ยืนยันคุณค่าในตัวเองได้ด้วยตัวเอง”
เด็กที่ลงมือทำเพื่อตัวเองและผู้อื่นได้
กล่าวคือเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
เด็กจะรับรู้คุณค่าในตัวเองได้ด้วยตัวเอง
เมื่อมีเพื่อนมาบอกว่า
“เขาไม่ดี”
“เขาทำไม่ได้”
“ไม่มีใครรักเขา”
“เขาไม่ได้เรื่อง”
เด็กจะประเมินตามความจริง
และไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูด
เพราะเขารู้ว่าที่ผ่านมาพ่อแม่รักเขา
และเขาทำหลายสิ่งหลายอย่างได้
ดังนั้นเด็กจะมั่นใจในตัวเอง
และยอมรับในตัวเองได้
ในทางกลับกัน “เด็กที่ไม่มั่นใจในตัวเอง”
จะทำให้ตัวเขา “ไหลตามเพื่อน”
หรือ
บางครั้งรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่คู่ควรกับเพื่อน”
เพื่อนมีอะไร
เด็กอยากมีเหมือนเพื่อน
(แม้จะชอบ/ไม่ได้ชอบมาก)
เพื่อนพูดอะไร
เด็กจะเชื่อ
เพื่อนบอกให้ทำอะไร
เด็กจะยอมทำตาม
แม้ว่าบางครั้งเด็กจะรู้ว่า
“สิ่งนั้นไม่ดี”
แต่เพราะเพื่อนบอก
และตัวเขาไม่กล้าแย้ง
เพราะกลัวว่าเพื่อนจะไม่ยอมรับ
และเขากลัวว่าถ้าเพื่อนไม่ยอมรับ
ตัวเขาจะไม่มีเพื่อนและต้องอยู่คนเดียว
เขารู้ว่า “ตัวเองไม่ดีพอ”
ที่จะหาเพื่อนใหม่ได้ด้วยตัวเอง
ต้องรอให้เพื่อนเข้าหา
และยอมรับตัวเขา
“เด็กที่ไม่มั่นใจในตัวเอง”
อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ
เช่น...
-ขาดประสบการณ์
มีคนทำอะไรให้เยอะ
ทำอะไรด้วยตัวเองน้อย
อาจจะไม่เคยผิดพลาด
ไม่เคยต้องทำอะไรใหม่
อาจจะไม่เคยต้องพยายามด้วยตัวเอง
ในกรณีนี้ “ให้เด็กลงมือทำ” มากขึ้น
สอนให้เขาทำเพื่อตัวเอง
ช่วยเหลือตัวเอง
พูดเพื่อตัวเอง
และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
โดยมีเราสอนและเคียงข้าง
-ทำให้เขาดู
-พาเขาทำ
-ทำด้วยกัน
-ปล่อยเขาทำเอง
ยิ่งมีประสบการณ์มาก
ดูแลตัวเองได้ดี
เขาจะค่อยๆ ดูแลสิ่งอื่นได้ดี
แล้วพอไม่มีเราเขาจะมั่นใจมากขึ้น
-โดนตำหนิมากกว่าชื่นชม
ถ้าเด็กทำอะไร
ต้องถูกต้องเท่านั้น
ผิดพลาดไม่ได้
เพราะจะโดนดุ โดนว่า
แต่ถ้าทำได้ ก็เสมอตัว
ไม่เคยได้รับการชื่นชม
หรือ คำขอบคุณ
เด็กจะกลัวความผิดพลาด
และไม่มั่นในในตัวเอง
ในกรณีนี้ให้ปรับที่ผู้ใหญ่ก่อน
ให้มองเห็นความพยายามของเด็ก
และความกล้าที่จะทำของเขา
ให้มากกว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เมื่อเด็กทำได้ให้ชื่นชม
ทำไม่ได้ก็ให้ชมที่ความพยายาม
ถ้าทำผิดพลาดให้สอน
ไม่ใช่ตำหนิเพียงอย่างเดียว
เพราะการสอนจะทำให้เขาทำได้
ในครั้งหน้า และทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ที่สำคัญอย่างน้อยเขาจะกล้าทำมันต่อไป
-ตัวเด็กคาดหวังความสมบูรณ์แบบ
เด็กที่มีความคาดหวังต่อตัวเองว่า
ต้องดีพร้อมและดีที่สุด
เมื่อไม่เป็นดังหวัง
ก็วิตกกังวลมากกว่าปกติ
แม้เด็กจะมีความสามารถ
แต่เขาจะไม่มั่นใจในตัวเองเลย
ในกรณีนี้ให้ลองชวนเขามาคุย
หลังเสร็จงานหรือจบกิจกรรมใด
ด้วยคำถาม
-“อะไรที่ฉันทำได้ด้วยตัวเองวันนี้”
เพราะเด็กที่คาดหวังความสมบูรณ์แบบ
จะมองเห็นเฉพาะผลลัพธ์ปลายทาง
และสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น
แต่จะมองข้ามสิ่งที่เขาทำได้
ดังนั้นการถามคำถามนี้
เขาจะมองเห็นสิ่งที่เขาทำมากขึ้น
-“อะไรที่ฉันทำได้ดี”
เพื่อให้เด็กเห็นสิ่งดีๆ ในตัว
จุดแข็งที่เขาควรมองมากขึ้น
-“อะไรที่ฉันอยากพัฒนาหรือแก้ไข”
แม้จะทำไม่ได้วันนี้
เราพัฒนาต่อได้
ไม่ใช่ว่าเราล้มเหลว
-“อยากชมอะไรตัวเองในวันนี้”
เพื่อให้เด็กยอมรับในตัวเขา
และมองเห็นสิ่งดีๆ ในตัวเอง
สุดท้ายเด็กจะยืนหยัดเพื่อตัวเองได้
เขาต้องผ่านประสบการณ์ที่ทำเพื่อตัวเอง
และมีคนสนับสนุนในสิ่งนั้น
บ้านคือพื้นที่แรกที่เขาได้ลองทำ
และให้การยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น
*****
(2) “แก๊งค์ของเธอ แก๊งค์ของฉัน”
เมื่อข้ามผ่านการได้รับการยอมรับจากเพื่อน
ปัญหาต่อมาคือการอยู่ในแก๊งค์เพื่อน
แล้วมีปัญหากับอีกแก๊งค์หนึ่ง
การอยู่ในแก๊งค์เพื่อน
ก็เท่ากับว่าเพื่อนในแก๊งค์คือตัวเรา
เพื่อนในแก๊งค์เราเก่ง เราเก่งด้วย
เพื่อนในแก๊งค์เราโดนว่า เราโกรธด้วย
เพื่อนในแก๊งค์เราไม่ชอบใคร เราไม่ชอบด้วย
เพื่อนในแก๊งค์มีอะไร เราต้องมีด้วย
กระเป๋า รองเท้า พวงกุญแจ นาฬิกา กิ๊ฟ โบว์
สัญลักษณ์ของแก๊งค์ที่ต้องมี
“ความขัดแย้งระหว่างแก๊งค์”
ถ้าในแก๊งค์เด็กชาย
ตามพัฒนาการของเด็กชาย
“ร่างกาย” จะพัฒนานำ “สมองภาษา”
ดังนั้นเด็กชายจะใช้กำลังในการตัดสิน
มากกว่าจะคิดซับซ้อนวกวน
จะซัดกันตรงไปตรงมา
พูดกันตรงๆ ด่ามา ด่ากลับ
ตะโกนใส่หน้ากัน
ผลักมา กลักกลับ ไม่โกง
ถ้าไม่จบอาจจะมีคลุกวงใน
ปล่อยหมัด กระชากเสื้อกัน
แต่เมื่อวัดกันด้วยพละกำลังแล้ว
ส่วนใหญ่ความขัดแย้งก็คลี่คลาย
แต่ถ้าไม่จบก็อาจจะมี
การวางแผนแก้แค้นกันทีหลัง
เช่น
ดักต่อยหลังตึก
แกล้งสาดน้ำกันในห้องน้ำ
และเอาของไปซ่อน
ในกรณีนี้ ถ้าคุณครูเข้าใจ
ให้พื้นที่ในการแสดงของ
จัดกิจกรรมสร้างสรรค์
แข่งขันกันระหว่างทีม
ให้เห็นผลชัดๆ กันไปเลย
เด็กชายส่วนใหญ่จะพอใจ
เช่น
-แข่งกีฬา วิ่งแข่ง เตะบอล
โยนบาส ชักกะเย่อทีม โดดไกล
-สร้างอะไรก็ได้มาแข่งกัน
รถกระดาษ เครื่องบินกระดาษ
ปั้นดินน้ำมัน ต่อหุ่นยนต์
-การเล่นวัดฝีมือและความคิด
ดีดลูกแก้ว หมากรุก บอร์ดเกม
ถ้าเป็นที่บ้าน
พ่อแม่ควรให้เด็กๆ ได้ระบายความในใจ
ถามเขาตรงๆ ว่า “อยากให้ช่วยอะไรไหม”
หรือถ้าเขาอยาก “แข็งแรง”
หรือ “กล้า” มากกว่านี้
ชวนเขาออกกำลังกาย
หรือทำกิจกรรมข้างนอกไปด้วยกัน
เพราะสำหรับเด็กประถมแล้ว
ร่างกายคือสิ่งสำคัญ
ที่จะทำให้เข้าสังคมง่ายขึ้น
และมีความมั่นใจมากขึ้น
ในทางกลับกัน
ถ้าในแก๊งค์เด็กหญิง
มีความซับซ้อนทางอารมณ์กว่านั้น
แม้จะพูดว่า “ไม่เป็นไร เราไม่โกรธแล้ว”
แต่บ่อยครั้งเราพบว่า…
แก๊งค์เด็กหญิงของเราจะไม่จบหน้างาน
“การนินทาอีกฝ่าย”
-จดหมายน้อยจะถูกส่งไปทั่วห้อง
-การกระซิบเบาๆ ปากต่อปาก
“การทำเป็นมองไม่เห็นอีกฝ่าย”
-ไม่ยอมให้เล่นด้วย
-ไม่ยอมทำงานด้วย
คือวิธีรับมือที่พบบ่อยในเด็กหญิง
เพราะเด็กหญิงให้ความสำคัญกับ
“ภาพลักษณ์” เป็นอย่างมาก
ดังนั้นพวกเธอจะไม่ยอมดูแย่
และเป็น “ตัวร้าย” ในสายตาของใคร
ในกรณีนี้คุณครูควรรับมือ
ด้วยการให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเขียน
“ข้อความลับ”
จะมีแค่ครูที่ได้อ่าน
เพื่อสะท้อนสิ่งที่พวกเขาคิด
ผ่านคำถามเหล่านี้
-ฉันสนิทกับใครที่สุด
เพื่อเช็คว่าเด็กยังได้รับการยอมรับ
-ถ้าจัดกลุ่ม 3 คนอยากอยู่กับใคร
เพื่อดูว่าเด็กๆ มีกลุ่มกี่กลุ่ม
-ฉันชอบที่เพื่อนทำอะไร
จะได้รู้ว่าเด็กๆ ยอมรับเพื่อนแบบไหน
-ฉันไม่ชอบที่เพื่อนทำอะไร
จะได้รู้ว่า เด็กๆ แบบไหนที่เพื่อนไม่ยอมรับ
-ฉันกังวลเรื่อง...
เพื่อเช็คความกังวลของเจ้าตัว
การเขียนข้อความช่วยให้
เด็กๆ พูดความจริงง่ายขึ้น
เพราะถ้าให้เด็กๆ พูดในวงกับเพื่อนๆ
เราอาจจะไม่ได้ความจริง
หรือถ้าได้อาจจะทำให้เจ้าตัวลำบาก
เพราะหลังจากพูดความจริงออกไป
เพื่อนอาจจะไม่ชอบหรือไม่พอใจ
เมื่อได้เขียนแล้วมีเด็กคนไหนน่าเป็นห่วง
คุณครูสามารถเรียกมาคุยส่วนตัว
หรือพ่อแม่ให้การรับฟังได้
เพื่อช่วยเหลือและให้คำแนะนำได้
บางครั้งการได้คุยและมีคนรับฟัง
ก็ทำให้เด็กๆ สบายใจมากขึ้น
เพราะปัญหาเรื่องเพื่อน
เป็นปัญหาที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เพราะเป็นเรื่องของความพึงพอใจของคน
คนเปลี่ยนแปลงทุกวัน
เราจึงรับมือกับปัญหากันวันต่อวัน
ที่สำคัญเมื่อระบายออก
เขาไม่ต้องพะวงกับเรื่องนี้เพียงลำพัง
เด็กจะสามารถจดจ่อกับสิ่งตรงหน้าได้ดีขึ้น
และใช้ชีวิตในโรงเรียนได้ดีขึ้น
สุดท้ายถ้าลูกไม่ได้อยู่ในแก๊งค์ไหนเลย
มีความเป็นตัวของตัวเอง
เช่น
ชอบศิลปะ
ชอบเล่นดนตรี
อ่านหนังสือในห้องสมุด
หรือแค่ไม่อยากเล่นกับใคร
เพราะแค่ชอบนอน
ก็ไม่ได้ผิดอะไรเช่นกัน
แต่ลูกควรรู้ว่า “เมื่อทำงานกลุ่ม”
เขาต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
และทำงานนั้นได้
เพราะแม้เขาจะไม่ได้ต้องการ
การยอมรับจากเพื่อนหรือใครๆ
แต่การรับผิดชอบต่องาน
ไม่ใช่ต้องชอบหรือไม่ชอบ
เพราะเป็นความจำเป็นที่เขาต้องทำ
*****
(3) “กลัวว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่ดีพอ”
“การบ้าน” และ “งานกลุ่ม”
“การสอบ” และ “การแข่งขัน”
ชัดเจนขึ้นในวัยประถม
เด็กบางคนผ่านพ้นวัยอนุบาลมา
โดยไม่ต้องรับผิดชอบงานใดๆ
หรือต้องฝึกฝนอะไรมาก่อน
อาจจะตกใจกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้
ทางบ้านช่วยเตรียมตัวเด็กๆ วัยอนุบาล
ด้วยการมอบหมายงานเล็กๆ
อย่างน้อย 1 งานก่อนให้เขาไปเล่นได้
เช่น
-ให้ช่วยพับผ้าก่อนไปเล่น
-ให้ช่วยล้างจานก่อนไปดูทีวี
“การบ้าน”
จัดตารางให้ทำก่อนไปเล่น
ตั้งเวลาไว้คร่าวๆ เช่น 10-15 นาที
แล้วพักก่อน ค่อยทำต่อ
ทำทุกวัน ทำให้เสร็จ
แล้วงานจะได้ไม่สะสมจนล้มทับ
“งานกลุ่ม”
คุณครูให้คำแนะนำให้ในการแบ่งหน้าที่
ฝึกให้เด็กๆ ทำงานที่ได้รับมอบหมายก่อน
ถ้าทำได้ดีแล้ว ค่อยให้เด็กเริ่มแบ่งงานกัน
ถ้างานที่ได้รับมอบหมาย
เด็กทำไม่ได้ ต้องกล้าบอกเพื่อน
หรือ ถามทันที่ว่าต้องทำอย่างไร
ไม่ปล่อยให้ตัวเองทำไม่ได้เช่นนั้น
“การสอบ”
หลังเรียนรู้เรื่องอะไร
เด็กๆ เรียนอะไรไม่เข้าใจ
สอนให้เขากล้าถาม
หรือ อย่างน้อยกล้าบอกเรา
เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจสิ่งนั้นไปด้วยกัน
ถ้าพ่อแม่ทำไม่ได้ เราลองหาตัวช่วยอื่นๆ
เช่น ลองให้เด็กไปคุยกับเพื่อนหรือคุณครู
ระหว่างทางก่อนสอบ
ให้เด็กๆ รู้ว่า...
“การทำเต็มที่”
คือสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังมากกว่า
“การทำได้เต็ม”
สุดท้ายถ้าทำได้มาก/น้อย
เราค่อยๆ พัฒนาจากจุดนั้น
วัยประถมมีวิชาที่ค่อยๆ มีเนื้อหาหนักหน่วงขึ้น
เด็กป.1-3 เป็นช่วงแรกที่เริ่มอ่านเขียนคิดคำนวณ
แต่เด็กป.4-6 จะต้องตีโจทย์ ทำความเข้าใจ
และแก้ปัญหามากขึ้น
เด็กบางคนไม่ได้ถนัดวิชาการ
และมีปัญหาในการเรียนรู้
ถ้าเด็กตั้งใจเต็มที่แล้ว
แต่ไม่เข้าใจหรือทำไม่ได้
ทำงานไม่เสร็จ
อ่านไม่ออกในวัยประกลาง (7-8 ปีขึ้นไป)
การปรึกษาแพทย์พัฒนาการมีความจำเป็น
เพราะเด็กอาจจะมีปัญหาด้านสมาธิสั้น
หรือบางคนอาจจะมีความบกพร่องในการเรียนรู้
(LD: Learning Disorder)
สุดท้าย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เด็กทุกคนแตกต่างกันน
บางคนเรียนรู้ช้า
บางคนเรียนรู้เร็ว
และแต่ละคนมีความถนัด
ในด้านที่แตกต่างกัน
การเปรียบเทียบเด็กกับเด็กอีกคน
มักบั่นทอนคุณค่าในตัวเด็ก
มากกว่าจะช่วยให้เขาเติบโต
*****
ปัญหาหัวใจของเด็กวัยประถม
เป็นเพียงส่วนหนึ่งในช่วงวัยนี้
ปัญหาจะค่อยๆ คลี่คลายลง
เมื่อเด็กได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
หัวใจสำคัญที่จะทำให้เด็กผ่านพ้น
ปัญหาเหล่านี้ไปได้คือ...
(1) บ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัย
พ่อแม่รับฟังและไม่ตัดสิน
เคียงข้างแนะนำมากกว่า
ตำหนิหรือเพิกเฉย
(2) ความมั่นใจในตัวเขา
จากการรับรู้ความสามารถ
และคุณค่าในตัวเอง
เด็กจึงต้องลงมือทำด้วยตัวเอง
(3) การแก้ปัญหาไม่ทิ้งปัญหา
ไม่ว่าจะเรื่องเพื่อนหรือการเรียน
ที่ไม่เข้าใจกัน
ปมจะคลี่คลาย
หากเด็กเผชิญปัญหาอย่างเหมาะสม
ผู้ใหญ่คือคนสำคัญที่จะช่วยแนะนำ
และเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้
โรงเรียนเป็นพื้นที่นั้นให้เด็กๆ ได้
แต่ถ้าไม่ได้ พ่อแม่จะช่วยให้ลูก
เผชิญปัญหาและแก้ไปกับเขา
แต่บางปัญหาที่ไม่ค่อยปกติเสียเท่าไหร่
จะเจอเพียงบางคน ไม่ใช่กับเด็กทุกคน
นั่นคือ “การกลั่นแกล้ง”
บางคนเป็นคนแกล้งเพื่อน
บางคนเป็นคนถูกแกล้ง
แนะนำให้อ่านบทความนี้เพื่อรับมือ
“ทำไมเด็กบางคนถึงต้องแกล้งเพื่อน”
https://www.facebook.com/share/p/1BcPQRZtZD/
“ในวันที่ลูกถูกแกล้ง”
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1067626774721423&set=a.607459440738161
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ บ้าน
และขอให้เด็กทุกๆ คนเติบโตเป็นตัวเอง
ในแบบที่เขาอยากเป็น
ด้วยรักจากใจ
เม
เพจตามใจนักจิตวิทยา

11/02/2025
07/02/2025
24/01/2025

คุณจะทำยังไงถ้าลูกตะโกนใส่คุณว่า "ผมเกลียดแม่ !!"
จากนั้นก็วิ่งไปที่ห้องตัวเองและปิดประตูดังปัง !!

ไปเจอคลิป TED Talk ที่พูดถึงสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเป็นพ่อแม่ ลองไปนั่งฟังอย่างตั้งใจ เป็น 15 นาทีที่ดีมากๆ

Becky Kennedy คือคนที่เล่าเรื่องนี้บนเวที เธอกลับบ้านมา เหนื่อย เครียด เบื่อกับชีวิต เธอทำไก่ให้ลูกทาน แต่ลูกกลับบ่นออกมาว่า

"ไก่อีกแล้วเหรอ ... น่าขยะแขยง"

อีแม่ได้ยิน แน่นอน ปรี๊ดแตก ตะโกนด่าลูกโครมใหญ่

"นี่แกเป็นบ้าอะไร !! แกจะรู้จักสำนึกบุญคุณใครบ้างเป็นไหม !?"

ลูกได้ยินแล้วอึ้ง ตะโกนกลับ "ผมเกลียดแม่ !!"


ตลกร้ายคือ Becky เธอทำอาชีพเป็น นักจิตวิทยา ที่เชี่ยวชาญพิเศษด้านการแนะนำพ่อแม่ให้เป็นตัวอย่างที่ดี (ฮา)

ใช่แล้ว แม้แต่นักจิตบำบัด ก็ปรี๊ดแตกได้เช่นเดียวกับทุกคน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

Becky บอกว่า พ่อแม่แทบทุกคนในโลกนี้ อาจจะเคยปรี๊ดแตกใส่ลูก หรือทำอะไรที่เป็นการทำร้ายจิตใจลูก ไม่ครั้งใดก็ครั้งหนึ่ง

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "การแก้ไข (Repair)"
ซึ่งการแก้ไขในที่นี้ ไม่ใช่การขอโทษ

การขอโทษ คือการปิดประเด็น แล้ว Move On ต่อไปข้างหน้า

แต่การแก้ไข คือการเพิ่มเติมสิ่งที่ขาดไป ในตอนแรก นั่นคือการทำให้ลูกรู้สึกว่าเราคือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก, เราอยากเข้าใจลูกให้มากขึ้น, ความรักที่มอบให้กัน, การทำดีต่อกัน


การแก้ไขที่ดี คือ
- เริ่มต้นจากตัวเองก่อน ยอมรับว่าเราผิดพลาด และพร้อมที่จะแก้ไข
- สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเสมอ ลูกไม่ใช่ผู้ใหญ่ในร่างเด็ก เรากำลังไปไปใส่อารมณ์กับเด็กคนนึง
- อย่าอายที่จะบอกว่าพ่อแม่ผิด คนเราผิดกันได้

- การเข้าหาลูก เริ่มต้นได้ด้วยการเอาตัวเราไปเป็นพวกเดียวกับลูก
- เช่น แม่เข้าใจลูกนะ ถ้าแม่โดนตะโกนใส่แบบนั้นก็คงรู้สึกแย่เหมือนกัน
- แต่การแก้ไขที่แย่ คือการโทษที่ตัวลูก เช่น แม่ขอโทษนะที่ตะโกนใส่ลูกนะ แต่ก็เป็นเพราะแกบ่นเรื่องอาหารเย็นนั่นแหล่ะ ...​ อันนี้เค้าเรียกอธิบาย ไม่ใช่การขอโทษ หรือการแก้ไข


- จากนั้นพยายามสร้างสิ่งที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าเราเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเค้าเสมอ เช่นการกอด การจับมือ การเข้าหา
- ถ้าต้องการจะสอนเรื่องพฤติกรรมของลูก รอให้ทั้งคู่เริ่มเข้าอกเข้าใจกันก่อน การสอนช่วงที่โมโหทั้งคู่ ไม่มีประโยชน์
- การสอนลูก ให้โฟกัสที่พฤติกรรม ไม่ใช่ที่ตัวเขา
- เช่น สิ่งที่แม่รู้สึกไม่ดี คือเรื่องคำพูดของลูกล้วนๆ นะ แต่ไม่ใช่ที่ตัวลูก เรามาระวังเรื่องคำพูดกันดีไหม
- ควรสอนสิ่งที่เราคาดหวังไปเพิ่มเติมได้ เช่น ลูกรู้ไหม แทนที่จะพูดว่า น่าขยะแขยง ลูกอาจจะพูดว่า ไก่ไม่ใช่เมนูโปรดของผมอ่ะแม่


โดยสรุปคือ พ่อแม่ควรโฟกัสหนักมากๆ ในเรื่องของการ Repair ซึ่งไม่ใช่แค่มาขอโทษหรือแก้ปัญหาให้จบๆ ไป

แต่การ Repair ที่ดี ควรมีกระบวนการแก้ไข ซ่อมแซม สร้างความเชื่อมั่น สร้างความรักที่ดีต่อกัน แม้จะต้องใช้เวลา ใช้กระบวนการที่มากกว่าการบอกขอโทษให้จบๆ ไป

แต่กระบวนการนั้นแหล่ะ ที่ช่วยเยียวยาทั้งสองฝ่ายได้

Link ในคอมเม้นต์จ้า


แนะนำชุดหนังสือนิทานเด็ก ผมอ่านให้ลูกๆ ฟังประจำทุกคืน ช่วยได้เยอะมาก

-> https://s.lazada.co.th/s.GnneA


/ Khajochi's Blog

21/01/2025

ที่อยู่

Phra Pradaeng

เบอร์โทรศัพท์

+66909210239

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คนขับรถของเมียกับลูกแฝดผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์