ดีคอนแทคบำรุงจอประสาทสายตาฟื้นฟูดวงตาbysn

ดีคอนแทคบำรุงจอประสาทสายตาฟื้นฟูดวงตาbysn ดีคอนแทค บำรุงจอประสาทตา ฟื้นฟูตวง?

โรคตา..อยากทราบรายละเอียด..คลิก..https://bit.ly/2yC2OyB
07/05/2020

โรคตา..
อยากทราบรายละเอียด..คลิก..

https://bit.ly/2yC2OyB

บำรุงจอประสาทตาและฟื้นฟูดวงตา ด้วย... โรคตา ปรึกษาโทร.082 006 8679อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก...https://fb.com/canva...
24/03/2020

บำรุงจอประสาทตาและฟื้นฟูดวงตา ด้วย...

โรคตา ปรึกษาโทร.082 006 8679
อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม
คลิก...
https://fb.com/canvas_doc/653220335481709

ปัญหาสายตาเอียงปัญหาสายตาเอียงเกิดจากแสงที่มีการหักเหแล้ว มีแสงที่โฟกัสสองจุด มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากกระจกตา  ที่โค้งไม่เป...
24/03/2020

ปัญหาสายตาเอียง
ปัญหาสายตาเอียงเกิดจากแสงที่มีการหักเหแล้ว มีแสงที่โฟกัสสองจุด มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากกระจกตา ที่โค้งไม่เป็นทรงกลม (สายตาสั้นกับสายตายาวข้าง ต้นนั้น กระจกตาจะมีความโค้งเป็นทรงกลม) ซึ่งทำให้แสงเกิดการหักเหได้เป็นสองลำแสงหรือมากกว่า ดังนั้นความคมชัดของภาพที่จะเกิดจึงเป็นการประนี ประนอมระหว่างกันของสองลำแสง อาการและอาการแสดงนั้น ถ้าค่าสายตา เอียงสูงๆ การมองเห็นจะไม่ชัดทั้งระยะใกล้และระยะไกล มักเป็นที่เข้าใจสับสนที่ว่าคนสายตาเอียงจะเห็นวัตถุรอบตัวเอียงๆ การเขียนหนังสือตัวเอียง หรือ เวลามองจะเอียงคอมอง ซึ่งอาการเหล่านี้มักเป็นเรื่องของกล้ามเนื้อตาที่ทำงานผิดปกติ

แสงมา แสงจ้า สุขภาพตาดีก็เอาอยู่ ผู้มีปัญหาสายตาและดวงตา อาทิ จอประสาทตาหลุดลอก ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม จอตาเปล...
24/03/2020

แสงมา แสงจ้า สุขภาพตาดีก็เอาอยู่ ผู้มีปัญหาสายตาและดวงตา อาทิ จอประสาทตาหลุดลอก ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม จอตาเปลี่ยนแปลงจากโรคเบาหวาน สายตาพร่ามัว สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ตาบอดสี ตาล้าจากการทำงานหนัก ใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน ตาแห้ง วุ้นในตาเสื่อม เยื่อบุตาอักเสบ ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีอันดับหนึ่งในเอเชียด้วยวิวัฒนาการนาโนเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการยอมรับว่าร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว สารซานโทฟิวและไคลป์ท๊อกซาตินที่สกัดจากดอกดาวเรือง จะเข้าไปบำรุงจอประสาทตา และสามารถคงอยู่ในตาเพื่อฟื้นฟูดวงตาให้ได้ดีขึ้น สารสกัดดังกล่าวช่วยบำรุงและฟื้นฟูดวงตา ช่วยสงเสริมการมองเห็น ช่วยป้องกันจอตาเสื่อม ลดความเสี่ยงการเกิดต้อ ช่วยรักษาการรับสีของตาและสุขภาพตา เพื่อดวงตาที่ดี ด้วย...

โรคตา ปรึกษาโทร.082 006 8679
อยากทราบรายละเอียด คลิก...
https://fb.com/canvas_doc/653220335481709

แสงมาหรือแสงจ้า ดวงตาที่อ่อนล้าอยู่แล้วหลังจากการใช้งาน จะต้องมีการบำรุงจอประสาทตาและฟื้นฟูดวงตา ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีอันดับ...
23/03/2020

แสงมาหรือแสงจ้า ดวงตาที่อ่อนล้าอยู่แล้วหลังจากการใช้งาน จะต้องมีการบำรุงจอประสาทตาและฟื้นฟูดวงตา ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีอันดับหนึ่งในเอเชียด้วยวิวัฒนาการนาโนเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการยอมรับว่าร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว สารซานโทฟิวและไคลป์ท็อกซาตินที่สกัดจากดอกดาวเรือง จะเข้าไปบำรุงจอประสาทตา และสามารถคงอยู่ในตาเพื่อฟื้นฟูดวงตาให้ได้ดีขึ้น สารดังกล่าวช่วยบำรุงและฟื้นฟูดวงตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตา อาทิ จอประสาทตาหลุดลอก ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม จอตาเปลี่ยนแปลงจากโรคเบาหวาน สายตาพร่ามัว สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ตาบอดสี ตาล้าจากการทำงานหนัก ใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน ตาแห้ง วุ้นในลูกตาเสื่อม เยื่อบุตาอักเสบ และช่วยส่งเสริมการมองเห็น ช่วยป้องกันจอตาเสื่อม ลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจก ช่วยรักษาการรับสีของตาและสุขภาพตา เพื่อดวงตาที่ดี ด้วย...

โรคตา ปรึกษาโทร.082 006 8679
อยากทราบรายละเอียด คลิก...
https://fb.com/canvas_doc/653220335481709

ปัญหาสายตายาว (Hyperopia)ปัญหาสายตาในการมองใกล้มักพบในคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป  สาเหตุส่วนใหญ่เกิด    จากการเสื่อมของเนื้...
23/03/2020

ปัญหาสายตายาว (Hyperopia)
ปัญหาสายตาในการมองใกล้มักพบในคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุส่วนใหญ่เกิด จากการเสื่อมของเนื้อเยื่อเลนส์ตาที่เกิดขึ้นตามอายุ ส่งผลให้ความสามารถในการ พองตัวของเลนส์ลดลง ความสามารถในการเพ่งลดลง สายตายาวตามวัย มักส่งผล ต่อระยะการอ่านหนังสือในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไ ป อาการแสดงที่เกิดขึ้นของสายตา เช่น เพิ่มระยะห่างของตากับหนังสือมากขึ้น อ่านหนังสือได้ไม่ทน ง่วงนอนเมื่ออ่าน หนังสือไปได้ระยะหนึ่ง มองวัตถุหรือตัวหนังสือขนาดเล็กไม่ชัด

ปัญหาสายตาสั้น (Myopia)สายตาสั้นเกิดจากการที่แสงจากวัตถุที่ระยะไกล เมื่อมีการหักเหโดยดวงตาแล้วแสงนั้นตก    ก่อนถึงจอประส...
22/03/2020

ปัญหาสายตาสั้น (Myopia)
สายตาสั้นเกิดจากการที่แสงจากวัตถุที่ระยะไกล เมื่อมีการหักเหโดยดวงตาแล้วแสงนั้นตก ก่อนถึงจอประสาทตาหรือสั้นเกินไป สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากกระบอกตาที่ยาวเกินไป อาการแสดงต่างๆ ได้แก่ การมองวัตถุระยะไกลไม่ชัด เช่น มองหน้าคนในระยะไกลไม่ชัด ในเด็ก อาจ มองกระดานที่ครูสอนไม่เห็น มีอาการแสดงที่อยู่ใกล้วัตถุที่ต้องการมองมากขึ้น เช่น ดูทีวีหรืออ่านหนังสือใกล้ตาขึ้น หรือต้องการแสงสว่างในการอ่านหนังสือหรือทำงานมากกว่าปกติ มักหยีตา มองเพื่อให้สามารถมองเห็นได้ชัดขึ้น หลายคนเข้าใจว่า สายตาสั้น เกิดจากพฤติกรรมการใช้สายตาที่ผิดวิธี เช่น การจ้องมองโทรศัพท์นานๆ ดูโทรทัศน์ใกล้ๆ อ่าน หนังสือนานๆ เป็นต้น

สารสกัดจากดอกดาวเรืองความรู้เกี่ยวกับวิตามินและสารอาหารLutein, Marigold Extract, ซีแซนทีน, ดอกดาวเรือง, ลูทีนสารสกัดดอกด...
22/03/2020

สารสกัดจากดอกดาวเรือง
ความรู้เกี่ยวกับวิตามินและสารอาหารLutein, Marigold Extract, ซีแซนทีน, ดอกดาวเรือง, ลูทีน
สารสกัดดอกดาวเรือง (ซานโทฟิวและไคลป์ท๊อกซาติน) ซานโทฟิว และ ไคลป์ท๊อกซาติน หรือ ลูทีน
และซีแซนทีน จากการศึกษากายวิภาคของมนุษย์พบว่า สารสีเหลืองในผลึกเลนส์ตาและจอประสาทตา
Macula Lutea ส่วนใหญ่เป็นซานโทฟิวและไคลป์ท๊อกซาติน ซึ่งองค์ประกอบ 2 ตัวนี้เท่านั้นที่สามารถจะ
ผ่านเข้าไปในเลนส์ผลึกและจอประสาทตา Macula Lutea เพื่อเป็นอาหารบำรุงตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
จะสามารถคงอยู่ในตาเพื่อฟื้นฟูดวงตาได้ง่ายขึ้น, ช่วยบรรเทาการผลกระทบจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย,
ช่วยดูดซับแสงสีน้ำเงินที่เป็นอันตรายต่อตาและหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากลำแสงที่มากระทบดวงตา
การเปลี่ยนแปลงของจอประสาทตา Macula Lutea กลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสีย
ประสิทธิภาพการมองเห็น แต่ถ้าพวกเขาสามารถบำรุงดวงตาด้วยการเสริมซานโทฟิวและไคลป์ท๊อกซาติน
เข้าไปก็จะเป็นประโยชน์ในการรักษาสายตาของพวกเขาและอาจลดอุณหภูมิของจอประสาทตาและเลนส์ตา
ด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจกด้วย
คุณสมบัติของสารสกัดจากดอกดาวเรือง แยกตามหน้าที่
- ส่งเสริมการมองเห็น: เมื่อแสงสว่างและออกซิเจนมากระทบลูกตา จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา แต่ซานโทฟิว ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นสูงมากจะช่วยกรองแสงสีน้ำเงิน
และลดการเกิดปัญหาที่จะทำให้การมองเห็นไม่ดี ช่วยทำให้การมองเห็นชัดเจนแม่นยำมากขึ้น
- ป้องกันจอตา: จอตาประกอบไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว (DHA) ดังนั้นซานโทฟิวเป็นสารที่มีประโยชน์สำหรับจอตา ช่วยในการหลีกเลี่ยงการถูกทำร้ายโดยการทำปฏิกริยาออกซิเดชันเมื่อจอตารับแสง
- ลดการเกิดต้อกระจก: ซานโทฟิวซึ่งเป็นแคโรทีนตัวเดียวเท่านั้น ที่สามารถอยู่ในผลึกเลนส์ตาได้ ต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายโปรตีนในเลนส์ตาและก่อให้เกิดต้อกระจก
- ช่วยรักษาการรับสีของตา: เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการรับสีของจอตาผิดปกติ, เซลล์รับแสงรูปแท่งและรูปพีระมิดจะเกิดน้อยลง หากเราเสริมด้วยซานโทฟิวก็จะช่วยในการรับสีของจอตาได้ดีขึ้น

โรคตา ปรึกษาโทร.082 006 8679
อยากทราบรายละเอียด คลิก...
https://suriyan2106.blogspot.com/2020/03/d-contact-plus.html

การมองเห็นที่เป็นปกติ จะเริ่มต้นจากแสงที่ตกกระทบวัตถุ วิ่งผ่านกระจกตา เลนส์แก้วตา ให้ตกพอดีบนจุดรับภาพ ของจอประสาทตา (Ma...
21/03/2020

การมองเห็นที่เป็นปกติ จะเริ่มต้นจากแสงที่ตกกระทบวัตถุ วิ่งผ่านกระจกตา เลนส์แก้วตา ให้ตกพอดีบนจุดรับภาพ ของจอประสาทตา (Macula) จากนั้นจอประสาทตา จะส่งสัญญาณ ในรูปของคลื่นไฟฟ้า ไปยังเส้นประสาทตาและไปสู่สมอง เพื่อแปลภาพต่อไป การมองเห็นจะ คมชัด แสงที่ผ่านเข้าลูกตา จะต้องตกกระทบ บนจุดรับภาพของจอประสาทตาอย่างพอดี
โดยทั่วไปแล้ว คนที่มีสายตาปกติจะมีการทำงานร่วมกันของกระจกตา เลนส์ตา เมื่อมองวัตถุใด วัตถุหนึ่งภาพวัตถุนั้นจะผ่านกระจกตาเข้ามา และผ่านเลนส์ตาอีกครั้ง ลำแสงจะหักเหทำให้ภาพไปตกที่จอประสาทตาพอดี

ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมากในการมองเห็น ประกอบด้วยโครงสร้างดังนี้1. กระจก ตา (Cornea) หรือตาดำ เป็นส่วนที่อยู่หน้าสุดของล...
20/03/2020

ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมากในการมองเห็น ประกอบด้วยโครงสร้างดังนี้
1. กระจก ตา (Cornea) หรือตาดำ เป็นส่วนที่อยู่หน้าสุดของลูกตา มีลักษณะโค้งคล้ายจาน เรียบใส ไม่มีสี ทำหน้าที่โฟกัสหักเหแสงจากวัตถุให้เข้าในลูกตา
2. เลนส์ แก้วตา (Lens) มีลักษณะใสอยู่หลังม่านตา ทำหน้าที่โฟกัสหักเหแสงเพิ่มขึ้นต่อจากกระจกตา เพื่อให้แสงตกกระทบบนจุดรับภาพของจอประสาทตา
3. ม่าน ตา (Iris) มีหลายสีตามเชื้อชาติ ทำหน้าที่หดขยาย ก่อให้เกิดรูม่านตา ที่มีขนาดต่าง กัน เพื่อช่วยในการควบคุมปริมาณแสงที่จะเข้าตาให้พอดี
4. น้ำวุ้นตา (Vitreous body) มีลักษณะคล้ายเจล อยู่ในช่องด้านหลังลูกตา ทำหน้าที่คงรูป ของลูกตาเอาไว้
5. จอประสาทตา (Retina) ประกอบด้วยเซลล์ที่รับแสงและเซลล์ประสาท ทำหน้าที่รับภาพ เหมือนฟิล์มถ่ายรูป อยู่บนผนังด้านในของลูกตา
6. ตาขาว (Sclera) เป็นเสมือนเปลือกนอกของลูกตา ต่อกับกระจกตา ทำหน้าที่เป็นผนัง โครงสร้างของลูกตา

ต้อเนื้อต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา (Pterygium) คือ โรคตาที่เกิดจากเยื่อบุตาที่เกิดการเสื่อมและหนาตัวขึ้นงอกไปบนกระจกตา (ตา...
15/03/2020

ต้อเนื้อ
ต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา (Pterygium) คือ โรคตาที่เกิดจากเยื่อบุตาที่เกิดการเสื่อมและหนาตัวขึ้นงอกไปบนกระจกตา (ตาดำ) ซึ่งมักพบบริเวณหัวตามากกว่าหางตา และจะค่อย ๆ โตลุกลามอย่างช้า ๆ เข้าไปในตาดำ ถ้าเป็นมากจะลามเข้าไปจนถึงกลางตาดำและปิดรูม่านตา ซึ่งจะปิดบังการมองเห็นทำให้ตามัวได้
สาเหตุของโรคต้อเนื้อ
ต้อเนื้อเป็นความผิดปกติของเยื่อบุตา (บริเวณตาขาวชิดตาดำ) ที่เกิดจากการเสื่อมและหนาตัวขึ้น ทำให้กลายเป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยมสีแดง ๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ต้อเนื้อ หรือ ต้อลิ้นหมา เนื่องจากแผ่นเนื้อดังกล่าวมีสีแดงยื่นจากตาขาวเข้าสู่ตาดำเหมือนแผ่นเนื้อ
ส่วนสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดต้อเนื้อนั้นในปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่พบว่าการถูกแสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต - UV) เป็นประจำ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้ นอกจากนี้ โรคตาแห้ง การถูกลม ฝุ่น ควัน ทราย ความร้อน สารเคมี และมลพิษทางอากาศเป็นประจำก็อาจทำให้เกิดโรคต้อเนื้อได้ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงพบโรคต้อเนื้อได้บ่อยในคนที่ทำงานกลางแจ้ง ซึ่งถูกแสงแดดเป็นประจำ เช่น ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ชาวประมง คนงานก่อสร้าง ผู้ที่ต้องรับเหมากลางแจ้ง วิศวกรสร้างทางหรือกรรมกรสร้างทาง นักกีฬากลางแจ้ง เป็นต้น และมีส่วนน้อยที่อาจพบได้ในผู้ที่มีอาชีพที่ต้องสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองตาอื่น ๆ บ่อย ๆ เช่น คนทำครัว (ถูกควัน ไอร้อน) คนงานในโรงงาน (ถูกสารเคมี) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ผู้ป่วยบางรายจะมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย จึงเชื่อว่าปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเกิดต้อเนื้อได้ด้วย คืออย่างบางคนแม้จะไม่ได้เผชิญปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวเลยและทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์ก็ยังเป็นโรคนี้ได้ หรือบางคนอายุแค่ 17-18 ปีก็เป็นโรคนี้กันแล้ว ซึ่งตามหลักแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ นั่นแสดงว่าน่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์นั่นเอง
อาการของโรคต้อเนื้อ
• จะเห็นแผ่นเนื้อเยื่อรูปสามเหลี่ยมที่ยื่นจากตาขาวเข้าไปในกระจกตา (ตาดำ) ซึ่งอาจเป็นสีเหลืองและมีสีแดงบ้างเล็กน้อย และมีเส้นเลือดอยู่รอบ ๆ ต้อเนื้อ โดยส่วนมากมักจะเกิดที่ด้านหัวตา (ด้านในของตาส่วนที่อยู่ใกล้กับจมูก) และมีส่วนน้อยที่อาจเกิดที่ด้านหางตา ทั้งนี้เป็นเพราะส่วนของหัวตามีโอกาสกระทบกับสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดต้อเนื้อได้มากกว่าส่วนหางตานั่นเอง และประกอบกับการมีหลอดเลือดมาเลี้ยงในบริเวณที่หัวตามากกว่าด้วย (ในผู้ป่วยบางรายอาจมีต้อเนื้อทั้งหัวตาและหางตาพร้อมกันได้ และผู้ป่วยอาจเป็นต้อเนื้อที่ตาเพียงข้างเดียวหรือเป็นทั้งสองข้างเลยก็ได้)
• ในบางครั้งหลังจากถูกแสงถูกลมมาก ๆ หรือนอนดึก อาจทำให้เห็นหลอดเลือดขยายมีลักษณะแดงเรื่อ ๆ ได้
• โดยทั่วไปผู้ป่วยจะไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นแต่อย่างใด นอกจากบางครั้งที่มีการอักเสบจะมีอาการเคืองตา แสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล หรือมีอาการปวดได้เล็กน้อย (อาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นเมื่อถูกแดดถูกลม)
• ในบางรายที่เป็นโรคต้อเนื้อนานเป็นแรมเดือนแรมปี ต้อเนื้ออาจยื่นเข้าไปถึงกลางตาดำ ทำให้บดบังสายตา ตามัว และมองไม่ถนัดได้
ต้อเนื้อแม้จะลุกลามได้แต่ก็ไม่ใช่มะเร็งและไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งได้ จึงไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดกับดวงตา จึงสามารถปล่อยทิ้งไว้เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมต่อการผ่าตัดได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อเนื้อ
• โรคนี้ส่วนมากจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงเกิดขึ้นแต่อย่างใด ยกเว้นแต่ว่าต้อเนื้อจะยื่นเข้าไปปิดตาดำจนมิด ก็อาจจะบังสายตาทำให้มองไม่ถนัดได้ ซึ่งมักจะใช้เวลานานหลายปี เนื่องจากต้อเนื้อจะค่อย ๆ งอกลุกลามขึ้นอย่างช้า ๆ (โดยปกติก่อนจะถึงขั้นเป็นมากจนปิดตาดำ ผู้ป่วยจะต้องไปพบแพทย์ก่อนแล้ว เว้นแต่ในคนแก่ที่มักรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็อาจปล่อยปละละเลยจนปิดตามิดทั้ง 2 ข้าง ทำให้ตาบอดได้ ซึ่งการผ่าตัดลอกออกในกรณีนี้จะทำได้ยากและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก)
• ต้อเนื้อนี้อาจทำให้ดวงตารู้สึกระคายเคืองต่อฝุ่น ลม ได้มากขึ้น และทำให้เกิดอาการไม่สบายตา เช่น แสบร้อน และน้ำตาไหลได้บ้างเป็นครั้งคราว (การใช้ยาสามารถช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองนี้ได้)
• ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก คือ การเกิดแผลเป็นที่กระจกตา ซึ่งอาจพบในรายที่เป็นมากและปล่อยให้มีการอักเสบบ่อย ๆ ซึ่งจะต้องได้รับการแก้ไขด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา
วิธีรักษาโรคต้อเนื้อ
1. เมื่อมีความผิดปกติของตาหรือสายตา เช่น มีแผ่นเนื้อหรือก้อนเนื้อที่เยื่อตา หรือเมื่อกังวลใจในเรื่องเกี่ยวกับตา ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เสมอ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก ถึงแม้โรคตาส่วนใหญ่จะไม่ทำให้เสียชีวิต แต่บางโรคที่ร้ายแรงก็อาจเป็นสาเหตุทำให้ตาบอดได้
2. ถ้าได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นต้อเนื้อก็ไม่ต้องตกใจอะไร เพราะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง การรักษาทำได้ไม่ยาก
3. ในผู้ที่เป็นน้อย ๆ ถ้าไม่มีอาการอักเสบและต้อเนื้อยังไม่ลามเข้ากระจกตาหรือตาดำ ก็ยังไม่ต้องทำการรักษาหรือทำการผ่าตัดใด ๆ เพราะไม่อันตรายต่อตา แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ลม ฝุ่น และสิ่งระคายเคืองตาต่าง ๆ ถ้าต้องออกกลางแดด ควรสวมแว่นตาดำที่สามารถกันรังสีอัลตราไวโอเลต สวมหมวก และกางร่มเพื่อป้องกันมิให้ต้อเนื้อลุกลามมากขึ้น
4. ถ้ามีอาการระคายเคืองตา ตาแดง หรือตาอักเสบ ให้ใช้ยาหยอดตาลดการอักเสบเป็นครั้งคราว
5. สำหรับการผ่าตัดให้รอจนกระทั่งต้อเนื้อลามเข้าไปในกระจกตาดำพอสมควรก่อน (สักประมาณ 3-4 มิลลิเมตร) และ/หรือเมื่อต้อเนื้อมีอาการมากจนมีผลต่อการมองเห็น (ตามัว) และมีทีท่าว่าจะลามต่อไปเรื่อย ๆ แล้วจึงค่อยไปโรงพยาบาลเพื่อทำการผ่าตัดลอกต้อเนื้อออก ซึ่งการผ่าตัดต้อเนื้อนี้เป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากนัก เพียงแค่หยอดหรือฉีดยาชาเฉพาะที่เพียงเล็กน้อยตรงบริเวณที่เป็นต้อเนื้อ จึงช่วยไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดอะไรมากในระหว่างทำ แล้วแพทย์จะใช้เวลาเอาออกประมาณ 15-30 นาทีเท่านั้น โดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล

การผ่าตัดต้อเนื้อ
การผ่าตัดลอกต้อเนื้อควรทำผ่านกล้องจุลทรรศน์โดยจักษุแพทย์ เพราะหลังจากลอกต้อเนื้อไปแล้วครั้งหนึ่ง ผู้ป่วยบางรายอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกและมักจะเป็นมากกว่าเดิม (ต้อเนื้อที่ขึ้นมาใหม่นี้จะแดงหนาและอักเสบมากกว่าเดิม) และการรักษาโดยการลอกต้อเนื้อใหม่อีกครั้งจะทำได้ยากกว่าการลอกครั้งแรก ดังนั้นการดูแลหลังการผ่าตัดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำหรับการผ่าตัดลอกต้อเนื้อนั้นจะมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
1. การลอกต้อเนื้อ (Bare sclera) เป็นวิธีการลอกต้อเนื้อออกจากเยื่อตาขาวและส่วนที่ติดอยู่บนตาดำออก ซึ่งการลอกด้วยวิธีนี้จะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง มักใช้ในผู้ป่วยที่มีอายุมาก ๆ หรือในผู้ป่วยต้อเนื้อที่ไม่มีการอักเสบเลย
2. การลอกต้อเนื้อและใช้เยื่อบุตามาแปะ (Conjunctival graft) เป็นการทำแบบวิธีแรกร่วมกับการตัดเอาเยื่อตาขาวจากด้านบนของลูกตามาแปะลงบริเวณตาขาวที่ได้รับการลอกต้อเนื้อออกไปแล้ว และเย็บด้วยไหมหรือใช้กาวไฟบริน (Fibrin glue) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีมากที่ช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การลอกต้อเนื้อและเอาเยื่อหุ้มรกมาแปะ (Amnion graft) เป็นการใช้เยื่อหุ้มรกซึ่งผ่านการเตรียมและเก็บรักษาไว้มาแปะแทนเยื่อบุตา ซึ่งจะใช้กับผู้ป่วยที่เป็นต้อเนื้อครั้งแรก ต้อเนื้อมีขนาดใหญ่ หรือจำเป็นต้องเก็บเยื่อบุตาไว้สำหรับรักษาโรคอื่น วิธีนี้มีข้อดีคือ ไม่ต้องลอกเยื่อบุตาของผู้ป่วยเอง แต่มีข้อเสียคือ ความสวยงามจะสู้การใช้เยื่อบุตาธรรมชาติของผู้ป่วยมาแปะไม่ได้ และในกรณีที่ต้อเนื้อมีขนาดใหญ่มาก ๆ การใช้เยื่อบุตาธรรมชาติอาจจะไม่พอ จึงจำเป็นต้องใช้เยื่อหุ้มรกมาแปะ

วิธีป้องกันโรคต้อเนื้อ
• สิ่งสำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการเผชิญสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยของการเกิดต้อเนื้อ โดยเฉพาะการถูกแสงแดดจัด ๆ (โดยเฉพาะแสงแดดในช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมงเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่แดดจัด รังสีอัลตราไวโอเลตค่อนข้างสูง) การถูกลมโกรกบ่อย ๆ สถานที่ที่มีลมโกรกบ่อย ๆ มีฝุ่น ควัน หรือสิ่งระคายเคืองตาอื่น ๆ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงไอร้อน ๆ ที่อาจกระทบบริเวณใบหน้าด้วย โดยเฉพาะพ่อครัวแม่ครัวที่ต้องทำอาหารเกือบทั้งวัน
ถ้าต้องออกจากบ้านหรือต้องเผชิญกับแสงแดด ลม ฝุ่น ควัน สิ่งระคายเคืองตาอื่น ๆ ควรสวมแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้ สวมหมวกปีกกว้าง และกางร่มอยู่เสมอก็จะช่วยได้มาก
• ควรพักสายตาเป็นพัก ๆ หรือล้างหน้าล้างตาเมื่อรู้สึกแสบตา
• สำหรับคนที่ตาแห้งควรหยอดน้ำตาเทียม

15/03/2020
จอประสาทตาเสื่อมจุดภาพชัด (Macula) เป็นจุดที่อยู่ตรงกลางของจอตา (Retina) ซึ่งมีเซลล์ประสาทรับรู้แสงและสี (Cones) จำนวนมา...
09/03/2020

จอประสาทตาเสื่อม
จุดภาพชัด (Macula) เป็นจุดที่อยู่ตรงกลางของจอตา (Retina) ซึ่งมีเซลล์ประสาทรับรู้แสงและสี (Cones) จำนวนมาก จึงทำให้เราสามารถมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน แต่ในผู้สูงอายุอาจเกิดภาวะเสื่อมของจุดภาพชัดนี้ได้ ซึ่งจะทำให้สายตาพิการอย่างถาวร
โรคจุดภาพชัดเสื่อมตามวัย, โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม หรือที่มักเรียกว่า “โรคจอประสาทตาเสื่อม” หรือ “โรคจอตาเสื่อม” (Aged-related macular degeneration - AMD) เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของจอประสาทตาในบริเวณจุดภาพชัด (Macula) เป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยมีสายตาเลือนรางหรือตาบอด โดยเฉพาะตรงกลางของภาพ (แต่ยังคงมองเห็นขอบด้านข้างของภาพได้ปกติ) ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาขึ้นอย่างช้า ๆ จนแทบไม่ทันสังเกตหรือไม่รู้สึกว่าผิดปกติ ในขณะที่บางรายอาจเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาอย่างรวดเร็วก็ได้
โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) เป็นโรคที่เริ่มพบได้ในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี และพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ในปัจจุบันประชากรโลกมีอายุเพิ่มขึ้น จึงพบว่า โรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการประเมินว่า โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้มากกว่าครึ่ง (54%) และคาดการณ์ว่ามีความชุกของโรคนี้อยู่ที่ประมาณ 1.2-1.8% ในประชากรที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
ชนิดของจอประสาทตาเสื่อม
โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดแห้ง (Dry) และชนิดเปียก (Wet)
1. โรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD หรือ Early AMD) เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุดในขั้นเริ่มต้นหรือขั้นปานกลาง ซึ่งจะพบได้ประมาณ 85-90% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ อาการมักจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงทำให้ความสามารถในการมองเห็นของผู้ป่วยลดลงอย่างช้า ๆ โดยพบว่าเกิดจากการเสื่อมสลายและบางลงของจุดภาพชัด (Macula) จากกระบวนการเสื่อมตามอายุ โดยไม่มีรอยแผลเป็นหรือมีเลือดออก
2. โรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD หรือ Late AMD) เป็นชนิดที่พบได้น้อยกว่าชนิดแห้งมาก คือ พบได้ประมาณ 10-15% และมีความรุนแรงน้อยกว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งนำมาก่อน อาการมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็ว และอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการตาบอดได้ โดยพบว่าเกิดจากการที่เซลล์จอประสาทตาเสื่อม บางลง และมีหลอดเลือดผิดปกติที่งอกขึ้นใหม่ในผนังลูกตาชั้นกลาง (ชั้นเนื้อเยื่อคอรอยด์) บริเวณใต้จุดภาพชัด ซึ่งหลอดเลือดเหล่านี้จะมีความเปราะบางและแตก/รั่วซึมได้ง่าย เมื่อเกิดการแตกหรือรั่วซึมจึงทำให้มีเลือดและของเหลวค้างอยู่ใต้จอประสาทตา ทำให้จุดภาพชัดบวมและเกิดการทำลายจอประสาทตาอย่างรวดเร็ว และการทำลายนี้อาจทำให้เกิดแผลเป็นที่จอประสาทตาได้ด้วย
สาเหตุของโรคจอประสาทตาเสื่อม
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เชื่อว่าน่าจะเกิดจากความเสื่อมของเซลล์จอประสาทตามีการบางตัวลงของเซลล์ มีการสะสมของเสียจากเซลล์จอประสาทตา จึงทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์รับภาพมากขึ้น และจากการที่มักพบโรคนี้ได้ในผู้สูงอายุ จึงทำให้เชื่อว่าเป็นกระบวนการเสื่อมสภาพของร่างกาย (Aging Process) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายภาวะที่จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่
• อายุ เพราะมักพบโรคนี้ได้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากกว่า 50-60 ปีขึ้นไป (อายุยิ่งมากยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น)
• กรรมพันธุ์/พันธุกรรม เพราะพบว่าในฝาแฝดจะเกิดโรคนี้ได้เหมือน ๆ กัน และพบว่าประมาณ 50% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีประวัติที่คนในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน (จากการวิจัยล่าสุดสามารถค้นพบยีนที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคจอประสาทตาเสื่อม ดึงนั้นจึงมีคำแนะนำให้ผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของผู้ที่เป็นโรคกับญาติสายตรงไปรับการตรวจเช็กจอประสาทตาทุก 2 ปี)
• เชื้อชาติ เพราะพบอุบัติการณ์ของโรคนี้ได้มากที่สุดในคนผิวขาว (Caucasian)
• เพศหญิง เพราะมักพบโรคนี้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
• โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งรวมถึงโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแดงแข็ง นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาลดความดันโลหิต และมีระดับของไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูงและระดับแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ในเลือดต่ำ จะมีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet Dry)
• โรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากอาจทำให้โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นมากขึ้น
• วัยหมดประจำเดือน หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ไม่ได้รับประทานยาฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น (มีหลักฐานพบว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนน่าจะช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ ดังนั้นในผู้หญิงวัยขาดฮอร์โมนนี้จึงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้บ่อยกว่า)
• สายตาสั้นมาก ๆ (Pathologic myopia) แต่บางข้อมูลก็ระบุว่า ผู้ที่มีสายตายาว (Hyperopia) จะมีโอกาสเกิดโรคนี้ได้มากกว่าผู้ที่มีสายตาปกติหรือมีสายตาสั้น
• ม่านตาสีอ่อน (Light iris coloration)
• ตาได้รับแสงแดดอย่างเรื้อรัง
• การสูบบุหรี่หรือการได้รับควันบุหรี่เรื้อรัง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะสารพิษในควันบุหรี่สามารถทำลายเซลล์ประจอสาทตาได้โดยตรง และก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็ง ซึ่งรวมทั้งหลอดเลือดจอประสาทตา นอกจากนี้ยังมีหลักฐานการวิจัยพบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่อย่างน้อย 6 เท่า และการสูบบุหรี่ยังมีโอกาสทำให้เกิดโรคนี้ได้เร็วกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูบบุหรี่ที่มีประวัติมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้ร่วมด้วยจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 30 เท่า
• การดื่มสุรา
• ขาดอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ และอาจขาดสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิด โดยเฉพาะลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)
อาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม
อาการและอาการแสดงของโรคนี้อาจแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย และเป็นเรื่องยากที่ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในการมองเห็นได้ด้วยตัวเองในระยะเริ่มแรก โดยเฉพาะถ้าตาอีกข้างหนึ่งยังมองเห็นได้ดีอยู่ ผู้ป่วยก็อาจไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติกับตาอีกข้างไปหลายปีก็ได้ แต่ในรายที่จอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงความผิดปกติในการมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว เช่น มองตรงกลางภาพไม่ชัดหรือมืดดำไป มองเห็นภาพบิดเบี้ยว เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนของโรคจอประสาทตาเสื่อม
โรคนี้มักไม่ทำให้เกิดตาบอด แต่จะทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด และ/หรือมองเห็นภาพผิดปกติดังที่กล่าวมา ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานที่ละเอียด อ่านหนังสือ ขับรถ จำหน้าคน และในการมองระยะไกล

ตามัว ตาเบลอ ทำไมการมองเห็นของฉันจึง ไม่คมชัด?สาเหตุของอาการภาพมัวการเห็นภาพเบลอโดยทั่วไปนั้นเกี่ยวข้องกับสภาพของดวงตา ค...
08/03/2020

ตามัว ตาเบลอ ทำไมการมองเห็นของฉันจึง ไม่คมชัด?
สาเหตุของอาการภาพมัว

การเห็นภาพเบลอโดยทั่วไปนั้นเกี่ยวข้องกับสภาพของดวงตา คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสายตาสั้น, สายตายาว, สายตาสูงวัย, สายตาเอียง และโรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ทั้งหมดนี้สามารถก่อให้เกิดปัญหามองเห็นไม่คมชัดได้ อย่างไรก็ตามบางกรณีอาจมีสาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับดวงตาโดยตรง – ยกตัวอย่างเช่น ไมเกรน หรือโรคลมชัก เป็นต้น

ปัญหาเกี่ยวกับดวงตา
การเห็นภาพเบลอ เป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ คุณควรปรึกษากับผู้เชียวชาญด้านสายตา เมื่อคุณพบว่ามีปัญหานี้เกิดขึ้น

สายตาสั้น – คือสภาวะที่ไม่สามารถโฟกัสภาพให้ชัดเจนเมื่อมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกล คุณจะรู้สึกตัวได้ว่ากำลังมีปัญหาในการมองภาพระยะไกลคุณอาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วยเช่นต้องขมวดคิ้วบ่อยๆ ปวดศรีษะ หรือเห็นแสงฟุ้งๆรอบๆจุดที่จ้องมอง มันสามารถแก้ไขได้ง่ายๆด้วยแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์

สายตายาวที่สัมพันธ์กับอายุ – สายตาผู้สูงวัยเป็นสภาวะการแข็งตัวของเลนส์ตา จะทำให้คุณประสพความยากลำบากในการมองภาพระยะใกล้สายตาผู้สูงวัยเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกๆคนต้องพบเจอ เมื่อมีอายุเกินกว่า 40 ปี และจะอยู่ตัวเมื่ออายุ 60 ปี อาจนำมาซึ่งการปวดหัว ปวดตา ซึ่งเลนส์โปรเกรสซีฟคือ ทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดในกรณีนี้ ตัวเลือกอื่นๆยังมีได้แก่ เลนส์สองชั้น เลนส์หลายชั้น คอนแทคเลนส์ หรือแม้แต่เลนส์อ่านหนังสือมองใกล้ก็ใช้ได้เช่นกัน

สายตาเอียง – ส่วนใหญ่เกิดจากกระจกตามีรูปทรงไม่ปกติ ส่งผลให้แสงที่เดินทางผ่านไปไม่สามารถโฟกัสให้ชัดลงพอดีที่จอตาได้ อาการของผู้มีสายตาเอียงจะเป็นได้ทั้งเห็นภาพไม่คมชัด บิดเบี้ยว เมื่อยตา ปวดหัว ขมวดคิ้ว ใช้สายตาขณะขับรถกลางคืนยากลำบาก คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาเกี่ยวกับ แว่นสายตา คอนแทคเลนส์หรืออาจเป็นการผ่าตัดแก้ไขค่าสายตาก็ได้

โรคจอประสาทตาเสื่อม – คือการเสื่อมสภาพ หรือเสียหายของส่วนจอประสาทตา จอประสาทตาเป็นพื้นที่เล็กจิ๋วภายในจอตา – เป็นส่วนที่ไวต่อแสงอย่างมากตั้งอยู่บริเวณด้านหลังของดวงตา จอประสาทตาเป็นส่วนสำคัญของจอตาทำหน้าที่รับภาพบริเวณศูนย์กลางการมองเห็นของเรา ช่วยให้เราสามารถมองเห็นได้อย่างมีรายละเอียด

ดวงตาอ่อนล้าหลังจากการใช้งาน จะต้องมีการบำรุงจอประสาทตาและฟื้นฟูดวงตา การที่มีผลิตภัณฑ์ขายดีอันดับหนึ่งในเอเชียด้วยวิวัฒ...
06/03/2020

ดวงตาอ่อนล้าหลังจากการใช้งาน จะต้องมีการบำรุงจอประสาทตาและฟื้นฟูดวงตา การที่มีผลิตภัณฑ์ขายดีอันดับหนึ่งในเอเชียด้วยวิวัฒนาการนาโนเทคโนโลยี ซึ่งร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว สารซานโทฟิวและไคลป์ท๊อกซาตินสกัดจากดอกดาวเรือง จะเข้าไปบำรุงจอประสาทตา และสามารถคงอยู่ในตาเพื่อฟื้นฟูดวงตาให้ได้ดีขึ้น สารดังกล่าวช่วยบำรุงและฟื้นฟูดวงตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาและดวงตา อาทิ จอประสาทตาหลุดลอก ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม จอตาเปลี่ยนแปลงจากโรคเบาหวาน สายตาพร่ามัว สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ตาบอดสี ตาล้าจากการทำงานหนัก ใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน ตาแห้ง วุ้นในลูกตาเสื่อม เยื่อบุตาอักเสบ และช่วยส่งเสริมการมองเห็น ช่วยป้องกันจอตาเสื่อม ลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจก ช่วยรักษาการรับสีของตา

โรคตา ปรึกษา โทร.082 006 8679

อยากทราบรายละเอียด คลิก...
https://fb.com/canvas_doc/653220335481709

4 โรคตาที่เป็นสาเหตุของการตาบอดในประเทศไทย!จากสถิติรายงานโรคตาของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ พบว่า…โรคทางตาที่พบมากขึ้นในสังคม...
05/03/2020

4 โรคตาที่เป็นสาเหตุของการตาบอดในประเทศไทย!

จากสถิติรายงานโรคตาของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ พบว่า…

โรคทางตาที่พบมากขึ้นในสังคมไทย คือ การติดเชื้อที่กระจกตาจากคอนแทคเลนส์และโรคคอมพิวเตอร์วิชันซินโดรม ซึ่งมีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมี 4 โรคตาที่เป็นสาเหตุของการตาบอดในประเทศไทย ซึ่งทุกคนไม่ควรมองข้าม

ส่วนผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับสาเหตุของการตาบอดและสายตาเลือนลางในประเทศไทยพบปัญหา 4 อันดับแรก คือ 1. โรคต้อกระจก (69.7%) 2. โรคทางจอประสาทตา (13.2%) 3. โรคต้อหิน (4%) และ 4. ความผิดปกติทางสายตา (4%)

4-eye-disease-causes-blindness-in-thailand

“โรคต้อกระจก”
ภาวะที่เลนส์แก้วตา ซึ่งปกติจะมีลักษณะใสเหมือนกระจกจะเริ่มขุ่นมัวขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง

“โรคทางจอประสาทตา”
ภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นกับจอตาหรือที่บางคนเรียกว่าจอประสาทตา

“โรคต้อหิน”
กลุ่มโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงถูกทำลายของขั้วประสาทตา ทำให้สูญเสียลานสายตา เมื่อเป็นมากๆ ก็สูญเสียการมองเห็นในที่สุด

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า

วิตามินเอมีหน้าที่ช่วยในการมองเห็น การเจริญเติบโตของกระดูก การแบ่งตัวของเซลล์ การกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ซ่อมแซมผิวของตาและหลอดลม ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายยากขึ้น และยังกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาว ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยประชาชนส่วนใหญ่จะมองข้ามวิตามินเอที่มีอยู่ในผัก ผลไม้

ทั้งนี้ผักพื้นบ้านของไทยที่หาง่ายหลายชนิดทีเดียวที่มีสรรพคุณบำรุงสายตา เช่น ผักบุ้ง ซึ่งมีสารอาหารหลายชนิด มีวิตามินเอสูง รับประทานเป็นประจำจะลดอาการปวดดวงตา ลดอาการแสบตาที่เกิดจากการใช้ดวงตาหนักๆ ได้ ส่วนตำลึง มีสรรพคุณในด้านการช่วยบำรุงสายตา ถนอมสายตา และช่วยในการมองเห็น ด้านฟักทองนั้น มีวิตามินเอสูง บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพได้

เพื่อลดความเสี่ยงของโรคตาต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อดวงตา เช่น ไม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน เกิน 25-30 นาที ต้องพักสายตาอย่างน้อย 1-5 นาที ควรดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อให้ดวงตามีความชุ่มชื้น และพักผ่อนนอนหลับ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ประสาทตาได้พักการใช้งาน

เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย หากตามองไม่เห็นหรือสายตาเลือนรางย่อมก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการทำงาน ฉะนั้นต้องดูแลและใช้งานอย่างระมัดระวังนะคะ

ตาแดงความหมาย ตาแดง   ตาแดง คือ อาการที่เยื่อบุดวงตาทั้ง 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งเป็นสีแดงจากหลอดเลือดฝอยที่เยื่อตาขยาย...
27/02/2020

ตาแดง
ความหมาย ตาแดง

ตาแดง คือ อาการที่เยื่อบุดวงตาทั้ง 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งเป็นสีแดงจากหลอดเลือดฝอยที่เยื่อตาขยายตัว มักเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุตา ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การขยี้ตา การสัมผัสดวงตา ฝุ่นผงเข้าตา ตาแห้ง การบาดเจ็บบริเวณดวงตา หรือเนื้อเยื่อดวงตาเกิดการติดเชื้อ เป็นต้น อาการตาแดงพบได้ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงมากนัก และหายเองได้ภายใน 1-2 วัน แต่หากสังเกตเห็นว่าอาการตาแดงเริ่มรุนแรง หรืออาจเกี่ยวข้องกับโรคตาอื่น ๆ ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

ตาแดง

อาการตาแดง

อาการตาแดงอาจเป็นแค่ตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้างพร้อม ๆ กัน ซึ่งแตกต่างกันไปตามสาเหตุด้วย

นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ ปรากฏขึ้นร่วมกับอาการตาแดงได้ เช่น

แสบตา น้ำตาไหล
คันตา หรือคันบริเวณเปลือกตา
เปลือกตาบวม หรือเปลือกตาอักเสบและลอก
มีขี้ตาเหลวหรือเป็นก้อนแข็ง
ตาพร่า มองเห็นภาพไม่ชัด
ขนตาร่วง
ปวดศีรษะ มีไข้ และไอ
ทั้งนี้ หากผู้ป่วยตาแดงมานานเกิน 2 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือตาแดงหลังจากรับประทานยาวาร์ฟาริน ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยตาแดงและมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

การมองเห็นเปลี่ยนไป หรือมองเห็นแสงกระจายเป็นรัศมีรอบ ๆ ดวงไฟ
ตาไวต่อแสง
รู้สึกเหมือนมีอะไรในตา
มีวัตถุแปลกปลอมในตา หรือสารเคมีเข้าตา
มีอาการบวมในหรือนอกดวงตา
ลืมตาหรือหลับตาไม่ได้
ปวดตา
ปวดหัวรุนแรง หรือปวดหัวร่วมกับอาการสับสนและมองเห็นไม่ชัด
เป็นไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
คลื่นไส้ อาเจียน
สาเหตุของตาแดง

สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของตาแดง คือ หลอดเลือดบริเวณผิวดวงตาอักเสบจากการระคายเคืองต่อปัจจัยต่าง ๆ เช่น ฝุ่น ควัน อากาศแห้ง และแสงแดด หรืออาจเกิดจากการไอ โรคหวัด โรคภูมิแพ้ เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสด้วย

นอกจากนี้ ตาแดงอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ๆ ดังต่อไปนี้

การอักเสบบริเวณตาขาว เปลือกตา เบ้าตา ม่านตา กระจกตา หรือเยื่อบนผนังลูกตา
การบาดเจ็บบริเวณดวงตา เช่น เกิดแผล หรือมีแผลไหม้
กระจกตาติดเชื้อโรคเริม
ผิวกระจกตาถลอก หรือกระจกตาเป็นแผล โดยเฉพาะจากการใส่คอนแทคเลนส์นานเกินไป
มีวัตถุแปลกปลอมเข้าตา
มีก้อนสีแดงเกิดขึ้นและสร้างความเจ็บปวดบริเวณเปลือกตา
ตาแห้ง เพราะมีการผลิตน้ำตาลดลง
ตากุ้งยิงชนิดไม่เจ็บ
ภาวะหนังตาม้วนออกด้านนอกหรือม้วนเข้าด้านใน
การเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทตา
เลือดออกใต้เยื่อบุตา
การใช้ยาหยอดตา
การวินิจฉัยตาแดง

โดยปกติ จักษุแพทย์อาจวินิจฉัยสาเหตุของอาการตาแดงได้อย่างแม่นยำจากการตรวจสุขภาพดวงตา และการซักถามผู้ป่วยถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น

อาการอื่น ๆ ที่ปรากฏ
ประวัติทางการแพทย์
อาหารที่บริโภค
รูปแบบการดำเนินชีวิต
ปัญหาอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณดวงตา
อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจทำการทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อยืนยันสาเหตุของตาแดงในบางกรณี เช่น การส่งตรวจขี้ตาเพื่อเพาะเชื้อ ซึ่งอาจเป็นวิธีที่พบได้ไม่บ่อยนัก

การรักษาตาแดง

หากไม่ขยี้ตาจนทำให้อาการแย่ลง อาการตาแดงอาจดีขึ้นหรือหายได้เองโดยไม่ปรากฏอาการปวดหรือปัญหาสายตาอื่น ๆ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจต้องเข้ารับการรักษาบรรเทาอาการ ซึ่งการรักษาตาแดงอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุ

อย่างไรก็ตาม อาการตาแดงจากบางสาเหตุ เช่น ตาแดงจากโรคภูมิแพ้ อาจหายได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกำจัดสารก่ออาการแพ้ออกไป ส่วนอาการตาแดงจากโรคเยื่อบุตาอักเสบอาจคงอยู่นานร่วม 2 สัปดาห์ ดังนั้น หากผู้ป่วยไม่แน่ใจว่าตนเองตาแดงจากสาเหตุใด ควรไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

ตัวอย่างวิธีการรักษาบรรเทาอาการตาแดง

พักสายตา เพื่อบรรเทาอาการตาล้า
ประคบร้อนหรือประคบเย็นที่ดวงตา เพื่อลดอาการปวดบวม
ล้างตาด้วยน้ำเกลือ น้ำอุ่น หรือน้ำเย็น เพื่อลดการระคายเคือง
ใช้ยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียม หากตาแดงจากอาการตาแห้ง
รับประทานยาแก้แพ้ หากตาแดงจากอาการแพ้
หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสดวงตาแม้จะล้างมือสะอาดแล้วก็ตาม เนื่องจากความมันหรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ อาจติดอยู่ในเล็บ จนเป็นสาเหตุให้เกิดตาแดงหรือเป็นแผลถลอกที่ดวงตาได้
หลีกเลี่ยงสารก่ออาการแพ้ หรือออกจากบริเวณที่มีสารก่ออาการแพ้
ทั้งนี้ หากรักษาตาแดงด้วยวิธีดังกล่าวแล้วอาการไม่ทุเลาลงหรือทวีความรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะอาจต้องใช้ยาแก้แพ้ ยาปฏิชีวนะ ยาหยอดตา หรือยาแก้ปวดอื่น ๆ ตามใบสั่งแพทย์เพิ่มเติมในบางกรณี

ภาวะแทรกซ้อนของตาแดง

หากปรากฏอาการตาแดงแล้วไม่รีบดูแลหรือรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ ดังต่อไปนี้

เป็นโรคตาอื่น ๆ
เกิดแผลเป็นในดวงตา
การติดเชื้อลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของดวงตาหรือร่างกาย
มีปัญหาในการมองเห็น ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันได้
สูญเสียการมองเห็นบางส่วน หรือตาบอด
สูญเสียดวงตา
การป้องกันตาแดง

โดยทั่วไป การป้องกันอาการตาแดงอาจทำได้โดยการรักษาสุขอนามัยให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงสารก่อการระคายเคืองต่าง ๆ ที่อาจทำให้ตาแดง ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้

ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าหรือสบู่ก่อนสัมผัสใบหน้าและบริเวณดวงตา
เมื่อมีสิ่งสกปรกเข้าตา ให้ล้างดวงตาด้วยน้ำสะอาด
เมื่อกลับเข้าที่พัก หากแต่งหน้าให้ล้างเครื่องสำอางบริเวณดวงตาออกทุกครั้ง
หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางแต่งตาร่วมกับผู้อื่น และเปลี่ยนเครื่องสำอางแต่งตาทุก ๆ 6 เดือน
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องเพ่งสายตาหรือใช้สายตามาก ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการตาล้า
ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินกำหนด โดยห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่น และควรล้างคอนแทคเลนส์ให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ
ห้ามใช้ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า และหมอนร่วมกับผู้อื่น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยตาแดงควรงดไปทำงาน ไปโรงเรียน หรือสถานที่สาธารณะอื่น ๆ จนกว่าจะหายดี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น

โรคต้อกระจกเมื่อคนเราอายุมากขึ้น ดวงตาที่ถูกใช้งานมานานหลายสิบปีย่อมเสื่อมลง อย่างเลนส์ตาธรรมชาติที่ทำหน้าที่รับแสงมานาน...
24/02/2020

โรคต้อกระจก

เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ดวงตาที่ถูกใช้งานมานานหลายสิบปีย่อมเสื่อมลง อย่างเลนส์ตาธรรมชาติที่ทำหน้าที่รับแสงมานานก็จะเกิดสีขุ่นขึ้นจนกลายเป็นสีเหลือง สีชา หรือกลายเป็นสีขาวขุ่นๆ ซึ่งนั่นคือต้นเรื่องของโรคต้อกระจก ที่ผู้สูงวัยในอายุ 50 ปีขึ้นไปควรระวัง รวมไปถึงผู้ที่ยังอายุไม่มากแต่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นตาต้อกระจกก็จะมีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้น

ลักษณะอาการ: เพราะเลนส์ตามีความขุ่นมัวมากขึ้น ทำให้การมองเห็นภาพมีลักษณะคล้ายเป็นหมอก หรือมีควันขาวๆ บัง สายตา การโฟกัสไม่ดีเหมือนเดิม ในผู้ป่วยต้อกระจกบางชนิดอาจมีอาการแพ้แสง และหากต้อกระจกเข้มมากจนสุก ก็จะบังลูกตาจนสูญเสียการมองเห็นได้

2 โรคต้อหินแม้จะเป็นโรคตาที่พบได้น้อยกว่าต้อกระจก แต่ก็นับว่าเป็นอีกภัยเงียบที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นแบบถาวรได้ ...
24/02/2020

2 โรคต้อหิน
แม้จะเป็นโรคตาที่พบได้น้อยกว่าต้อกระจก แต่ก็นับว่าเป็นอีกภัยเงียบที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นแบบถาวรได้ โรคต้อหินเกิดจากความดันในลูกตาสูงขึ้นจนมีการทำลายประสาทตา อาจเกิดในผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นต้อหิน หรือในผู้ที่สายตาสั้นมากๆ ป่วยเป็นเบาหวาน หรือเคยได้รับอุบัติเหตุทางตามาก่อน

ลักษณะอาการ: มักไม่มีอาการในช่วงแรก แต่เมื่อเริ่มสูญเสียลานสายตา การมองเห็นจะค่อยๆ จำกัดวงแคบลง จากด้านข้างเข้ามาตรงกลางเรื่อยๆ และสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรในที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ยังมีต้อหินบางประเภทที่มีอาการปวดมาก เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ หรือมีอาการตาแดง

ที่อยู่

131/30 ซอยรังสิต-นครนายก65 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดประทุมธานี(Pathum Thani Thailand)
Rangsit
12130

เบอร์โทรศัพท์

+66820068679

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ดีคอนแทคบำรุงจอประสาทสายตาฟื้นฟูดวงตาbysnผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ดีคอนแทคบำรุงจอประสาทสายตาฟื้นฟูดวงตาbysn:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

บำรุงจอประสาทตาฟื้นฟูดวงตา

ดวงตาอ่อนล้า หลังจากการใช้งาน ถึงเวลาแล้วที่จะดูแลดวงตาและสุขภาพที่ดี ดีคอนแทค(D-CONTACT) ขายดีอันดับหนึ่งในเอเชีย ด้วยวิวัฒนาการนาโนเทคโนโลยี ซึ่งร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว สารซานโทฟิวและไคลป์ท๊อกซาตินสกัดจากดอกดาวเรือง จะเข้าไปบำรุงจอประสาทตา และสามารถคงอยู่ในตาเพื่อฟื้นฟูดวงตาให้ได้ดีขึ้น ดีคอนแทค(D-CONTACT) ช่วยบำรุงและฟื้นฟูดวงตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาและดวงตา อาทิ จอประสาทตาหลุดลอก ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม จอตาเปลี่ยนแปลงจากโรคเบาหวาน สายตาพร่ามัว สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ตาบอดสี ตาล้าจากการทำงานหนัก ใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน ตาแห้ง วุ้นในลูกตาเสื่อม เยื่อบุตาอักเสบ ดีคอนแทค(D-CONTACT) ช่วยส่งเสริมการมองเห็น ช่วยป้องกันจอตาเสื่อม ลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจก ช่วยรักษาการรับสีของตา ดูแลสุขภาพตา เพื่อดวงตาที่ดีดัวย ดีคอนแทค(D-CONTACT)

ตำแหน่งใกล้เคียง คลินิก


วิตามิน/อาหารเสริม อื่นๆใน Rangsit

แสดงผลทั้งหมด

คุณอาจจะชอบ